รุ่น 2 ของครอบครัวที่เติบโตท่ามกลางการบริหารจัดการฟาร์มสุกรแบบดั้งเดิม ที่ค่อยๆ พัฒนามากว่า 30 ปี กระทั่งปัจจุบันมีธุรกิจครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยมี บริษัท กาญจนา เฟรช พอร์ค จำกัด ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายเนื้อหมูสด หมูแปรรูป และอาหารปรุงสุก
คราวที่ “วิวัฒน์ นิติกาญจนา” จะสร้างโรงงานแปรรูปสุกร เขามีความคิดว่าคนไทยจะต้องได้บริโภคสุกรที่ผ่านการชำแหละตามมาตรฐานต่างประเทศ และทำได้สำเร็จตามความตั้งใจ ผลิตภัณฑ์ของบริษัทมีมาตรฐานระดับสากล กลุ่มลูกค้าหลักคือ โมเดิร์นเทรด ซูเปอร์มาร์เก็ต และโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร
ชนกนันท์ นิติกาญจนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท กาญจนา เฟรช พอร์ค จำกัด (KFP) ทายาทคนโตของวิวัฒน์เติบโตมาในครอบครัวที่ทำฟาร์มสุกรในจังหวัดราชบุรีมาตั้งแต่เด็ก จึงคุ้นเคยกับการเลี้ยง การผสมพันธุ์ และการจัดการฟาร์ม
หลังเรียนจบปริญญาตรีจากคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ชนกนันท์ หรือคุณนุค บอกว่า เธออยากเป็น AE หรือทำงานด้านมาร์เก็ตติ้ง แต่ในที่สุดก็ต้องกลับมาช่วยธุรกิจครอบครัว โดยเป็นผู้จัดการร้านที่ตลาดไท 1 ปี เพื่อทำความรู้จักลูกค้าและการขายชิ้นส่วนต่างๆ ของสุกร
“เป็นตลาดเปิด 24 ชั่วโมง ลุยเองทุกอย่าง เราไปเช่าพื้นที่ตรงนั้นมีหลายเจ้าที่เป็นแบรนด์บริษัท พออยู่ตัวก็กลับมาเป็นเซลส์ และเรียนปริญญาโทไปด้วยที่มหิดล สาขาผู้ประกอบการ และเข้ามาช่วยดูโรงงาน การขาย ก็ศึกษาไปเรื่อยๆ จนปัจจุบัน...คุณพ่อสร้างตัวด้วยตนเอง ทำงานการเมือง เราก็รู้แต่แรกว่ามีหน้าที่ที่จะสานต่อก็ค่อยๆ ศึกษามา...ตอนแรกให้น้องชายมาช่วยงาน แต่ตอนนี้ไปช่วยงานการเมืองคุณพ่อและดูแลทีมฟุตบอล ส่วนน้องชายคนเล็กดูแลฟาร์มกับอาหารสัตว์ เรามี 6 ฟาร์ม และมีธุรกิจอาหารสัตว์ที่ feed ให้ฟาร์ม...เราจึงต้องรับทั้งหมดของโรงงานโดยปริยาย”

คำว่าทั้งหมดหมายรวมถึงโรงงาน การตลาด บัญชี รวมทั้งการบริหารสต็อกวัตถุดิบอาหารสัตว์ ซึ่งเธอบอกว่า บางช่วงรู้สึกเครียดไม่น้อย ลูกๆ ก็บอกว่า คุณแม่ไม่มีเวลาให้เลย บริษัทก่อตั้งในปี 2538 และเธอเข้ามาทำงานได้ 20 ปีเศษแล้ว ตอนที่เข้ามาร่วมงานใหม่ๆ รายได้ไม่ถึงพันล้าน ล่าสุดปี 2567 มีรายได้ 1,089 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขายปีนี้ไว้ที่ 1,500 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี ระหว่างปี 2564-2566 บริษัทมีผลประกอบการติดลบ ชนกนันท์บอกว่า ช่วงก่อนและหลังโควิดเป็นช่วงที่ยากลำบาก บวกกับมีโรคระบาดในหมู มีหมูเถื่อนเข้ามาตีตลาดในประเทศโดยจำหน่ายในราคาที่ต่ำกว่า ซึ่งบริษัทไม่สามารถแข่งขันด้านราคาได้ ส่วนที่ว่ารับตำแหน่งเป็นผู้นำบริษัทตั้งแต่เมื่อไร เธอหัวเราะน้อยๆ ก่อนตอบว่า “มาแบบไม่รู้ตัวเหมือนกัน โดนมัดมือชก”

สร้างระบบตรวจสอบย้อนกลับ
เมื่อเข้ามารับผิดชอบเต็มตัวได้ปรับโครงสร้างการจัดการใหม่ทั้งหมด โดยใช้แนวคิด Customer Centric และ Data-Driven เช่น ทำระบบ Traceability ตรวจสอบย้อนกลับได้ตั้งแต่ฟาร์มถึงร้านค้า ผู้บริโภค พัฒนาโปรแกรมควบคุมต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ feed conversion, เปิดช่องทางจำหน่ายตรงสู่ผู้บริโภคผ่านโมเดิร์นเทรดและออนไลน์ สร้างความร่วมมือกับลูกค้า B2B ที่ต้องการเนื้อสุกรคุณภาพสูงและปลอดภัยทำให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่นสร้างการเติบโตให้กับยอดขาย และทำให้แบรนด์ได้รับการยอมรับในวงกว้าง รวมทั้งนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ในบริษัท
“เราพยายามพัฒนาระบบ AI เข้ามา เอากล้อง AI มาจับค่าการทำงานของพนักงาน จับสิ่งปนเปื้อนสิ่งแปลกปลอมในสินค้า รวมทั้งดูเรื่อง quality จำนวน เพื่อลด human error และลดจำนวนแรงงานที่มีปัญหา เอาระบบ robot เข้ามาใช้ในการ transfer ของจากไลน์ตัดแต่งเข้าห้อง chill”
สุกรชำแหละ 1 ตัว สามารถจำแนกเป็นสินค้าได้ประมาณ 100 รายการ หากนับตาม SKU ที่จัดทำตามความต้องการของลูกค้านับได้ถึง 300 รายการ โดยมีชิ้นส่วนหลัก 12-13 รายการที่ขายดี เช่น สะโพก ไหล่ สามชั้น คอหมูย่าง
“มีอยู่วันหนึ่งคุณพ่อชวนไปทานข้าวกับเจ้าสัว...ซึ่งถามว่า ใครดูโรงงาน ท่านยังไม่สร้างโรงชำแหละเลยนะ แต่นี่ลูกสาวทำได้ยังไง...โปรดักต์ของเราสามารถขายให้กับ catering ระดับ international ได้...สมัยนั้นเราเป็นไม่กี่แห่งที่ได้มาตรฐานส่งออก มันง่าย มาถึงยุคเรามีจังหวะหนึ่งมันยากมาก จะไปต่อยังไงให้คุณพ่อรู้สึกว่าธุรกิจที่เขาสร้างมาสามารถพัฒนาต่อได้ คุณพ่อบอกว่าจะทำอย่างไรก็ได้ให้ดีกว่ายุคเขา ช่วงนี้ก็เริ่มมองว่าเราจะทำได้เหมือนที่เขาสร้างไว้หรือเปล่า จะพัฒนา marketing วางแผนยังไง ซึ่งตอนนี้มีเรื่องหมูกล่องหรือหมูเถื่อนด้วย และเศรษฐกิจก็ไม่ค่อยดี”
ชนกนันท์บอกว่า บิดาให้อิสระในการบริหาร โดยจะดูแค่บรรทัดสุดท้ายของแต่ละเดือน ปัจจุบันบริษัทมีลูกค้า 3 กลุ่มคือ B2B, B2C และกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น โรงงานอาหาร โรงงานแปรรูป โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้าเติบโต 15% ในทุกกลุ่ม
“คุณพ่ออยากเห็นแบรนด์ที่ตั้งขึ้นออกสู่สายตาคนทั่วไป ทำให้เราต้องมามุ่ง B2C ก็จะเริ่มวางผลิตภัณฑ์ตามห้างเยอะขึ้น...ปัจจุบันเราหนัก OEM ตอนนี้ผลิตให้โลตัส 33,000-36,000 ถาด/วัน น้ำหนักสินค้าถาดละ 300 หรือ 500 กรัม มีทั้งหมูสับ หมูสไลด์ หมูสำหรับทำชาบูซึ่งได้มาตรฐานขายตามร้านอาหารญี่ปุ่นได้เลย...ตลาดส่งออกมีฮ่องกงและมาเลย์ เราจะได้เป็นตัวแทนขายที่มาเลย์ เอกสารเพิ่งออกจากกรมปศุสัตว์ และกรมปศุสัตว์ที่มาเลย์จะเข้ามาที่โรงงานเร็วๆ นี้ คู่ค้ามาเลย์มาดูโรงงานแล้ว เอกสารทางเราก็เสร็จแล้ว ส่งไป invite เขา ถ้าโรงงานผ่านทุกอย่างก็จบ เซ็นสัญญาได้”

คำสั่งซื้อจากคู่ค้ามาเลย์คือ หมูสดชำแหละเป็นซีก สัปดาห์ละ 210 ตัว โดยส่งออกเป็นตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุต ทั้งนี้ โรงงานมีกำลังการผลิต 1,000 ตัวต่อวัน ปัจจุบันผลิต 730 ตัวต่อวัน ความยากคือ ต้องจำหน่ายชิ้นส่วนหมูให้หมดทั้งตัว ไม่เหลือทิ้งชิ้นส่วนใดๆ ขณะที่แต่ละเดือนมีความต้องการชิ้นส่วนจำนวนมากๆ แตกต่างกัน เช่น ช่วงเข้าพรรษาลูกค้าไม่สั่งขาหมู เพราะไม่มีลูกค้าโต๊ะจีน แต่หลังออกพรรษายอดขายสูงมาก ร้านขายข้าวขาหมูเจ้าดังๆ ย่านพุทธมณฑล บางหว้าแทบทุกสาขาซื้อจากโรงงาน บางรายซื้อวันละ 600 ขา
รุกตลาดผู้บริโภครายย่อย
บริษัท กาญจนา เฟรช พอร์ค จำกัด (KFP) เป็นผู้จัดจำหน่ายเนื้อหมูสด หมูแปรรูป และอาหารปรุงสุกคุณภาพสูงมากว่า 30 ปี ลูกค้าส่วนใหญ่เป็น B2B และเพิ่งทำตลาด B2C ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา โดยจำหน่ายเป็นผลิตภัณฑ์พร้อมปรุงและพร้อมรับประทาน ณ เดือนกันยายน ปี 2568 มียอดขายเฉลี่ยนเดือนละ 137 ล้านบาท และมีเป้าหมายว่าจะสร้างยอดขายให้ได้ 200 ล้านบาทต่อเดือน
สินค้าของบริษัทมีหลากหลายประเภทและหลายแบรนด์ อาทิ Kanchana Fresh Pork (KFP) จำหน่ายเนื้อหมูสดคุณภาพมาตรฐานส่งออก กลุ่มลูกค้าคือ ผู้บริโภคครัวเรือน, ร้านอาหารรายย่อย, แบรนด์ Sow Happy หมูอารมณ์ดี เป็นหมูที่ถูกเลี้ยงด้วยธัญพืช, Kanchana Food (KF) เป็นอาหารแช่แข็ง กึ่งสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน, Pork Daddy’s อาหารปรุงสุกพร้อมเสิร์ฟ เช่น หมูย่าง หมูปิ้ง หมูทอด หมูสามชั้นหมัก ผู้บริโภคนำไปปรุงสุกเพื่อรับประทานได้เลย สินค้าอื่นๆ เช่น หมูกรอบทอดน้ำปลา คอหมูหมัก ไส้อั่วสูตรต้นตำรับเหนือ ขาหมูพะโล้ ที่ปรุงจากขาหมูคุณภาพพรีเมียม หมูทอดแดดเดียว เป็นต้น


บริษัทเริ่มทำตลาด B2C เพราะต้องการสร้างมูลค่าให้กับแบรนด์ รวมทั้งสร้างการรับรู้ในกลุ่มผู้บริโภค ล่าสุดเพิ่งออกสินค้าด้านสุขภาพตัวใหม่ซึ่งผู้บริหารบอกว่า ตลาดตรงนี้ค่อนข้างยากเนื่องจากคนไทยชอบแบบที่เห็นผลทันที
ทั้งนี้จุดเด่นของ KFP คือ สามารถจัดส่งสินค้าตามแบบที่ลูกค้าต้องการ เนื่องจากทำธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยมีฟาร์มของตนเอง 6 แห่ง ซึ่งนอกจากจะส่งให้กับบริษัทแล้วยังจำหน่ายพ่อแม่พันธุ์ รวมทั้งลูกสุกร มีโรงงานผลิตอาหารสัตว์เอง และจำหน่ายให้กับลูกค้าทั่วไป มีโรงเชือด 1 แห่ง คู่ค้าหรือผู้บริโภคสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทั้งหมด
“เรามั่นใจว่าแต่ละแบบที่ออกไปตรวจสอบย้อนกลับได้ ของพวกนี้ต้องเก็บตัวอย่างไว้และตรวจสอบได้ เราเสียค่า lab เดือนละเป็นแสนบาท เพื่อ test ทุกอย่าง เราต้องส่งผล lab ให้ทุกเดือน และลูกค้าจ้างบริษัทภายนอกมา audit ปีละครั้ง หรือ 2 ปีครั้ง...โมเดิร์นเทรดแห่งหนึ่งติดต่อมาว่าอยากได้ทั้งตัว แต่ให้เราตัดแต่งหมด อันนี้สร้างจากความน่าเชื่อถือของบริษัท และคุณภาพ...เราพยายาม develop product ใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมือง ตอนนี้เราใช้ชีวิตรวดเร็ว ผู้บริโภคไม่หมักหมูหรือปั้นหมูเป็นก้อนเอง เราทำหมูสามชั้นแช่น้ำปลา ไขมันน้อยนำไป cooking ได้เลย”
วันที่เราไปสัมภาษณ์ผู้บริหารเพิ่งได้รับแจ้งจากฝ่ายขายว่า ได้รับคำสั่งซื้อหมูสามชั้นม้วน จำนวน 80 ตัน มูลค่าหลักล้านบาท เฉพาะยอดนี้ก็ทำให้เซลส์ปลื้มปริ่มจากค่าคอมมิชชั่นเฉียดๆ หลักแสน ผู้บริหารบอกว่า ต้องให้รางวัลพนักงานเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จะได้มีกำลังใจในการทำงาน “ทุกยอดขายได้เงินตอบแทนทุกเดือน maintain ลูกค้า บวกลูกค้าใหม่เปิดบิลแรกของลูกค้าจะได้มากกว่าปกติ เมื่อกี้คำนวณกันเซลส์ได้เกือบแสนบาท” นอกจากนี้ บริษัทยังออกรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่ให้กับฝ่ายขายสำหรับใช้ติดต่อลูกค้า เมื่อครบ 3-5 ปีให้สิทธิ์เป็นเจ้าของ
สำหรับแผนธุรกิจ 1-3 ปีข้างหน้าบริษัทจะขยายช็อปและสาขาเพิ่ม จากปัจจุบันมี 2 แห่งที่ซอยเซ็นหลุยส์และพระราม 2 และคาดว่าจะเพิ่มอีก 3 สาขาภายในสิ้นปีนี้ และเพิ่มสาขาอีก 10-15 แห่งในปี 2569 แต่ทั้งนี้ต้องดูแนวโน้มอีกครั้ง รวมทั้งจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าที่กรุงเทพฯ เพราะมองเห็นโอกาสจากการที่ลูกค้ารายย่อยต้องการสินค้าวันละ 100-200 กก. แต่บริษัทไม่สามารถจัดส่งให้ได้เนื่องจากไม่คุ้มกับการขนจากโรงงานที่จังหวัดราชบุรี ระหว่างนี้บริษัทจึงมองหาคู่ค้าที่มีศูนย์กระจายสินค้าเพื่อกระจายสินค้าต่อให้กับลูกค้ามากขึ้น
พร้อมตั้งเป้าหมายว่าภายใน 3-5 ปีข้างหน้าบริษัทจะเป็นผู้นำด้านเนื้อสุกรคุณภาพของประเทศไทย และต่อยอดสู่ตลาดส่งออก โดยสร้างแบรนด์ที่ผู้บริโภคไว้วางใจทั้งด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และความโปร่งใส โดยใช้ระบบดิจิทัลและ IoT เข้ามาช่วยบริหารจัดการในฟาร์ม พัฒนาแบรนด์พรีเมียมใหม่ๆ และขยายสู่ช่องทางค้าปลีก–ออนไลน์มากขึ้น
ภาพ: วรัชญ์ แพทยานันท์ และ KFP
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : สุวิมล-อภิญญา สิระนาท “เติมเนเจอร์” ส่งขนมจากข้าวไทยไปไกลทั่วโลก


