โอกาสการเติบโตในตลาดความงามที่ขยายตัวต่อเนื่องสร้างความเชื่อมั่นให้ธุรกิจสกินแคร์อายุมากกว่าทศวรรษเร่งเครื่องเขย่าพอร์ตผลิตภัณฑ์ Skinsista และสร้างแบรนด์เวชสำอาง Dermie ตอบเทรนด์ดูแลผิวต่อต้านมลภาวะ พร้อมเสริมความแข็งแกร่งด้านเงินทุนรุกเติมเต็มดีมานด์มหาชน
ภาพรวมธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย (Beauty and Personal Care หรือ BPC) ของประเทศไทยมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องทุกปี ด้วยอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี 6.32% (CAGR) ตั้งแต่ปี 2561-2566 และข้อมูลของ Statista ได้คาดการณ์อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 5.11% (CAGR) ในช่วงปี 2567-2571 ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของ Euromonitor ระบุถึงตลาดผลิตภัณฑ์ด้านความงามประเทศไทยที่มีมูลค่ารวม 1.5 แสนล้านบาท แบ่งเป็นสกินแคร์ 1.2 แสนล้านบาท และเครื่องสำอาง 3 หมื่นล้านบาท สามารถเติบโตราว 12% เนื่องจากผู้บริโภคนิยมผลิตภัณฑ์แบรนด์ไทยในกลุ่มที่คุณภาพเทียบเท่าแบรนด์ต่างประเทศมากขึ้น
ขณะที่ตลาดอี-คอมเมิร์ซยังมีแนวโน้มการเติบโตจากปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ส่งผลให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไป การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น รวมถึงความนิยมสั่งซื้อสินค้าออนไลน์เพิ่มสูงขึ้น โดยอ้างอิงจากรายงานของ Statista คาดการณ์ยอดผู้ใช้งานให้ความสนใจสั่งซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายผ่านช่องทางออนไลน์ในปี 2567 ประมาณ 8.3 ล้านคนหรือเพิ่มขึ้น 7.8% จากปีก่อนหน้า และคาดการณ์อัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี 6.16% (CAGR) ในช่วงปี 2567-2572
“ถ้าย้อนกลับไปวันแรกที่ก่อตั้งบริษัทเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เรามีพนักงาน 5-6 คน สินค้าเด่นๆ 2-3 SKU เพราะในอดีตเราต้องการทำธุรกิจที่สนใจให้มีรายได้และผลกำไรมากพออยู่ได้ จนกระทั่งเวลาผ่านไปธุรกิจเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ประมาณ 3-4 ปีที่แล้วเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านหลายอย่าง ซึ่งเราเริ่มปรับเป้าหมายใหม่เป็นบริษัทที่ยอดขายพันล้าน ทำให้กลยุทธ์ต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เพราะเรารู้ว่าอุตสาหกกรรมนี้ขับเคลื่อนด้วยสินค้าใหม่ เราจึงต้องเปลี่ยนถ่าย SKU เก่าที่ความนิยมลดลง และออกสินค้าใหม่ทดแทน รวมถึงสินค้าที่มีสัญญาการขายกับบางช่องทางเฉพาะที่เราต้องปรับเปลี่ยนเงื่อนไขต่างๆ เพื่อเตรียมพร้อมใช้เงินลงทุนขยายตลาดอย่างเต็มรูปแบบ”
ชาญวิทย์ เขียวนาวาวงศ์ษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกิน ลาบอราทอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ SKIN กล่าวถึงการปรับกลยุทธ์สร้างการเติบโตเชิงรุก ด้วยความเชื่อมั่นในโอกาสทางธุรกิจจากกระแสความต้องการผลิตภัณฑ์ความงามและดูแลร่างกายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ที่ช่วยให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ครอบคลุมทั่วประเทศ
ขณะเดียวกันยังมั่นใจในความรู้และประสบการณ์ทำงานที่หลากหลายตลอดเส้นทางตั้งแต่สำเร็จการศึกษาปริญญาตรี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ (MBA) University of San Francisco ประเทศสหรัฐอเมริกา พร้อมเรียนรู้วัฒนธรรมองค์กรที่หลากหลายจากบริษัทระดับโลกในประเทศไทย โดยเริ่มต้นนั่งเก้าอี้ผู้จัดการแบรนด์ของ บริษัท ยูนิลีเวอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ในปี 2548 และเปลี่ยนสายธุรกิจรับตำแหน่ง Business Leader (Mobile Phone Business) บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด
นอกจากนั้น ชาญวิทย์ยังเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ Industry Head ของ Google Thailand รวมถึง Marketing Director บริษัท ยูนิโคล่ (ประเทศไทย) จำกัด ก่อนจะก้าวเป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีม่า โกลด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด พร้อมรับภารกิจรีแบรนด์ภาพครั้งใหญ่และขยายฐานธุรกิจสร้างการเติบโตมากขึ้น
“ถ้ามองย้อนเส้นทางที่ผ่านมาเรานึกถึงคำกล่าวของ Steve Jobs ว่า You can’t connect the dots looking forward, you can only connect them looking backwards ชีวิตเราเชื่อมโยงจุดต่างๆ ไปข้างหน้าไม่ได้ แต่ทำได้แค่มองย้อนกลับไป ซึ่งเราโชคดีที่ตลอดเส้นทางสามารถสนับสนุนธุรกิจที่ทำอยู่ในปัจจุบัน ตั้งแต่การเรียนสายบัญชีการเงินและ MBA ที่อเมริกาทำให้มีโอกาสได้เห็นโลกการตลาด โลกธุรกิจต่างๆ และการทำงานในหลายอุตสาหกรรมอย่างการสร้างแบรนด์ Neutrogena ได้เปิดประสบการณ์ด้านการตลาด หรือการได้ร่วมงานกับบริษัทระดับโลกหลายวัฒนธรรมองค์กรที่มีจุดเด่นต่างกัน เช่น ฝั่งอเมริกา ยุโรปเด่นเรื่องการนำ insight ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ญี่ปุ่นเด่นเรื่อง operation กระบวนการทำงานชัดเจน ส่วนจีนมี fighting spirit ทำให้เราสามารถเลือกใช้ประสบการณ์ที่เคยมีในบริบทต่างกันมาใช้”
ชาญวิทย์กล่าวถึงการผสมผสานศาสตร์การตลาดและการบริหารงานที่ผ่านมาเริ่มต้นธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเกี่ยวกับความสวยความงาม โดยร่วมกับ ณัฐพร พงษ์ชาญชวลิต ซึ่งเป็นคู่ชีวิตและคู่คิดการทำงานในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ โดยยังชักชวน ธนชัย ถนอมทรัพย์ ซึ่งมีประสบการณ์ทำธุรกิจที่หลากหลายมาร่วมกันจัดตั้งบริษัทดำเนินธุรกิจคิดค้น พัฒนา จ้างผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์บำรุงผิวในปี 2556
“ขณะนั้นผมเป็นผู้บริหารบริษัท แต่ภรรยาต้องการมีธุรกิจส่วนตัว เราจึงมองธุรกิจที่สนใจร่วมกัน และคิดว่ามี know how ในการจัดการตรงนั้น ซึ่งเราทั้งคู่ชอบเกี่ยวกับ skincare และผมมีประสบการณ์กับสินค้า skincare บ้าง ส่วนคุณณัฐมี passion ด้านนี้มาก โดยมีการศึกษาความรู้เชิงลึกเฉพาะในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ประกอบกับเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วเป็นช่วงที่ digital marketing เริ่มบูมในไทย ทำให้เราเชื่อในโอกาสที่การแข่งขันจะเปลี่ยนจากเดิมที่มีแต่แบรนด์ใหญ่กลายเป็นตลาดของแบรนด์ที่อาจจะมีกระสุนไม่มากให้สามารถสร้างตัวตนหรือสินค้าตอบโจทย์ผู้บริโภคได้”
หลังสร้างชื่อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าแบรนด์ Counter Concept จำหน่ายผ่านตัวแทนที่ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี ชาญวิทย์เดินหน้าเปลี่ยนช่องทางจำหน่ายเป็นร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (modern trade) ซึ่งทำสัญญาในรูปแบบฝากขายกับ Watsons เป็นผู้จัดจำหน่ายรายแรก พร้อมทั้งเพิ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและบำรุงผิวหน้าแบรนด์ Skinsista ได้แก่ Dongbaek White, Jeju Volcanic รวมถึงเริ่มทำตลาดออนไลน์ ด้วยการทำสัญญากับผู้ให้บริการคลังสินค้า และจัดส่งสินค้า (fulfillment) เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่าย เช่น Shopee, Lazada
อย่างไรก็ตามบริษัทได้มีการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมตามยุคสมัย ด้วยการยกเลิกการจำหน่ายผลิตภัณฑ์แบรนด์ Counter Concept และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพในราคาที่สามารถเข้าถึงได้ โดยให้ความสำคัญกับการคิดค้นสูตรและคัดสรรสารสกัดที่มีประสิทธิภาพได้มาตรฐานและความปลอดภัย รวมถึงนวัตกรรมใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการอย่างต่อเนื่อง
“การแข่งขันในธุรกิจ skincare รุนแรงทุกยุคทุกสมัย ซึ่งช่วงที่เราก่อตั้งบริษัทน่าจะเป็นยุคเริ่มต้นของแบรนด์ไทย ในฐานะน้องใหม่เราสร้างความเชื่อถือด้วยการใช้ความจริงใจในการให้ข้อมูล อย่างสารสกัดที่ใช้ต้องเห็นผลจริงตามที่ commit ไว้ โดยเรามีภาพชัดเจนตั้งแต่ต้นว่า เราต้องทำสินค้าที่เราต้องการใช้ ซึ่ง Counter Concept เราแก้โจทย์เรื่องเคาน์เตอร์แบรนด์ราคาสูงให้แบรนด์แรกของเราเป็น mass เข้าถึงคนได้กว้างขึ้นและคุณภาพเทียบเท่าเคาน์เตอร์แบรนด์ราคาแพง โดยเราน่าจะเป็นแบรนด์แรกๆ ที่สแกนข้างกล่องดูเปอร์เซ็นต์สารสกัดและเปิดเผยแหล่งที่มา ซึ่งสะท้อนถึงความจริงใจของเรา อย่างไรก็ตาม Counter Concept เราหยุดหลายปีแล้ว เพราะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านตลาดยุคทีวีช็อปปิ้งเป็นออนไลน์และโมเดิร์นเทรด รวมถึง digital marketing มีบทบาทมากขึ้น ทำให้เราตัดสินใจสร้างแบรนด์ Skinsista เจาะกลุ่มเจเนอเรชั่นใหม่”
ปั้นสกินแคร์สามัญประจำบ้าน
ภายใต้ความมุ่งมั่นตั้งใจดำเนินธุรกิจที่ยึดหลัก “ผลิตบำรุงผิวหน้าคุณภาพสูง เข้าถึงได้ ไม่ต้องจ่ายแพง” หรือ Skincare is not exclusive, It is for everyone สู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์แบรนด์ “Skinsista” และ “Dermie” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยแก้ปัญหาผิวหน้าโดยเฉพาะปัญหาผู้ที่มีสิวที่หน้า ผิวหน้ามีรูขุมขนกว้าง มีจุดด่างดำบนใบหน้า ซึ่งแบ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ 5 ประเภท ได้แก่ เซรั่ม, ครีมกันแดด, ครีมบำรุงผิวหน้า, ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า และผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น สเปรย์ฉีดลดสิวตามร่างกาย (Anti-Acne Body Spray)
นอกจากนั้น บริษัทยังขยายช่องทางการจัดจำหน่ายครอบคลุมร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (modern trade) โดยเริ่มที่ร้าน Watsons เป็นแห่งแรก จากนั้นขยายการจำหน่ายไปยังร้าน 7-11 รวมถึงช่องทางร้านค้าทั่วไป (general trade) และช่องทางออนไลน์ (e-commerce) ผ่าน Shopee Lazada และ Tiktok shop ซึ่งช่วยให้ผู้อุปโภคสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าของบริษัทได้อย่างทั่วถึง
“เราเติบโตต่อเนื่องทุกปีตั้งแต่ Counter Concept ถึง Skinsista โดยเฉพาะช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจากช่องทางออนไลน์และโมเดิร์นเทรด รวมถึงตลาดครีมซองในไทยที่ยอดขายมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งปัจจุบันสินค้าเราแบ่งเป็นกลุ่มทำความสะอาดมีเจลล้างหน้า 2 สูตร กลุ่มทรีตเมนทต์มีเซรั่ม 5 สูตร กลุ่มมอยส์เจอร์ไรเซอร์ 2 สูตร ครีมกันแดด 3 สูตร กลุ่มเมกอัพเพิ่งเริ่มแป้งผสมรองพื้น 1 สูตร โดยกลุ่มเซรั่มและกันแดดยังเป็นรายได้หลัก ส่วนช่องทางการขายวันนี้เราไม่มีตัวแทนและทีวีช็อปปิ้ง เพราะเชื่อว่าตลาดตัวแทนเป็นเรื่องการบริหารธุรกิจในรูปแบบการสร้างสินค้าให้ตัวแทนขายต่อได้ ซึ่งไม่ใช่ความเชี่ยวชาญของเรา เพราะเราต้องการผลิตสินค้าคุณภาพสูงที่ทำให้คนเห็นผลจริงตามความต้องการและความชัดเจนในการทำธุรกิจ”
ขณะที่ชาญวิทย์กำหนดกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัทด้านสินค้า โดยเฉพาะการคิดค้น พัฒนา จ้างผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ด้วยการว่าจ้างโรงงานผลิตที่ได้รับมาตรฐานการรับรองคุณภาพการผลิตเครื่องสำอาง และคัดเลือกโรงงานที่มีสภาพแวดล้อมที่ดี เครื่องจักรทันสมัย รวมถึงประสบการณ์รับจ้างผลิต ซึ่งบริษัทมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกับโรงงานผู้รับจ้างผลิต เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพในราคาที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้ในวงกว้าง
นอกจากนั้น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทยังให้ความสำคัญกับ customer centric ความเข้าใจปัญหาและความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง speed to market นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการและความนิยมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งผลิตภัณฑ์ต้องผ่านกระบวนการทดสอบประสิทธิภาพและมีการตรวจสอบคุณภาพอย่างมีมาตรฐาน พร้อมทั้ง continuous improvement มองหาโอกาสในการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทั้งการพัฒนากระบวนการทำงานและแนวคิดของของผลิตภัณฑ์ เพื่อให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้อุปโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
“จากการ survey ทุกปีเราพบว่า ลูกค้า 60% เปลี่ยน skincare ใช้ทุก 6 เดือน หมายถึงลูกค้าพร้อมเปลี่ยนสินค้าตลอดเวลา ดังนั้น keyword จึงไม่ใช่ความแตกต่าง แต่เราจะทำอย่างไรในการออกสินค้าที่เกาะไปกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงได้ทัน และต้องเป็นสินค้าที่แก้ pain point ลูกค้าได้ดีกว่าสิ่งที่มีอยู่ อย่างการสร้างแบรนด์ Dermie เราต้องการให้เป็น skincare สามัญประจำบ้านสามารถใช้ได้ทุกเพศวัยตั้งแต่อายุ 2 ขวบขึ้นไป โดยเฉพาะคนที่มีผิวบอบบางแพ้ง่ายที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเราแก้ pain point เรื่องราคาให้เข้าถึงง่าย ซึ่งเรามีทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่จบสายเคมีโดยตรงร่วมคิดค้นสูตร R&D กับแต่ละบริษัท ซึ่งผ่านการทดสอบโดยแพทย์ผิวหนังจากกลุ่มตัวอย่างที่ผิวบอบบางแพ้ง่ายมากๆ”
ด้านกลยุทธ์ช่องทางการจำหน่ายของบริษัทมุ่งเน้นการทำการตลาดออนไลน์ ด้วยการปรับหน้าแพลตฟอร์มให้น่าสนใจและง่ายต่อการใช้งาน รวมถึงการเข้าร่วมแคมเปญของแต่ละแพลตฟอร์มเพื่อกระตุ้นยอดขายและช่วยให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีแนวโน้มการซื้อสินค้าผ่านอินเทอร์เน็ตหรืออี-คอมเมิร์ซมากขึ้น
ขณะเดียวกันยังขยายช่องทางจำหน่ายผ่านร้านค้าปลีกสมัยใหม่หรือโมเดิร์นเทรดอย่างต่อเนื่อง ทั้งร้านสะดวกซื้อ (convenience stores) เช่น 7-11 ร้านค้าปลีกขายสินค้าเฉพาะอย่าง (specialty store) เช่น Watsons ร้านค้าปลีกที่รวมห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ตเข้าด้วยกัน (hypermarket) เช่น Lotus’s เป็นต้น รวมถึงขยายการจำหน่ายไปยังร้านค้าปลีกขนาดเล็กเพื่อให้สามารถกระจายสินค้าได้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น สอดคล้องกับกลยุทธ์ธุรกิจในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าหลักอย่างทั่วถึง
“สัดส่วนรายได้ออนไลน์ 35% ออฟไลน์ 65% ในอนาคตออนไลน์น่าจะไม่เกิน 40% เพราะเรามีครีมซองที่ลูกค้าสะดวกซื้อออฟไลน์มากกว่า แต่ถ้าสินค้าขนาดปกติออนไลน์จะเกินครึ่งพอสมควร โดยเรายังมีการขายไปต่างประเทศที่เริ่มมีตัวแทนเป็นทางการในเวียดนามและกัมพูชา ส่วนลาวเป็นตัวแทนทดลองขาย ซึ่งเรายังมองจีนเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการทำให้นักท่องเที่ยวหรือชาวจีนในไทยใช้ผลิตภัณฑ์ของเรา เพราะที่ผ่านมาเรายังไม่เคยทำตลาดกับจีน แต่ก็มี viral คนจีนนำสินค้าเราลงโซเชียลแพลตฟอร์มเขา และ feedback สินค้าดี โดยกลยุทธ์เจาะตลาดต่างประเทศ เราเชื่อว่าปัจจุบันข้อมูลต่างๆ ถึงกันหมด ถ้าสินค้าเราสามารถตอบสนองความต้องการได้ สิ่งต่างๆ จะตามมาเอง อย่างลาวหรือกัมพูชาที่เราไม่เคยโฆษณา แต่ก็มี word of mouth ของคนที่ใช้ช่วยเปิดตลาด ซึ่งในอนาคตเราอาจจะศึกษาเรื่องการลงทุนการตลาดในแต่ละประเทศมากขึ้น”
ส่วนกลยุทธ์ด้านการสื่อสารการตลาดของบริษัทยังให้ความสำคัญกับความจริงใจในการสื่อสารสร้างการรับรู้ที่เข้าใจง่ายและเพียงพอต่อการตัดสินใจ โดยไม่โฆษณาเกินจริง และให้ข้อมูลครบถ้วน ทั้งด้านคุณสมบัติ ปริมาณ ราคา และช่องทางการจำหน่าย พร้อมสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram, X เป็นต้น เนื่องจากพฤติกรรมผู้อุปโภคในปัจจุบันหาข้อมูลผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางออนไลน์ได้ง่ายและสะดวกรวดเร็วขึ้น
นอกจากนั้น บริษัทมีการสร้างการรับรู้ผ่านบุคคลที่สังคมให้ความสนใจ เช่น อินฟลูเอนเซอร์, Key Opinion Leaders (KOL) ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทและการให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของผู้บริโภคด้านต่างๆ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น ด้วยงบการตลาดที่วางไว้ในปีนี้ประมาณ 20% ของรายได้
“จุดแข็งแรกเราเป็นบริษัททางการตลาดที่สามารถหาความต้องการของลูกค้าที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง และ mindset แบบ startup ในการทำงาน รวมถึงขั้นตอนต่างๆ ในบริษัทค่อนข้างน้อย ทำให้การ operation เร็วและสินค้าสามารถแก้ pain point ลูกค้าได้ดี โดยมีทางเลือกโรงงานที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ส่วนกลยุทธ์การตลาดไม่มีสูตรสำเร็จ อย่างในช่วง 3-4 ปีที่แล้วเป็นยุคของ KOL เราเป็นบริษัทที่ได้ชื่อว่า ถ้า KOL จะดัง Skinsista ต้องเคยใช้ แต่ปัจจุบันทุกคนสามารถทำคอนเทนต์เป็น KOL ได้ ทำให้กลยุทธ์เปลี่ยน โดยสินค้าบางอย่าง เช่น Dermie เราอาจจะต้องให้ KOL เฉพาะทางช่วยสื่อเรื่องสารสกัดต่างๆ แต่บางสินค้าอาจจะให้ end user รีวิวผลการใช้จริง ดังนั้น สุดท้ายเราต้องพัฒนาสินค้านำ และการตลาดตามหลัง”
ชาญวิทย์ย้ำแผนขยายฐานลูกค้าสร้างการรับรู้ในวงกว้างโดยขยายช่องทางจำหน่ายทั้งรูปแบบ full package และรูปแบบซอง รวมถึงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 7 SKU ในหลากหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ และขยายช่องทางการจัดจำหน่ายเพิ่มมากกว่า 50 จุดในปีนี้ พร้อมเดินหน้ารุกธุรกิจเต็มรูปแบบหลังระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ด้วยความมั่นใจในเป้าหมายรายได้เติบโต 2 เท่าใน 3 ปี
“เราต้องการเป็นบริษัทที่มีสินค้าตอบโจทย์ผู้บริโภคดีกว่าสินค้าเดิมในตลาดและใช้ได้ผลตามที่โฆษณาไว้ ซึ่งเราไม่ได้มองภาพการเป็น skincare เท่านั้น ในอนาคตเราวางแผนต่อยอดสินค้าอื่นที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมความเป็นอยู่ของคนให้ดีขึ้นทั้งกายและใจในราคาที่จับต้องได้ โดยหลักบริหารของเราตั้งแต่ก่อนวางเป้าหมายเป็นบริษัทพันล้าน เราต้องการ pay forward ให้น้องๆ ที่ทำงานเข้าใจภาพการบริหารจัดการธุรกิจและการสร้างฐานะที่มั่นคงให้ทีมงานของเรา”
ภาพ: วรัชญ์ แพทยานันท์
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : สิทธิกร ดิเรกสุนทร ยกระดับองค์กร แก้หนี้ 1.3 หมื่นล้าน