นักวิเคราะห์เผย บิทคอยน์ปี 2566 เริ่มฟื้นตัว นักลงทุนสนใจกระจายความเสี่ยงมากขึ้น - Forbes Thailand

นักวิเคราะห์เผย บิทคอยน์ปี 2566 เริ่มฟื้นตัว นักลงทุนสนใจกระจายความเสี่ยงมากขึ้น

นักวิเคราะห์ เผย หลังบิทคอยน์ส่งสัญญาณฟื้นตัวขึ้นแตะ 30000 เหรียญสหรัฐฯ ในช่วงต้นปี 2566 ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปลายปี 2564 ที่มูลค่าร่วงลงอย่างหนัก นักลงทุนต่างหันมาสนใจบิทคอยน์เพิ่มมากขึ้นซึ่งถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการลงทุนที่มีจุดเด่นแตกต่างจากตลาดเงินทั่วไปและยังช่วยกระจายความเสี่ยง


    พริษฐ์ บุญเลื่อน นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท คริปโตมายด์ แอดไวเซอรี่ จำกัด ที่ปรึกษาสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งแรกของไทยภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. เปิดเผยแนวโน้มการกลับมาให้ความสนใจลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2566 หลังบิทคอยน์ส่งสัญญาณฟื้นตัวขึ้นแตะ 30000 เหรียญเป็นครั้งแรก หลังจากตลาดคริปโตเข้าสู่ตลาดหมีตั้งแต่ปลายปี 2564 จนสิ้นปี 2565 

    โดย พริษฐ์ ให้ความเห็นว่าปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในปีนี้ Cryptocurrency ถือเป็นการลงทุนทางเลือกมีจุดเด่นที่แตกต่างจากการลงทุนในตลาดการเงินทั่วไป โดยเราคาดว่าจะมีเหตุผลดังนี้

    1. ความผันผวนของตลาด มีมากกว่าการลงทุนในตลาดทั่วไปอย่างมาก ซึ่งนั่นเป็นข้อดีที่ทำให้นักลงทุนสามารถหาผลตอบแทนจากความผันผวนนี้ได้ อย่างไรก็ตามความเสี่ยงที่ขาดทุนหนักก็มีเช่นกัน

    2. ตลาดเปิด 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุด จึงเป็นอีกทางเลือกในการลงทุนในช่วงเวลาที่ตลาดการเงินทั่วไปปิดทำการของนักลงทุนทั้งสายพื้นฐานและสายเทคนิคอล

    3. กระจายความเสี่ยง มีการเปรียบเทียบผลตอบแทนระหว่างพอร์ตการลงทุนในตลาดเงินทั่วไป และพอร์ตที่มีทั้งการลงทุนในตลาดเงินและ Cryptocurrency ย้อนหลัง พบว่าพอร์ตประเภทหลังให้ผลตอบแทนสูงกว่าในสัดส่วนความเสี่ยงที่เท่ากัน ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีการลงทุนกระจายความเสี่ยงที่ไม่ควรกระจุกสัดส่วนการลงทุนอยู่ในสินทรัพย์ประเภทใดมากเกินไป เพราะแต่ละตัวนั้นก็มีลักษณะความเสี่ยงที่แตกต่างกัน

    4. Cryptocurrency Adoption จะมากขึ้นในอนาคต สังเกตได้ในช่วงแรกที่ธนาคารสหรัฐประกาศล้มละลาย โดยปกติแล้วจะเป็นสัญญาณลบในการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง แต่สำหรับ Bitcoin ที่กำเนิดขึ้นมาเพื่อต่อต้านการรวมศูนย์ของรัฐ ราคานั้นได้ปรับตัวสวนทางทุกสินทรัพย์และ Cryptocurrency ตัวอื่นๆ ด้วยเช่นกัน


ปัจจัยอะไรทำให้ Terra classic ติดอันดับ 5 สินทรัพย์ดิจิทัลมูลค่าซื้อขายสูงสุด

    ตลาด Cryptocurrency ในปัจจุบันในไทยนั้นต้องยอมรับว่ายังมีเครื่องมือการลงทุนอย่าง Future หรือ Option ยังไม่เปิดให้ใช้บริการ หรือจำนวนเหรียญให้ลงทุนที่มีเพียง 84 คู่เหรียญ แตกต่างจาก Binance ที่มีมากกว่า 1,410 คู่เหรียญ ทำให้การลงทุนนั้นจะค่อนข้างกระจุกตัวอยู่กับคู่เหรียญที่เป็นกระแสในช่วงเวลานั้น ทำให้บางครั้งที่ Terra Classic (LUNA หรือ LUNC) มีข้อเสนอการพัฒนาขึ้นมา ราคาจะมีการตอบสนองค่อนข้างมาก หรือ Optimism (OP) ที่ช่วงนี้กระแสการอัปเกรด Bedrock และ EIP-4844 เริ่มมาทำให้คนนิยมเทรดมากขึ้นเช่นกัน

    โดยเมื่อดูสัดส่วนการซื้อขายในปัจจุบันจะเห็นว่า USDT และ Bitcoin มีสัดส่วนการซื้อขาย 36.25% และ 12.11% ตามลำดับ USDT นั้นเป็นเหมือนแหล่งพักเงินของนักลงทุนคริปโตและยังนิยมซื้อเพื่อโอนออกไปลงทุนใน Exchange ต่างประเทศ ส่วน Bitcoin เป็นเหรียญทนักลงทุนคุ้นเคยและราคามีความเสถียรมากที่สุด ส่วนอันดับรองจากนั้นจะวนเวียนเปลี่ยนลำดับกันตามเหตุการณ์ต่างๆเฉพาะตัวของเหรียญนั้นๆ

    มูลค่าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยแนวโน้มชะลอตัว ในขณะที่ดัชนีราคาสินทรัพย์ ดิจิทัลเริ่มสูงขึ้น เกิดจากปัจจัยอะไร และแนวโน้มจะเป็นอย่างไร

    ไม่ใช่เพียงมูลค่าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยมีแนวโน้มชะลอตัวเท่านั้น เมื่อเรามองไปดูที่ Binance ที่มีมูลค่าการซื้อขายมากกว่า 80% ของทั้งโลกพบว่ามีแนวโน้มชะลอตัวเช่นกัน โดยปัจจัยหลักที่สะท้อนให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้มีดังนี้

    1. นักลงทุนลดความเสี่ยง: สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในช่วงนี้เริ่มมีความไม่แน่นอนสูงมากขึ้น ทั้งนโยบายการขึ้นดอกเบี้ยที่นักลงทุนเริ่มไม่คิดว่าจะ “คงดอกเบี้ย” ใน FOMC รอบหน้าเพราะเงินเฟ้อยังสูงอยู่ แต่ในอีกทางหนึ่งก็มีนักลงทุนคิดว่าจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยเพราะธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐเริ่มทยอยปิดกิจการมากขึ้นเรื่อยๆ 

    นอกจากนี้ยังมีเรื่อง “เพดานหนี้สหรัฐ” Deadline ต้นเดือนหน้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่ทั้งสองฝ่ายยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน หากพลาดขึ้นมาจะเป็นครั้งแรกที่สหรัฐผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งหลายฝ่ายคิดว่าผ่านแน่แต่อาศัยเกมการเมืองเพื่อต่อรองบางอย่างกันอยู่ ดังนั้นตลาดในช่วงนี้จึงมีความผันผวนรุนแรงมาก การขายสินทรัพย์เสี่ยงอย่าง Cryptocurrency จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ลดความเสี่ยงโดยรวมให้พอร์ตการลงทุน

    2. Recession กำลังมา: จากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ เรามองว่า Recession จะมาอย่างแน่นอนซึ่งการขายสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อเก็บเงินสดไว้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการตัดสินใจที่ดีเช่นกัน อย่างไรก็ตามเรายังมองว่าการเริ่ม DCA ในช่วงนี้เป็นจุดที่เหมาะสมเพราะไม่มีใครทราบได้ว่าจุดต่ำสุดอยู่ตรงไหน

    3. ความเชื่อมั่นในตลาดที่ลดลง: เหตุการณ์วิกฤต Terra และ FTX ล้มละลายเป็นชนวนเหตุหลักที่ทำให้ความเชื่อมั่นในการลงทุนใน Cryptocurrency ลดลงอย่างเห็นได้ชัด นักลงทุนสถานบันรายใหญ่เสียหายจากสองเหตุการณ์นี้มากเช่นกัน ดังนั้นในตอนนี้นักพัฒนาต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนด้วยการพัฒนาโปรเจกต์ที่ใช้งานได้จริง

    4. ความไม่แน่นอนด้านกฎหมาย: ปี 2023 เป็นปีที่มีคดีฟ้องร้องจาก ก.ล.ต. สหรัฐกับ Exchange ต่างๆมากที่สุดก็ว่าได้ ทั้ง Kraken, Coinbase, Kucoin, Binance, Bittrex และอื่นๆ โดยมุ่งเป้าไปที่การ “เปิดบริการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน” 

    โดย ก.ล.ต. สหรัฐมองว่า Cryptocurrency เป็นหลักทรัพย์ แม้ว่าในชั้นศาลแล้ว Gary Gensler ประธาน ก.ล.ต. จะไม่สามารถอธิบายเรื่องได้ได้อย่างชัดเจนว่าแบ่งประเภท Cryptocurrency เป็น สินทรัพย์ หรือ สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) อีกทั้งคดีฟ้องร้องต่างๆที่ค้างคามาจากปีก่อน อย่าง Ripple ที่น่าจะมีผลตัดสินเด็ดขาดในปีนี้ นักลงทุนจึงอาจรอความชัดเจนให้มากขึ้นก่อนลงทุนด้วยเม็ดเงินก้อนใหญ่

    

ข้อมูลจากสถิติจาก coingecko

    นักลงทุนในตลาดคริปโท ในช่วงที่เหลือของปีนี้ควรวางแผนการลงทุนอย่างไร

    1. แบ่งเงินสดเก็บไว้สำหรับใช้จ่ายในชีวิต แม้ไม่มีรายได้เข้ามาให้เพียงพออย่างน้อย 12 เดือน เนื่องจากสถานการณ์เศรษบกิจในช่วงนี้มีความไม่แน่นอนสูงมากและอาจเกิด Recession ได้สูง

    2. ทยอย DCA ในเหรียญที่มั่นใจ เพราะเราไม่มีทางรู้ได้ว่าจุดต่ำสุดของตลาดอยู่ตรงไหน การทยอยซื้อในช่วงสถานการณ์แบบนี้ที่ราคายังไม่สูงมากเป็นจุดลงทุนที่เหมาะสมที่สุดหากไม่สามารถทำนายตลาดได้

    3. ติดตามตลาดอยู่เสมอ เพื่อให้ทันว่าโปรเจกต์ไหนมีพัฒนาที่น่าสนใจซึ่งอาจจะเป็นเพชรเม็ดงามที่เราสามารถหาเจอและลงทุนในระยะยาวกับมันได้ และติดตามข่าวเศรษฐกิจมหภาคซึ่งมีผลต่อการลงทุนด้วยเช่นกัน



อ่านเพิ่มเติม: ​เลือกตั้ง 66 TikTok มาแรง ครองยอด Engagement สูงสุด 63%


ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine