‘เมโกะ คลินิก’ รีแบรนดิ้ง ควบรวม ‘โซ เมโกะ คลินิก’ เปิดโรงพยาบาลศัลยกรรมความงามครบวงจร มูลค่า 1.2 พันล้าน ทำเลบนถนนวิภาวดีเยื้องการบินไทย ทำตั้งแต่เสริมจมูก ตา หน้าอก จ่อขยายปลูกผม เวลเนสและแปลงเพศ ตั้งเป้ารั้ง Top 5 ศัลยกรรมความงามเอเชียภายใน 5 ปี
“โรงพยาบาลเมโกะ อินเตอร์เนชั่นแนล” เปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 ต.ค. 2568 เป็นอาคาร 8 ชั้น อยู่บนพื้นที่กว่า 1 ไร่บนถนนวิภาวดีรังสิตซอย 5 เยื้องการบินไทย อยู่ภายใต้การบริหารงานของ พญ.วรารัตน์ สิริกุตตา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลเมโกะ อินเตอร์เนชั่นแนล และ ผศ.พญ.แพรมาลา ลูกสะใภ้และลูกสาวคนโต (ตามลำดับ) ของนายแพทย์มนัส ฉายาวิจิตรศิลป์ ผู้ก่อตั้ง “เมโกะ คลินิก” เมื่อปี 1982 และเริ่มค่อยๆ วางมือจาก day to day operation ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา

แพทย์หญิง วรารัตน์ สิริกุตตา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลเมโกะ อินเตอร์เนชั่นแนล บอกถึงสาเหตุที่“เมโกะ คลินิก” ควบรวมกับ “โซ เมโกะ คลินิก” และเปิด “โรงพยาบาลเมโกะ อินเตอร์เนชั่นแนล” ว่า ต้องการนำจุดแข็งและประสบการณ์กว่า 43 ปีด้านการดูแลผิวพรรณและศัลยกรรมตกแต่งจาก “เมโกะ คลินิก” รวมกับจุดแข็งเรื่องความเชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมจมูกเสริมหน้าอกและดึงหน้าของ “โซ เมโกะ” ไว้ในที่เดียวกัน เพื่อเป็นศูนย์กลางการดูแลความงามครบวงจร
นอกจากนี้ยังรองรับเทรนด์ตลาดที่กลุ่ม Gen Z และ LGBTQIA+ ให้ความสนใจทำศัลยกรรมเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ยอดการใช้บริการด้านการดูแลผิวพรรณยังขยายตัวต่อเนื่อง แม้ภาพรวมกำลังซื้อจะไม่สดใสเหมือนในอดีต แต่เมโกะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะลูกค้าเป้าหมายไม่ได้เป็นกลุ่ม middle income และ price sensitive แต่เป็นกลุ่ม upper to high ที่ใช้เงินเฉลี่ยในการเข้ามาใช้บริการต่อครั้งอยู่ที่ 100,000 บาท นอกจากนี้ การควบรวม 2 คลินิกเข้าด้วยกันยังสอดรับกับการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยของไทย
แพทย์หญิง วรารัตน์ กล่าวต่ออีกว่า ธุรกิจศัลยกรรมและความงามของไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากจำนวนผู้เข้ารับบริการด้านหัตถการและศัลยกรรมความงามที่เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับรายงานจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่ระบุว่า มูลค่าตลาดศัลยกรรมและเสริมความงามไทยในปี 2568 อยู่ที่ราว 7 หมื่นล้านบาท มีผู้ประกอบการโรงพยาบาลศัลยกรรมความงามหลักๆ อยู่ 7 ราย และมีแนวโน้มขยายตัวก้าวกระโดดสู่ระดับ 5.2 แสนล้านบาทภายในปี 2573 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย 47-48% ต่อปี
โดยได้รับแรงหนุนจากกระแส Medical Tourism โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Y ผู้หญิง และ LGBTQIA+ ที่มีแนวโน้มสนใจทำศัลยกรรมเพิ่มมากขึ้น ส่วนกลุ่มผู้ชายจะกลายเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง เนื่องจากต้องการดูแลตัวเองและภาพลักษณ์ ขณะเดียวกัน การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์กระแสยังคงไปได้ดี โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศ CLMV อินโดนีเซีย สิงคโปร์ กลุ่มตะวันออกและจีน ซึ่งถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่จะมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย

แพทย์หญิงวรารัตน์ กล่าวว่า นอกจากโรงพยาบาลเมโกะ อินเตอร์เนชั่นแนล บนถนนวิภาวดีรังสิตแล้ว เมโกะ คลินิกยังเปิดให้บริการอยู่อีก 2 แห่ง ที่ถนนพระราม 2 และศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ รายได้รวมของเมโกะคลินิกและโซ เมโกะคลินิกในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 400 ล้านบาท
ภายใน 3 ปีจากนี้ บริษัทจะสร้าง foundation ของบริษัทให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เจาะตลาดลูกค้าต่างชาติมากขึ้น โดยจะทำตลาดเชิงรุกมากขึ้นในอินโดนีเซีย จากที่เน้นเฉพาะโซเชียลมีเดีย จะหาพาร์ทเนอร์ในอินโดนีเซียเพื่อให้บริการติดตามลูกค้าที่เข้ามาทำศัลยกรรมอย่างต่อเนื่อง และขยายศัลยกรรมการปลูกผมด้วย คาดว่ารายได้จะเพิ่มเป็น 600 ล้านบาทในอีก 3 ปีข้างหน้า และตั้งเป้าว่าจะเพิ่มเป็น 1,000 ล้านในอีก 5 ปีข้างหน้าเมื่อให้บริการครบวงจร
“ด้วยแผนการทั้งหมด เราตั้งเป้าว่าจะเป็น Top 5 โรงพยาบาลศัลยกรรมความงามชั้นนำในเอเชียภายใน 5 ปี ตอนนี้ฝีมือและการดูแลไทยอยู่อันดับต้นๆ แต่กระแส K-Pop ทำให้คนไทยแห่ไปทำศัลยกรรมที่เกาหลีกันมาก และการไม่มีข้อจำกัดในการโฆษณาทำให้ศัลยกรรมความงามของเกาหลีเติบโตมาก” แพทย์หญิงวรารัตน์กล่าว

ปัจจุบันโรงพยาบาลเมโกะ อินเตอร์เนชั่นแนล มีฐานลูกค้าราวหนึ่งแสนคน แบ่งเป็น ลูกค้าคนไทย 80% ต่างชาติ 20% อาทิ อินโดนีเซีย จีน มาเลเซีย สิงคโปร์ เป็นต้น ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยทำงาน Gen Y จนถึงช่วงอายุประมาณ 65 ปี สัดส่วนการใช้บริการด้านการดูแลผิวพรรณ 35% และบริการด้านศัลยกรรม 65%
บริการและหัตถการที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่ ศัลยกรรมจมูก 40% ศัลยกรรมหน้าอก 20% ศัลยกรรมดูดไขมันและตัดหนังหน้าท้อง 20% ศัลยกรรมดึงหน้า 10% และศัลยกรรมอื่นๆ อีก 10% ตามลำดับ และภายใน 5 ปี โรงพยาบาลจะขยายบริการใหม่ๆ ให้ครบวงจรมากขึ้น อาทิ ปลูกผม และจะมีการปรับปรุงเมโกะ คลินิก ที่บริเวณจตุจักรซึ่งปิดบริการชั่วคราวในขณะนี้ เพื่อทำเป็นศูนย์ wellness ครบวงจร

สำหรับ เมโกะ คลินิก ก่อตั้งขึ้นในพื้นที่ 1 คูหา บริเวณย่านสะพานควาย โดยนายแพทย์มนัส ฉายาวิจิตรศิลป์ เมื่อปี 1982 ด้วยทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ภายหลังจากที่ได้มีโอกาสไปเรียนรู้เทคโนโลยีการผ่าตัดจากโรงพยาบาลในโอซากา ประเทศญี่ปุ่น
“เมื่อก่อนสังคมไทยไม่เปิดรับเรื่องการทำศัลยกรรมความงาม เพราะไม่ใช่เรื่องจำเป็น และคนทำศัลยกรรมมีภาพจำติดลบ แต่ด้วยความชอบศิลปะ วาดรูปถ่ายรูป และการมีโอกาสได้ทำศัลยกรรมเปลี่ยนชีวิตให้ผู้หญิงคนหนึ่ง ทำให้ตัดสินใจเข้าสู่วงการนี้ ที่ผ่านมาเมโกะไม่ได้ทำตลาดแต่เติบโตได้เพราะ word of mouth เราขายคุณภาพ ไม่แข่งราคา ผมสอนลูกว่า ทำธุรกิจอย่าโลภ อย่าตะกละ แล้วทุกอย่างจะมาเองเมื่อถึงเวลา ผมอยากทำให้มาตรฐานของธุรกิจศัลยกรรมความงามเมืองไทยสูงขึ้น และยอมรับว่าเมืองหลวงของศัลยกรรมต้องประเทศไทย” นายแพทย์มนัสกล่าวทิ้งท้าย
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : กระแส ‘เลี้ยงสัตว์แทนลูก’ หนุนอุตฯ สัตว์เลี้ยงโตปีละ 4-5% แบรนด์อาหารสัตว์พุ่งสู่กว่า 400 แบรนด์
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine