โอสถสภา เผยกลยุทธ์ปี 64 ปรับ เปลี่ยน พร้อมรักษาสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง - Forbes Thailand

โอสถสภา เผยกลยุทธ์ปี 64 ปรับ เปลี่ยน พร้อมรักษาสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง

FORBES THAILAND / ADMIN
12 Nov 2020 | 05:00 PM
READ 2551

โอสถสภา เผยกลยุทธ์ปรับ เปลี่ยน พร้อมรักษาสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง ฝ่าสถานการณ์โควิด-19 วรรณิภา ภักดีบุตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) เผยแนวทางการบริหารงานด้วยหลัก Agility ทำให้โอสถสภา สร้างกำไรสุทธิ 923 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.2% ในไตรมาส 3 ปี 2563 พร้อมเผยกลยุทธ์ปี 64

วรรณิภา ภักดีบุตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) เผยถึงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงและส่งผลกระทบอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจของทุกภาคธุรกิจ อุปสรรคสำคัญในการดำเนินธุรกิจคือความไม่แน่นอน และผลกระทบที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ อย่างไรก็ตาม ด้วยประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจมากว่า 129 ปี และแนวทางการบริหารงานด้วยหลัก Agility ทำให้โอสถสภาสามารถรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถฝ่าวิกฤตดังกล่าว พร้อมผลประกอบการที่เป็นไปตามแผน ด้วยกำไรสุทธิ 923 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.2 ในไตรมาส 3 ปี 2563 ที่ผ่านมา จุดแข็งในการดำเนินธุรกิจของโอสถสภา ได้แก่ Agility หรือความสามารถในการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของภาวะตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ได้อย่างรวดเร็วทันท่วงที การคาดการณ์สถานการณ์และเตรียมการรับมือไว้ล่วงหน้าอย่างรอบคอบ รอบด้าน ซึ่งส่งผลให้เกิดรูปแบบการทำงานแบบใหม่ที่มีความยืดหยุ่น พร้อมปรับตามสถานการณ์ต่างๆ และมีความแข็งแกร่งมากขึ้น
วรรณิภา ภักดีบุตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โอสถสภา จากัด (มหาชน)
นอกจากนี้ ยังได้มุ่งเน้น 3 กลยุทธ์หลักในการดำเนินธุรกิจท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ประกอบด้วย
  1. เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนโดยรวมผ่านโครงการ Fit Fast Firm
  2. สร้างการเติบโตโดยเจาะกลุ่มสินค้าและผู้บริโภค ชูแบรนด์หลัก (Power Brand) อาทิ เอ็ม-150 และ ซีวิท พัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ทันต่อเหตุการณ์ เน้นการบริโภคในครัวเรือนและช่องทางจัดจำหน่าย E-Commerce
  1. รักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและรักษากระแสเงินสด
สำหรับในปี 2564 นั้น โอสถสภาจะใช้กลยุทธ์ที่เน้นใน 5 ด้าน ได้แก่
  1. เพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของโครงการ Fit Fast Firm
  2. สร้างการเติบโตในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลัง
  3. ขยายตลาดเครื่องดื่มซีวิท
  4. ขยายธุรกิจในประเทศเมียนมาร์
  5. ขับเคลื่อนด้านความยั่งยืน (Sustainability)
นอกเหนือจากนั้น บริษัทมีนโยบายในการจ่ายปันผลที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 60 ของกำไรสุทธิจากการดำเนินงานตามงบการเงินรวมของบริษัท หลังหักทุนสำรองตามกฎหมายที่ผ่านมาได้จ่ายเงินปันผลในอัตราสูงกว่านโยบายมาตลอด และยังคงมุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง ด้าน ธนา ไชยประสิทธิ์ รักษาการ CEO บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP กล่าวเสริมด้วยว่า บริษัทฯ ยังคงครองความเป็นผู้นำในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลัง ด้วยส่วนแบ่งร้อยละ 54.4 โดย "เอ็ม-150" ยังคงเป็นผู้นำตลาด ในขณะที่แบรนด์ "ซีวิท" ยังคงเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มวิตามินซีที่ผู้บริโภคชื่นชอบในรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และมั่นใจในด้านคุณภาพ เพราะเป็นเครื่องดื่มวิตามินซีสูงรายแรก ที่พัฒนามาจากแบรนด์ของประเทศญี่ปุ่นในประเทศไทย ประกอบกับการเพิ่มไลน์การผลิตเครื่องดื่มวิตามิน ‘ซีวิท’ ได้เร็วกว่าแผนงาน ทำให้สามารถรองรับการขยายตัวต่อเนื่องของตลาดฟังก์ชันนอลดริงก์และตอบสนองความต้องการของตลาดได้มากขึ้น ส่งผลให้ปัจจุบัน ‘ซีวิท’ มีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 32.0 และช่วยผลักดันการเติบโตของตลาดฟังก์ชันนอลดริงก์ในประเทศไทยอีกด้วย สำหรับผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลนั้น ในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ‘เบบี้มายด์’ ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์หลักของโอสถสภาที่ผู้บริโภคเลือกใช้ ประกอบกับการออกผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยใหม่ๆ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในขณะนี้ อ่านเพิ่มเติม: “ฟู้ดแพนด้า” ประกาศความพร้อมส่งอาหารทั่วประเทศ

ไม่พลาดบทความด้านกลยุทธ์องค์กรและธุรกิจ ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine และ ทวิตเตอร์ Forbes Thailand