เศรษฐกิจไทยเสี่ยงโตต่ำกว่าเดิม! กกร. หั่นเป้า GDP ไทยปี 68 อีกรอบเหลือเพียง 1.5-2.0% - Forbes Thailand

เศรษฐกิจไทยเสี่ยงโตต่ำกว่าเดิม! กกร. หั่นเป้า GDP ไทยปี 68 อีกรอบเหลือเพียง 1.5-2.0%

เศรษฐกิจไทยยังชะลอ แม้ครึ่งปีแรก 68 อาจโตใกล้ 3% แต่ภาคเอกชนอย่าง กกร. มองครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยปีนี้เสี่ยงโตต่ำ 1% เพราะสถานการณ์การค้าและนโยบายต่างๆ ยังไม่แน่นอน ทำให้ปรับลดประมาณการ GDP ทั้งปี 2568 เหลือ 1.5 ถึง 2.0% จาก พ.ค. ที่ 2.0 ถึง 2.2% (จากก่อนหน้าที่อยู่ 2.4 ถึง 2.9%)


    นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลง และมีความไม่แน่นอนสูงขึ้น หลังมาตรการภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาทางกฎหมาย นอกจากนี้ล่าสุดรัฐบาลสหรัฐฯ ได้เพิ่มภาษี sectoral tariff เหล็กและอะลูมิเนียมจาก 25% เป็น 50% ที่สำคัญคือการเจรจาอัตราภาษีระหว่างไทยและสหรัฐฯ ที่ยังไม่มีกรอบเวลาที่ชัดเจน

    ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ กกร. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้โดยคาดว่าจะเติบโตได้ที่ 1.5 ถึง 2.0% (จากเดิมที่คาดการณ์ไว้เมื่อ พ.ค. 68 ที่ 2.0-2.2% ) เป็นผลจากการส่งออกสินค้าและการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงในครึ่งปีหลัง ซึ่งการส่งออกไทยทั้งปี 68 คาดว่าจะอยู่ที่ -0.5 ถึง 0.3% (ลดลงจากที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าจะโต 0.3 ถึง 0.9%) โดยภาคการส่งออก กกร. ยังกังวลประเด็นการสวมสิทธิ์การส่งออก และการ re-export โดยใช้ local content ต่ำ ที่แม้ในเชิงตัวเลขการส่งออกจะขยายตัว (ภายใต้การนำเข้าสูง) แต่ภาคการผลิตในประเทศและการลงทุนจะไม่ได้เติบโตตาม

    อีกส่วนหนึ่งเพราะในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 คาดว่า GDP จะโตต่ำ 1% (แม้ครึ่งปีแรก 68 อาจโตใกล้ 3%) ซึ่งขึ้นอยู่กับผลการเจรจาภาษีระหว่างสหรัฐฯ และไทย โดยเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่ง รวมถึงติดตามแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของสินค้านำเข้าจากจีนที่อาจกระทบต่อภาคธุรกิจและการจ้างงานของไทย

    ทั้งนี้ ความหวังที่เศรษฐกิจไทยปี 2568 จะเติบโตถึง 2.0% จำเป็นต้องมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มุ่งเป้า และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐให้ได้อย่างน้อย 70% ของวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 157,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังต้องเร่งขยายตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล (Long-haul) ซึ่งตั้งแต่ต้นปีขยายตัวราว 17.0% เพื่อทดแทนนักท่องเที่ยวจากจีนที่ลดลงและสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว

    อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป มีส่วนช่วยลดความตึงเครียดของสงครามการค้าในระดับหนึ่ง

    ดังนั้นในภาพรวม กกร. เชื่อว่าภาครัฐควรมีมาตรการระยะกลางและระยะยาวเพื่อเกิดการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างต่อเนื่อง และมีความยืดหยุ่นพร้อมรองรับสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง พร้อมกับควรมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่เจอผลกระทบจากการส่งออก เนื่องจากปัจจุบันมาตรการภาครัฐมักเป็นมาตรการระยะสั้น

    นอกจากนี้ ที่ประชุม กกร. กังวลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยทั้งจากสภาพเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว แรงกดดันจากสงครามการค้า และการไหลทะลักเข้ามาของสินค้าจากต่างประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงินโดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs

    จากปัญหาเหล่านี้ กกร. มีข้อเสนอให้ภาครัฐพิจารณาปรับลดวงเงินประกันการใช้ไฟฟ้าสำหรับผู้ประกอบการประเภทที่ 3 กิจการขนาดกลาง ประเภทที่ 4 กิจการขนาดใหญ่ และประเภทที่ 5 กิจการเฉพาะอย่าง (กิจการโรงแรมและให้เช่าพักอาศัย) ที่ปัจจุบันมีการวางเงินประกันการใช้ไฟฟ้ารวมกว่า 3 หมื่นล้านบาท โดยขอให้ปรับลดวงเงินประกันฯ ให้เหลือ 0.5 เท่า สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีการชำระค่าไฟฟ้าตามกำหนด จากเดิมที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติเมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2567 ปรับเหลือ 0.8 เท่า รวมถึงอาจปรับเพิ่มวงเงินขึ้นตามสัดส่วนที่เหมาะสมสำหรับผู้ประกอบการที่มีการผิดนัดชำระค่าไฟฟ้า โดยการปรับลดวงเงินประกันดังกล่าวจะมีส่วนช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีสภาพคล่องทางการเงินในการดำเนินธุรกิจมากขึ้นในช่วงที่สภาพเศรษฐกิจที่ความผันผวนสูง



ภาพ: กกร.



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : วิจัยกรุงศรีหั่นเป้าเศรษฐกิจไทยปี 68 เหลือ 2.1% จากเดิม 2.7% เพราะโลกเสี่ยงสูง-ปัญหาเชิงโครงสร้างของไทย

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine