‘บีสตาร์ท เฮฟเว่น‘ มองการณ์ไกล เร่งขยายฐานปักหมุดย่านหาดในทอน จ.ภูเก็ต สร้างอาณาจักรบนพื้นที่ 80 ไร่ มั่นใจถือครองที่ดินขนาดใหญ่สุด! รุกตลาด Blue Ocean บุกเบิกทำเลศักยภาพก่อนใคร ตั้งเป้าภายใน 5 ปี ปั้นโครงการนี้เปรียบเสมือนเป็น 'Mini Laguna' ดึงดูดการลงทุนและท่องเที่ยว
ปัจจุบันจะเห็นได้ว่านอกเหนือจากเรื่องของตัวเลขนักท่องที่ยวทั่วโลกที่นิยมเลือก จ.ภูเก็ต เป็นจุดหมายปลายทางของการพักผ่อนหย่อนใจทั้งแบบระยะสั้นและระยะยาวแล้ว ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของ จ.ภูเก็ต ยังถือเป็นหนึ่งในพื้นที่อันโดดเด่นที่เหล่านักลงทุนจากทั่วโลกต่างนิยมมาปักหมุดสร้างโปรเจกต์ยักษ์ใหญ่ต่อเนื่องไปถึงโครงการบ้านพักพูลวิลล่าสุดหรูระดับไฮเอนด์ที่เน้นราคาขายนับตั้งแต่หลังละสิบล้านต่อเนื่องไปจนถึงหลักร้อยล้านบาทด้วยเช่นกัน
แผนกวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เผยข้อมูลว่า ช่วงไตรมาส 1 ปี 2568 ที่ผ่านมา พื้นที่ภูเก็ต มีโครงการคอนโดมิเนียมและบ้านพักตากอากาศเปิดขายใหม่มากกว่า 45 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวมมากกว่า 49,160 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมของ จ.ภูเก็ต ในปีนี้ยังคงร้อนแรงต่อเนื่อง แต่ทว่าการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ อาจปรับตัวลงเล็กน้อยอยู่ที่ประมาณ 8,000 -10,000 ยูนิต โดยเป็นผลมาจากช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีคอนโดใหม่เปิดขายเข้าสู่ตลาดเป็นจำนวนมากกว่า 20,000 ยูนิต

ไม่กี่ปีมานี้ มีโครงการบ้านพักตากอากาศระดับ luxury เริ่มเข้ามาวางหมากบนพื้นที่ทำเล ‘หาดในทอน’ พร้อมเปิดขายบ้านพักตากอากาศในระดับราคา 100 ล้านบาทขึ้นไป/ยูนิต ซึ่งปัจจุบันบ้านของโครงการดังกล่าวได้ทำการขายหมดเกลี้ยงทุกยูนิตไปแล้วเรียบร้อย!
นี่จึงยิ่งทำให้ ‘ทำเลย่านในทอน’ กลายเป็นหนึ่งใน ‘ดาวรุ่ง พุ่งแรง’ ของพื้นที่ที่มีศักยภาพสำหรับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพราะนอกจากจะโดดเด่น ได้เปรียบในเรื่องของสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ สวยงามตามธรรมชาติ เหมาะแก่การอยู่อาศัยแบบพักผ่อนหรือการพัฒนาเป็นรีสอร์ตระดับพรีเมียม ใกล้กับสนามบินนานาชาติภูเก็ต และอยู่ไม่ไกลจากแหล่งอำนวยความสะดวกสำคัญ เช่น สนามกอล์ฟหรู โรงแรมระดับห้าดาว และร้านอาหารชั้นนำแล้ว ล่าสุดทางโรงพยาบาลแบรนด์ดังอย่าง บำรุงราษฎร์ ก็ได้มาลงเสาเข็มก่อสร้างเพื่อเตรียมพร้อมให้บริการ Wellness ด้านสุขภาพแก่กลุ่มลูกค้า luxury จากทั่วโลกอีกด้วยเช่นกัน
ณ ปัจจุบัน มีโครงการคอนโดมิเนียมย่านในทอนที่อยู่ระหว่างเปิดการขายเพียงแค่ 2 โครงการ เป็นจำนวน 820 ยูนิตเท่านั้น คิดเป็นสัดส่วนเพียงแค่ร้อยละ 2.18 ของอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมดในตลาด ส่วนบ้านพักตากอากาศ ที่อยู่ระหว่างการขายมีเพียงแค่ 6 โครงการ 113 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วนเพียงแค่ร้อยละ 2.75 ของอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมดในตลาด จึงถือได้ว่าเป็น Blue Ocean สำหรับตลาดที่ยังไม่มีการแข่งขันสูงๆ จากกลุ่มคู่แข่งหลายรายแตกต่างจากในย่านอื่นๆ นับเป็นโอกาสอันดีในอนาคตแก่กลุ่มนักลงทุนที่ต้องการสร้างมูลค่าเพิ่มทั้งในระยะกลางและระยะยาว

วีระวิทย์ มโนธรรมรักษา ในฐานะทายาทรุ่น 2 ของตระกูล 'มโนธรรมรักษา' ที่ก่อตั้ง บริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 โดยบริษัทได้พัฒนาโครงการต่างๆ มากมายกว่า 50 โครงการ อาทิ โครงการล่าสุดอย่าง สำเพ็ง 2 รูปแบบอาคารพาณิชย์สูง 3.5-4 ชั้น จำนวน 927 ยูนิต มูลค่าโครงการ 7,585 ล้านบาท ความคืบหน้าการก่อสร้าง 100% แล้วเสร็จ สามารถ Sold Out ขายหมดเรียบร้อยแล้ว รวมถึงโครงการมิกซ์ยูส MIAMI BANGPU ซึ่งประกอบด้วยพื้นที่เชิงพาณิชย์และคอนโดที่อยู่อาศัย บนพื้นที่ 120 ไร่ ความคืบหน้าก่อสร้างแล้ว 80% เป็นต้น
และด้วยวิสัยทัศน์ที่มองการณ์ไกลจากศักยภาพของทำเลย่านในทอน จ.ภูเก็ต ตามที่กล่าวมาตั้งแต่ต้น ล่าสุด วีระวิทย์ มโนธรรมรักษา จึงได้ขยายธุรกิจออกมาเปิดบริษัทเพื่อเน้นรุกตลาดในพื้นที่ภูเก็ตอย่างเต็มที่ ในฐานะรองประธาน บริษัท บีสตาร์ท เฮฟเว่น จำกัด เขาได้ประกาศถึงแผนการระยะสั้น กลาง และยาว เพื่อพัฒนาพื้นที่โครงการมิซ์ยูสขนาดใหญ่ 80 ไร่ ให้เสมือนเป็น ‘Mini Laguna’ แหล่งรวมความพร้อมสำหรับทุกๆ ด้านในย่านนี้
“คุณพ่อของผมเอง ‘ทนงศักดิ์ มโนธรรมรักษา’ ถือเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลมาตั้งแต่ต้น ท่านเข้ามาซื้อที่ดินย่านหาดในทอนเก็บไว้ตั้งแต่ 10 กว่าปีก่อน เรามีทั้งที่ดินที่ซื้อสะสมไว้เองและแบบเช่าระยะยาว 30 ปี + 30 ปี ปัจจุบันเรามีที่ดินรวมทั้งสิ้นประมาณ 80 ไร่ ถือเป็นแลนด์ลอร์ดที่ครองที่ดินมากที่สุดในย่านหาดในทอนแห่งนี้ และเริ่มพัฒนาโครงการมาตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างประเทศเกือบ 90% โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงระดับ Luxury หรือเรียกง่ายๆ ว่า กลุ่มลูกค้าระดับเศรษฐีจากรัสเซีย”

สำหรับโครงการแรกของ บริษัท บีสตาร์ท เฮฟเว่น จำกัด เริ่มต้นขึ้นในปี 2562 จากการพัฒาที่ดินให้เป็นอาคารพาณิชย์ สูง 3 ชั้น จำนวน 20 ยูนิต แบ่งเป็น 3 คลัสเตอร์ๆ ละ 7-8 ยูนิต ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าถนนติดกับชายหาดในทอน โดยเป็นการขายแบบเช่าระยะยาว 30 ปี ในราคา 7-8 ล้านบาท มูลค่าการลงทุนกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันได้ปรับแผนการพัฒนาใหม่ โดยปล่อยเช่าพื้นที่ชั้นล่างในแต่ละยูนิตเป็นร้านค้าต่างๆ ราคาประมาณ 30,000 บาท/เดือน และมีผู้เช่าเต็มทั้งหมดแล้ว ส่วนชั้น 2-3 ปล่อยเช่าเป็นโรงแรม แบบมีใบอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งสิ้น 74 ห้อง ราคา 1,500-4,500 บาท/คืน แล้วแต่ช่วงฤดูกาล

โครงการถัดมาเริ่มต้นขึ้นในปี 2562-2563 ถือเป็นการร่วมทุนกับกลุ่มอสังหาฯ จากจีน บริษัท ‘Bestart International Holdings’ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ ณ ประเทศสิงคโปร์ โดยนำที่ดินด้านหน้าบนผืน 80 ไร่ มาพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม ภายใต้แบรนด์ ‘ซี เฮฟเว่น ภูเก็ต ในทอน’ (Sea Heaven Phuket Naithon) พร้อมกับแบ่งการพัฒนาโครงการนี้ออกเป็น 2 เฟส มูลค่าโครงการรวม 1,500 ล้านบาท เน้นรูปแบบการขายเช่าระยะยาว 30 ปี + 30 ปี
โดย Sea Heaven Phuket Naithon เฟสแรก มี 1 อาคาร สูง 5 ชั้น ขนาด 37-70 ตารางเมตร จำนวน 124 ยูนิต ระดับราคาขายตั้งแต่ 4 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งปัจจุบันได้ปิดการขายไปแล้วเรียบร้อย และราคาขายยังปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 5-6 ล้านบาทขึ้นไปต่อยูนิตอีกด้วย ขณะที่เฟส 2 เริ่มเปิดขายในปี 2566 เป็นคอนโดสูง 5 ชั้น ขนาด 30-70 ตารางเมตร จำนวน 127 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 120,000-130,000 บาท/ตารางเมตร หรือราวๆ 4.5 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งปัจจุบันมียอดขายแล้ว 72% และราคาได้เด้งขึ้นไปเป็น 170,000 บาท/ตารางเมตร ส่วนเฟส 3 ที่ล่าสุดทางบริษัทได้นำที่ดินอีก 4 ไร่ มาพัฒนา เป็นคอนโดฯโลว์ไรส์ อีก 2 อาคาร แบ่งการพัฒนาเป็น 2 เฟส มูลค่ารวมของโครงการ 1,400 ล้านบาท โดยเฟสแรก คอนโดสูง 7 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 108 ยูนิต มียอดขายแล้ว 69% ส่วนเฟส 2 จะเป็นคอนโดอีก 1 อาคาร จำนวน 115 ยูนิต คาดพร้อมเปิดพรีเซลได้ในช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย. ปลายปีนี้



และเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าที่นิยมซื้ออสังหาฯ ไว้สำหรับการลงทุน บริษัทฯจึงได้ดึงเชนโรงแรมแบรนด์ WYNDHAM เข้ามาบริหารโครงการ โดยการันตีผลตอบแทนที่ 7% ต่อปี หลังนั้นในปีที่ 6 เป็นต้นไป จะทำการแบ่งผลประกอบการจากการปล่อยเช่าห้องพัก ในสัดส่วน 60:40 (ลูกค้า:บริษัท) โดยลูกค้าเจ้าของห้องพัก จะสามารถเข้าพักในช่วงไฮซีซันได้ 10 วัน/ปี และช่วงโลว์ซีซัน ได้ 20 วัน/ปี อีกทั้งในช่วงก่อนและหลังเทศกาลปีใหม่ 15 วัน สามารถปล่อยเช่าได้ในเรทราคาสูงถึง 70,000 บาท/เดือน ซึ่งในส่วนของคอนโดฯ เฟส 2 ได้เริ่มทยอยโอนแล้วนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2568 นี้
อย่างไรก็ตาม การเป็นแลนด์ลอร์ดถือครองที่ดินขนาดใหญ่พร้อมด้วยประสบการณ์ด้านอสังหาฯ มาจากรุ่นสู่รุ่น จนถึง Gen 2 การจะให้ทุนต่างชาติจากจีนเข้ามามีส่วนร่วมธุรกิจด้วยทั้งหมดก็อาจจะไม่ใช่เป้าหมายที่วางไว้ ทางวีระวิทย์ จึงเร่งเดินหน้าขยายฐานการพัฒนาที่ดินเองแบบ 100% ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท เมอริส จำกัด ในช่วงปลายปี 2566 โดยการนำเอาที่ดินจำนวน 3 ไร่เศษ ถัดจากโซนของโครงการคอนโดและโรงแรม Sea Heaven Phuket Naithon มาทำเป็นวิลล่า ภายใต้แบรนด์ “ภูวิสต้า วิลล่า” ขนาด 70-160 ตารางวา จำนวน 10 ยูนิต ราคาขายตั้งแต่ 32-72 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมียอดขายแล้ว 8 ยูนิต ลูกค้าที่ซื้อส่วนใหญ่เป็นชาวรัสเซีย,โปแลนด์ และยังมีลูกค้าระดับ luxury ของไทยเลือกซื้อไว้ด้วยจำนวน 2 ยูนิต
“ถ้าพูดถึงภูเก็ตแล้ว โครงการอสังหาฯ ในระดับ Luxury ที่เป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติมากที่สุดก็คือ ลากูน่า ภูเก็ต ซึ่งตั้งอยู่ในย่านบางเทา และการที่ ‘บีสตาร์ท เฮฟเว่น’ เลือกปักหมุดอาณาจักร 80 ไร่ ลงบนทำเลย่านหาดในทอนนี้ ก็อยากให้นักลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างชาติคุณภาพดีรู้จักเรามากยิ่งขึ้นเสมือนเป็น ‘Mini Laguna’ ที่เราตั้งเป้าพัฒนาที่ดินให้เกิดขึ้นภายใน 5 ปีนับจากนี้ โดยจุดแข็งและข้อดีของเราก็คือ ไม่ได้เลือกแข่งขันในทำเลแถบ Red Ocean อีกทั้งเรายังถือครองที่ดินสวยๆ ในย่านนี่ได้มากที่สุดก่อนคนอื่น” วีระวิทย์ กล่าว

สำหรับแผนระยะสั้นใน 2 ปีนี้ (2568-2569) ทางบริษัทยังมีแผนจะพัฒนาโครงการเอง จำนวน 2 โครงการ โดยในปีนี้ จะเป็นการพัฒนาโครงการวิลล่า “ภูวิสต้า แอร์พอร์ต” ตั้งอยู่บริเวณหาดในยาง บนพื้นที่ 15 ไร่เศษ ห่างจากสนามบินภูเก็ต เพียง 5 นาที ขนาดตั้งแต่ 60-100 ตารางวา ราคาเริ่มต้นที่ 15-35 ล้านบาท จำนวน 44 ยูนิต มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท เริ่มเปิดพรีเซลเดือนพฤษภาคมนี้ ส่วนปี 2569 มีแผนเปิดตัวโครงการมิกซ์ยูส บนแลนด์แบงก์ย่านหาดในทอน จากทั้งหมด 80 ไร่ โดยเริ่มจากการเปิดตัวคอนโดฯ แบรนด์ “แซง โทเปซ” (Saint Tropez) สูง 7 ชั้น ขนาด 30-70 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 3.5-6 ล้านบาท จำนวน 100 ยูนิต มูลค่าโครงการ 450 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารของ บีสตาร์ท เฮฟเว่น ยังบอกด้วยว่า ธุรกิจอสังหาฯ ในภูเก็ตไม่เหมือนกับที่กรุงเทพฯ หรือที่อื่น เพราะต้องพึ่งพาช่องทางการตลาดที่ขายผ่านเอเยนต์ บริษัทต่างชาติมากถึง 70% อีกทั้งหลักการทำงานของเอเยนต์ในภูเก็ต จะไม่สนใจว่าใครคือแบรนด์เล็ก หรือใหญ่ แต่สนใจในเรื่อง Profile สินค้าที่มีคุณภาพ และสามารถการันตีผลตอบแทนการลงทุนให้ลูกค้าได้เป็นที่น่าพอใจมากกว่า ซึ่งเราประสบความสำเร็จจากตรงนี้ได้เป็นอย่างดี
ส่วนเรื่องของความเสี่ยงที่จะการเกิดสึนามิหรือแผ่นดินไหวอีกนั้น ทางบริษัทมองว่า เหตุการณ์สึนามิที่เกิดขึ้นในปี 2547 ไม่ได้มีผลกระทบในบริเวณย่านหาดในทอนแต่อย่างใด เนื่องจากที่ตั้งในบริเวณนี้ถูกบดบังไว้ด้วยภูเขาทั้ง 2 ด้าน ทำให้ตัวหาดเหมือนมีเกราะกำบังเพราะอยู่ด้านใน ประกอบกับที่ผ่านมาทางองค์การบริหารส่วนตำบลสาคู และอุทยานแห่งชาติสิรินาถ ได้มีการเตรียมรับมือด้านมาตรการป้องกันมานานแล้ว ทั้งในเรื่องสัญญาณเตือนภัย และมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลอยู่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการออกแบบและก่อสร้างได้ถูกต้องตามมาตรฐานที่กำนด ซึ่งสามารถรองรับการเกิดแผ่นดินไหวได้ถึง 7.7 แมกนิจูด

ภาพ : บีสตาร์ท เฮฟเว่น
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : LKF Group อสังหาฯ ยักษ์ใหญ่จากฮ่องกง ปักหมุดคอนโดภูเก็ต 'Sudara Residences' เน้นความหรูหรา-คุ้มค่า ราคาขาย 10-27 ล้านบาท
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine