<h2>ไทยกูลิโกะ ตอบโจทย์เทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่ เปิดตัว “แอลฟี่ ดีไลท์” ช็อกโกแลตพรีเมียม 2 รสชาติ ลิมิเต็ด “บลูเบอร์รีโยเกิร์ต-ดาร์กช็อกโกแลต และส้มยูสุ-ดาร์กช็อกโกแลต” เพื่อกระตุ้นยอดขายและชิงส่วนแบ่งการตลาดที่ปัจจุบันมีการแข่งขันสูง </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไทยกูลิโกะ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยอดนิยม ป๊อกกี้ เพรทซ์ พีจอย แอลฟี่ และโคลลอน ขยายไลน์สินค้ากลุ่มแมสพรีเมียม (Mass-Premium) ช็อกโกแลต ในราคาเข้าถึงง่าย ต่อยอดแบรนด์แอลฟี่ ช็อกโกแลตในตำนานคู่คนไทยเกือบ 50 ปี เปิดตัว “แอลฟี่ ดีไลท์” สร้างสรรค์ 2 นวัตกรรมแห่งรสชาติในบาร์เดียว ตอบโจทย์ Chocolate Lover รสบลูเบอร์รีโยเกิร์ตและรสดาร์กช็อกโกแลต และรส&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส้มยูสุและรสดาร์กช็อกโกแลต จับคู่ความเข้มข้นของดาร์กช็อกโกแลตผสานความสดชื่นจากเกล็ดผลไม้แท้ ยกระดับประสบการณ์ความสนุกทุกโมเมนต์ในการเคี้ยวด้วยรสสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์ เริ่มวางจำหน่าย แล้วทั่วประเทศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เฉลิมพงษ์ ดรงค์สุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยกูลิโกะ จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ เดินหน้าขยายไลน์สินค้าให้ครอบคลุมกลุ่มสินค้าใหม่ๆ พร้อมทั้งสร้างประสบการณ์ความเพลิดเพลินและยกระดับการกินช็อกโกแลตมากยิ่งขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัทฯ ได้เปิดตัว “แอลฟี่ ดีไลท์” (Alfie Delight) กลุ่มผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลต ระดับแมสพรีเมียม (Mass-Premium) ภายใต้แบรนด์แอลฟี่ ในราคาเข้าถึงได้ง่าย ซึ่งเป็นแบรนด์ช็อกโกแลตที่ครองใจผู้บริโภคชาวไทยมายาวนานเกือบ 50 ปี โดยมุ่งนำเสนอคอนเซ็ปต์ “เคี้ยวสนุกทุกโมเมนต์” ยกระดับความสนุกในการเคี้ยวที่ไม่ซ้ำใคร การเปิดตัวครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับแบรนด์แอลฟี่ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่กำลังมองหาประสบการณ์ใหม่ในการบริโภคช็อกโกแลตที่ทั้งสร้างสรรค์และน่าประทับใจ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/09/N8jLxyMUpkDnRmZKDtT3.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="N8jLxyMUpkDnRmZKDtT3.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การเปิดตัว “แอลฟี่ ดีไลท์” นำเสนอการสร้างสรรค์นวัตกรรมแห่งรสชาติ (Flavour Innovation) ที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่ซ้ำใคร โดย 2 รสชาติแรก แบบลิมิเต็ด อิดิชั่น ได้แก่ รสบลูเบอร์รีโยเกิร์ตและรสดาร์กช็อกโกแลต และ รสส้มยูสุและรสดาร์กช็อกโกแลต มอบประสบการณ์การทานช็อกโกแลตพรีเมียมที่พิเศษกว่าเดิม พร้อมเติมความสนุกผ่านรสชาติที่รังสรรค์อย่างพิถีพิถันและผสมผสานกันอย่างลงตัว ตอกย้ำจุดหมายการสร้าง Well-being ด้วยรสชาติที่สดชื่นและแตกต่าง ให้ทั้งความอร่อย สนุก และน่าจดจำ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/09/fYAfBoDx6QuvcTcPCMBa.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="fYAfBoDx6QuvcTcPCMBa.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับ “รสบลูเบอร์รีโยเกิร์ตและรสดาร์กช็อกโกแลต” โดดเด่นด้วยความเข้มข้นของดาร์กช็อกโกแลต ผสานความหวานอมเปรี้ยวของเกล็ดบลูเบอร์รีแท้และความนุ่มละมุนของโยเกิร์ต ขณะที่ “รสส้มยูสุและรสดาร์กช็อกโกแลต” มาพร้อมความเปรี้ยวสดชื่นจากเกล็ดส้มยูสุแท้และความเข้มของดาร์กช็อกโกแลต โดยทั้ง 2 รสชาตินี้ ทำจากผลไม้อบแห้งแท้ พร้อมทั้งเพิ่มความสนุกในการเคี้ยวด้วยความกรุบกรอบจากคุกกี้โฮลวีทบดและอัลมอนด์บด ให้รสสัมผัสที่หลากหลาย สร้างสรรค์ช็อกโกแลตรสชาติพิเศษเอาใจคนรักขนมหวานอย่างลงตัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ไทยกูลิโกะตั้งใจสร้างความแตกต่างในตลาดช็อกโกแลตที่มีการแข่งขันสูง ด้วยการจับคู่ช็อกโกแลตเข้ากับผลไม้ยอดนิยมในระดับนานาชาติ รองรับเทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ไม่ได้มองหาเพียงความอิ่มหรือรสชาติ แต่ต้องการประสบการณ์ความเพลิดเพลินในการรับประทานขนม (Snacking Indulgence Experience)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบัน แอลฟี่ ดีไลท์ รสบลูเบอร์รีโยเกิร์ตและรสดาร์กช็อกโกแลต และแอลฟี่ ดีไลท์ รสส้มยูสุและรสดาร์กช็อกโกแลต เริ่มวางจำหน่ายแล้ว (Limited Edition) ในบรรจุภัณฑ์ดีไซน์พรีเมียม ขนาด 31 กรัม ราคา 25 บาท ผ่านช่องทางร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ โดยหวังว่าสินค้านี้จะเติมเต็มความสุขในการทานช็อกโกแลตให้สนุกและมีสีสันยิ่งขึ้น ภาพ : ไทยกูลิโกะ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/major-x-butterbear" alt="พุงเต่งเพราะป๊อปคอร์น! Major X Butterbear ส่งเซตป๊อปคอร์น ‘น้องหมีเนย’ สุดคิ้วท์">พุงเต่งเพราะป๊อปคอร์น! Major X Butterbear ส่งเซตป๊อปคอร์น ‘น้องหมีเนย’ สุดคิ้วท์</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

แอลฟี่ ดีไลท์ หวังชิงส่วนแบ่งตลาดเพิ่ม! เปิดตัว 'ช็อกโกแลตพรีเมียม' ผสมเกล็ดผลไม้ 2 รสชาติใหม่ 

<h2>หลังก่อนหน้านี้ในเดือนเมษายน 2568 ที่ผ่านมา เกิดความเคลื่อนไหวในวงการธุรกิจอาหารและขนมขบเคี้ยว ที่ “เถ้าแก่น้อย” เข้าถือหุ้นในบริษัท เจ้าสัว ฟู้ดส์ อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ “เจ้าสัว” แบรนด์ข้าวตังที่หลายคนคุ้นเคย ซึ่งปัจจุบันเถ้าแก่น้อยกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับ 2 ในเจ้าสัวแล้ว ล่าสุดฝั่งเจ้าสัวบอกว่าจะเห็นความร่วมมือในหลายมิติกับเถ้าแก่น้อยในช่วงครึ่งปีหลังนี้</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ณภัทร โมรินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ้าสัว ฟู้ดส์ อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ CHAO กล่าวว่า แผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 บริษัทฯ จะมุ่งเน้นกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1) ผนึกกำลังกับพันธมิตร (Synergy with Partner) เพื่อเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน บริษัทฯ เตรียมความพร้อมในการวางแผนความร่วมมือกับ บมจ. เถ้าแก่น้อย ฟู้ด แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง หรือ TKN ในการใช้ทรัพยากรด้านโลจิสติกส์ และจุดกระจายสินค้าร่วมกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขยายช่องทาง Traditional Trade นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในไตรมาส 4 ปี 2568&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2) การขยายตลาดต่างประเทศ (International Expansion) บริษัทฯ มุ่งเน้นการขยายตลาดในสหรัฐอเมริกา โดยเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายในกลุ่ม Asian Supermarket และวางแผนพัฒนาสินค้าใหม่ร่วมกับพันธมิตรในประเทศจีน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3) การบริหารจัดการต้นทุน (Cost Management) บริษัทฯ ดำเนินมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (Productivity Improvement) ภายในโรงงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อบริหารจัดการต้นทุนและรักษาความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4) การก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ โดยโครงการก่อสร้างโรงงานโฮลซัมแห่งที่ 2 ยังคงดำเนินไปตามแผน เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราเชื่อมั่นว่าการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่ดำเนินการในไตรมาสนี้ ทั้งการปรับโครงสร้างช่องทางจัดจำหน่ายและการทุ่มงบประมาณเพื่อสร้างการรับรู้ในผลิตภัณฑ์ใหม่ จะเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งและเริ่มส่งผลดีอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบกับแนวโน้มราคาวัตถุดิบที่เริ่มมีสัญญาณบวก และการผนึกกำลังกับพันธมิตรที่แข็งแกร่ง จะช่วยผลักดันให้ผลการดำเนินงานของ CHAO กลับมาเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพ และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุนได้ในระยะยาว” ณภัทร กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของ CHAO ในไตรมาส 2 ปี 2568 (เมษายน - มิถุนายน) นั้นมีรายได้จากการดำเนินงานรวม 340.2 ล้านบาท ปรับตัวลดลงเล็กน้อย 0.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เพิ่มขึ้น 5.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และมีกำไรสุทธิ 1.7 ล้านบาท ลดลง 95.0% (YoY) และ 85.6% (QoQ)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“แม้ว่ากำไรสุทธิจะปรับตัวลดลงจากปัจจัยด้านต้นทุนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะราคาสุกรซึ่งเป็นวัตถุดิบหลัก ประกอบกับมีค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น เพื่อสนับสนุนการเปิดตัวสินค้าใหม่และปรับรูปแบบการจัดจำหน่ายในช่องทาง Traditional Trade ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น แต่ในด้านรายได้จากการดำเนินงานยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยเฉพาะรายได้ในประเทศที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงาน เกิดจากรายได้ต่างประเทศชะลอตัวชั่วคราว โดยรายได้จากต่างประเทศลดลง 19.2% (YoY) มีสาเหตุหลักจากประเทศจีน ประกอบกับ ในไตรมาส 2 ปี 2567 มีแคมเปญส่งเสริมการขายขนาดใหญ่ และรับรู้รายได้ภายในไตรมาสนั้น แตกต่างกับสินค้าใหม่ในปีนี้ที่จะเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 3 ปี 2568&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ยอดขายในสหรัฐอเมริกายังคงเติบโตได้ดี ส่งผลให้รายได้ต่างประเทศฟื้นตัวขึ้น 13.1% (QoQ) นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยกดดันจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ขณะเดียวกัน ค่าใช้จ่ายในการโฆษณาและการตลาดที่เพิ่มขึ้น เพื่อสนับสนุนการเปิดตัวสินค้าใหม่และกระตุ้นยอดขาย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ หากพิจารณาจากรายได้ในประเทศซึ่งเป็นตลาดหลักยังเติบโตแข็งแกร่ง โดยขยายตัว 5.0% (YoY) และ 3.5% (QoQ) ถือเป็นผลสำเร็จจากการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดจำหน่ายของลูกค้ารายใหญ่ในกลุ่ม Traditional Trade มาเป็นการขายตรง การขยายจุดจำหน่ายใหม่ และการเติบโตของกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่าบริษัทฯ ยังคงมีความแข็งแกร่งในการดำเนินงานและมีปัจจัยบวกที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเติบโตของกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักอย่าง ‘ข้าวตัง’ ซึ่งเป็นรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทฯ ที่ยังคงขยายตัวได้ดีถึง 13.7% (YoY) และการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ ‘กลุ่มอาหารแปรรูป’ ที่สูงถึง 30.8% (YoY) ซึ่งเป็นผลจากการตอบรับที่ดีของตลาดต่อผลิตภัณฑ์กุนเชียงและหมูหยอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ยังเป็นผลมาจากการปรับกลยุทธ์ช่องทางการจัดจำหน่ายในกลุ่มร้านค้าดั้งเดิม (Traditional Trade) มาเป็นรูปแบบการขายตรงให้แก่ผู้ค้าส่ง ซึ่งช่วยให้บริษัทฯ สามารถควบคุมการกระจายสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของรายได้ในประเทศ ขณะเดียวกัน ยังมีสัญญาณเชิงบวกเกี่ยวกับต้นทุนวัตถุดิบ โดยเฉพาะราคาสุกรที่เริ่มปรับตัวลดลงในช่วงต้นไตรมาสที่ 3 ซึ่งคาดว่าจะช่วยสนับสนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/kfc-i-butterbear-sale-growth-49-percent" alt="พลังเซเลบสาวพุงเต่ง! KFC เผยคอลแล็บ ‘น้องเนย Butterbear’ ทำยอดขายพุ่ง 49%">พลังเซเลบสาวพุงเต่ง! KFC เผยคอลแล็บ ‘น้องเนย Butterbear’ ทำยอดขายพุ่ง 49%</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘เจ้าสัว’ เผยความร่วมมือเถ้าแก่น้อย ใช้โลจิสติกส์-คลังสินค้าร่วมกัน พร้อมเตรียมออกโปรดักต์ใหม่ด้วยกัน Q4 นี้

<h2>รู้หรือไม่ว่ามันฝรั่งทอดกรอบอย่าง ‘เลย์’ อยู่ในไทยมา 30 ปีแล้ว และที่ผ่านมาผลิตมาแล้ว 200 รสชาติ ล่าสุดการฉลอง 30 ปี นอกจากจะเอารสเดิมตัวฮิตกลับมาขายอีกครั้ง ก็ยังจัดแคมเปญพิเศษแจกของพรีเมียมสุดคิวท์ ตอกย้ำการเป็นขนมสุดจอยของคนทุกเจเนอเรชั่น</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดูเหมือนว่า ‘ขนม’ จะยังคงเป็นกลุ่มอาหารที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคอยู่เสมอ ข้อมูลจากนีลเส็น (Nielsen) ปัจจุบันภาพรวมตลาดขนมขบเคี้ยวในประเทศไทยมีมูลค่ารวมกว่า 47,000 ล้านบาท เติบโต 9%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ที่น่าสนใจคือกลุ่มมันฝรั่งทอดกรอบ (Potato Chip) มีมูลค่ามากกว่า 15,000 ล้านบาท เติบโต 5% เป็นผลจากการที่แบรนด์ต่างๆ ออกรสชาติใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดย ‘เลย์’ มันฝรั่งทอดกรอบที่อยู่ในไทยมา 30 ปี ออกรสชาติมาแล้วมากกว่า 200 รสชาติ แน่นอนว่ามีหลายรสชาติถูกปากคนไทย ไม่ว่าจะเป็น รสออริจินอล รสเมี่ยงคำ รสโนริสาหร่าย เป็นต้น และทุกรสชาติมีความโดดเด่น อร่อย ถูกปาก ถูกใจผู้บริโภคคนไทย นั่นจึงทำให้เลย์เป็นผู้นำและได้รับความนิยมมาตลอด 30 ปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไม่ใช่เพียงแค่รสชาติที่ถูกปากเท่านั้น แต่การทำการตลาดด้วยแคมเปญต่างๆ เพื่อกระตุ้นผู้บริโภค ก็ยังเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ประสบความสำเร็จ ล่าสุด เลย์จัดใหญ่ฉลองครบรอบ 30 ปีในประเทศไทย กับงาน “เลย์ 30 ปี จอยได้ทุกเจนเลย์” กับกิจกรรมเล่นใหญ่ แจกของทั่วไทย ด้วยการแจกสติ๊กเกอร์ดีไซน์พิเศษฟรีให้ไปจอยกันได้ทั่วประเทศ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/ATZvEe7zberURJs8VBiQ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="ATZvEe7zberURJs8VBiQ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,480"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยผนึก BT21 คาแรกเตอร์มอบของขวัญ ของพรีเมียมสุดคิวท์ พร้อมออกคอลเลกชั่นสุดพิเศษเอาใจกับลูกค้าคนไทยในโอกาสครบรอบ 30 ปี ตอกย้ำความเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดขนมขบเคี้ยวกลุ่มมันฝรั่งทอดกรอบของ “เลย์” และ “เลย์สแตคส์” ที่คงความเป็นขนมสุดจอยของทุกเจเนอเรชั่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ชลกร อภิชาติธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ธุรกิจอาหารและขนมขบเคี้ยว เป๊ปซี่โค ภูมิภาคอินโดจีน เปิดเผยว่า ในโอกาสฉลองครบรอบ 30 ปี “เลย์” ปีนี้จะชูจุดเด่นตัวจริงเรื่องมันฝรั่งแท้ที่ “เลย์” ยืนหนึ่งเรื่องรสชาติความกรอบอร่อย และสร้างความจอยให้กับคนไทยมายาวนานกว่า 30 ปี​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/tNmDRL13smCRyLXC9ago.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="tNmDRL13smCRyLXC9ago.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="720,479"><figcaption><div>ชลกร อภิชาติธรรม</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยการจัดงาน “เลย์ 30 ปี จอยได้ทุกเจนเลย์” กับกิจกรรม เล่นใหญ่ แจกความจอย ทั่วไทย โดยเลย์แจกสติ๊กเกอร์ดีไซน์พิเศษฟรีให้ไปจอยกันได้ทั่วประเทศ เพื่อมอบของขวัญคอลเลกชั่นสุดพิเศษที่เลย์จับมือร่วมกับ BT21 คาแรกเตอร์ จาก IPX ซึ่งอยู่ภายใต้กลุ่มบริษัท LINE ครั้งแรก สร้างสีสันฉลองครบรอบ 30 ปี เพื่อตอบแทนกลุ่มลูกค้าคนไทย เนื่องจาก LINE เป็นแพลตฟอร์มหรือแอพพลิเคชันที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในทุกเจเนอเรชั่นหรือทุกช่วงวัย ตั้งแต่วัยรุ่น คนทำงาน ไปจนถึงผู้สูงอายุ ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์และทิศทางของแบรนด์เราอย่างลงตัว ภายใต้แนวคิด “จอยได้ทุกเจนเลย์”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ เพียงแค่สแกนหน้าซอง กรอกโค้ดในซองเลย์ (Lay’s) หรือใต้ฝากระป๋องเลย์ สแตคส์ (Lay’s Stax) ก็รับได้ทันที LINE Sticker ดีไซน์ BT21 สุดพิเศษ พร้อมสะสมคาแรกเตอร์เพื่อแลกของพรีเมียมสุดคิวท์ Special collection จาก BT21 กว่า 20 แบบ อาทิ ตะเกียบคีบขนม (Chopstick for Snacks), ถุงผ้าพับเก็บได้ (on-the-go-bag), แก้วน้ำเก็บอุณหภูมิ (Tumbler), กล้องสุ่ม (Random Camera Box 4 designs) รวมมูลค่ากว่า 13 ล้านบาท ให้เลือกสะสมตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. - 15 ส.ค. 2568 สามารถติดตามรายละเอียดของแคมเปญได้ที่ Fanpage: LaysThailand คาดว่าจะได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/ewaazMfJifpj66JtshTk.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="ewaazMfJifpj66JtshTk.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2" origin-size="720,480"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“BT21 เป็นที่รักและเป็นที่นิยมทั่วโลก และมีบุคลิกที่เป็นมิตร สนุกสนาน เข้าถึงง่าย การใช้ BT21 ในดีไซน์ครั้งนี้ จะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์เลย์ และเลย์สแตคส์ให้ดูสดใส ทันสมัย และเป็นกันเอง อีกทั้งยังช่วยกระชับความสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายผ่านคาแรกเตอร์ที่พวกเขาคุ้นเคยและผูกพันอยู่แล้ว รวมถึงจะช่วยตอกย้ำจุดยืนของแบรนด์ในการมอบความสุขและประสบการณ์ที่มีคุณค่าให้กับทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในเจเนอเรชั่นไหน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของแนวคิด จอยได้ทุกเจนเลย์ และช่วยให้แบรนด์ของเราเป็นที่จดจำ เข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคได้อย่างเป็นธรรมชาติ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การจัดงานครั้งนี้จึงเป็นการตอกย้ำความเป็นขนมสุดจอยของทุกเจเนอเรชั่น เพราะมีความจอยในแบบของตัวเอง และเลย์ก็เป็นตัวเชื่อมความจอยของทุกเจเนอเรชั่นเข้าด้วยกัน แค่มีเลย์ ก็มาจอยด้วยกันได้”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ชลกร กล่าวต่อว่า การฉลองครบรอบ 30 ปีครั้งนี้ เลย์ยังได้นำรสชาติเก่าสุดฮอตฮิต คือ รสไข่เค็ม รสชีสและหัวหอม รสกะเพรากรอบ และรสลาบทอด กลับมาทำตลาดใหม่อีกครั้งด้วย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า หลังผู้บริโภคเรียกร้องเข้ามามาก ภาพ: เลย์ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/nestle-ice-cream-restaurant-market-after-the-food-and-beverage-business-in-2025-worth-657-billion-baht" alt="เนสท์เล่ ไอศกรีม เตรียมเจาะตลาดผ่านร้านอาหาร หลังธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มปี 68 มีมูลค่าสูงถึง 657,000 ล้าน">เนสท์เล่ ไอศกรีม เตรียมเจาะตลาดผ่านร้านอาหาร หลังธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มปี 68 มีมูลค่าสูงถึง 657,000 ล้าน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘เลย์’ อยู่ในไทยมา 30 ปี ผลิตมาแล้ว 200 รสชาติ ปีนี้จัดแคมเปญฉลองใหญ่ ตอกย้ำความเป็นขนมของคนทุกเจนฯ

<h2>รู้หรือไม่ว่าขนมขบเคี้ยวหนุบหนับรูปหมีที่หลายคนคุ้นเคยอย่าง ‘จอลลี่แบร์’ เป็นแบรนด์สัญชาติไทย มีเจ้าของเป็นคนไทย อยู่ในตลาดมากว่า 50 ปี และมียอดขายปี 2566 ที่ผ่านมากว่า 300 ล้านบาท</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในงานสัมมนาออนทัวร์ ครั้งที่ 2 ที่จังหวัดขอนแก่นซึ่งจัดขึ้นโดย ซีพี ออลล์ เพื่อให้ SME New Gen ได้มีโอกาสมาเข้าร่วมฟังและอัปเดตเทรนด์ใหม่ๆ นำไปต่อยอดสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้นให้กับธุรกิจ ซึ่งหนึ่งใน SME ที่ได้รับเชิญมาให้ความรู้คือ นิค-พลากร เชาวน์ประดิษฐ์ เจ้าของแบรนด์ “จอลลี่แบร์” (Jolly Bears) ขนมเยลลี่หมีที่เชื่อว่าคนไทยทุกคนต้องเคยทาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นิค-พลากร เล่าให้ฟังว่า “จอลลี่แบร์” ถือเป็นแบรนด์ขนมขบเคี้ยวสัญชาติไทย ที่ถือหุ้นและบริหารโดยคนไทย 100% มีชื่อเสียงโลดแล่นในตลาดมานานกว่า 50 ปี ผลิตโดย บริษัท พงษ์จิตต์ จำกัด ที่มีจุดเริ่มต้นจากการผลิตลูกอมแบบแข็ง แต่ด้วยสภาพตลาดที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูง ทำให้ทายาทรุ่นที่ 2 ที่มารับช่วงต่อต้องมองหาโอกาสใหม่ๆ ในการเติบโต โดยหันมาผลิตเยลลี่รูปหมีแทน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นิค-พลากร เชาวน์ประดิษฐ์ เจ้าของแบรนด์ “จอลลี่แบร์” ทายาทรุ่นที่ 3 เล่าเรื่องขยายความต่อให้ฟังว่า ต้องยอมรับว่า ในยุคนั้นคนไทยยังไม่ค่อยรู้จักเยลลี่ จึงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนตัดสินใจซื้อ เลยตัดสินใจทำการตลาดผ่านสื่อโฆษณาในช่องทางหลักอย่าง ทีวี หนังสือ ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้าง สินค้าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี แม้ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาบริษัทจะไม่ได้สร้างแบรนด์อย่างจริงจังเหมือนเดิม แต่แบรนด์ก็ยังคงสามารถขายสินค้าได้ด้วยตัวของแบรนด์เอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กระทั่งเมื่อช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา มีผู้เล่นรายอื่นเข้ามาในตลาดเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะจากต่างประเทศ บริษัทจึงต้องมุ่งสร้างแบรนด์อย่างจริงจังอีกครั้ง เนื่องจากแบรนด์ “จอลลี่แบร์” อยู่ในตลาดมาอย่างยาวนาน ผู้บริโภคที่เป็น Gen ใหม่ๆ อาจไม่สามารถเข้าถึงตัวตนที่แท้จริงของแบรนด์ได้ อีกทั้งรูปแบบการทำการตลาดแบบเดิมๆ ผ่านช่องทางหลักอาจไม่ตอบโจทย์พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคที่ใช้เวลาในโลกโซเชียลมากขึ้น​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/PQaGmALdVFizXsy56eh5.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="PQaGmALdVFizXsy56eh5.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับรูปแบบการสร้างแบรนด์และทำการตลาดที่ทางบริษัทใช้ในปัจจุบันคือ การทำผ่าน Offline ควบคู่กับ Online แต่จะเน้นที่ Online เป็นหลัก โดยการใช้ Influencer ทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียต่างๆ ทั้ง YouTube Facebook TikTok Instagram ในการรีวิวสินค้าช่วยสร้างกระแสก่อให้เกิดการบอกต่อ ทำให้เกิดการมองหาสินค้า ตัวสินค้าเองก็ต้องได้มาตรฐาน เดินหน้าพัฒนาสินค้าให้มีความสดใหม่อยู่เสมอ ทั้งรสชาติใหม่ แพ็กเก็จจิ้งใหม่ หรือหาพันธมิตรในการออกสินค้าใหม่ร่วมกันก็ได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การยืนหยัดในตลาดที่มีผู้เล่นจำนวนมาก สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง เพราะแบรนด์ที่ดีจะช่วยสร้างความความเชื่อมั่น เชื่อใจ และน่าเชื่อถือให้กับองค์กรและสินค้า ซึ่งการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งได้นั้นจะต้องอาศัย 3 ข้อหลักๆ คือ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1.ต้องหาจุดแข็งของสินค้าให้เจอ สำหรับจอลลี่แบร์ก็คือ ความคุ้มค่า มีประโยชน์ มุ่งเน้นความปลอดภัย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2.สร้างมาตรฐานให้กับสินค้า สินค้าต้องได้มาตรฐานสากลในทุกด้าน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3.เดินหน้าหาพันธมิตรเพื่อสร้างการเติบโตร่วมกัน อย่างในช่วงหนึ่ง จอลลี่แบร์ได้จับมือแบรนด์รองเท้ากีโต้ เพื่อทำรองเท้าของจอลลี่แบร์ออกมาช่วงหนึ่ง ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยทั้ง 3 สิ่งนี้ทำให้จอลลี่แบร์ยังคงอยู่ในตลาดได้ พร้อมอัตราการเติบโตด้านยอดขายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ในปี 2566 บริษัทมียอดขายสูงถึง 300 ล้านบาท​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/fkZNuseAPzAbk78YUUHt.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="fkZNuseAPzAbk78YUUHt.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ รายงานตัวเลขของบริษัท พงษ์จิตต์ จำกัด ไว้ดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-ปี 2563 รายได้ 215 ล้านบาท กำไร 38 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-ปี 2564 รายได้ 265 ล้านบาท กำไร 49 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-ปี 2565 รายได้ 332 ล้านบาท กำไร 75.7 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“อยากให้ SME จำไว้ว่า เมื่อไหร่ที่หยุดสร้างแบรนด์ก็จะมีปัญหาเมื่อนั้น เพราะคู่แข่งพร้อมที่จะมาแซงเราอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น แบรนด์ จึงเป็นหัวใจหลักที่เราต้องรักษาและทำให้ดี” นิค-พลากร กล่างทิ้งท้าย เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/maxfood-thailand-asia-no-1-ice-cream-exporter" alt="แม็คซ์ฟู๊ด กรุ๊ป ลงทุน 120 ล้านบาท เพิ่มกำลังผลิตไอศกรีมผลไม้ส่งออก มั่นใจรายได้ปีนี้แตะ 400 ล้านบาท">แม็คซ์ฟู๊ด กรุ๊ป ลงทุน 120 ล้านบาท เพิ่มกำลังผลิตไอศกรีมผลไม้ส่งออก มั่นใจรายได้ปีนี้แตะ 400 ล้านบาท</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events