‘จุฬาฯ’ โชว์นวัตกรรมฝีมือคนไทย ‘ยาแอนติบอดีต้านมะเร็ง’ ดึงบริษัทยาสหรัฐฯ เซ็นถ่ายทอดเทคโนโลยี ในงาน CU Innovation & IP Expo 2025 - Forbes Thailand

‘จุฬาฯ’ โชว์นวัตกรรมฝีมือคนไทย ‘ยาแอนติบอดีต้านมะเร็ง’ ดึงบริษัทยาสหรัฐฯ เซ็นถ่ายทอดเทคโนโลยี ในงาน CU Innovation & IP Expo 2025

FORBES THAILAND / ADMIN
05 Aug 2025 | 12:32 PM
READ 461

จากห้องแล็บสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์อย่างเป็นระบบ จุฬาฯ เปิดเวทีนวัตกรรมระดับโลก ดึงบริษัทยาสหรัฐฯ ร่วมถ่ายทอดเทคโนโลยี "ยาแอนติบอดีต้านมะเร็ง" ฝีมือคนไทย ในงาน CU Innovation & IP Expo 2025


    ในยุคที่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม (Innovation-based Economy) มีบทบาทสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศที่ให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมและพัฒนาผลงานของคณาจารย์ นักวิจัย นิสิต และนวัตกร ให้สามารถต่อยอดจากห้องปฏิบัติการไปสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ได้อย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานที่ได้รับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property: IP) ซึ่งแสดงถึงศักยภาพในการแข่งขันและพร้อมเข้าสู่กระบวนการถ่ายทอดเทคโนโลยี การลงทุน หรือการใช้งานในระดับสาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ

    เพื่อเป็นเวทีในการประชาสัมพันธ์ผลงานเหล่านี้สู่สาธารณชน และเสริมสร้างโอกาสในการจับคู่ความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างเจ้าของผลงานกับภาคเอกชน นักลงทุนและพันธมิตรในระบบนิเวศนวัตกรรม ศูนย์นวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU Innovation Hub) จึงจัด “งาน CU Innovation & IP Expo 2025” นำเสนอผลงานที่ได้รับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาจากคณาจารย์ นักวิจัย นิสิต นวัตกร และผู้ประกอบการภายใต้ระบบนิเวศนวัตกรรมของมหาวิทยาลัย เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ แรงบันดาลใจ และการสร้างเครือข่ายระหว่างมหาวิทยาลัยกับภาคส่วนต่างๆ เมื่อวันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม 2568 ณ พารากอน ฮออล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน


    ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดี จุฬาฯ กล่าวว่านี่ไม่ใช่แค่งานนิทรรศการด้านนวัตกรรม แต่เป็นเวทีสร้าง “Innovation Community” เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศผ่านการนำนวัตกรรมไปใช้จริง นอกจากนี้ยังได้สิทธิพิเศษอื่นๆ เช่น ลดหย่อนภาษีสูงสุด 300% ได้รับยกเว้นภาษีรายได้จากการใช้สิทธิทรัพย์สินทางปัญญา และยังได้ร่วมมือต่อยอดกับทีมวิจัยจุฬาฯ

    “นี่คือบทบาทของมหาวิทยาลัยที่เปลี่ยนไป เราไม่ได้แค่สอนหนังสือ เราไม่ได้ผลิตงานวิจัยเพื่อใช้ในเชิงวิชาการ แต่ผลิตงานวิจัยเพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น”


ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดี จุฬาฯ


    ภายในงานประกอบด้วยกิจกรรมในลักษณะหลากหลาย อาทิ การจัดแสดงผลงานนวัตกรรม การประกวดผลงานทรัพย์สินทางปัญญาที่ได้รับความสนใจมากที่สุด การสัมมนาทางวิชาการในประเด็นทรัพย์สินทางปัญญาและนวัตกรรม และกิจกรรมเจรจาความร่วมมือกับภาคธุรกิจเพื่อการอนุญาตให้ใช้สิทธิ (Licensing) และการร่วมลงทุน (Joint Venture) ซึ่งล้วนเป็นกลไกที่เอื้อต่อการต่อยอดผลงานให้เกิดการใช้ประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างแท้จริง

    ที่เป็นไฮไลต์ของงานคือ "ยาแอนติบอดีแบบใหม่ต่อ PD-1 สำหรับใช้ในการรักษาโรคมะเร็งแบบภูมิคุ้มกันบำบัด" ผลงานวิจัยของ อ.นพ.ไตรรักษ์ พิสิษฐ์กุล นักวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย งานวิจัยในกลุ่ม Deep Tech ที่เป็นงานวิจัยแนวหน้าในระดับโลก ซึ่งจะมีการลงนามถ่ายทอดเทคโนโลยีกับ ดร.แอน มารี คาร์โบเนล CEO บริษัท ออนโค่ซินเนอร์ยี่ ประเทศสหรัฐอเมริกา (OncoSynergy)ภายในงาน CU Innovation & IP Expo 2025

ดร.แอน มารี คาร์โบเนล CEO บริษัท ออนโค่ซินเนอร์ยี่ ประเทศสหรัฐอเมริกา


    “เราไม่ได้ขายโครงการวิจัย แต่เราขายนวัตกรรมนำเงินมาสู่ประเทศ ฉะนั้น การที่มีบริษัทยาจากสหรัฐอเมริกามาขอซื้อนวัตกรรม แสดงให้เห็นถึง 1.คุณภาพในระดับโลก 2.ความเหนือกว่า ‘เราไม่ได้ก้าวทันโลก แต่เราก้าวล้ำโลก’ ขณะเดียวกันก็ต้องเข้าถึงในระดับรากหญ้าด้วย คือช่วยเหลือสังคม ช่วยเหลือประชาชนได้จริง” อธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าว

    รองศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ดร.จิตติมา ลัคนากุล ผู้อำนวยการศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “ยาตัวนี้ไม่ใช่เอาไปฉีดให้คนไข้ได้เลย แต่ OncoSynergy เห็นว่าผลการวิจัยของยาเราในระดับห้องปฏิบัติการมีศักยภาพสูงมาก เพราะเมื่อทำข้อตกลงกันแล้วยังต้องลงทุนทำวิจัยต่อเพื่อเข้าสู่การทดลองในระดับคลินิก คือนำองค์ความรู้ของเขามาทำวิจัยร่วมกับเราด้วย เราได้ทั้งเม็ดเงินจากการทำข้อตกลงเพื่อนำไปต่อยอดงานวิจัย ได้ทั้งโนว์ฮาวจากเขาซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการขึ้นทะเบียนยาใหม่ ฉะนั้น มันคือการเกิด Real Assets Collaborative Project หรือสินทรัพย์จริงอันเกิดจากการทำโครงการร่วมกัน ที่อุตสาหกรรมยาบ้านเราไม่เคยมีมาก่อน”

    “นี่เป็นครั้งแรกที่บริษัทต่างชาติลงนามถ่ายทอดเทคโนโลยียาชีววัตถุในไทย สะท้อนความเชื่อมั่นในศักยภาพนักวิจัยไทยและระบบนิเวศนวัตกรรมของมหาวิทยาลัย” รองศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ดร.จิตติมา กล่าว

    ด้าน อ.ดร.นพ.ไตรรักษ์ พิสิษฐ์กุล หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาเชิงระบบ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า ปัจจุบันการรักษามะเร็งนอกจากการผ่าตัด ฉายแสง ให้ยาเคมีแล้ว มีการรักษารูปแบบใหม่คือ การใช้ “ภูมิคุ้มกันบำบัด” เพื่อช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายผู้ป่วยทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถทำลายเซลล์มะเร็งที่หลบหลีกภูมิคุ้มกันได้อย่างตรงเป้า ซึ่งเป็นการรักษาที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกอยู่แล้ว แต่คนไทยยังเข้าไม่ถึง ทำให้เสียโอกาส จุฬาฯ จึงทำวิจัยและพัฒนายาเพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาได้ ขณะเดียวกันก็ทำนวัตกรรมควบคู่กันไป

    หลักการการทำงานของ “ยาแอนติบอดี” ต้านมะเร็งเป็นกลไกสำคัญ เนื่องจากเซลล์มะเร็งจะมีการสร้างโปรตีนที่ชื่อว่า PD-L1 ซึ่งมีความสามารถในการจับกับโปรตีน PD-1 ที่อยู่บนเม็ดเลือดขาว และเมื่อโปรตีนทั้ง 2 ตัวนี้มาจับคู่กันเมื่อใดจะมีผลให้เม็ดเลือดขาวซึ่งมีหน้าที่ในการฆ่าทำลายสิ่งแปลกปลอมหยุดการทำงาน ทำให้ไม่สามารถกำจัดเซลล์มะเร็งได้ ฉะนั้น ยากลุ่ม “แอนติบอดี” จะเข้าไปขัดขวางการจับกันระหว่างโปรตีน PD-L1 บนเซลล์มะเร็ง กับโปรตีน PD-1 บนเม็ดเลือดขาว ทำให้เม็ดเลือดขาวกลับมาจัดการกับเซลล์มะเร็งได้ตามปกติ

    “ยาแอนติบอดีแบบใหม่ต่อ PD-1 สำหรับใช้ในการรักษาโรคมะเร็งแบบภูมิคุ้มกันบำบัด เป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและภาครัฐ ปัจจุบันผ่านการทดลองในหนูแล้วปรากฏผลเป็นที่น่าพอใจ ทำให้ก้อนมะเร็งยุบตัวได้ดีมาก OncoSynergy บริษัทเอกชนที่พัฒนาภูมิคุ้มกันบำบัดสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งจากประเทศสหรัฐอเมริกาเห็นถึงศักยภาพนี้ จึงติดต่อขอลงนามเซ็นสัญญาการถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อนำไปพัฒนาต่อยอดร่วมกับยาแอนติบอดีตัวใหม่อีกตัวของเขาให้เกิดเป็นสูตรยาใหม่ในรูปแบบการบำบัดแบบผสมผสาน (combination therapy) คาดว่าจะให้ประสิทธิภาพในการรักษามะเร็งสูงขึ้นมากกว่ายาเดี่ยว ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนอีกมาก โดยเราให้การสนับสนุนทางวิชาการ ภายใต้เงื่อนไขว่าเมื่อสำเร็จจนจดทะเบียนเป็นยาตัวใหม่แล้วจะต้องให้ไทยเข้าถึงยาได้ในราคาที่สมเหตุสมผล”

    ภายในงานยังมีการจัดแสดงผลงานกว่า 50 ชิ้น จาก 5 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย การสัมมนา การประกวดผลงานทรัพย์สินทางปัญญา และกิจกรรมเจรจาทางธุรกิจ ซึ่งมีนักลงทุนและผู้ประกอบการลงทะเบียนเข้าร่วมงานแล้วกว่า 200 ราย





เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : อายุน้อยจะเป็นอะไรก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่โรคมะเร็ง! ผลวิจัยชี้ผู้ป่วยมะเร็งอายุต่ำกว่า 50 ปี จะเพิ่มขึ้นถึง 31% ภายในปี 2030

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine