ข้าวหอมมะลิไทยขึ้นชื่อว่าเป็นพันธุ์ข้าวที่มีกลิ่นหอมชวนชิม เนื้อสัมผัสนุ่มนวล ทั่วโลกให้การยอมรับว่าเป็นข้าวหอมอันดับ 1 เมื่อได้รับการแปรรูปมาเป็นขนมจึงควรค่าแก่การลิ้มลอง และก้าวไกลไปได้ทั่วโลก
สองพี่น้อง อภิญญา และ สุวิมล สิระนาท เป็นนักธุรกิจสาววัย 30s ที่โดดเด่นด้วยธุรกิจพัฒนาขนมที่ผลิตจากข้าวไทยส่งออกไปจำหน่ายทั่วโลก ด้วยสินค้านับพันรายการ มีทั้งแบรนด์ของตัวเองและแบรนด์ที่มีผู้จ้างผลิต ขนมมีความโดดเด่นเฉพาะตัว และที่มาของธุรกิจนี้ก็น่าชื่นชมเป็นแบบอย่างที่ควรค่าแก่การส่งต่อจากธุรกิจสู่สังคม เพราะธุรกิจถือกำเนิดจากความคิดที่ต้องการตอบแทนแผ่นดิน
“เป็นนักเรียนทุนเล่าเรียนหลวง คือทุนแบบให้เปล่า เรียนจบสามารถทำงานที่ไหนก็ได้จึงได้เข้าทำงานที่บริษัทการเงินชื่อดังในอเมริกา แต่ในใจคิดว่าอยากทำงานตอบแทนแผ่นดินไทยที่ให้ทุน” สุวิมล สิระนาท กรรมการผู้จัดการ บริษัท เติมเนเจอร์ อินดัสตรี้ จำกัด เริ่มต้นการให้สัมภาษณ์กับทีมงาน Forbes Thailand ร่วมกับพี่สาว อภิญญา สิระนาท รองกรรมการผู้จัดการ เติมเนเจอร์ บริษัทผู้ผลิตขนมจากข้าวไทยหลากหลายสายพันธุ์ ที่ทั้งคู่ร่วมกันสร้างและพัฒนามากว่า 8 ปี (จดทะเบียนก่อตั้ง 22 มีนาคม ปี 2560) ด้วยทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท โดยมีครอบครัวสิระนาทให้การสนับสนุน
สุวิมลเล่าว่า ธุรกิจของครอบครัวคือการนำเข้าสินค้าจากจีนประเภทของเล่นและกิฟต์ช็อปต่างๆ ทำมานานแล้ว แต่พวกเธอ 2 คนพี่น้องมีความคิดว่าอยากทำธุรกิจของตัวเอง สุวิมลจึงได้ตัดสินใจลาออกจากบริษัทการเงินชื่อดัง เมอร์ริล ลินซ์ ที่สหรัฐอเมริกา กลับมาเริ่มต้นธุรกิจในไทย โดยมีพื้นฐานความตั้งใจว่าอยากตอบแทนแผ่นดินไทยที่เป็นบ้านเกิดและยังเป็นทุนส่งเสริมให้ตัวเองได้เรียนจบปริญญาโทด้านการเงินที่สหรัฐอเมริกา
“พอคิดว่าจะทำธุรกิจในไทยก็เริ่มมองว่าจะทำอะไร แต่ส่วนตัวเป็นคนชอบขนมจึงคิดว่าทำขนมน่าจะดี และมองว่าประเทศไทยมีวัตถุดิบที่ดีคือข้าวหอมมะลิ ซึ่งขึ้นชื่อน่าจะพร้อมที่สุด” นั่นคือจุดเริ่มต้นธุรกิจที่สุวิมลบอกว่า อยากทำธุรกิจและตอบแทนสังคมไปด้วยในเวลาเดียวกัน
เธอกล่าวว่า ตอนที่กลับมาไทยช่วงนั้นมีเรื่องน้ำท่วม ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ประมาณปี 2559 ราว 9 ปีที่แล้วประเทศไทยมีปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำแตกต่างกันไปทุกปี สับปะรด ข้าว ทุเรียน เธอจึงอยากเอาผลผลิตทางการเกษตรเหล่านั้นมาแปรรูปเป็นสินค้าส่งออกต่างประเทศ “ถ้าทำแปรรูปแล้วส่งขายในประเทศก็เท่ากับไปแย่งขายกับพ่อค้าแม่ค้าเกษตรกร เหมือนเบียดเบียนเกษตรกร” เธอบอกว่า หากผลิตเพื่อส่งออกจะเป็นการขยายตลาด
ตอนที่เริ่มต้นธุรกิจสุวิมลอายุเพียง 21 ปี แต่เธอมีความมุ่งมั่นอย่างจริงจัง เริ่มศึกษาเรียนรู้ว่าควรทำอะไร เริ่มต้นอย่างไร เธอเริ่มต้นจากการลงมือทำเองจนเป็นที่พอใจจึงผลิตออกมาขาย “อีกอย่างที่คิดมาตั้งแต่แรกเลยคือ จะเน้นทำเพื่อส่งออก เพราะไม่ต้องการผลิตขนมออกมาแข่งกับคนไทยด้วยกันทั้งกลุ่มเกษตรกรและพ่อค้าแม่ค้า อาศัยการสื่อสารภาษาอังกฤษช่วยในการส่งออก” สุวิมลย้ำแนวคิดที่ตั้งใจมาตั้งแต่ต้น เธออยากช่วยเกษตรกร รับซื้อผลผลิตข้าว และไม่ต้องการผลิตสินค้าออกมาแข่งกับเกษตรกรหรือพ่อค้าแม่ค้าในเมืองไทย
“พอทำขนมอร่อยก็เริ่มขายโดยไปออกบูธตามเซ็นทรัลเวิลด์ เวลาออกไปขายของจะได้ feedback จากลูกค้ากลับมา อร่อย-ไม่อร่อย ความต้องการลูกค้าจริงคืออะไรก็ค่อยแก้ไป” สุวิมลเล่าประสบการณ์เริ่มต้นที่ทั้งสนุกและท้าทาย เพราะในวัย 21 ปีตอนนั้นสุวิมลเพิ่งเรียนจบ ทำงานไม่นานนักก็กลับไทย และคิดทำโรงงานขนมแต่ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าการทำโรงงานอาหารมันยาก เพราะไม่เคยอยู่ในอุตสาหกรรมนี้มาก่อน แต่มีใจที่อยากจะทำก็พยายามทุกวิถีทางให้เป็นไปได้ จากความท้าทายกลายเป็นบทเรียนและการเรียนรู้สู่ถนนสายธุรกิจ

ส่งออกกว่า 40 ประเทศ
“อาหารแปรรูปส่งขายต่างประเทศสิ่งสำคัญคือ สินค้าต้องอยู่ได้นาน เพราะกว่าตู้คอนเทนเนอร์จะไปถึง 2-3 เดือน โปรดักต์แรกขนมอบกรอบจากข้าวแปรรูปเป็นรสชาติต่างๆ” สุวิมลอธิบายและเผยว่า ขนมที่ทำออกมาทุกตัวได้ทำการวิจัยและพัฒนา เริ่มต้นการตลาดด้วยการไปออกบูธในงานอาหารและงานส่งออก ค่อยทำค่อยเปิดตัวเพราะไม่มีความรู้เรื่องการทำขนมหรือด้านวิทยาศาสตร์อาหารเลย มีแต่ความตั้งใจบนพื้นฐานที่อยากนำผลผลิตทางการเกษตรของไทยมาแปรรูปเพื่อส่งออกเป็นหลัก
ความตั้งใจคือจุดเริ่มต้น การลงมือทำคือสิ่งที่ก่อกำเนิดจริง 2 คนพี่น้องช่วยกัน สุวิมลดูตลาดในประเทศ ส่วนอภิญญาดูตลาดต่างประเทศเป็นหลัก เธอเล่าว่า จากจุดเริ่มต้นมาถึงวันนี้ 8 ปีในการทำธุรกิจเติมเนเจอร์ ผลิตขนมจากข้าวไทยส่งออกไปขายยัง 40 ประเทศ ไปแทบทุกภูมิภาคทั่วโลก ยกเว้นอเมริกาใต้และแอฟริกาซึ่งอาจจะขยายเข้าไปในอนาคต “เรายังมองที่จะเปิดตลาดใหม่ๆ อยู่เสมอ อีก 2 ภูมิภาคที่ยังไม่เคยไปก็มีแผนจะขยายไปให้ครบทุกพื้นที่”
ขนมของเติมเนเจอร์มีทั้งแนวขนมกรุบกรอบและนุ่มหนึบ ผลิตออกมาอย่างหลากหลายมีมากนับ 1,000 รายการ โดยผลิตภายใต้ 2 แบรนด์หลักคือ แบรนด์กรินนี่ (Grinny) และโอพัฟ (O Puff) รวมถึงแบรนด์ที่ลูกค้าจ้างผลิต (OEM: Original Equipment Manufacturer) โดยมีสัดส่วนแบรนด์ของตัวเองและแบรนด์ที่ลูกค้าจ้างผลิต 50/50 โดยมีจำนวนไม่น้อยที่แบรนด์ต่างๆ ให้เติมเนเจอร์เป็นผู้ผลิตให้ด้วยมาตรฐานโรงงานที่ดี ทีมงานมีประสบการณ์ในการวิจัยและผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ

“โรงงานได้รับการรับรองมาตรฐาน GMP, HACCP, Halal และ FSSC 22000 ทำให้ลูกค้าไว้วางใจในคุณภาพที่คุ้มค่าและรสชาติที่ดี” อภิญญาย้ำและว่า มาตรฐานการผลิตเป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งเป็นการผลิตอาหารด้วยแล้ว มาตรฐานสำคัญมาก จะขาดข้อใดข้อหนึ่งไปไม่ได้เลย
“วัตถุดิบหลักปลอดจากวัตถุดิบดัดแปลงพันธุกรรม (non-GMO) ได้การรับรองมาตรฐานฮาลาลด้วยคุณภาพที่เชื่อถือได้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคกว่า 40 ประเทศทั่วโลก” อภิญญาย้ำว่า ขนมจากเติมเนเจอร์พร้อมสู่การแข่งขันในตลาดฮาลาลระดับสากล บริษัทสามารถส่งสินค้าไปจำหน่ายยังประเทศมุสลิมได้ทั่วโลก โดยเฉพาะในตะวันออกกลางที่การตอบรับดี

การเจาะตลาดโลกไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนอกจากคุณภาพสินค้า รสชาติ และความปลอดภัยแล้ว ยังมีเรื่องที่ต้องคำนึงเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน “แต่ก่อนถ้าไปดูขนมในเชลฟ์จะเห็นว่าส่วนใหญ่เน้นกินอร่อย หากเป็นขนมสุขภาพส่วนใหญ่ไม่อร่อยแถมแพง แต่ที่เราทำคือขนมสุขภาพที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมในการผลิต รสชาติอร่อยและราคาไม่แพง”
อภิญญาบอกว่า นี่คือสิ่งที่ต้องทำและเป็นหัวใจที่ทำให้ขยายตลาดส่งออกได้ง่าย โดยข้าวเป็นจุดขายของไทย ถ้าจะแข่งตลาดโลกทุกประเทศมีข้าวแต่คนทำขนมจากข้าวมีไม่มาก ยิ่งข้าวอร่อยอย่างไทยยิ่งได้เปรียบ เธอมองจุดเด่นนี้ในแง่ธุรกิจไปได้ ทำให้ธุรกิจเติบโต และไม่ได้โตแค่บริษัทแต่ยังได้ช่วยสังคม “หลักคิดง่ายๆ คือ สังคมอยู่ได้ เราอยู่ได้”
อภิญญาเล่าว่า ตลาดส่งออกแรกคือสินค้าตู้คอนเทนเนอร์แรกส่งไปที่ประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นจำนวน 1 ตู้คอนเทนเนอร์ น้ำหนัก 5 ตัน จำนวนกว่า 2,000 ลัง ที่ส่งไปตอนนั้นเป็นขนมข้าวที่มีไส้ผลไม้ เช่น มะม่วง ทุเรียน นอกจากช่วยรับซื้อข้าวเกษตรกร ยังรับซื้อผลไม้เป็นการช่วยชาวสวนควบคู่ไปด้วย เป็นขนมข้าวที่มีเอกลักษณ์เป็นไส้ผลไม้ไทย จะเรียกว่าขนมไทยเป็นซอฟต์เพาเวอร์ก็ไม่ผิด เป็นสินค้าไทยที่ก้าวไกลสู่ตลาดยุโรป
“เนเธอร์แลนด์ เราได้ตลาดนี้จากการไปออกบูธงานแสดงสินค้าอาหาร ได้นำสินค้าไปจัดแสดง ลูกค้าได้ชิมและชอบในคุณภาพและการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หลายครั้งลูกค้าเดินเข้ามาหาเอง” อภิญญาเผยและว่า ทุกวันนี้เติมเนเจอร์ก็ยังคงไปออกบูธงานต่างๆ และบ่อยครั้งที่ลูกค้าเดินเข้ามาหาและสั่งสินค้าโดยที่บริษัทไม่ได้วิ่งไปหาตลาดโดยตรง
ปัจจุบันเติมเนเจอร์มีสัดส่วนยอดขายในตลาดส่งออก 70% ไปยังตลาดทั่วโลกกว่า 40 ประเทศ และยังคงขยายตลาดใหม่ๆ อยู่เสมอ ส่วนยอดขายในประเทศปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ 30% ขายผ่านร้าน 7-Eleven โมเดิร์นเทรด และเทรดิชันนอลเทรดผ่านยี่ปั๊วซาปั๊ว
แตกไลน์ขนมตามช่วงวัย
สำหรับตลาดในประเทศสุวิมลเผยว่า “เราทำขนมขบเคี้ยวจากข้าว แล้วทำขนมสอดไส้ ซึ่งความพิเศษของสินค้าเราสอดไส้ด้วยผลไม้ ต่างกับทั่วไปที่สอดไส้ครีมต่างๆ ที่สำคัญเราใช้วัตถุดิบจริง ไม่แต่งสีแต่งกลิ่น เนื้อสัมผัสขนมไม่เหมือนใคร” เธออธิบายความไม่เหมือนคือ ขนมของเติมเนเจอร์จะกรอบนอกหนุบหนับด้านใน เคี้ยวเพลินและเป็นเนื้อสัมผัสที่ได้จากวัตถุดิบธรรมชาติ ผลไม้จริงนำมากวนจึงได้รสชาติผลไม้แท้ๆ อร่อยแตกต่างและมาจากธรรมชาติทำให้ได้การตอบรับที่ดี

“เราโฟกัสสินค้าสำหรับเด็กหลายช่วงวัย ตั้งแต่เด็กทารกที่ฟันกำลังจะขึ้นเขาจะคันเหงือกเราก็ทำขนมเพื่อให้เด็กวัยนี้ได้บดเคี้ยวง่ายๆ และขนมละลายในปากได้ ซึ่งก็ทำจากข้าวและผลไม้” สุวิมลย้ำว่า ขนมสำหรับทารกก็อร่อยและปลอดภัยสำหรับทารกแน่นอน เนื้อสัมผัสจะนุ่ม นอกจากฝึกเคี้ยวยังฝึกการจับด้วยในเด็กวัย 1 ขวบไปถึง 2-3 ขวบก็ปลอดภัยไม่มีสารตกแต่งใดๆ
ส่วนเด็กในวัยเรียนก็มีขนมหลากหลายให้เหมาะกับช่วงวัย ทำจากธัญพืช ปลอดสารและจำหน่ายราคาถูกเพียง 4-5 บาท นอกจากนี้ ยังมีซีเรียลอาหารเช้าสำหรับเด็กที่ทำจากโฮลเกรนหรือธัญพืชเต็มเมล็ดที่ไม่ผ่านการขัดสี

เด็กกลุ่มวัยรุ่นโตขึ้นมาหน่อยจะเป็นขนมขบเคี้ยวกรอบอร่อยซึ่งส่วนใหญ่มักใช้กรรมวิธีการทอด แต่ของเติมเนเจอร์จะเป็นการอบ เน้นสุขภาพสามารถทานได้มาก และราคาจับต้องได้ ซองใหญ่จำหน่ายเพียง 20 บาท ดีกว่าขนมทั่วไปเพราะมีธัญพืชดีต่อสุขภาพ
นอกจากนี้ ยังทำขนมสุขภาพตามเทรนด์สุขภาพ เช่น บางคนเน้นโปรตีน เติมเนเจอร์ก็มีขนมโปรตีนเป็นซีเรียลโปรตีนจากถั่วลันเตา เติมไฟเบอร์จากธรรมชาติ รวมถึงผงชงต่างๆ ผงโจ๊ก บางทีคนสูงวัยต้องการผงชงดื่มง่ายๆ เป็นอีกกลุ่มที่บริษัททำโจ๊กผู้ใหญ่ชงดื่มจากข้าวกล้องหอมมะลิแท้ สินค้าเหล่านี้มีวางจำหน่ายทั้งใน -7-Eleven และโมเดิร์นเทรดทุกที่ กระจายไปทั่วประเทศ ขายผ่านเอเยนต์ในกลุ่มยี่ปั๊วซาปั๊วก็มี เพื่อส่งต่อไปยังร้านค้าย่อยในชุมชน มีตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

ในด้านการเติบโตสองพี่น้องเผยว่า เติมเนเจอร์เติบโตทุกปี โดยเติบโต 100% ตั้งแต่ปีแรกๆ ต่อเนื่องมาตลอดและยังคงเติบโตไปเรื่อยๆ และการโฟกัสของเติมเนเจอร์ไม่ได้ดูแค่มูลค่าที่เติบโต แต่ยังมองเรื่องความยั่งยืนด้วย เช่น การแตกกลุ่มสินค้าออกไปเรื่อยๆ กระจายการตอบแทนสังคมมากขึ้นด้วยการซื้อข้าวซื้อสินค้าจากเกษตรกรเพื่อสร้างความเติบโตให้กลุ่มเกษตร
เดินแนวทางธุรกิจยั่งยืน
“แต่ละปีเราซื้อข้าวจากเกษตรกรหลาย 100 ตัน ตู้คอนเทนเนอร์หนึ่งก็ 5 ตันแล้ว เราซื้อเยอะมาก และไม่ใช่แค่ข้าว แต่ยังซื้อสินค้าเกษตรอื่นๆ ด้วย เรามองเรื่องนี้เป็นความยั่งยืนหนึ่งของธุรกิจ” สุวิมลเล่าว่า นอกจากรับซื้อผลผลิต เมื่อนำมาแปรรูปแล้วบริษัทยังได้นำขนมเหล่านี้กลับไปให้เกษตกรได้เห็นและภูมิใจว่าผลผลิตของพวกเขาสามารนำมาแปรรูปเป็นขนมที่มีคุณภาพ เกษตรกรก็มีความสุข
เช่นเดียวกับพนักงานกว่า 200 คนที่บริษัทให้การดูแลอย่างดี การดำรงชีวิตของพนักงานในโรงงานหลายครอบครัวเติบโตขึ้นมีครอบครัวที่แข็งแรง แน่นอนยอดขายเป็นสิ่งสำคัญแต่คุณภาพชีวิตก็สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน บริษัทมองเรื่องเหล่านี้เป็นการตอบแทนกลับสู่สังคม
นอกจากการดูแลทีมงานและซัพพลายเออร์เกษตรกร การออกแบบโปรดักต์ใหม่ก็เน้นเรื่องความยั่งยืนด้วยเช่นกัน และมีการแตกไลน์มากขึ้นด้วย เช่น ขนมเวเฟอร์ดริปช็อกโกแลต และแตกไลน์ไปสู่สินค้าโปรตีนสำหรับคนที่เข้าฟิตเนส และเคยทำแม้กระทั่งขนมไข่ขาวที่ผู้ป่วยสามารถทานได้

“เราเริ่มมาขายในประเทศมากขึ้น จากเดิมที่เน้นส่งออกเป็นหลัก เพราะมีลูกค้าหลายคนได้ลองชิมและว่าอร่อยแต่หาซื้อในไทยไม่ได้ บริษัทจึงหันมาขยายตลาดในประเทศมากขึ้น” สุวิมลเผยและว่า แม้จะเป็นขนมมาตรฐานส่งออกที่รับรองความปลอดภัยและมีมาตรฐานสากล แต่การกำหนดราคาขายในประเทศก็ยังคงเป็นราคาที่ย่อมเยาในระดับที่ตลาดรับได้และสามารถรับประทานได้ทุกวัน ทั้งความปลอดภัยของอาหารและราคาที่จับต้องได้
ธุรกิจเดินทางมา 8 ปีแล้ว สองผู้บริหารเผยว่า ครั้งแรกไม่ได้คิดว่าจะโตมาก เพราะโจทย์คือ อยากเป็นส่วนเล็กๆ ที่ช่วยเกษตรกรบ้าง “ภาพในวันแรกไม่คิดว่ามาไกลได้ขนาดไหน มองแค่ว่าอย่างน้อยเราเป็นส่วนหนึ่งเอาความรู้มาทำให้เกิดประโยชน์ขึ้นไม่มากก็น้อย พอมันไปเรื่อยๆ มันใหญ่ขึ้น”
สุวิมล เผยว่า ตอนแรกที่ได้ยินคำว่า “อุตสาหกรรม” มีคนถามว่า รู้ไหมหมายถึงอะไร ก่อนจะได้คำตอบคือ อุตสาหะและกรรม คือต้องทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ยิ่งเป็นโรงงานอุตสาหกรรมอาหารคือเหนื่อยจริงๆ เงื่อนไขกฎระเบียบต่างๆ มีรายละเอียดมาก ขึ้นแล้วลงไม่ได้ด้วย ต้องเพิ่มไปเรื่อย ค่อยเรียนรู้ทีละก้าว เธอบอกว่า ทุกวันนี้ก็ยังเรียนรู้อยู่ตลอด ทำให้มองว่าบริษัทจะเติบโตและมีความมั่นคง เป้าหมายใหม่เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ เช่นกัน
“ยอดขายปีที่แล้ว 300 ล้านบาท รวมทั้งในประเทศต่างประเทศ ปีนี้หวังว่าจะโตได้อีก แต่ต้องยอมรับว่าหลังโควิดมาสภาพการค้าขายโลกก็เปลี่ยนไป ลูกค้าก็จำกัดงบลง” อภิญญาบอกว่า ผู้คนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น บริษัทก็ต้องปรับตัวกับความท้าทายใหม่ที่เข้ามา ล้วนเป็นโจทย์ที่ทำให้ต้องปรับตัวในทุกวัน
“ภาษี Trump เราไม่ได้โดนโดยตรง แต่ว่าซัพพลายเชนกระทบค่าเงินบาทที่เคยอ่อนถึง 37.5 ปีนี้แข็งขึ้นเหลือ 31 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ เท่ากับเงินหายไปเลย 6 บาท ขนมหายไปถุงหนึ่งเลยนะ” อภิญญาอธิบายในฐานะผู้ส่งออกกับปัญหาบาทแข็งก็ส่งผลกระทบไม่น้อยเช่นกัน
อีกเรื่องคือ การย้ายฐานผลิตก็ส่งผลกระทบเหมือนกัน แต่โชคดีที่ข้าวไทยคือสินค้าที่ลูกค้าเห็นมูลค่า ข้าวประเทศอื่นสู้ไทยไม่ได้ทำให้ขนมจากข้าวไทยขายได้ราคา ลูกค้ายอมจ่ายแพงเพื่อคุณภาพและความอร่อย “สิ่งที่เรายึดมั่นตลอดคือ โรงงานต้องมีมาตรฐาน ความไว้วางใจคือหัวใจว่าจะอยู่รอดแค่ไหน ตอนนี้โควิดไปแล้ว ปัญหา geopolitics ยังอยู่ เราต้องปรับตัวไปตามเทรนด์ผู้บริโภค”
อภิญญาย้ำว่า การทำตลาดให้เข้าถึงลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญ ตลาดออนไลน์ช่วยได้ส่วนหนึ่ง แต่ในแง่ภาพรวมธุรกิจต้องทำให้ตลาดเดินหน้าให้ได้ ทำทุกอย่างไม่ให้ซัพพลายเชนขาดตอน มันคือการบริหารจัดการของบริษัท จัดการวัตถุดิบยังไงเพื่อไปต่อได้ ทำให้การผลิตไม่หยุด การขายไม่ชะงัก
สุวิมลกล่าวว่า การเติบโตของบริษัทเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ละปีมีไฮไลต์ที่แตกต่างกัน บางปีได้ออร์เดอร์ล็อตใหญ่เข้ามามากเป็นพิเศษขึ้นอยู่กับจังหวะ แต่โดยภาพรวมแล้วเติบโตทุกปี และรู้สึกภูมิใจสินค้าแบรนด์ของตัวเองติดตลาด
หนทางข้างหน้าอีกยาวไกล สองผู้บริหารคนรุ่นใหม่ยังมีโอกาสในอนาคตอีกหลายมิติ ขอเพียงไม่ท้อและไม่วางมือการสร้างความเติบโตต่อเนื่องไม่ยากเกินกำลัง
ภาพ: วรัชญ์ แพทยานันท์ และ บจ. เติมเนเจอร์ อินดัสตรี้
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : 'Kong Wan Sing' สร้าง JustCo ออฟฟิศยืดหยุ่นเจาะทุกตลาด


