<h2>โรงพยาบาลยันฮี เปิดแผนขยายฐานลูกค้าต่างชาติ หวังเพิ่มสัดส่วนจากปัจจุบันที่อยู่ราว 30% ของรายได้ทั้งหมด ขึ้นสู่ 40-50% ในอนาคต เดินหน้า Roadshow ชูบริการศัลยกรรมแปลงเพศ เจาะลูกค้าจากจีน UAE เกาหลี ญี่ปุ่น คาดรายได้ปี 2567 แตะ 2,000 ล้านบาท ทรงตัวจากปีก่อนเพราะเศรษฐกิจยังไม่ดีนัก ส่วนอีก 5 ปีวางแผนเปิดศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบโครงการ</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทพญ.สุชาวดี สัมฤทธิวณิชชา กรรมการบริษัท โรงพยาบาลยันฮี เปิดเผยว่า ปี 2567 นี้ครบรอบ 40 ปี ของยันฮี โดยรพ. ยังมีกลยุทธ์หลักในการขยายบริการเฉพาะทางที่มีความต้องการสูง โดยเฉพาะด้านศัลยกรรมความงามและการฟื้นฟูสุขภาพ รวมถึงเพิ่มบริการตรวจสุขภาพเชิงรุก นอกจากนี้จะมุ่งขยายฐานลูกค้าต่างชาติให้มากขึ้น จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนราว 30% ของรายได้ทั้งหมด คาดว่าในอนาคตจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 40-50%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ช่วงที่ผ่านมาหลังเกิดการระบาดของ COVID-19 ทำให้สัดส่วนลูกค้าต่างชาติปรับตัวลดลงบางส่วน แต่หลังจากนี้จะหันมาขยายฐานลูกค้ากลุ่มนี้ให้มากขึ้น โดยเฉพาะบริการที่ตอบโจทย์กลุ่มคนข้ามเพศ เช่น การศัลยกรรมแปลงเพศ ซึ่งที่ผ่านมามีชาวต่างชาติทั้งจาก จีน เกาหลี และญี่ปุ่นจำนวนมากที่เข้ารับบริการนี้ ทำให้มีข้อมูลลูกค้าที่การเข้ารับบริการแปลงเพศ ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- กรณีแปลงเพศจากหญิงเป็นชาย อยู่ที่ปีละ 400 ราย (เกินกว่าครึ่งหนึ่งเป็น Step 1 ที่รับการผ่าตัดหน้าอก) เฉลี่ยแล้วอาจมีค่าใช้จ่ายราว 200,000 - 300,000 บาท/ราย ขึ้นอยู่กับบริการในแต่ละเคส&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- กรณีแปลงเพศจากชายเป็นหญิง อยู่ที่ปีละ 80 ราย เฉลี่ยค่าใช้จ่ายอยู่ที่ราว 200,000 บาท/ราย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ทางยันฮี ยังได้ Roadshow ในต่างประเทศเพื่อดึงดูดลูกค้าต่างชาติ ล่าสุดได้เดินทางไปที่กัมพูชา หลังจากนี้จะขยายไป CLMV อย่างต่อเนื่อง รวมถึงความร่วมมือกับเอเจนซี่ในต่างประเทศเพื่อประสานงานให้ลูกค้าต่างชาติสามารถเข้ารับการรักษาได้สะดวกยิ่งขึ้น 	ในส่วนของเป้าหมายการดำเนินงานปี 2567 นี้ ยังคาดว่าจะมีรายได้ราว 2,000 ล้านบาท คาดว่าจะเติบโตราว 4-5% สูงกว่าตลาดศัลยกรรมของไทยที่เติบโตราว 2-3% (มูลค่าตลาด 70,000 ล้านบาท) แต่มองว่าเป็นการเติบโตที่ไม่มากนัก เพราะการแข่งขันในตลาดการศัลยกรรมที่ค่อนข้างสูง และบางส่วนอาจกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม รายได้ของยันฮี ยังคงมีสัดส่วนจากลูกค้าชาวไทยในสัดส่วน 70% และเป็นกลุ่มลูกค้า Upper-Middle ซึ่งแม้เศรษฐกิจจะไม่ดี และคนยังให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์จึงเข้ารับบริการเพื่อดูแลตนเอง เฉลี่ยแต่ละวันมีผู้เข้ารับบริการ 1,000 ราย อีกทั้งปัจจุบันยันฮีมีรายได้ 60% มาจากส่วนงานศัลยกรรม และอีก 40% มาจากการรักษาโรคทั่วไป&nbsp; &nbsp; ทั้งนี้ เพื่อขยายฐานรายได้ใหม่ๆ จึงมีการขยายส่วน Non-Hospital ผ่านบริษัทในเครือ เช่น บริษัท&nbsp;ยาอินไทย จำกัด ที่ทำยา อาหาร อาหารเสริม เครื่องสำอาง และ&nbsp;บริษัท ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ จำกัด ซึ่งตลาดรวมเครื่องดื่มวิตามิน ยังมีมูลค่าถึง 5,500 ล้านบาท ถือเป็นโอกาสในการเพิ่มรายได้ โดยสัดส่วนรายได้ธุรกิจโรงพยาบาล และในเครือ แบ่งเป็น โรงพยาบาล 65% ยาอินไทย 20% และ ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ อีก 15% &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่แผนงานในอนาคต ในส่วนปี 2568 นี้จะเดินหน้าพัฒนาบริการศัลยกรรมแปลงเพศ และศัลกรรมขากรรไกรซึ่งทำร่วมกับการจัดฟัน ส่วนในอีก 5 ปี เตรียมศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ เพื่อตอบโจทย์สังคมสูงวัย โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องการฟื้นฟูกล้ามเนื้อ การบำบัดต่างๆ รวมถึงการดูแลผู้ป่วยติดเตียง เบื้องต้นคาดว่าจะมีจำนวน 400 เตียง ​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/america/arnold-schwarzenegger-the-billionaire" alt="Arnold Schwarzenegger คนเหล็กพันล้าน"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/hr/brighton-college-international-school-bangkok-to-open-new-campus" alt="‘ไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ’ เตรียมเปิดโรงเรียนแห่งที่สอง แคมปัสใหม่ย่านวิภาวดี">‘ไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ’ เตรียมเปิดโรงเรียนแห่งที่สอง แคมปัสใหม่ย่านวิภาวดี</a>​ <a href="https://www.ookbee.com/shop/magazine/FORBES/aacc4ad9-cf41-40ba-9525-a190c83c31c1/september-2024" alt="คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกันยายน 2567 ในรูปแบบ e-magazine">คลิกอ่านเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกันยายน 2567 ในรูปแบบ e-magazine</a>

รพ.ยันฮี ลุยขยายลูกค้าต่างชาติ หวังรายได้ปี 67 แตะ 2,000 ล้านบาท เตรียมเปิดศูนย์ดูแลผู้สูงอายุใน 5 ปี

<h2>โรงพยาบาลวิมุต เปิดศูนย์ศัลยกรรมปรับโครงหน้า รับเทรนด์คนรุ่นใหม่ทุก Gen ทุกเพศนิยมศัลยกรรมมากขึ้น เผยตลาดศัลยกรรม-ความงามเมืองไทยปี 67 มูลค่าแตะ 70,000 ล้านบาท พร้อมขยายฐานลูกค้าต่างชาติ ในอนาคตคาดสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 35-40% จากปัจจุบันที่อยู่ราว 20% ตั้งเป้า Medical Hub ของเอเชีย </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นพ. สุวาณิช เตรียมชาญชูชัย รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาล วิมุต โฮลดิ้ง จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันคนรุ่นใหม่ต่างให้ความสำคัญกับการลงทุนเพื่อความงามมากขึ้น โดยอายุเฉลี่ยของผู้ทำศัลยกรรมในไทยยังน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด มาสู่กลุ่มอายุ 20 ปีต้นๆ (เช่น กลุ่มวัยมหาวิทยาลัย) จากเดิมที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยทำงาน ปัจจุบันฐานลูกค้าส่วนใหญ่จะอายุ 20-45 ปี นอกจากนี้ยังมีกลุ่ม Gen Z และผู้ชายให้ความสนใจการทำศัลยกรรมเพื่อกำหนดรูปลักษณ์ของตนเองมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันฐานลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นเพศหญิง 70% เพศชายราว 20% และ LGBTQ+ ราว 10% ตามสัดส่วนของประชากรไทย ซึ่งการตัดสินใจที่จะเข้ารับการศัลยกรรมเกิดได้ทั้งจากความผิดปกติที่ทำให้ใช้ชีวิตประจำวันได้ยาก เช่น ปากแหว่ง อุบัติเหตุ ฯลฯ รวมถึงเพื่อความสวยงามและสร้างความมั่นใจ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ธุรกิจศัลยกรรมและความงามจึงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าปี 2566 ที่ผ่านมาธุรกิจนี้ในไทยมีมูลค่าถึง 70,000 ล้านบาท เติบโตราว 2.3 - 3.6% ดังนั้นเพื่อตอบสนอง Demand ที่เพิ่มขึ้นทางโรงพยาบาลฯ เปิดตัวศูนย์ศัลยกรรมปรับโครงหน้า (Maxillofacial Contouring Center) โดยตั้งเป้าปีนี้จะมีรายได้จากศูนย์ดังกล่าวราว 20 ล้านบาท และอีก 2-3 ปีคาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาที่ 30 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมรายได้ของโรงพยาบาลปี 2567 คาดว่าจะอยู่ที่ 1,300 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายการเป็น Medical Hub ของเอเชีย<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/EPghxvPVgczvGsnQ2Qrg.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="EPghxvPVgczvGsnQ2Qrg.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม การเปิดศูนย์ศัลยกรรมเฉพาะทางยังตอบโจทย์เป้าหมายการขยายฐานลูกค้าเพื่อเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ด้านความงามของเอเชีย ปัจจุบันมีฐานลูกค้าคนไทยเราจะ 70-80% และกลุ่มต่างชาติราว 20% ซึ่งมีทั้งลูกค้ากลุ่มบนจาก CLMV และประเทศอื่นๆ คาดว่าใน 2 ปีข้างหน้าจะมีสัดส่วนกลุ่มลูกค้าต่างชาติเพิ่มขึ้นมาสู่ระดับ 35-40%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“จุดแข็งของศัลยกรรมในเมืองไทยคือ ค่าบริการที่เข้าถึงได้ง่ายเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ แต่ได้รับบริการที่มีคุณภาพสูงตามมาตรฐานโลก ซึ่งไทยยังเป็น 1 ใน 5 ของประเทศที่มีการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์มากที่สุดในโลกปี 2562 เราจึงเตรียมขยายไปฐานลูกค้าต่างประเทศมากขึ้น เพื่อดึงมารักษาในไทย โดยมีความร่วมมือกับภาครัฐ ช่องทางเอเจนซี่ และเข้าร่วมงาน Fair ในต่างประเทศอยู่เสมอ” นพ. สุวาณิช กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่ต้องยอมรับว่าปี 2567 นี้ การเติบโตของกลุ่มลูกค้าต่างชาติถือว่าช้าลง ส่วนหนึ่งอาจเพราะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง อีกทั้งกลุ่มลูกค้าจากตะวันออกกลางยังข้อจำกัดเพิ่มขึ้น เช่น เดิมสามารถเบิกจ่ายค่ารักษาจากภาครัฐของได้ซึ่งปัจจุบันไม่สามารถทำได้แล้ว เป็นต้น<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/D5GkLx14uZ7F288bQ1RJ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="D5GkLx14uZ7F288bQ1RJ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="1"><figcaption><div>​ผศ.ดร.นพ.ทพ.ชาญชาย วงศ์ชื่นสุนทร ศัลยแพทย์ฯ&nbsp;​ศูนย์ศัลยกรรมปรับโครงหน้า รพ. วิมุต​</div></figcaption></figure></div>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผศ.ดร.นพ.ทพ.ชาญชาย วงศ์ชื่นสุนทร ศัลยแพทย์ช่องปากและแม็กซิลโลเฟเชียล ศัลยแพทย์ผู้ชำนาญการด้านการผ่าตัดโครงหน้าและขากรรไกร ศูนย์ศัลยกรรมปรับโครงหน้า รพ. วิมุต กล่าวว่า “ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การศัลยกรรมปรับโครงหน้าได้รับความนิยมมากขึ้น โดยฝั่งเอเชียจะนิยมศัลยกรรมโครงหน้าเพื่อความอ่อนกว่าวัย หน้าเรียว ขณะที่ยุโรปจะนิยมโครงหน้าอีกแบบ”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ศูนย์ศัลยกรรมปรับโครงหน้า ที่มีแพทย์ผู้ชำนาญการทั้งการผ่าตัดโครงหน้าและขากรรไกร รวมถึงด้านศัลยศาสตร์ช่องปากและแม็กซิลโลเฟเชียล ปัจจุบันในไทยยังมีผู้เล่นในด้านนี้ไม่ถึง 10 แห่ง อาจเพราะการศัลยกรรมปรับโครงหน้าถือเป็นการผ่าตัดที่ต้องมีแพทย์หลายด้านร่วมให้ความเห็นและดูแลอย่างใกล้ชิด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในแต่ละเดือนจะมีผู้สนใจเข้ามาตรวจหลักร้อยคน แต่จะสามารถผ่าตัดปรับโครงหน้าได้ราว 20-30 รายต่อหมอ 1 ท่าน เพราะการศัลยกรรมปรับโครงหน้าเป็นงานที่ซับซ้อน การผ่าตัดใช้ระยะเวลา มีการวางยาสลบ ฯลฯ (อาจใช้บุคลากร 5-6 ท่านต่อการผ่าตัด) แพทย์จึงรับเคสได้จำกัดเพื่อให้โฟกัสการผ่าตัดได้อย่างเต็มที่ ในแต่ละเดือนจึงต้องมีการแบ่งเคสยาก-ง่ายและจำกัดจำนวนไว้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้านค่าใช้จ่ายการศัลยกรรมปรับโครงหน้าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 80,000 - 90,000 บาท ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนหัตถการและขึ้นอยู่กับแต่ละเคส ซึ่งจะต่างจากการศัลยกรรมอื่นที่การผ่าตัดจะเล็กกว่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ การศัลยกรรมปรับโครงหน้าที่ได้รับความนิยมได้แก่ โหนกแก้ม รองลงมาคือ กราม ขากรรไกร รวมถึงคาง ขณะที่ภาพรวมความนิยมของการศัลยกรรมในไทย 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) จมูก 2) ตา 3) หน้าอก 4) การฉีด/เสริมต่างๆ 5) ปรับโครงหน้า เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/csr-sustainability/starbucks-thailand-3-rd-community-store-in-mae-rim" alt="‘สตาร์บัคส์’ เปิด Community Store แห่งที่ 3 ณ เดอะ กาดฝรั่ง แม่ริม ซื้อเครื่องดื่มทุกแก้วได้บริจาค 10 บาท"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/skilllane-ipo-sep-2024" alt="SkillLane ยื่นไฟลิ่ง ก.ล.ต. เตรียมขาย IPO 15 ล้านหุ้น ‘ระดมทุนปั้น AI-ขยายธุรกิจ’">SkillLane ยื่นไฟลิ่ง ก.ล.ต. เตรียมขาย IPO 15 ล้านหุ้น ‘ระดมทุนปั้น AI-ขยายธุรกิจ’</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

รพ. วิมุตเปิด 'ศูนย์ศัลยกรรมปรับโครงหน้า' เจาะฐานคนรุ่นใหม่ หวังเพิ่มสัดส่วนกลุ่มต่างชาติ 35-40% 

<h2>ศูนย์ศัลยกรรมตกแต่ง KPS โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ เซ็นลงนาม MOU ร่วมกับ KCCS สมาคมแพทย์ศัลยกรรมความงามเกาหลี ตั้งเป้ารายได้ปี 67 โต 200 ล้าน เล็งเปิดศูนย์เพิ่มอีก 5 แห่ง ภายในปี 68 </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ศ.ดร.นพ. เฉลิม หาญพาณิชย์ ประธานกรรมการบริหารกลุ่มโรงพยาบาลเกษมราษฎร์และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH&nbsp;เปิดเผยว่า ศูนย์ผิวพรรณและศัลยกรรมตกแต่ง Kasemrad Plastic Surgery หรือ KPS ได้เซ็นลงนามความร่วมมือกับสมาคมแพทย์ศัลยกรรมความงามเกาหลี Korean College of Cosmetic Surgery &amp; Medicine หรือ KCCS ในการผนึกความแข็งแกร่งระหว่างสององค์กรชั้นนำ เพื่อพัฒนาและผลักดันให้&nbsp;KPS เป็นศูนย์กลางการศัลยกรรมตกแต่งและเสริมความงามที่มีชื่อเสียงระดับโลกได้สำเร็จสอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐที่วางไว้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ปัจจุบันตลาดธุรกิจด้านศัลยกรรมตกแต่งความงามเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก เห็นได้จากมูลค่าตลาดของปี 2566 ที่มีอยู่ราว 7 หมื่นล้านบาท ซึ่งในปีนี้คาดว่าธุรกิจดังกล่าวจะโตเพิ่มจากปีก่อน 2-3% จากการที่เทรนด์ผู้บริโภคหันมาใส่ใจเรื่องของความงามมากขึ้น ซึ่งการทำ Anti-Aging อาจจะเห็นผลช้ากว่าการทำศัลยกรรมที่สามารถสร้างผลลัพธ์ได้ตรงกับความต้องการผู้บริโภคได้เลย อีกทั้งตัวเลขของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่นิยมมาไทยในรูปแบบ Medical Tourism ก็เติบโตในระดับ 6-8% ถือเป็น 1 ใน 10 ของอุตสาหกรรม New S-Curve ที่จะช่วยสร้างเม็ดเงินให้เศรษฐกิจไทยได้อย่างมหาศาลและก้าวไปสู่ในระดับ Global ได้ทั่วโลก” ศ.ดร.นพ. เฉลิม กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นพ.สุเมธ บุญญเจตน์พงษ์ ประธานกรรมการบริหาร&nbsp;ศูนย์ผิวพรรณและศัลยกรรมตกแต่ง&nbsp;KPS Kasemrad Plastic Surgery&nbsp;เผยว่า การร่วมมือกับ KCCS ในครั้งนี้ จะช่วยยกระดับศักยภาพแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของ KPS ให้ทัดเทียมกับมาตรฐานระดับโลก ส่วนผู้เข้ารับบริการจะได้รับการรักษาที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน ปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นที่น่าพึงพอใจ รวมถึงการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์โดยมีการฝึกอบรมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของ KCCS เพื่อพัฒนาเทคนิคการผ่าตัดที่ทันสมัย&nbsp;และยังมีการวิจัยพัฒนาวิธีการรักษารูปแบบใหม่ๆ เพื่อให้ผู้เข้ารับบริการได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยยิ่งขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน ดร. คัง คยอง-จิน&nbsp;ผู้ก่อตั้ง และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สมาคมแพทย์ศัลยกรรมความงามเกาหลี Korean College of Cosmetic Surgery &amp; Medicine หรือ KCCS กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดศัลยกรรมความงามในเกาหลีใต้ มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีลูกค้าหลักอันดับ 1 คือ จีน อันดับ 2 รองมาคือ ไทย ถัดมาคือ อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ไต้หวัน, ฮ่องกง และญี่ปุ่น ตามลำดับ ซึ่งทางสมาคมฯ เห็นว่าไทยเป็นลูกค้าอยู่ในอันดับต้นๆ จึงเล็งเห็นโอกาสและศักยภาพที่มีของการร่วมมือกับพันธมิตรอย่าง KPS ในประเทศไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กันตพร หาญพาณิชย์&nbsp;กรรมการบริหารและรองกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH เปิดเผยถึงแผนธุรกิจในปี 2567 นี้ ว่า จะมุ่งสู่การเป็นฮับศัลยกรรมความงามและตั้งเป้ารายได้ KPS ไว้ที่ 200 ล้านบาท หลังจากทำการเปิดตัว KPS แห่งแรก ณ โรงพยาบาลเกษมราษฏร์ อินเตอร์เนชั่นแนล&nbsp;รัตนาธิเบศร์&nbsp;ไปเมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา สามารถสร้างรายได้ 70 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ล่าสุดเราได้ทุ่มงบ 50 ล้านบาทเปิดตัวศูนย์ KPS ณ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์รามคำแหง และยังมีแผนเปิดศูนย์ KPS อีกแห่งที่โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ บางแค ในช่วงปลายปีนี้เพิ่มเติม จึงทำให้มั่นใจได้ว่าจะสามารถรายได้ถึง 200-300 ล้านบาทอย่างแน่นอน”&nbsp; &nbsp; อย่างไรก็ตาม&nbsp;แผนการตลาดของทาง KPS ยังมีการเลือกใช้ ‘แก้มบุ๋ม ปรียาดา’ เป็นพรีเซ็นเตอร์เพื่อสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้งวัยรุ่นและวัยทำงานที่ต้องการปรับปรุงรูปลักษณ์ รวมทั้งผู้สูงอายุที่ต้องการรักษาความอ่อนเยาว์ ซึ่งปัจจุบัน KPS มีสัดส่วนลูกค้าในประเทศ 75% และต่างประเทศ 25% ซึ่งลูกค้าหลักคือ จีน กัมพูชา และ อินโดเซีย โดยในอนาคตทางบริษัทยังมีแผนที่จะบุกตลาดต่างประเทศโดยเน้นเจาะตลาดที่มีศักยภาพ เช่น จีน เวียดนาม ลาว กัมพูชา พม่า ตะวันออกกลาง และยุโรป เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/chaosua-new-campaign-mutelu-snack" alt="‘เจ้าสัว’ ดึงกลยุทธ์ ‘มูเก็ตติ้ง’ พา ‘เจมส์-จิรายุ’ เปิดแคมเปญใหม่ ตั้งเป้ายอดขายปี 67 โตสองหลัก">‘เจ้าสัว’ ดึงกลยุทธ์ ‘มูเก็ตติ้ง’ พา ‘เจมส์-จิรายุ’ เปิดแคมเปญใหม่ ตั้งเป้ายอดขายปี 67 โตสองหลัก</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘เกษมราษฎร์’ เซ็นลงนามกับ KCCS เกาหลี ตั้งเป้าปี 67 ศูนย์ศัลยกรรมความงาม KPS รายได้โต 200 ล้าน 

<h2>ช่วงที่ผ่านมา กระแสการดูแลสุขภาพและความงามเกิดขึ้นทั่วโลก ยิ่งทำให้ธุรกิจเวชศาสตร์ความงาม (Aesthetic &amp; Surgery) ขยายตัวต่อเนื่อง แต่การเติบโตของธุรกิจนี้ในไทยเป็นอย่างไร และผู้บริโภคแต่ละกลุ่มนิยมแบบไหน?</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB EIC เปิดเผยว่า ตลาดเวชศาสตร์ความงามของไทยในปี 2564 มีมูลค่าอยู่ที่ราว 50,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องราว 10%CAGR ในช่วงปี 2565-2573 โดยมี 4 ปัจจัยสนับสนุนให้ธุรกิจนี้เติบโต ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1) เทรนด์ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2) เทรนด์ดูแลความงามและเวชศาสตร์ชะลอวัย จากการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged society) ของไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3) ค่าบริการในไทยที่เข้าถึงได้ง่าย เพราะค่าเฉลี่ยราคาต่ำกว่าค่าบริการเฉลี่ยของโลก เช่น การเสริมหน้าอก ของไทยเฉลี่ยที่ 82,500 บาทต่อครั้ง ส่วนค่าเฉลี่ยของโลกอยู่ที่ 152,361 บาทต่อครั้ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4) การส่งเสริมจากภาครัฐที่สนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ต่างชาติ โดยในปี 2564 มีชาวต่างชาติเดินทางมาใช้บริการเวชศาสตร์ความงามในไทย เพิ่มขึ้นราว 20%YOY โดยส่วนใหญ่เดินทางมาจากยุโรป สหรัฐฯ และเอเชีย<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"> <figure style="margin: auto;"> <img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/8TfnisEQBi17bAGE2uCB.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="8TfnisEQBi17bAGE2uCB.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="1038,572" style="" data-index="0"> </figure></div> &nbsp; &nbsp; ขณะเดียวกันจากผลสำรวจของ SCB EIC ในด้านเวชศาสตร์ความงามพบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ใส่ใจด้านความสวยความงาม โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Y ผู้หญิง และ LGBTQIA+ มีแนวโน้มให้ความสำคัญกับความสวยความงามมากขึ้น และใช้จ่ายในด้านเวชศาสตร์ความงามสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อน COVID-19 ส่งผลให้ธุรกิจเวชศาสตร์ความงาม ทั้งด้านหัตถการ และศัลยกรรมเสริมความงามมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธุรกิจหัตถการเสริมความงาม : มีแนวโน้มขยายฐานผู้ใช้บริการได้มากขึ้นในกลุ่มผู้ชายและ Gen Z โดยผู้บริโภคส่วนใหญ่กว่า 44% ที่เคยทำหัตถการฯ จะใช้บริการเพื่อการรักษาและบำรุงผิวมากที่สุด และจะใช้จ่ายไม่เกิน 5,000 บาทต่อครั้ง (สัดส่วน 69% จากผลสำรวจ)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธุรกิจศัลยกรรมเสริมความงาม : จากผลสำรวจพบว่า ราว 21% ของผู้บริโภคเคยทำศัลยกรรมฯ และอีก 21% ไม่เคยทำแต่สนใจ โดยส่วนใหญ่ผู้บริโภคจะทำศัลยกรรมมากกว่า 1 ประเภท โดยการศัลยกรรมจมูกและดวงตาเป็นที่นิยมสูงสุด<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"> <figure style="margin: auto;"> <img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/NgvKni8LHL1J84p1BK1u.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="NgvKni8LHL1J84p1BK1u.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="1037,575" style="" data-index="1"> </figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ จากการสำรวจพบว่า ผู้บริโภคสนใจการหัตถการและศัลยกรรมเสริมความงาม โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Y และ Gen Z ยังเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งปัจจัยที่ผู้บริโภคให้น้ำหนักในการเลือกทำหัตถการกับสถาบันเสริมความงาม ได้แก่ ราคา/ส่วนลดโปรโมชัน (67%ของผู้ตอบแบบสอบุาม) ได้รับการรับรองมาตรฐาน และอุปกรณ์/เครื่องมือทันสมัย (เท่ากันที่ 57%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ปัจจัยที่ผู้บริโภคให้น้ำหนักในการเลือกทำศัลยกรรมกับสถาบันเสริมความงาม ได่แก่ ได้รับการรับรองมาตรฐาน (67%) ชื่อเสียงสถานบริการและแพทย์ อีกทั้งอุปกรณ์/เครื่องมือทันสมัย (เท่ากันที่ 62%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้น ในด้านธุรกิจ SCB EIC ประเมินว่า ความท้าทายของธุรกิจเวชศาสตร์ความงาม จึงมี 2 ส่วนใหญ่ ได้แก่ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. การกำหนดราคาที่เหมาะสมและเข้าถึงได้&nbsp;ยังคงเป็นกลยุทธ์หลักของธุรกิจหัตถการเสริมความงามในการเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้บริการเดิมกลับมาใช้บริการซ้ำ และการเจาะกลุ่มผู้ใช้บริการใหม่ เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคส่วนใหญ่นิยมใช้บริการหัตถการเสริมความงามมากกว่า 1 ประเภท และยังมีผู้บริโภคไม่น้อยที่สนใจใช้บริการหัตถการเสริมความงาม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีกทั้ง การพัฒนาแพ็กเกจการบริการที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคลควบคู่ไปด้วยจะสามารถดึงดูดผู้ใช้บริการได้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. การสร้างความเชื่อมั่นในการให้บริการทั้งชื่อเสียงของสถานบริการ ความเชี่ยวชาญของทีมแพทย์ และความปลอดภัยของอุปกรณ์/เครื่องมือที่ให้้บริการจะสามารถดึงดูดผู้ที่สนใจทำศัลยกรรมได้มากขึ้น โดยเฉพาะการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยในระดับสากล เพราะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจเลือกสถานบริการฯ และยังช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันจากบริการศัลยกรรมในต่างประเทศที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้นผ่านธุรกิจให้คำปรึกษาและบริการศัลยกรรม (เอเจนซี่) อีกด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ การแชร์ประสบการณ์และผลลัพธ์ที่ดีจากผู้ใช้บริการจริงจะสามารถสร้างแรงจูงใจในการทำศัลยกรรมเสริมความงามได้โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Gen Y ที่ได้รับอิทธิพลจากการรีวิว/โฆษณา <a href="https://www.freepik.com/free-photo/side-view-doctor-checking-patient-before-rhinoplasty_25123500.htm#fromView=search&amp;page=1&amp;position=12&amp;uuid=017122f7-b3e5-4063-8907-f506fb140cc0">Image by freepik</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a href="https://www.forbesthailand.com/news/it/3-agricultural-technologies-have-investment-opportunities" alt="NIA เผยการลงทุนใน ‘สตาร์ทอัพเกษตร’ มีมูลค่าสูงกว่า 1.7 ล้านล้านบาท แนะ 3 เทคฯ สายเกษตรดาวรุ่ง มีโอกาสเติบโตรับเงินทุน">NIA เผยการลงทุนใน ‘สตาร์ทอัพเกษตร’ มีมูลค่าสูงกว่า 1.7 ล้านล้านบาท แนะ 3 เทคฯ สายเกษตรดาวรุ่ง มีโอกาสเติบโตรับเงินทุน</a>​​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

ธุรกิจทำสวยในไทยโตต่อเนื่อง SCB EIC ชี้ปี 64 ตลาดเวชศาสตร์ความงามแตะ 50,000 ล้านบาท

<h2>รพ.บางมด ทุ่มงบ 3,000 ล้านบาท เปิดโรงพยาบาลศัลยกรรมความงามภายใต้ชื่อ Bangmod Aesthetic&amp; Wellness Hospital ในปี 2568 เจาะกลุ่มลูกค้าที่เน้นบริการศัลยกรรมแบบ Ultra Luxury ครบวงจร </h2> 	&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล ผู้อำนวยการศูนย์ศัลยกรรมความงามโรงพยาบาลบางมด และแพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง กล่าวว่าปัจจุบันมีคนไข้มาทำศัลยกรรมความงามที่โรงพยาบาล 3,000-4,000 รายต่อปี เป็นคนไทย 60 เปอร์เซนต์ และต่างชาติ 40 เปอร์เซนต์ ตลาดใหญ่คือจีน ยุโรป และคนไทยที่อาศัยอยู่ต่างประเทศ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/08/Wgi2CAKrh5X1mgNCzzYR.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-index="1" data-file-name="Wgi2CAKrh5X1mgNCzzYR.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของโรงพยาบาลคือ การเดินหน้าในการขยายธุรกิจศัลยกรรมเพิ่มเติม โดยเน้นทุกกลุ่มเป้าหมาย ปีนี้โรงพยาบาลครบรอบ 35 ปี และเป็นปีแห่งการเติบโตอย่างก้าวกระโดด มีผู้สนใจมาทำศัลยกรรมที่ศูนย์ศัลยกรรมความงามจำนวนมากทั้งคนไทยและต่างชาติ เพื่อรองรับจำนวนผู้เข้ารับบริการ จึงได้เตรียมพร้อมก้าวสู่การเป็นโรงพยาบาลศัลยกรรมแบบครบวงจร คาดว่ากำหนดแล้วเสร็จและพร้อมเปิดให้บริการปี 2568 ซึ่งจะรองรับคนไข้เพิ่มได้ 3-4 เท่าจากปัจจุบัน”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับบริการที่ได้รับความนิยม 5 อันดับแรกของโรงพยาบาล ประกอบด้วย ศัลยกรรมดวงตา จมูก หน้าอก ดึงหน้า ดูดและฉีดไขมัน ส่วนที่เป็นเทรนด์และมีแนวโน้มกำลังเติบโตคือ ศัลยกรรมหน้าอก การเสริมสะโพกและบั้นท้าย การดูดและฉีดไขมันบริเวณหน้า และศัลยกรรมหน้าท้อง​<div class="se-component se-image-container __se__float-" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px; width: 747px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/08/Wgi2CAKrh5X1mgNCzzYR.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="747px,560px" data-align="" data-index="2" data-file-name="Wgi2CAKrh5X1mgNCzzYR.jpg" data-file-size="0" origin-size="1920,1440" data-origin="747px,560px" style="width: 747px; height: 560px;"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตัวเลขจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่าปีที่ผ่านมาโรงพยาบาลมีรายได้รวม 668.5 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นรายได้จากศัลยกรรมความงาม 500 กว่าล้านบาท สำหรับปีนี้ นพ.ธนัญชัย คาดว่ารายจะเพิ่มเป็น 600-700 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกของปี 2566 มีรายได้แล้ว 450 ล้านบาท ทั้งนี้ธุรกิจศัลยกรรมความงามมีมูลค่าตลาดประมาณปีละ 2-3 หมื่นล้านบาท มีอัตราการเติบโตปีละ 10-15% &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อนึ่ง โรงพยาบาลบางมดเป็นโรงพยาบาลทั่วไปขนาดใหญ่บนถนนพระรามที่ 2 ให้บริการรักษาโรค เช่น สูตินรีเวช ศัลยกรรมกระดูก ศัลยกรรมทั่วไป กุมารเวช อายุรกรรม และศัลยกรรมความงามซึ่งเป็นแผนกที่สร้างรายได้หลักให้กับโรงพยาบาล รวมทั้งเป็นโรงพยาบาลแห่งแรกบนถนนพระรามที่ 2 ซึ่งให้บริการอุบัติเหตุฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดูแลเคสอุบัติเหตุ รวมถึงเคสศัลยกรรมกระดูก <div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/08/nmgv6WBSBVVoxWWNEith.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-index="3" data-file-name="nmgv6WBSBVVoxWWNEith.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/global-world/%E0%B8%8B%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD-%E0%B8%96%E0%B8%B7%E0%B8%AD-%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A2" alt="ซื้อ ถือ ขาย">ซื้อ ถือ ขาย</a> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​​​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

รพ.บางมด บุกตลาดศัลยกรรมความงาม เตรียมเปิดโรงพยาบาลใหม่ปี 2568 

&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ก้าวเข้าสู่เดือนที่ 4 ของโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล รัตนาธิเบศน์ ที่ได้ร่วมมือกับทางพูจอง คลินิก นำความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของทีมแพทย์พูจอง คลินิก ทั้งทางด้านศัลยกรรมและทางสกินมาให้บริการในโรงพยาบาล นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของทางพูจองที่เติบโตขึ้น ด้วยความร่วมมือระหว่างพูจอง และ ทางโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ เปิดศูนย์ความงามแบบครบวงจรเพื่อให้บริการกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการทางด้านความสวยความงาม เรามีเป้าหมายชัดเจนที่ต้องการขยายตลาดในส่วนความงามเเละศัลยกรรม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พีท กันตพร หาญพาณิชย์ กรรมการบริหาร และรองกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาดบริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแนวคิด Strategic partner ว่า เราเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถเติบโตและครอบครองส่วนแบ่งทางการตลาดธุรกิจความงามได้อย่างแน่นอน การเลือกสรร Strong Strategic partner ครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จในก้าวแรก ด้วยศักยภาพของทางพูจอง คลินิก รวมถึงทีมแพทย์เฉพาะทาง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภายใต้วิสัยทัศน์และการบริหารงานของนพรัต ภัธยนันท์ ผู้บริหารบริษัท พูจอง คลินิกที่มุ่งเน้นถึงคุณภาพและการบริการมายาวนานมากกว่า 9 ปี ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลในการตัดสินใจที่ผมเลือกพูจอง คลินิกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง กับทางโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รัตนาธิเบศน์ อินเตอร์เนชั่นแนล ตลอดช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา ทางโรงพยาบาลฯ มีเคสที่น่าประทับใจจำนวนมาก โดยเฉพาะในด้านการผ่าตัดศัลยกรรม ไม่ว่าจะเป็นการเสริมหน้าอก การแก้ไขรูปหน้า, การดึงหน้า, การทำตา 2 ชั้น และเคสอื่นๆ อีกมากมาย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การเลือกพันธมิตรเป็นอะไรที่เราต้องพิจารณาเป็นอย่างดีครับ คือถ้าเราได้พันธมิตรที่ดีเราก็จะไปต่อได้ง่ายครับ เราก็ได้มาศึกษาเพิ่มกับข้อมูลที่ลูกค้ารีวิว ตอนที่ผมหาข้อมูลเกี่ยวกับพูจองเราเจอรายชื่อแพทย์ที่เป็นทีมคุณภาพของพูจองเยอะมาก พูจองมีจุดเด่นคือเรื่องของงานแก้ และการเย็บแผลที่เป็นรอยค่อนข้างคุณภาพมาก เย็บได้ดีครับ ในช่วง 3เดือนที่ผ่านมาเราเติบโตมากถึง 2 เท่าตัว ถ้ายอดขายต่อเดือนเรียกว่าโตมาเป็นเท่าตัวเลยครับ ผมคิดว่าการขยายโปรดักเราสามารถตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเดิมที่มีอยู่แล้วได้ คือตอนนี้พูจองเข้ามาเป็นพันธมิตรกับเราถือว่าเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ได้อย่างดีเลยครับ” &nbsp; &nbsp; อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/preview/70530" alt="&quot;บริทาเนีย&quot; เตรียมจัดหนักครึ่งปีหลัง เปิด 16 โครงการใหม่ รุกกรุงเทพฯตะวันตก">"บริทาเนีย" เตรียมจัดหนักครึ่งปีหลัง เปิด 16 โครงการใหม่ รุกกรุงเทพฯตะวันตก</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

พีท-กันตพร เผยศูนย์ Kasemrad Plastic Surgery By Bujeong เติบโตกว่า 3 เท่าในระยะเวลา 3 เดือน มั่นใจขยายการตลาดไปได้ไกล

<h2>นพ.พุฒิพงศ์ ภูมิสุวรรณ หรือ “หมอบอย” ชื่อที่หลายคนคุ้นหู เขาเป็นทั้งเจ้าของ ผู้บริหาร และแพทย์มือหนึ่งด้านการฉีดฟิลเลอร์และร้อยไหมด้วยความที่เป็นการประยุกต์เทคโนโลยีการแพทย์ด้านความงามจากต่างประเทศเข้ามาเปิดบริการในเมืองไทย</h2>
ก้าวย่างบนถนนสายวิชาชีพด้านความงามของ นพ.พุฒิพงศ์ ไม่ได้เกิดจากแรงบันดาลใจในวัยเด็ก แต่ทว่าเป็นการมองโอกาสหลังจากที่เขาสำเร็จการศึกษาแพทยศาสตร์มาแล้วจากแพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

ออกมาทำงานที่โรงพยาบาลตำรวจได้ 1 ปีตัดสินใจไปเรียนต่อด้านผิวหนังที่สถาบันโรคผิวหนัง St Thomas’ Hospital มหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ กลับมาเริ่มงานด้านแพทย์ผิวหนัง และจากนั้นได้เป็นแพทย์ฝึกอบรมด้านศัลยกรรมผิวหนังที่ Jackson Memorial Hospital มหาวิทยาลัยโรงเรียนแพทย์แห่งไมอามี สหรัฐอเมริกา

นอกจากนี้ เขายังได้ประกาศนียบัตรด้านคีเลชั่นบำบัดจากสมาคมคีเลชั่นแห่งสหรัฐอเมริกา ประกาศนียบัตรด้านการชะลอวัยจาก American Academy of Anti-Aging Medicine 2010 “การเป็นแพทย์ต้องเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังเรียนรู้ศึกษาค้นคว้าอยู่ตลอด” เจ้าของ AIC คลินิกบอกว่า จุดเริ่มต้นในธุรกิจความงามของเขาเป็นคนละโพสิชั่นกับ AIC คลินิกในปัจจุบัน

“สมัยก่อนไม่ได้ใช้ชื่อนี้ เป็นการจับตลาดอีกแบบหนึ่ง ผมทำคลินิกความงามประเภทรักษาสิว ฝ้า กระ เลเซอร์ ใช้ชื่อว่า วงศ์ษฎาคลินิก ส่วนใหญ่อยู่แถวฝั่งธน เคยมีถึง 14 สาขา ในทำเลฝั่งธน นครปฐม สมุทรสาคร” นพ.พุฒิพงศ์ย้อนอดีตช่วงแรกของการทำคลินิกของเขา ซึ่งเริ่มต้นด้วยการเจาะตลาดแมสกลุ่มวัยรุ่นคนหนุ่มสาววัยต่ำกว่า 30 ต่างกับ AIC คลินิกในปัจจุบันที่หันมาเน้นเรื่องความงามกึ่งศัลยกรรม การฉีดฟิลเลอร์ ร้อยไหม และการชะลอวัย โดยเน้นตลาดคนละกลุ่มซึ่งค่าบริการต่างกันหลายเท่าตัว

แม้จะเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการและกลุ่มเป้าหมายแต่ นพ.พุฒิพงศ์บอกว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขามั่นใจในธุรกิจด้านความงาม ก็คือ แม้เศรษฐกิจจะย่ำแย่แต่ผู้คนก็ยังให้ความสำคัญเรื่องนี้ “คลินิกผมเปิดปีแรกก็โดนวิกฤตต้มยำกุ้งพอดี ช่วงนั้นปี 2540 แต่เชื่อไหมไม่กระทบเลย ยอดเพิ่มขึ้นทุกเดือนจึงเปิดต่อเนื่องอีกหลายสาขา แต่ผ่านไป 4-5 ปีตลาดเริ่มเปลี่ยน เทคโนโลยีเริ่มเข้ามา” นี่คือจุดเริ่มต้นเมื่อคลินิกสิวฝ้า มีการแข่งขันรุนแรงขึ้น เขาก็ปรับโพสิชั่นใหม่

<img class="alignnone size-full wp-image-55916" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/พุฒิพงศ์-ภูมิสุวรรณ_1204.jpg" alt="" width="600" height="250" />

ชะลอวัยด้วยเทคโนโลยี

เทคโนโลยีความงามที่ไม่ต้องอาศัยมีดหมอในการผ่าตัดทำให้การตอบรับดี AIC จึงมีจุดขายที่โดดเด่น ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดของคลินิกความงาม และกลายเป็นเซกเมนต์ใหม่ “เรา positioning ใหม่ โฟกัสเรื่องแก้ปัญหาการหย่อนคล้อย ทำ sagging เป็นเซกเมนต์ใหม่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ถุงใต้ตาสมัยก่อนผ่าตัดหมด เดี๋ยวนี้ไม่ต้อง

ทุกวันนี้คนนิยมเสริมความงามด้วยฟิลเลอร์ เพราะฉีดได้ทุกจุด ที่ทำาเยอะคือร่องใต้ตา การมีร่องใต้ตาทำให้ใบหน้าโทรม แต่พอฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มแล้วหน้าสดใสขึ้นทันที ส่วนค่าบริการยอมรับว่าค่อนข้างสูง การฉีดฟิลเลอร์คิดราคาเป็นซีซีราว 30,000 บาท/ซีซี ในปัจจุบันเป็นเรตอินเตอร์

สำหรับฟิลเลอร์นำเข้าจากสวีเดน ส่วนขนาดใช้ก็ต่างกันไป คือ 2 ซีซีสำหรับใต้ตา แต่ถ้าฉีดทั้งหน้าอยู่ที่ 20-30 ซีซี “ปัจจุบันเราใช้ ฟิลเลอร์มาทดแทนกระดูกที่ยุบตัว แก้ไขความแก่ของใบหน้า รักษาโครงหน้าตอนสาวเอาไว้ เพราะเวลาเราแก่กระดูกมันจะยุบลง ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์เราเคลมการอยู่ตามเอกสารกำกับยาคือปีเดียว แต่ความเป็นจริงมีผลวิจัยญี่ปุ่นว่าอยู่ได้ 8-9 ปี แต่ต้องฉีดเป็น”

นพ.พุฒิพงศ์อธิบายว่า ฟิลเลอร์ในไทยมี 4-5 ยี่ห้อ ฟิลเลอร์จากเกาหลีถือเป็นเกรดรองราคาฟิลเลอร์จากยุโรปและในไทยแตกต่างกัน 10 เท่า

“ราคามันต่างกัน 5-10 เท่า เราใช้สวีเดนอย่างเดียว เราไม่ใช้ยาหลายยี่ห้อรวมกัน เพราะทำให้การติดตามผลการรักษาไม่ดี ปัจจุบันยี่ห้อเดียวกันมีเกือบ 10 ตัว ฉีดปาก ฉีดแก้ม หลายคลินิกในเมืองไทยฉีดฟิลเลอร์ผสมซึ่งไม่ดี แต่คนไข้ไม่รู้ เหตุผลของคลินิกเหล่านั้นคือ ลดต้นทุนอย่างเดียว แต่เราต้องการ deliver best product best service ให้กับลูกค้า”

เขาย้ำและว่า นี่คือที่มาของราคาที่ค่อนข้างสูง แต่ยืนยันว่าสมเหตุสมผล

<img class="alignnone size-full wp-image-55915" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/พุฒิพงศ์-ภูมิสุวรรณ_1203-1.jpg" alt="" width="600" height="242" />

ผสานทักษะฝีมือกับนวัตกรรม

“เราจับลูกค้าตลาดบนเป็นหลัก B+ ขึ้นไป คนทั่วไปคิดว่าการฉีดฟิลเลอร์คือ การขายฟิลเลอร์ซึ่งไม่ใช่ ทำไมฉีดแพงฉีดถูกต่างกัน มันอยู่ที่คนฉีดด้วย ทักษะฝีมือต่างกัน บางทีคนไข้อาจไปพบว่า ฟิลเลอร์ของแท้แต่คิดราคาถูกมาก นั่นอาจเป็นหมอมือใหม่ทดลองฉีด” นพ.พุฒิพงศ์บอกว่า การฉีดฟิลเลอร์สมัยก่อนไม่มีการสอน แต่ปัจจุบันมีแล้ว โดย AIC เป็นหนึ่งในสถานที่สอนฉีดฟิลเลอร์

“เราพยายามถ่ายทอดลูกน้องขึ้นมาให้มีฝีมือระดับบริการลูกค้าได้ไม่แพ้เรา แต่ของแบบนี้มันยาก ทุกวันนี้ลูกค้ายัง request เรา ขนาดราคาทำกับหมออื่นถูกลงครึ่งหนึ่ง แต่คนมีตังค์ก็อยากได้ดีที่สุด เป็นตลาดที่หลายคนอยากได้แต่ไม่ง่าย ยอมรับว่าเป็นตลาด ideal มาก ราคาสูง ลูกค้าไม่เกี่ยงเรื่องราคา รูดจ่ายทำหน้าได้ครั้งละเป็นล้านบาท เคยได้เคสสูงสุดเกือบ 2 ล้านในครั้งเดียว”

อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงธุรกิจความงามในสถานการณ์โควิด นพ.พุฒิพงศ์บอกว่า “โควิดปีที่แล้วไม่กระทบเลยลูกค้ามีต่อเนื่อง แต่มาปีนี้เริ่มกระทบเพราะมีความไม่แน่นอนหลายอย่าง แต่เชื่อว่าหลังฉีดวัคซีนเรียบร้อยสถานการณ์จะกลับมา เพราะดีมานด์ไม่ได้หายไปไหน แต่ความมั่นใจมีข้อจำกัด เช่น ครอบครัวไม่ให้มา และบรรยากาศไม่เอื้อทำให้ชะลอไปบ้าง”

แต่เขาเชื่อว่าในท้ายที่สุดก็จะกลับมา อาจใช้เวลาอีกสักระยะ แต่ด้วยคุณภาพ ทักษะ และเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์เชื่อว่าลูกค้ายังมั่นใจที่จะใช้บริการ

“ถ้าผมทำผมต้องทำให้ดีที่สุด ไม่ว่ารักษาคนไข้หรืองานสอน ผมเป็นคนกัดไม่ปล่อยและต้องไปให้สุด มีอะไรนิดเดียวไม่ปล่อยไว้ เพราะนี่คืองานศิลปะบนใบหน้าต้องทำดีที่สุด เรื่องงานต้องเพอร์เฟ็กต์แต่เรื่องอื่นๆ ผมเป็นคนสบายๆ” นพ.พุฒิพงศ์กล่าว ทิ้งท้าย

ภาพ: ระพีพัฒน์ สิทธิชัยลาภา

<hr />

<a href="https://bit.ly/3cBBD7E">คลิกอ่านฉบับเต็ม และบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2564 ในรูปแบบ e-magazine</a>

<img class="lazy alignnone wp-image-54465 lazy-loaded" src="https://i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/242558307_2931919347023136_7291120447369577612_n.jpg" sizes="(max-width: 300px) 100vw, 300px" srcset="//i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/242558307_2931919347023136_7291120447369577612_n.jpg 750w, //i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/242558307_2931919347023136_7291120447369577612_n-229x300.jpg 229w" alt="" width="300" height="394" data-lazy-type="image" data-lazy-src="//i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/242558307_2931919347023136_7291120447369577612_n.jpg" data-lazy-srcset="//i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/242558307_2931919347023136_7291120447369577612_n.jpg 750w, //i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/242558307_2931919347023136_7291120447369577612_n-229x300.jpg 229w" data-lazy-sizes="(max-width: 300px) 100vw, 300px" />

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events