พัทยาฟู้ด ปรับกลยุทธ์ธุรกิจสู่รายได้หมื่นล้านอีกสามปี - Forbes Thailand

พัทยาฟู้ด ปรับกลยุทธ์ธุรกิจสู่รายได้หมื่นล้านอีกสามปี

“กลุ่มบริษัทพัทยาฟู้ด” ผู้ดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารทะเล พลิกตำราปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจ หลังครบ 44 ปี พร้อมเผชิญภาวะความผันผวนทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อม มุ่งสร้างการเติบโตที่เข้มแข็งและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ภายใต้ปรัชญาการทำงานคือ การพัฒนาที่ยั่งยืนตลอดห่วงโซ่ พร้อมรุกตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง ตั้งเป้าก้าวสู่แบรนด์ระดับโลกใน 3 ปี หนุนรายได้รวมแตะหมื่นล้านบาท


    “กลุ่มบริษัทพัทยาฟู้ด” ผู้ดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารทะเล นำโดยแบรนด์ “นอติลุส” ที่อยู่ในตลาดประเทศอย่างยาวนาน ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการภายใต้แนวคิด “เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้บริโภคอย่างองค์รวม”

    ตลอดระยะเวลา 44 ปีในประเทศไทย บริษัทได้ขยายแบรนด์และผลิตภัณฑ์ที่มุ่งตอบสนองสุขภาพและคุณภาพที่ดีของผู้บริโภค ภายใต้แบรนด์ที่หลากหลาย ได้แก่ นอติลุส (Nautilus) นอติลุสไลท์ (Nautilus Lite) นอติลุสเอ็กซ์เท็น (Nautilus X-Ten) มงกุฎทะเล (Mongkut Talay) ซีคราวน์ (SEACROWN) ขนมขบเคี้ยว ไททัน (TITAN) อาหารพร้อมทาน ม่อนชะเมา (Mont Shamau)

    นอกจากนี้ ยังดำเนินธุรกิจผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงภายใต้แบรนด์พรีเมียมอย่าง รีกาลอส (Regalos) และอาหารสัตว์เลี้ยงเพื่อสุขภาพแบรนด์เรมี่ (Remy) ซึ่งบริษัทมีเป้าหมายที่จะก้าวสู่แบรนด์อาหารสัตว์ระดับโลกใน 3 ปี


4 ทศวรรษแห่งการเปลี่ยนแปลง


    วิชัย กรณปกรณ์ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทพัทยาฟู้ด เปิดเผยว่า กว่า 4 ทศวรรษที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ได้เผชิญกับความท้าทายในหลายมิติ ทั้งความผันผวนทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมต่างๆ โดยในช่วง 10 ปีแรก ความท้าทายคือการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพเพื่อให้ส่งออกได้ ดังนั้นจึงมุ่งลงทุนพัฒนาระบบการผลิตจนได้มาตราฐานสากลอย่าง ISO


    “ช่วงนั้นคติประจำใจของชาวพัทยาฟู้ด คือ “Passion for Quality” เมื่อมีระบบการผลิตที่มีคุณภาพเราก็เริ่มผลิตสินค้าของตนเอง ภายใต้แบรนด์ “นอติลุส” ซึ่งช่วง 10 ปีต่อมา เราลงทุนกับการสร้างแบรนด์ ถือเป็นแบรนด์ทูน่าที่ทำการตลาดในช่วงแรกๆ ในประเทศไทย และการทำแบรนด์ในประเทศไทยสร้างโอกาสให้เราขยายตลาดผ่านพันธมิตรไปยังประเทศฝรั่งเศส จีน และ เวียดนาม เป็นต้น” วิชัยกล่าว

    สำหรับช่วง 10 ปีที่สาม บริษัทพบกับวิกฤตเรื่องวัตถุดิบและแรงงานที่หายากขึ้น จึงตัดสินใจขยายฐานการผลิตไปยังประเทศเวียดนาม และด้วยสภาวะอากาศที่ผันผวนบางปีส่งผลให้ราคาวัตถุดิบหลักอย่างปลาทูน่าพุ่งสูงขึ้น มีผลต่อต้นทุนการผลิต และตลาด จึงตัดสินใจปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจหลายอย่าง ตั้งแต่การขยายพอร์ตโฟลิโอของสินค้าที่นอกเหนือจากอาหารทะเลกระป๋อง และมุ่งเน้นการพัฒนาแบรนด์ของตัวเอง เพื่อลดความเสี่ยงในธุรกิจ และสามารถเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว

    วิชัย กล่าวว่า กลุ่มบริษัทพัทยาฟู้ด ก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 4 ซึ่งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้แนะนำสินค้าแบรนด์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาด เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ควบคู่ไปกับการทำธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ได้แก่ แบรนด์ ม่อนชะเมา นอติลุส เอ็กซ์เท็น และเรมี่


มุ่งเติบโตพร้อมสุขภาพและสังคมอย่างยั่งยืน


    วิชัย กล่าวว่า ปัจจุบัน พัทยาฟู้ดฯ ผลิตอาหารร้อยละ 75  และอาหารสัตว์เลี้ยงร้อยละ 25 จำหน่ายในประเทศไทยและส่งออก โดยใน ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้มีการลงทุนกว่า 200 ล้านบาท ในการพัฒนาโครงสร้าง เพื่อเพิ่มพื้นที่การผลิต และจัดเก็บสินค้า รวมทั้งระบบจัดเก็บคลังสินค้าอัตโนมัติที่โรงงานผลิตที่มหาชัย สมุทรสาคร เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตให้ได้มากขึ้น 25 เปอร์เซ็นต์ รองรับการผลิตผลิตภัณฑ์กลุ่มหม่ ได้แก่ แบรนด์ ม่อนชะเมา นอติลุส เอ็กซ์เท็น และ เรมี่


    สำหรัลแบรนด์ “ม่อนชะเมา” เกิดจากความตั้งใจของพัทยาฟู้ด ที่นำปรัชญาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมาช่วยสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืนในชุมชน ไปพร้อมๆ กับการส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้ผู้บริโภค โดยมุ่งสรรหาของดีในจังหวัดต่างๆ ที่เป็นผัก ผลไม้มาช่วยทำตลาดผ่านบริษัทในเครือ 

    สำหรับสินค้าภายใต้ “ม่อนชะเมา” จะมีทั้งผัก ผลไม้ ออร์แกนิค ผัก-ผลไม้ปลอดภัย ปลูกในดินด้วยวิถีธรรมชาติ ตลอดจนกลุ่มอาหารพร้อมทาน ขนม โดยเปิดร้าน “ม่อนชะเมา” ในคอนเซ็ปต์ แกร๊บแอนด์โก ที่อาคารสยามสเคป และมีแผนจะเปิดบริการเพิ่มในอนาคต

    “นอติลุส เอ็กซ์เทน” เป็นอาหารคุณภาพระดับพรีเมียม ด้วยแนวคิด “Extend Happiness” ที่ตั้งใจจะช่วยยืดสุขให้สุขภาพและสร้างความสุขของผู้บริโภคให้สอดคล้องกับรูปแบบชีวิตที่ทันสมัย และ มีไลฟ์สไตล์อันเร่งรีบในชีวิตประจำวัน โดยให้เรื่องสะดวกพร้อมรับประทาน โดยสินค้ากลุ่มแรกที่ออกคือ ผลิตภัณฑ์มัลติเกรนโอ๊ตมีล ตอบสนองเทรนด์ “ซุปเปอร์ฟู้ด” ซึ่งเป็นเทรนด์อาหารสุขภาพที่แพร่หลายไปทั่วโลก พร้อมเป็นทางเลือกของการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคในทุกช่วงวัย

    “ไททัน” เป็นแบรนด์ขนมขบเคี้ยว เปิดตัวด้วยผลิตภัณฑ์หนังปลาแซลมอนทอดกรอบ แตกต่างด้วยการผลิตจากหนังปลาแซลมอนธรรมชาติ (ไม่ใช่ฟาร์ม) ทอดด้วยน้ำมันรำข้าว เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค ที่อยากรับประทานขนมขบเคี้ยวที่อร่อยและไม่รู้สึกผิด ในปีนี้สินค้าจะวางจำหน่ายในซุปเปอร์มาร์เก็ต เช่น ท็อปส์ โลตัส

    สำหรับกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง บริษัทได้เปิดตัว “รีกาลอส” แบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยง ในปี 2560 “รีกาลอส” ภาษาสเปนมีความหมายว่า “ของขวัญ” และนำมาใช้เป็นแนวคิดการพัฒนาสินค้า ที่มุ่งมอบของขวัญให้กับน้องแมวอันเป็นสมาชิกในครอบครัว ครอบคลุมตั้งแต่ลูกแมวแรกเกิด จนถึง แมวสูงวัย และล่าสุด ต้นปี 2566 ที่ผ่านมา ได้เปิดตัว “เรมี่” แบรนด์สินค้าอาหารสัตว์เลี้ยง (wellness pet food) ที่ร่วมทุนกับ รพ.สัตว์ทองหล่อ พัฒนาสูตรโดยทีมนักโภชนาการสัตวแพทย์ ตั้งเป้าหมายเป็นแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงระดับโลกภายใน 3 ปี


ตั้งเป้าหมายสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน


    นายวิชัย กล่าวว่า สำหรับปี 2566 นี้ กลุ่มบริษัทพัทยาฟู้ด นอกจากตั้งเป้าการเติบโตในด้านยอดขายแล้ว บริษัทยังได้วางแนวทางการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนไว้ทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยมีเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิจากปีฐาน 2565 ลงให้ได้ร้อยละ 50 ภายในปี 2575

    และในแต่ละปียังมีกิจกรรมสนับสนุนนโยบาย ESG ควบคู่ไปกับการดําเนินธุรกิจภายใต้นโยบายปกป้องคุ้มครองสิ่งมีชีวิตใต้ทะเล การใช้พลังงานสะอาด การใช้พลังงานทดแทน การจัดการบรรจุภัณฑ์โดยใช้เม็ดพลาสติกรีไซเคิล การทําโครงการ U-Turn ร่วมกับ PTT GC การส่งเสริมคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของพนักงานรวมถึงการดูแล ชุมชน และสังคมรอบข้าง ตามหลักการบรรษัทภิบาล และจรรยาบรรณทางธุรกิจอย่างเคร่งครัด


    “ในช่วงที่ผ่านมา ต้นทุนในการทำธุรกิจปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก เฉลี่ยอยู่ที่สองหลัก ไม่ว่าจะเป็นราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น ค่าแรง ต้นทุนพลังงาน รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนที่ค่อนข้างผันผวนทำให้บริหารธุรกิจค่อนข้างลำบาก มองว่าหากมีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ก็อยากให้มีการออกนโยบายในการควบคุมปัจจัยดังกล่าว เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมของไทยมีศักยภาพการแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าต้นทุนการดำเนินธุรกิจหลายอย่างจะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้า แต่บริษัทจะพยายามตรึงราคาสินค้าให้นานที่สุด และที่ผ่านมายังไม่มีการปรับราคาแต่อย่างใด” วิชัยกล่าว

    ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายกว่า 8,200 ล้านบาท มีการเติบโตเฉลี่ยกว่าร้อยละ 11 ตลอดระยะ 5 ปีที่ผ่านมา สำหรับปีนี้ตั้งเป้าหมายเติบโต 8 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะเป็นอัตราการเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียว แต่เชื่อว่าแนวโน้มสถานการณ์ธุรกิจต่างๆ จะปรับตัวดีขึ้น โดยคาดว่าภายใน 3 ปีข้างหน้าจะมีรายได้แตะ 10,000 ล้านบาท


อ่านเพิ่มเติม: Forbes เผย 10 ไฮไลต์จากรายชื่อ 30 Under 30 Asia ประจำปี 2023



ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine