แม้ “Passion หรือความหลงใหลจะเป็นเชื้อเพลิงสำคัญในการเริ่มต้นธุรกิจ แต่ในโลกความเป็นจริง ธุรกิจไม่สามารถขับเคลื่อนด้วยอารมณ์เพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะในวันที่การแข่งขันและความเสี่ยงทวีความรุนแรงขึ้น จนเกิดคำถามสำคัญว่า “แค่แพชชั่น...เพียงพอจริงหรือที่จะพาธุรกิจให้อยู่รอดและเติบโต?”
Forbes Thailand ร่วมถอดรหัสความคิดจากนักธุรกิจไทย 3 แบรนด์ ผู้เปลี่ยนความหลงใหลให้กลายเป็นธุรกิจ จนกระทั่งสามารถสร้างการเติบโตให้แบรนด์ได้ แม้ในวันที่ต้องเผชิญอุปสรรคถาโถม อะไรคือเคล็ดลับที่ทำให้พวกเขาเดินหน้าต่อได้อย่างมั่นคง ผ่านเวที Adman Awards & Symposium 2025
“Passion อย่างเดียวไม่ทำให้ธุรกิจรอด” ถอดบทเรียนจาก Her Hyness
กัญญฉัชฌ์ เลิศธนไพบูลย์ ซีอีโอแห่ง Her Hyness เล่าถึงจุดเริ่มต้นของแบรนด์ว่ามาจาก Pain Point ส่วนตัวที่มีผิวแพ้ง่าย ประกอบกับช่วงที่ใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศไม่สามารถพบแพทย์ได้ตลอดเวลา เธอจึงตั้งเป้าหมายเพียงสองประการ คือ “อยากมีผิวที่แข็งแรง” และ “อยากส่งต่อทางออกนี้ให้คนที่มีปัญหาเดียวกัน” แม้ในวันที่ธุรกิจเติบโตขึ้น เป้าหมายนี้ยังคงเดิม แต่มาพร้อมกับวิสัยทัศน์ที่ใหญ่ขึ้นในการรุกตลาดระดับสากล
ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดของตลาดเครื่องสำอาง กัญญฉัชฌ์มองว่าความตั้งใจที่เริ่มจากแพชชั่นเพียงอย่างเดียวไม่อาจทำให้ธุรกิจรอดพ้นอุปสรรคได้ แต่ “วินัยเชิงกลยุทธ์” ต่างหากที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก
“แพชชั่นคือดาบสองคมที่มีทั้งคุณและโทษ” กัญญฉัชฌ์อธิบาย ก่อนจะบอกอีกว่า ในมุมของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บางชิ้นใช้เวลาวิจัยนานมาก แต่เมื่อวางขายกลับไม่ประสบความสำเร็จตามเป้า แม้จะปรับแก้หลายครั้งจนสุดท้ายต้องตัดสินใจยกเลิกการขาย สิ่งนี้สอนให้รู้ว่าไม่ว่าจะมีแพชชั่นมากเพียงใด สุดท้ายต้องกลับมาตัดสินใจด้วย “ข้อมูล (Data)” เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทางธุรกิจที่แท้จริง
อย่างไรก็ตาม ข้อดีของแพชชั่นคือพลังใจที่ไม่ยอมแพ้ เธอเล่าว่าสินค้าบางตัวพัฒนามาเกือบ 2 ปี หากยังไม่สมบูรณ์แบบที่สุดก็จะไม่วางขายเด็ดขาด ความพิถีพิถันในทุกรายละเอียดคือสิ่งที่แพชชั่นมอบให้
“ก่อนหน้านี้แอลเคยอยู่ corporate มาเป็นเวลานานทั้ง L'Oreal และ Estee Lauder ทำให้รู้กระบวนการคิดและการตัดสินใจในหมวกนักธุรกิจว่าต้องวิเคราะห์ข้อมูลส่วนไหนบ้าง” กัญญฉัชฌ์ ระบุ ก่อนจะอธิบายว่า ประสบการณ์ในองค์กรระดับโลกทำให้วิธีคิดของเธอผสมผสานระหว่าง “แพชชั่นที่มองเห็นช่องว่างในตลาด” และ “กลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการชนะใน Segment” แม้จะไม่ใช่ตลาดที่ใหญ่ที่สุดก็ตาม ทุกการตัดสินใจเหมือนการชักกะเย่อระหว่างความเชื่อมั่นส่วนตัวกับข้อมูลจริง เพื่อพิสูจน์ว่าแบรนด์กำลังเดินมาถูกทาง

กัญญฉัชฌ์ อธิบายว่า เซกเมนต์ของครีมกันแดดเล็กกว่าสกินแคร์ อีกทั้งยังมีเจ้าตลาดที่เป็นโกลบอลแต่กลยุทธ์ของ Her Hyness แม้จะไม่ใช่แบรนด์ใหญ่แต่คุณภาพของสินค้าสามารถแก้ปัญหาได้อย่างเหนือชั้น จึงกลับมาสู่คำถามว่า “ทำไมจะไม่ลองสู้ในตลาดนี้”
สำหรับ Her Hyness ที่เริ่มต้นในปี 2016 จากเบสิกสกินแคร์เช่น น้ำตบ เซรั่ม สู่การท้าทายตลาด “ครีมกันแดด” ที่มีเจ้าตลาดระดับโลกครองอยู่ กัญญฉัชฌ์ใช้ Pain Point เรื่องความเหนอะหนะของผลิตภัณฑ์โกลบอลที่ไม่เหมาะกับอากาศเมืองไทยมาเป็นโอกาส จนเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์และสร้างความสุขให้กับผู้ใช้ในทุกๆ วัน
ซีอีโอหญิงทิ้งท้ายว่า การสร้างแบรนด์ในยุคที่มีช่องทางขายมากมายนั้นไม่ยาก แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ “ฟีดแบ็กจากลูกค้า” การอ่านคอมเมนต์ใน Shopee หรือ Lazada คือกิจกรรมยามว่างที่เติมไฟให้เธอไม่ยอมแพ้ นอกจากนี้กลยุทธ์สำคัญคือการรู้จังหวะว่าเมื่อไหร่ควรรุกเร็ว, ชะลอ หรือพัก และอย่าลืมเฉลิมฉลองให้กับความสำเร็จเล็กๆ ในแต่ละวันเพื่อสร้างพลังใจให้ทีมงาน
จากแพชชั่นสู่ความเชื่อ พา ‘ปัญญ์ปุริ’ ขยายแบรนด์เวลเนสไทยสู่เวทีโลก
ปราโมทย์ เดชะบุญศิริพานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปุริ จำกัด เจ้าของแบรนด์ปัญญ์ปุริ เผยว่าปัญญ์ปุริเป็นแบรนด์ลักชัวรี่เวลเนสที่ก่อตั้งมานานกว่า 23 ปีนี้ เป็นความฝันที่ตั้งใจทำให้สำเร็จ โดยมีเป้าหมายใหญ่ในอีก 4-5 ปีข้างหน้า คือการขยายสาขาเพิ่มอีก 50 แห่ง รวมถึงการบุกตลาดญี่ปุ่นผ่านพันธมิตรเชิงกลยุทธ์อย่าง KOSÉ Corporation
“KOSÉ ให้เกียรติปัญญ์ปุริมากในการคงชุดบริหารและปรัชญาแบรนด์เดิมไว้ทั้งหมด โดยเขาจะเข้ามาช่วยสนับสนุนด้านทรัพยากรในต่างประเทศ มากกว่าการเข้ามาเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร” ปราโมทย์เน้นย้ำ
ในยุคหลังโควิด-19 เทรนด์เวลเนสในไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดดและความต้องการของผู้บริโภคมีความซับซ้อนขึ้น ปัญญ์ปุริจึงมุ่งเน้นไปที่ Customer Impact หรือความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าเป็นหลัก ในการก้าวสู่การเป็น Global Brand ความท้าทายคือการสร้างชื่อในตลาดต่างประเทศที่เต็มไปด้วยคู่แข่งยักษ์ใหญ่ ปัญญ์ปุริจึงเลือกสร้างความแตกต่างด้วยงานคราฟต์และศิลปะ เช่น การออกแบบสาขาเซ็นทรัล เอ็มบาสซี่ ที่มีอัตลักษณ์ชัดเจนและไม่ซ้ำใคร

ในฐานะผู้นำองค์กร ปราโมทย์มองว่าความท้าทายใหม่คือการเชื่อมโยงวิสัยทัศน์ของคนในองค์กรให้เป็นหนึ่งเดียว ไม่ว่าจะเป็นซีอีโอหรือซีเอฟโอที่อาจมองภาพลักษณ์แบรนด์หรือการลงทุนต่างกัน แต่สุดท้ายทุกกิจกรรมของแบรนด์ต้องมุ่งไปในทิศทางเดียวกันเพื่อให้เกิดความมั่นคง หากแบรนด์เลือกที่จะเป็น “ผู้นำในตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market)” อาจจะมีโอกาสเติบโตและยั่งยืนกว่าการเป็นรายเล็กในตลาดแมสที่ต้องสู้กับแบรนด์ระดับโลก
“เริ่มต้นด้วยแพชชั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง แต่แพชชั่นนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นความเชื่อ (Belief) เมื่อเราก้าวข้ามอุปสรรค ความเชื่อมั่นและแพชชั่นรวมกันจะทำให้เราไม่ยอมแพ้ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทาย” ปราโมทย์ทิ้งท้าย
ปรับตัวตามฟีดแบ็กแบบ KANORI กับกลยุทธ์ที่ดันยอดขายพุ่ง 25%
ในสมรภูมิธุรกิจอาหารที่ดุเดือดไม่แพ้กัน ‘KANORI Hand roll bar’ ร้านอาหารญี่ปุ่นแนวฟิวส์ชันที่สามารถขยายตัวได้ถึง 5 สาขาในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ซึ่ง “ปวิตรา กอบกุลสุวรรณ” ผู้ร่วมก่อตั้ง เชื่อว่าจุดแข็งที่ทำให้แบรนด์ติดตลาดคือการเป็น First Mover ที่มาพร้อมกลยุทธ์ “สร้างความจดจำและการซื้อซ้ำ” ผ่านบริการที่รวดเร็วและบรรยากาศที่ผ่อนคลาย

โดย “ปณิธิ กอบกุลสุวรรณ” อีกหนึ่งผู้ร่วมก่อตั้ง เสริมว่า หัวใจของการเติบโตคือการรับฟังเสียงลูกค้า ซึ่งเฉลี่ยแล้วมีฟีดแบ็กเข้ามานับร้อยอย่างต่อวัน ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการที่ลูกค้าต้องการสั่งแฮนด์โรลไปทานที่บ้านแต่กังวลเรื่องความกรอบของสาหร่าย ทีมงานจึงใช้เวลาถึง 7 เดือนในการร่วมกับซัพพลายเออร์พัฒนาบรรจุภัณฑ์พิเศษ จนสามารถขยายตลาดเดลิเวอรี่และสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 25%

การพัฒนาของ KANORI ในแต่ละสาขาคือการเรียนรู้จากฟีดแบ็กโดยตรง ไม่ว่าจะเป็น
-สาขาที่ 2: พบว่าลูกค้าต้องการความเป็นส่วนตัว
-สาขาที่ 3: ปรับรูปแบบโต๊ะเป็นเคาน์เตอร์แยกสไตล์โอมากาเสะ
-สาขาที่ 4: เพิ่มห้อง Private Room ตามคำเรียกร้อง
-สาขาที่ 5: นำบทเรียนทั้งหมดมาตกแต่งด้วยกระจกเพื่อเพิ่มแสงธรรมชาติแต่ยังคงความเป็นส่วนตัวสูง
ท่ามกลางความท้าทายนี้ ปณิธิมองว่าผู้นำต้องมีทักษะรอบด้านและรู้จักบริหารเวลาเพื่อสร้างทีมที่แข็งแกร่ง ผู้นำต้องลงมือทำ (Lead) ในทุกขั้นตอนและวางตัวบุคคลให้ถูกที่
ขณะที่ปวิตรากล่าวปิดท้ายว่า การทำธุรกิจย่อมมีช่วงที่เหนื่อยหรือ “หมดไฟ” แต่ข้อดีของการทำตามแพชชั่นคือจะมีพลังงานสำรองอยู่ภายในเสมอ โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญคือ “ทีมงาน” ที่เชื่อมั่นในแบรนด์และทำงานอย่างเต็มที่ รวมถึง “ความสุขของลูกค้า” ที่เป็นพลังบวกให้เดินหน้าต่อไป
ท้ายที่สุด สิ่งที่เหล่านักธุรกิจทั้ง 3 แบรนด์มีร่วมกันคือการเริ่มต้นด้วยแพชชั่น แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขา “อยู่รอด” และ “เติบโต” คือการบริหารจัดการแพชชั่นนั้นด้วยข้อมูล ฟีดแบ็ก กลยุทธ์ และทีมงานคุณภาพ
ในวันที่ความหลงใหลอาจไม่เพียงพอ สิ่งเหล่านี้คือตัวแปรสำคัญที่ทำให้แบรนด์ยืนหยัดได้อย่างสง่างาม ขณะที่แพชชั่นยังคงทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจว่า “เหตุผลที่เราเริ่มต้นนั้นสำคัญเพียงใด” เพื่อให้การต่อสู้ครั้งนี้มีคุณค่าและไม่สูญเปล่า
ภาพ: Adman Awards & Symposium 2025
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :ถอดรหัส “ความกล้าหาญ” ผ่านมุมมอง CEO หญิงแถวหน้า เมื่อการนำองค์กรให้รอด ไม่ใช่แค่เรื่องเก่ง แต่ต้องกล้าในโลกที่ไม่หยุดเปลี่ยน
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine

