รุ่น 3 ของครอบครัวที่ทำธุรกิจค้าส่งกระเทียมสดส่งเข้าตลาดค้าส่งขนาดใหญ่และโรงงานแปรรูปอาหารเป็นเวลากว่า 40 ปี เพราะไม่อยากแข่งขันด้านราคากับเพื่อนร่วมวงการจึงคิดค้นและพัฒนาสินค้าใหม่ “กระเทียมดำ” สร้างมูลค่ามากกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว และเป็นหนึ่งในสินค้าขายดีบนแพลตฟอร์ม Amazon
ความตั้งใจของชายหนุ่มอยากเป็นเซลส์ขายเคมีการเกษตร เพราะเรียนจบปริญญาตรีจากคณะเกษตรศาสตร์ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ออกมาเปิดร้านเองก็ขาดทุน เขาจึงหันกลับมามองธุรกิจของครอบครัว
“ผมจบเกษตรฯ ม. เชียงใหม่ และอยากไปหาประสบการณ์ในกรุงเทพฯ พ่อแม่ไม่อยากให้ไปและเรียกกลับบ้านๆ ก็มาเปิดร้านขายเคมีเกษตรตามความคิดคือเด็กเกษตรฯ ต้องขายปุ๋ย สุดท้ายล้มเหลว ก็มาขายกระเทียมของคุณพ่อ ตอนแรกเราไม่สนใจทั้งที่เห็นมาตลอด พอล้มเหลวกลับมามองว่าอะไรเลี้ยงเรามา จะยืนด้วยลำแข้งได้ยังไง ก็กลับมาดูกระเทียมกลีบ ใช้ความรู้จากการเป็นเซลส์นิดหน่อยเพิ่มช่องทางในตลาดไท เมื่อก่อนคุณพ่อไม่เดินทางไปกรุงเทพฯ เราก็ไป ขอคุยกับร้านค้านในตลาดไท ปากคลองตลาด ตอนนั้นขายกระเทียมกลีบ กระเทียมสด เข้าสู่ตลาดมากขึ้น”
“เราโตมาจากการค้ากระเทียมสด คุณปู่ คุณพ่อ ซื้อกระเทียมสดมาจากหลายจังหวัดในภาคเหนือตอนบน เชียงใหม่ ลำพูน แม่ฮ่องสอน เชียงราย และเอามาแกะ ทำความสะอาด ป้อนสู่อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร จากการทำธุรกิจแบบนั้นสงครามการค้าไม่ว่าในประเทศ ต่างประเทศ ไม่ว่าเพื่อนๆ หรือคนทำธุรกิจเดียวกัน คุณพ่อ คุณปู่ ทำไม่ได้เพิ่ม innovation สิ่งที่เกิดขึ้นคือ แข่งกันขายลูกค้า เป็นการแข่งขันที่เลือดสาด ผมเห็นสิ่งเหล่านี้มาตลอดก็เลยคิดว่าจะมาเพิ่ม value หรือมูลค่าโดยใช้นวัตกรรมอะไรได้บ้าง” นพดา อธิกากัมพู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นพดาซุปเปอร์ฟู้ดส์ จำกัด เล่าถึงความเป็นมาของการสานต่อธุรกิจซึ่งนับถึงปัจจุบันเป็นเวลา 20 ปีแล้ว
แก้ปัญหาด้านราคา
อีกเรื่องที่เขาบอกว่าติดอยู่ในใจมากๆ คือ ไม่อยากทำร้ายเพื่อนร่วมวงการ เช่น อยากได้ลูกค้ารายนี้ก็ขายทุบราคาคนอื่น ขายตัดราคา ซึ่งจะทำให้มองหน้ากันไม่ติด เพราะอยู่ในวงการเดียวกัน แต่สถานการณ์แบบนั้นก็หลีกเลี่ยงได้ยากเช่นกัน เพราะกระเทียมเป็นพืชที่ราคาไม่แน่นอน มีทั้งปีที่ราคาดีและราคาตก หากรัฐบาลไม่อุดหนุนบางปีเกษตรกรถึงขั้นเทผลผลิตทิ้งก็มี
เมื่อทราบว่ากระเทียมดำซึ่งผลิตจากกระเทียมสดเป็นอาหารที่ช่วยดูแลสุขภาพ และประเทศที่ผลิตคือ ญี่ปุ่น จีน เกาหลี เขาจึงเดินทางไปดูที่ญี่ปุ่น ค้นหาวิธีการผลิตจาก YouTube และทดลองผลิตด้วยหม้อหุงข้าว
จากหม้อหุงข้าว 5 ใบเพื่อผลิตให้ได้จำนวนมากขึ้นจึงเพิ่มจำนวนกระทั่งเป็น 70 ใบ แต่มีปัญหาเนื่องจากคุณภาพไม่สม่ำเสมอ สินค้ารสชาติต่างกัน มีทั้งขม หวาน เมล็ดแห้งหรือเปียก เพื่อแก้ปัญหานี้ต่อมาจึงศึกษาค้นคว้าวิธีการผลิตร่วมกับคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (STeP) และหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ จนได้วิธีการผลิตที่เหมาะสมกับกระเทียมไทย และพัฒนากระทั่งได้เครื่องจักรสำหรับผลิตซึ่งเขาเรียกว่า black garlic machine โดยใส่กระเทียมสดครั้งละ 3 ตัน ผลิตเป็นกระเทียมดำได้ 1.5 ตัน
นอกจากกระเทียมดำแบบหัวแล้ว บริษัทยังพัฒนาสินค้าในรูปแบบอื่นๆ ออกมา รวมทั้งใช้วัตถุดิบจากพืชสมุนไพร โดยความร่วมมือจาก STeP หน่วยงานด้านการวิจัยซึ่งอยู่ภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ไม่ไกลจากจังหวัดลำพูนซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท
“เราไม่สามารถคิด innovation เองได้หมดด้วย facility ที่มี พอเราเห็นเทรนด์ต่างประเทศ และกลับมาคุยกับองค์กรนี้มี know how บุคลากรคือเป็นหน่วยงานที่เป็นตัวกลางรับเรื่องหรือประเด็นจากผู้ประกอบการแล้ว sourcing หาคณาจารย์ นักวิจัยที่สามารถทำโจทย์ผู้ประกอบการได้ ซึ่งต่างจากสมัยก่อนนักวิจัยทำวิจัยบนพื้นฐานว่าฉันอยากทำ...ของไม่ถูกพัฒนาต่อยอด แต่ตอนนี้ถามเราว่า ไปต่างประเทศเห็นอะไร อยากได้อะไร ทีมฯ ก็กลั่นออกมา เช่น ลองทำตัวนี้ไหม มีอาจารย์คอย support อยู่ ก็เริ่มเป็นโปรดักต์เกิดขึ้น…ภาครัฐ หน่วยงาน มีงบฯ พัฒนาผู้ประกอบการ อีกส่วนผู้ประกอบการลงทุน พัฒนาจนเป็น prototype ส่วนแบ่งแล้วแต่ตกลงกัน พอผมเห็นเทรนด์ก็คุยกับทีม STeP”
บริษัทใช้เวลา 2 ปี ในการทำวิจัยและพัฒนาสินค้า และขอจดทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ใช้งบประมาณรวมเป็นเลข 8 หลัก
“มีคำถามเวลาผมไปออกบูธต่างประเทศคือ กระเทียมดำต่างจากกระเทียมขาวอย่างไร นอกจากกินอร่อยแล้ว ในกระเทียมขาวมีสารสำคัญสารอัลลิซิน (Allicin) ถ้าเปลี่ยนเป็นกระเทียมดำสารอัลลิซินเปลี่ยนเป็นอนุพันธ์เล็กลง มีความเสถียรมากขึ้น เรียกว่า S-allycysteine (SAC) สารตัวนี้อนุภาคเล็กกว่า (กระเทียมสด) คุณประโยชน์สูงกว่า...เราทำงานวิจัยร่วมกับอุทยานวิทยาศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่...กระเทียมดำทำจากกระเทียมไทยเป็นสินค้าไทยซึ่งพัฒนาโดยคนไทย ตอนนี้ขึ้นไปแข่ง global market ชนะกระเทียมดำจากจีน เกาหลี ญี่ปุ่น ขึ้นยืนบนแท่น best seller ได้ ขายดีติดอันดับใน Amazon สหรัฐฯ ระหว่างปี 2564-2568”

ปัจจุบันบริษัทมีรายได้จากการขายกระเทียมดำแบรนด์ Homtiem (หอมเตียม) บนแพลตฟอร์ม Amazon 150,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อเดือน และมียอดขายเป็นอันดับ 1 หรือ 2 สลับกันบางช่วงเวลา ถามว่า มีวิธีการอย่างไรที่ทำให้ต่างชาติมั่นใจในสินค้า ผู้บริหารหนุ่มตอบว่า “คนฝั่งอเมริกา ยุโรป เชื่อว่าของไทยพรีเมียมกว่าจีน ตอนแรกไม่เชื่อ message นี้ แต่พอเราเอาสินค้าขึ้นขายใน Amazon และตั้งราคาสูงกว่าโปรดักต์จีนก็มี review หลายตัวมาบอก quality ดีกว่าจีน...การขายของบนอี-คอมเมิร์ซจะมีลูกค้าเข้ามา inbox ว่า ขอข้อมูลหน่อย มี certificate อะไร ผมมีทีม support และ reference งานระดับโลกได้"
“Hero ซึ่งเป็นหัวหอกนำก่อนคือ กระเทียมดำ หลังจากนั้นคำว่า story telling, certificate ต้องตามมาให้ได้ เราต้องเล่าให้ลูกค้าฟังให้ได้ว่าพืชผักในประเทศไทยปลอดภัยและมีคุณภาพสูง โดยเฉพาะสารสำคัญทั้งหลาย สิ่งที่บวกกลับเข้ามาต้องเป็น certificate ที่เขายอมรับเป็นระดับสากล ตอนนี้ทำตัวใหญ่คือ FSSC 22000”

แม้จะเป็นสินค้าประเภทเดียวกันแต่กระเทียมดำที่บริษัทผลิตออกมานั้นเนื้อสัมผัสนุ่ม มีความหวานน้อยๆ รสชาติคล้ายลูกพรุน ไม่เหมือนกับสินค้าจากจีน เกาหลี หรือญี่ปุ่น สาเหตุจากสายพันธุ์กระเทียมไทยและโนว์ฮาวที่ใช้ในการการควบคุมอุณหภูมิและความชื้น นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ได้รับความนิยมในสหรัฐฯ
“กระเทียมดำ” จึงช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกระเทียมไทย และทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่แน่นอน จากกระเทียมสด กก. ละไม่เกิน 60 บาท เมื่อแปรรูปเป็นกระเทียมดำขายในราคา กก. ละ 1,300 บาท (กระเทียมสด 1 กก. ผลิตกระเทียมดำได้ 0.5 กก.) ปัจจุบันบริษัทผลิตกระเทียมดำเดือนละ 10 ตัน
ทั้งนี้ บริษัทรับซื้อกระเทียมซึ่งปลูกในไทยจากเกษตรกรในคอนเทกต์จำนวน 250 ครัวเรือน คิดเป็นพื้นที่รวมเกือบ 20,000 ไร่ จากจังหวัดเชียงราย แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่
ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระบุถึงสถานการณ์พืชหัว กระเทียม หอมแดง หอมหัวใหญ่ ปีเพาะปลูก 2567/2568 (ข้อมูลพยากรณ์ ณ เดือนมีนาคม ปี 2568) คาดว่า ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกกระเทียม 52,067 ไร่ ลดลงจากปีที่ผ่านมาซึ่งมีพื้นที่ปลูก 52,457 ไร่

“กระเทียมดำ” คือ กระเทียมสดสีขาวนำมาผ่านกระบวนการในตู้บ่ม 30 วัน เพื่อกระตุ้นเอนไซม์ตัวหนึ่งให้เปลี่ยนกรดอะมิโนและแป้งในกระเทียมให้ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำ จากรสฉุน เผ็ดร้อน กินยาก กินแล้วระคายเคืองกระเพาะอาหาร กลายเป็นรสหวาน รับประทานทานง่าย มีคุณประโยชน์มากกว่ากระเทียมสด 13 เท่า
มุ่งสู่ Superfood
บริษัท นพดาซุปเปอร์ฟู้ดส์ จำกัด และกลุ่มบริษัทก่อตั้งในปี 2559 โดย นพดา อธิกากัมพูและครอบครัว เดิมคือ บริษัท นพดาโปรดักส์ จำกัด เปลี่ยนชื่อในปี 2566 เพราะมองเห็นเทรนด์และการขยายตัวของตลาดในกลุ่มซูเปอร์ฟู้ดเพื่อรองรับการเติบโต และเห็นความชัดเจนในเป้าหมายที่กำลังจะก้าวไป จากเดิมเป็นบริษัทที่ผลิตกระเทียมดำก็เพิ่มตัวสินค้าที่มีโอกาส ตลาดต่างประเทศมีความต้องการ เช่น สมุนไพรพื้นบ้าน
“หลังได้ไปออกงานต่างประเทศ exhibition เยอะขึ้น สิ่งที่เราถามตัวเองตลอดคือ บริษัทโฟกัสเรื่องอะไร คำตอบคือ สมุนไพร herb กระเทียม ก็มองว่าสมุนไพรอาเซียนคืออะไร สุดท้ายได้คำตอบคือ superfood...เราเห็นเทรนด์ที่อเมริกาว่ามีผักผลไม้อื่นๆ อีกมากที่เขาไปหยิบสารสำคัญในตัวพืชผักพวกนั้นมาสกัดทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็นอาหารใหม่ที่มีโภชนาการ ผมก็เลยย้อนกลับมาถามตัวเอง ในลำพูนมีสมุนไพรตัวไหนอีกที่เคยถูกลืมแล้วนำมาใส่นวัตกรรม ตีโจทย์พวกนี้ กลายเป็นอาหารใหม่ ตอบโจทย์เทรนด์ต่างประเทศได้ด้วย เกิดเป็นไอเดีย superfood”
กลุ่มนพดามี 4 บริษัท ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับกระเทียมทั้งหมด ประกอบด้วย 1. บจ. นพดาซุปเปอร์ฟู้ดส์ สินค้าคือ กระเทียมดำแบรนด์ B-Garlic และ Homtiem เป็นกระเทียมดำแบบหัวซึ่งมีน้ำหนักบรรจุหลายขนาด น้ำส้มสายชูกระเทียมดำ 2. บจ. เอ็นซีอาร์ โปรดักส์ ประกอบธุรกิจค้าขายกระเทียมสดและสินค้าเกษตรแปรรูปขั้นต้น 3. บจ.นพดา เทรดดิ้ง ซื้อขายและขนส่งสินค้ายในประเทศและต่างประเทศ 4. บจ.นพดา ซีซันนิ่ง ผลิตและจัดจำหน่ายวัตถุดิบ รวมถึงซีซันนิ่งสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร ตัวอย่างเช่น กระเทียมอบ กระเทียมผง กระเทียมดำผง สมุนไพรเครื่องเทศ ผักผลไม้ อบแห้งและบดผง
สินค้าแบ่งออกเป็น 3 แบรนด์ตามกลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วยแบรนด์แม่หน่อย เจาะกลุ่มตลาดแมส สินค้า เช่น กระเทียมดอง กระเทียมเจียว B-Garlic ซึ่งเป็นแบรนด์แรกเนื่องจากบริษัททำสัญญาให้กับตัวแทนจำหน่ายรายหนึ่งให้ขายที่สหรัฐฯ เมื่อต้องการขายบนเว็บไซต์ Amazon ที่สหรัฐฯ ไม่สามารถทำได้เพราะผิดเงื่อนไข จึงสร้างแบรนด์ใหม่ชื่อ “หอมเตียม” เพื่อขายบนแพลตฟอร์ม Amazon
ปัจจุบันบริษัทมียอดขายกระเทียมดำ 115 ล้านบาท เป็นการขายแบบ B2C 90% ผู้บริหารหนุ่มมองว่ากลุ่ม B2B มีแนวโน้มขยายไปได้อีกมากจึงกลับมาโฟกัสที่ลูกค้ากลุ่มนี้ ซึ่งเขามีแผนงานจะคอลเล็บกับแบรนด์ใหญ่พัฒนาสินค้าใหม่ขึ้นมา เช่น กระเทียมดำในบะหมี่สำเร็จรูป ซอสหรือแยมทาขนมปังซึ่งมีกระเทียมดำเป็นส่วนประกอบ
“ที่ผ่านมามีหลายโรงงานอุตสาหกรรมติดต่อมาเพื่อจะนำสินค้าไปเป็นส่วนประกอบ แต่ขายในประเทศไม่ได้เนื่องจาก อย. ยังไม่อนุมัติ..เรามี Black Garlic Cider Vinegar ขายต่างประเทศแล้ว แต่ยังขายในไทยไม่ได้ รวมทั้งกระเทียมดำบดส่งออกให้บริษัทในเวียดนาม ซึ่งทำไก่คาราเกะส่งออกญี่ปุ่น มีหลายบริษัทมาดีลกับเราแต่ในไทยเรายังทำอะไรไม่ได้”
เหตุผลคือ ต้องรอให้ อย. อนุมัติก่อน เขายกตัวอย่างคราวที่ดำเนินการขึ้นทะเบียนกระเทียมดำแบบหัวเมื่อ 7 ปีที่แล้วว่า เนื่องจากไม่เคยมีสินค้าแบบนี้มาก่อนจึงไม่มีรูปแบบให้เทียบเคียงกระบวนการผลิต
“ถ้าเป็นกระเทียมเจียว กระเทียมดอง กระบวนการผลิตเป็นไงเขาเข้ามาตรวจ ถ้ากระบวนเป็นแบบนี้ก็ผ่าน ได้ (จดทะเบียน) อย. นำไปจำหน่ายได้ พอเป็นกระเทียมดำเราอยากขึ้นทะเบียนเป็นกระเทียมดำ เขาจะตรวจยังไงเพราะไม่รู้กระบวนการ แม้เราจะบอกก็ตาม คำว่ากระเทียมดำคือ innovation เขาตีความว่า เป็นอาหารใหม่ๆ ในไทยต้องรอให้มีผู้บริโภคมากกว่า15 ปี ถึงจะสามารถขึ้นทะเบียนได้ ผมต่อสู้เรื่องนี้เยอะมาก…ด้วยความที่เราอยากทำจริงๆ บวกกับลงทุนไปแล้ว พวกผมเข้าไปคุยกับ สนง.พาณิชย์ฯ ลำพูน ท่านก็ส่งเสริมให้เป็นของดีประจำจังหวัด”
ท้ายสุด อย. ได้ตั้งคณะกรรมการชุดเฉพาะกิจเพื่อพิจารณาและรับรองเฉพาะการรับประทานแบบหัวเท่านั้น บริษัทยังไม่สามารถจำหน่ายในรูปแบบผงหรือน้ำมันได้ทั้งที่พัฒนาสินค้าออกมาและจำหน่ายในต่างประเทศแล้ว
“ตอนที่ได้ อย. เราไปเปิดตัวงาน THAIFEX-Anuga Asia เครื่องดื่มบำรุงสุขภาพแบรนด์หนึ่งสนใจอยากได้สารสกัดเพราะรู้จักจากญี่ปุ่น แต่ผมไปต่อไม่ได้ ถ้าตอนนั้นได้ (ขาย) บริษัทโตกว่านี้ ตอนนี้จะกลับไปคุย...เรายื่นขอจดทะเบียนกับ อย. คาดว่าจะทราบผลภายในไตรมาส 3 ที่อนุมัติให้กระเทียมดำเป็นส่วนประกอบของอาหารและ supplement จำหน่ายในประเทศไทยได้"
บริษัทมีรายได้จากการส่งออก 30% ส่วนในประเทศขายผ่านออนไลน์ และออฟไลน์ที่ร้านตำรับไทยและร้านสุขภาพทั่วประเทศ โรงงานมีกำลังการผลิต 20 ตันต่อเดือน แต่ผลิตเพียงครึ่งหนึ่ง และปีนี้มีเป้าหมายว่าจะเพิ่มยอดขายจากผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น สารสกัดจากกระเทียม น้ำมันกระเทียมดำ
นพดาตั้งเป้ารายได้ 250 ล้านบาท ซึ่งจะเพิ่มจากปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ 120-130 ล้านเกือบเท่าตัว ซึ่งเขาประเมินว่า เป็นไปได้ เพราะปีนี้มีรายได้ส่วนหนึ่งจากการขายกระเทียมสดให้กับ บจ. ซีพีแรม เฉพาะในส่วนกระเทียมสดกลุ่มบริษัทมีกำลังการผลิตสัปดาห์ละ 15 ตัน และจำหน่ายให้ บจ. ซีพีแรม สัปดาห์ละ 7 ตัน
“ภายใน 5 ปี เราต้องแตะ 500 ล้านบาทให้ได้ ส่วนการเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีหลายวิธี อาจควบรวม มีบริษัทยื่นข้อเสนอมาว่าจะเข้า backdoor ไหม คือให้บริษัทในตลาดฯ มาถือหุ้น”
ภาพ: บจ. นพดาซุปเปอร์ฟู้ดส์, อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ธนดล พิทยานุวัฒน์ IdeasLabs ถอดรหัสสปีด MarTech