ปรับพอร์ตลงทุนรับ Recession Concern

<h2>ก.ล.ต. เดินหน้าขับเคลื่อน 8 แผนยุทธศาสตร์ปี 2564 – 2566 ตอบโจทย์ 5 เป้าหมาย “ฟื้นฟูและเข้มแข็ง – ยั่งยืน – เข้าถึง – แข่งได้และเชื่อมโยง – เชื่อถือได้” ครอบคลุมเชื่อมโยงทุกมิติทุกแผน เน้นแผนแม่บทเฉพาะกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอันเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด-19 รวมทั้งสอดรับกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ (megatrends)</h2>
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จัดงานแถลงแผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. ปี 2564 – 2566 ภายใต้แนวคิด <strong>“Strengthening Resilient Future”</strong> โดย อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้เกียรติเป็นประธานเปิดการสัมมนาและปาฐกถาพิเศษหัวข้อ <strong>“บทบาทตลาดทุนกับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศปี 2564”</strong> พร้อมมอบรางวัลภายใต้โครงการ ASEAN Corporate Governance Scorecard ให้แก่บริษัทจดทะเบียนไทย เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 ณ โรงแรม ดิแอทธินี โฮเทล แบงค็อก

<img class="alignnone size-full wp-image-41390" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/02/อาคม.jpg" alt="" width="600" height="400" />

<strong>อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง</strong> กล่าวว่า ก.ล.ต.ถือเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการทำหน้าที่กำกับดูแลและพัฒนาตลาดทุนของไทยให้มีความน่าเชื่อถือ มีประสิทธิภาพ และทุกภาคส่วนเข้าถึงได้ เพื่อให้ตลาดทุนเป็นกลไกที่เชื่อมโยงระหว่างกิจการที่ต้องการเงินทุนและผู้ลงทุน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการขยายกิจการ การจ้างงาน การส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของกิจการในประเทศ และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศต่อไป และที่ผ่านมา ก.ล.ต.ทำงานใกล้ชิดกับภาครัฐมาโดยตลอด

ในส่วนของตลาดทุนมี 5 เรื่องสำคัญ ดังนี้ (1) การอำนวยความสะดวกให้กิจการที่ประสบปัญหา โควิด-19 สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ (2) การสร้างความเข้าถึงตลาดทุนทั้งการลงทุนและการระดมทุน เพื่อช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ (inequality) ของประเทศ (3) การยกระดับความเชื่อมั่นและเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันของตลาดทุน

(4) การพัฒนาการเงินที่ยั่งยืน (sustainable finance) โดยตลาดทุนสามารถขับเคลื่อนการจัดสรรเงินทุนไปสู่กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คำนึงถึงสังคม สิ่งแวดล้อม และมีธรรมาภิบาล (ESG) และ (5) การมีเทคโนโลยีและนวัตกรรม ทั้งในมิติของการพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและกำกับดูแลคุ้มครองผู้ลงทุนอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ ในส่วนของสินทรัพย์ดิจิทัล ก.ล.ต.ต้องดูแลและให้ความรู้แก่ผู้ลงทุน เพื่อให้รู้เท่าทันและมีการบริหารความเสี่ยงด้วย

<img class="alignnone wp-image-41388" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/02/พิชิต-อัคราทิตย์.jpg" alt="" width="600" height="320" />

<strong>พิชิต อัคราทิตย์ ประธานกรรมการ ก.ล.ต.</strong> กล่าวว่า “ตลาดทุนมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ก.ล.ต. ได้วางยุทธศาสตร์ของก.ล.ต. ในปี 2564 – 2566 ให้สอดรับกับบทบาทดังกล่าว พร้อมทั้งประเมินสถานการณ์ปัจจุบัน วิเคราะห์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ (megatrends) รวมถึงรับฟังความเห็นของผู้มีส่วนได้เสียอย่างรอบด้าน เพื่อมุ่งหวังที่จะตอบโจทย์ของประเทศและความต้องการของกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง รวมทั้งให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์กร ก.ล.ต. ให้เข้มแข็ง มีศักยภาพพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลง และสามารถขับเคลื่อนภารกิจได้”

<img class="alignnone size-full wp-image-41389" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/02/รื่นวดี-สุวรรณมงคล-.jpg" alt="" width="600" height="338" />

<strong>รื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ ก.ล.ต.</strong> กล่าวว่า “แผนยุทธศาสตร์ก.ล.ต. ปี 2564 – 2566 ที่จัดทำขึ้น
ได้คำนึงถึงความเชื่อมโยงแผนยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาตลาดทุนไทย รวมถึงบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป
และโลกการเงินในยุคใหม่ อันนำมาซึ่งโอกาสและความท้าทายต่อทั้งภาคธุรกิจในตลาดทุนไทยและหน่วยงานกำกับดูแล

โดยกำหนด 5 เป้าหมายและจัดลำดับความสำคัญ เพื่อให้สามารถทุ่มเททรัพยากรได้อย่างเหมาะสมตอบโจทย์ที่เป็นปัจจุบันและมีความสำคัญทั้ง 2 ประเด็น ได้แก่ ประเด็นที่ต้องดำเนินการเร่งด่วนในการเสริมสร้างสภาพคล่องและสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นฟู เข้มแข็ง และมีความสามารถในการแข่งขันต่อไปได้ (recovery &amp; strengthening) และประเด็นที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ตลาดทุนไทยน่าเชื่อถือและมีรากฐานที่แข็งแกร่งเพื่อตลาดทุนไทยเติบโตอย่างยั่งยืน (resilience)”

“แผนยุทธศาสตร์ของก.ล.ต. ในปี 2564 – 2566 ยังคง 4 เป้าหมายและ 7 ยุทธศาสตร์สำคัญจากแผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. ปี 2563 – 2565 โดยได้เพิ่มเป้าหมาย “ฟื้นฟูและเข้มแข็ง” และเพิ่มยุทธศาสตร์เฉพาะกิจ เพื่อให้ตลาดทุนมีกฎเกณฑ์ที่ไม่เป็นอุปสรรคและมีเครื่องมือช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับกิจการที่ประสบปัญหาจากโควิด-19 รวมเป็น 5 เป้าหมาย 8 ยุทธ์ศาสตร์ ดังนี้

(1) การสร้างสภาพแวดล้อมตลาดทุนที่เอื้อต่อการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน (Sustainable capital market)

(2) ส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพทางการเงินในระยะยาว มีการออมและการลงทุนระยะยาวที่เพียงพอรองรับการเกษียณอายุ (Financial well-being)

(3) สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนสำหรับธุรกิจเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ (SMEs &amp; startups growth and financing)

(4) เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และสร้างโอกาสจากความเชื่อมโยงกับต่างประเทศ (Enabling regulatory framework &amp; connectivity)

(5) ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มศักยภาพตลาดทุนและยกระดับการกำกับดูแล (Digital for capital market)

(6) เพิ่มศักยภาพในการกำกับดูแลและบังคับใช้กฎหมายในตลาดทุนไทย (Effective supervision &amp;  enforcement)

(7) ติดตามประเมินความเสี่ยงเชิงระบบได้อย่างเท่าทัน (Systemic risk)

(8) สร้างกฎเกณฑ์ที่ไม่เป็นอุปสรรคและส่งเสริมการมีเครื่องมือช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับกิจการที่ประสบปัญหาจากสถานการณ์ โควิด-19 (Supporting liquidity) ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์เฉพาะกิจ

<img class="alignnone size-full wp-image-41385" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/02/6A95F8C1-572E-4CF6-BFC7-111DFE1F2496.jpg" alt="" width="600" height="338" />

นอกจากนี้ มีการเสวนาในหัวข้อ <strong>“แผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. กับทิศทางเศรษฐกิจและตลาดทุนปี 2564”</strong>
โดยได้รับเกียรติจาก ดร.กุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ดร. อนุชิต อนุชิตานุกูล กรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ร่วมสะท้อนมุมมองต่อแผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนในการลงทุนในตลาดทุนต่อไป โดยมีนางสาวสินิดา เพชรวีระกุล เป็นผู้ดำเนินรายการ

<img class="alignnone size-full wp-image-41386" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/02/8E721BB0-691D-4EE5-932C-64864055C742.jpg" alt="" width="600" height="609" />

ทั้งนี้ รางวัลประกาศเกียรติคุณ ASEAN Corporate Governance Scorecard ปี 2562 ซึ่งประเมินโดยใช้ข้อมูลปี 2561 ที่มอบให้กับบริษัทจดทะเบียนในอาเซียน 6 ประเทศ ภายใต้กรอบความร่วมมือและการสนับสนุนจาก ASEAN Capital Markets Forum (ACMF) และธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) โดยมุ่งเน้นความสำคัญในการดำเนินธุรกิจตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีซึ่งเป็นรากฐานที่นำไปสู่ความยั่งยืน ซึ่งบริษัทจดทะเบียนไทยได้รับคะแนนประเมินเฉลี่ยสูงสุดในอาเซียนต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 6 โดยแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่

(1) รางวัล ASEAN Asset Class PLCs สำหรับบริษัทที่ได้คะแนนตั้งแต่ 97.50 คะแนนขึ้นไป โดยมีบริษัทจดทะเบียนไทย 42 บริษัท จากทั้งหมด 135 บริษัท ซึ่งมากที่สุดในอาเซียน

(2) รางวัล ASEAN Top 20 PLCs สำหรับบริษัทที่มีคะแนนติดอันดับสูงสุด 20 อันดับแรกของอาเซียน โดยมีบริษัทจดทะเบียนไทย 4 บริษัทได้รับรางวัล ได้แก่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BCP) บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) และ

(3) รางวัล Country Top 3 PLCs มอบให้บริษัทจดทะเบียนที่มีคะแนนสูงสุด 3 อันดับแรกของแต่ละประเทศ*

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/hr/%E0%B8%88%E0%B9%8A%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B9%8C-%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%B5-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%87.html">จ๊อบส์ ดีบี เปิดรายงาน “เงินเดือนพนักงานไทย” ประจำปี 2564</a>

&nbsp;
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>

ก.ล.ต. เปิดแผนยุทธศาสตร์ ปี 2564 – 2566

ยุคที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งเทคโนโลยีที่ไม่หยุดนิ่ง ก่อเกิดโอกาสและนวัตกรรมใหม่ๆ ทุกเวลา ส่งผลให้คุณณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำากัด (มหาชน) หรือ SC บริษัทอสังหาริมทรัพย์คุณภาพชั้นนำ ปรับกลยุทธ์และวัฒนธรรมองค์กรครั้งใหญ่ให้สอดคล้องกับพลวัต หนึ่งในนั้นคือการสร้าง CO.Lab สถานที่ทำงานแห่งใหม่ที่ก่อเกิดความคิดสร้างสรรค์ ตอบโจทย์การเป็น <strong>“Living Solutions Provider” </strong>มุ่งมั่นส่งมอบความสุขและที่อยู่อาศัยคุณภาพเยี่ยมแก่ทุกคน

“ที่ทำงานต้องให้พลังงาน มอบความสุขและความคิดสร้างสรรค์กับเรา เช่นเดียวกับการสร้างบ้านให้ลูกค้า เมื่อเขาออกไปปฏิบัติภารกิจต่างๆ แล้วกลับเข้าบ้าน บ้านก็ควรเป็นสถานที่เติมเต็มพลังและความสุข”

<img class="alignnone size-full wp-image-15029" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/Sc1.jpg" alt="" width="720" height="480" />

ด้วยแนวคิดดังกล่าวของคุณณัฐพงศ์ ผู้เป็นซีอีโอของ SC นำสู่การสร้าง CO.Lab บนพื้นที่ 1,000 ตารางเมตร ภายในสำนักงานของ SC ถนนวิภาวดี ออกแบบโดยเน้นฟังก์ชันให้ทุกคนสามารถใช้งานร่วมกัน    เปิดรับแสงแดดภายนอกสร้างความสดชื่น มีพลัง มีชีวิตชีวา ใช้โทนสีที่หลากหลาย สื่อถึงความสดใสและความผ่อนคลายและเน้นแนวคิดความยืดหยุ่น ผ่านการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ที่เคลื่อนย้ายได้สะดวกรวดเร็วตามการใช้งาน ทั้งหมดเพื่อเอื้อต่อการเกิดความคิดสร้างสรรค์ เหนือสิ่งอื่นใด CO.Lab ยังสัมพันธ์กับนโยบาย แนวคิด และวัฒนธรรมองค์กรอย่างกลมกลืน ซึ่งภายใต้การนำของคุณณัฐพงศ์ SC ได้ผ่านการปรับเปลี่ยนเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืนมาแล้ว 3 ครั้งด้วยกัน

ครั้งแรกคือ “Rebranding” ในปี 2013 ซึ่งเป็นช่วงที่องค์กรมุ่งสู่รายได้หมื่นล้านบาท เน้นสร้างแบรนด์  และโลโก้ของ SC ให้ทุกคนรู้จักและจดจำว่า เป็นแบรนด์อสังหาฯ ลักชัวรีที่อบอุ่น เป็นที่มาของสโลแกน “For Good Mornings” หรือเช้าที่ดีของลูกค้าทุกคน จากนั้นในปี 2015 ซึ่ง SC มีรายได้สูงกว่าหมื่นล้านบาทแล้วได้ “Repositioning” ทำบ้านเดี่ยวทุกราคา จากเดิมที่เน้นบ้านราคาระดับบน โดยยังคงคุณภาพสูงสุดไว้เช่นเดิม

“การเปลี่ยนแปลงครั้งที่ 3 คือ ‘Re-Invention’ ในปี 2018 เพราะเป็นช่วงที่พฤติกรรมผู้อยู่อาศัยเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่สุด มีเรื่องดิจิทัล เทคโนโลยี ที่เปลี่ยนการใช้ชีวิตของผู้คน SC จึงเลิกคิดว่า
ตัวเองเป็น developer เพราะมองได้แค่มุมจากเรา และเปลี่ยนมุมมองใหม่เป็น ‘Living Solutions- Provider’ ลูกค้าคือศูนย์กลาง มุมมองเราก็จะกว้างขึ้น ทำงานกับคนต่างอินดัสตรีมากขึ้น ซึ่งเมื่อเราโฟกัสที่ลูกค้าแล้ว หากลูกค้าเปลี่ยนไป อย่างไรเราก็พร้อมจะปรับตัวตลอดเวลา” ซีอีโอของ SC อธิบาย พร้อมเผยถึงหนึ่งในสิ่งที่จุดประกายให้เปลี่ยนองค์กรเป็น “Living Solutions Pro vider” ว่า คือหนังสือ ‘The Digital- Matrix New Rules for Business Transformation Through Technology’ โดย Venkat Venkatraman ที่เล่าเรื่อง แลนด์สเคปของธุรกิจยุคนี้ และพฤติกรรมมนุษย์ที่เปลี่ยนแปลงไปเพราะ disruptive technology และบริษัทจะหาทางรับมืออย่างไร

เพื่อเดินหน้าสู่จุดหมาย SC จึงพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง อาทิ มี co-creation กับพาร์ทเนอร์ใน ecosystem เช่น ริเริ่ม “Sun Share Project” กับ BCPG ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานทางเลือก โดยทดลองให้หลังคาบ้านจำนวนหนึ่งของลูกค้า SC ผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ หากอนาคตมีการผลิตเป็นจำนวนมาก    ก็สามารถจำหน่ายบนแพลตฟอร์มบล็อกเชนได้

<img class="alignnone size-full wp-image-15127" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/Sc12.jpg" alt="" width="720" height="480" />

SC สร้างสรรค์ Living Solution Platform เพื่อมอบ Solutions ที่รู้ใจให้ลูกค้า ภายใต้แนวคิด Human-Centric โดยพัฒนาแอปพลิเคชัน “Baan RueJai” (บ้านรู้ใจ) เพื่อส่งมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยที่เปี่ยมด้วยคุณภาพและบริการที่ดีที่สุดแก่ลูกบ้าน ทั้งบริการแจ้งซ่อมบำรุง การติดต่อสอบถาม ที่รวดเร็วทันใจ อัพเดทข่าวสารและสิทธิประโยชน์ต่างๆ รวมถึงภายในแอปพลิเคชัน มีฟีเจอร์ “RueJai Subscription” บริการแพ็กเกจดูแลบ้านรายเดือน อาทิ บริการจัดสวน ทำความสะอาด ตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคใหม่ของ  ลูกบ้าน พร้อมพัฒนาฟีเจอร์อื่นๆ อย่าง รีไฟแนนซ์ ระบบควบคุมการทำงานภายในบ้าน ฯลฯ

“พอมุมมองเราเปลี่ยนเป็นลูกค้าคือศูนย์กลางเมื่อไรที่เราเห็นปัญหาของลูกค้า โซลูชันต่างๆ จะออกมาเอง”  คือความเห็นของผู้บริหารระดับสูงของ SC

วัฒนธรรมองค์กรเป็นอีกสิ่งที่คุณณัฐพงศ์ให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวด โดยปลายปีที่ผ่านมาได้ประกาศวัฒนธรรมองค์กรใหม่ ภายใต้แนวคิด <strong>#SKYDIVE</strong> สู่การเป็น “Living Solutions Provider” ซึ่งมีค่านิยม 4 ประการ คือ <strong>“Care”</strong> ใส่ใจเพื่อน รู้ใจลูกค้า <strong>“Courage”</strong> กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำเพื่อนำเสนอสิ่งใหม่ <strong>“Collaboration” </strong>ทำงานร่วมกับเพื่อนต่างแผนกหรือต่างบริษัท และ <strong>“Continuous Improvement” </strong>เรียนรู้สิ่งใหม่เพื่อพัฒนาตัวเองไม่สิ้นสุด

<img class="alignnone size-full wp-image-15117" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/WIZ1.jpg" alt="" width="720" height="480" />

ซีอีโอของ SC ย้ำว่า วัฒนธรรมองค์กรคือสิ่งที่ต้องทำต่อเนื่อง ขณะนี้พนักงานทุกคนปฏิบัติงานสอดคล้องกับแนวคิดดังกล่าวมากขึ้นและสิ่งหนึ่งที่ จะช่วยสนับสนุนวัฒนธรรมองค์กรให้ยิ่งแข็งแกร่ง คือการมีสถานที่ทำงานที่ออกแบบโดยมีรากฐานจาก #SKYDIVE ความคิดสร้าง CO.Lab ซึ่งจะเป็นพื้นที่ทำงานร่วมกัน    จึงเกิดขึ้นปลายปี 2017 ใช้เวลาศึกษา ออกแบบ และสร้างราว 1 ปี ก่อนเปิดใช้เมื่อต้นปีนี้ ซึ่งนอกจาก CO.Lab ยังมีโซน Social Lunch พื้นที่ราว 1,000 ตารางเมตร ออกแบบด้วยแนวคิดแคนทีนมหาวิทยาลัยที่ทุกคนสามารถนั่งรับประทานอาหารตรงไหนก็ได้ ทำให้พนักงานเข้า ถึงผู้บริหารระดับสูงได้ง่ายขึ้น

หลังจากเปิดให้พนักงานเข้าใช้ CO.Lab มาได้ระยะหนึ่ง สิ่งที่คุณณัฐพงศ์เห็นคือ นอกจากส่งเสริม “Collaboration” แล้วยังเห็น “Courage” พนักงานกล้าพูด กล้าแสดงความคิดเห็นอย่างชัดเจน ซึ่งหลายครั้งทำให้ผู้บริหารทราบถึงวิธีคิดใหม่ๆ ที่สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดการทำงานให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น

“วิสัยทัศน์ของ SC คือ ราวปี 2050 เราจะมีผู้อยู่อาศัยประมาณ 1 ล้านคน ซึ่งการที่เราจะทำอย่างนั้นได้ วัฒนธรรมองค์กรต้องแข็งแรง เพื่อสร้างเช้าที่ดีให้ลูกค้าทุกคน ซึ่งเรากำลังมุ่งหน้าสู่เป้าหมายนั้นอย่างมีประสิทธิภาพ” ซีอีโอของ SC สรุปอย่างมุ่งมั่น

ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ปั้น CO.Lab ศูนย์กลางความคิดสร้างสรรค์แห่งใหม่ ของ SC Asset

<h2>จับตาการปรับเปลี่ยน "กลยุทธ์ Apple" หลังยอดขายเริ่มชะลอลง ในช่วงสัปดาห์หลังเปิดปีใหม่</h2>
หลังยอดขายเริ่มชะลอลงในช่วงสัปดาห์หลังเปิดปีใหม่ บริษัท Apple ออกมาปรับลดประมาณการรายได้ในไตรมาส 4/2018 ลงจาก 89-93 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สู่ระดับ 84 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ การปรับลดดังกล่าวเป็นการปรับลดลงจาก +3%  เป็น -5% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสเดียวกันของปี 2017 ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ สัปดาห์หลังเปิดปีใหม่มีความผันผวน  อย่างไรก็ดีตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับเพิ่มขึ้นได้ในสัปดาห์ที่ 7-11 ม.ค. 2019 หลังจากประธาน Fed ได้ระบุถึงการชะลอการขึ้นดอกเบี้ย

กลับมาที่ผลดำเนินงานของ Apple สาเหตุที่บริษัทปรับลดประมาณการในครั้งนี้ CEO <strong>Tim Cook</strong> ระบุว่าเกิดจากการที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง รวมถึงประเด็นเรื่องสงครามการค้าที่กดดันเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตามประเด็นสงครามการค้า และเศรษฐกิจจีน อาจมีน้ำหนักอยู่บ้าง แต่ตลาดกลับมองว่าตัวเลขยอดขายของ iPhone ที่ปรับตัวลดลง เป็นผลมาจากการที่ราคาโดยเฉลี่ยต่อเครื่อง (Average Selling Prices - ASP) ปรับเพิ่มขึ้น

โดยราคาขายเฉลี่ย iPhone ในไตรมาส 3/2018 อยู่ที่ 793 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ล่าสุดนักวิเคราะห์คาดราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ 852 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ทั้งนี้เดือน พ.ย. 2018 Apple ประกาศจะไม่ประกาศราคาขายเฉลี่ยอีกแล้ว) หรือปรับเพิ่มขึ้นกว่า 7% ในขณะที่หากพิจารณาในด้านประสิทธิภาพของเครื่องไม่ได้ปรับเปลี่ยนหรือสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งได้มากนัก นอกจากนี้ราคาของ iPhone ยังสูงกว่า Smartphone ยี่ห้ออื่นค่อนข้างมากอีกด้วย
<h2>สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในจีนชะลอ เมื่อเทียบกับปี 2017 แต่ Apple กลับสูญเสียยอดขายให้กับคู่แข่ง</h2>
หากกลับมาพิจารณาความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของผู้บริโภคจีนในปี 2018 มีการชะลอตัวลงเช่นกันหากเทียบกับปีก่อน โดยยอดขาย PC ลดลง -10%, Tablets -1.5% และ Smartphones -9.5% ในขณะที่ Notebook ปรับตัวเพิ่มขึ้น +4.1% โดย Apple ทำยอดขายต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดโดยรวม และสูญเสีย  Market Shares ให้ผู้ผลิตรายอื่น

ถ้ามาดูที่ Smartphones ซึ่งเป็นประเภทสินค้าที่ถูกพูดถึง และทำรายได้ให้ Apple ได้มากที่สุด พบว่ายอดขาย Smartphones โดยรวมในตลาดปรับตัวลดลง -9.5% โดยยอดขาย iPhone ของ Apple ปรับตัวลดลง -8.1% ตามทิศทางโดยรวม ในขณะที่ผู้ผลิตรายอื่น โดยเฉพาะบริษัทสัญชาติจีนกลับมียอดขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดย Huawei +18% และ Xiaomi +2.1% ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจากทุกรุ่นของโทรศัพท์
<h2>ผลกระทบต่อบริษัทอื่นๆ ในอุตสาหกรรม</h2>
เนื่องจาก Apple เป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่ การผลิตอุปกรณ์จึงใช้ชิ้นส่วนค่อนข้างมาก ในกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ของ Apple และประกอบไปด้วย Supplier จากหลายบริษัททั่วโลก การปรับลดประมาณการรายได้และราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงของ Apple ส่งผลให้เกิดแรงกดดันต่อบริษัท Supplier ต่างๆ โดยเฉพาะ Supplier ในสหรัฐฯ และเอเชีย โดย Supplier ในเอเชียมีรายได้จากการผลิตชิ้นส่วนให้ บริษัท Apple ค่อนข้างมาก อาทิ Supplier จากประเทศเกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกง และญี่ปุ่น ทำให้หลัง Apple ออกมาประกาศปรับลดประมาณการรายได้ลง ราคาหุ้นหลายบริษัทปรับตัวลดลงตาม

<img class="alignnone size-full wp-image-3681" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/iphone.png" alt="" width="691" height="176" />
<h2>หลังจากนี้การปรับ กลยุทธ์ Apple อย่างไร ?</h2>
ประเด็นราคาขายเฉลี่ยที่ปรับเพิ่มขึ้นย่อมส่งผลต่อยอดขาย เชื่อว่า Apple จะเริ่มมีการพิจารณาด้านราคามากขึ้น และ อาจมีการปรับกลยุทธ์เพิ่มเติมในอนาคต โดยล่าสุด Apple ออกโปรโมชั่นเป็นครั้งแรก ในสหรัฐฯ ผู้ใช้ iPhone สามารถนำโทรศัพท์รุ่นเก่าเข้ามาแลกซื้อ iPhone XR ได้ในราคาที่ลดลง – การออกโปรโมชั่นดังกล่าวถือว่าเป็นครั้งแรกที่ Apple ลดราคา iPhone

นอกจากประเด็นด้านราคาแล้ว ปัจจุบัน Apple ได้ปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ โดยหันมาเน้นธุรกิจอื่นๆ มากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจบริการ เช่น Cloud Services, Apple Music  นอกจากนี้ยังมีรายงาน Apple จะอนุญาติให้สามารถใช้บริการ Streaming ต่างๆ  บน Smart TV ของ Samsung, LG และ  Vizio  ในอนาคตได้อีกด้วย

สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ผ่านมาธุรกิจบริการของ Apple ทำรายได้กว่า $10.8 bn  และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ เช่น หูฟัง และ สายชาร์จ ซึ่งมีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน โดยทาง Apple ได้ประเมินว่ารายได้ไม่รวม iPhone จะปรับเพิ่มขึ้น +19% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว

<em>Source: CLSA, Morgan Stanley, Bank of America Merrill Lynch, Apple</em>

จับตา"กลยุทธ์ Apple" หลังยอดขายเริ่มชะลอ

<h2>ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเริ่มเติบโตช้ามาต่อเนื่อง 3-4 ปี และยังถูกกระแส ‘บะหมี่นอก’ จากเกาหลีเข้ามาตีชิงส่วนแบ่ง เบอร์ 2 ของตลาดนี้อย่าง ‘ไวไว-ควิก’ จึงต้องแก้เกมทุกช่องทาง</h2>
ไวไว แบรนด์หนึ่งภายใต้ <strong>บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด</strong> เพิ่งออกวางจำหน่าย 3 สินค้าใหม่ ได้แก่ รสต้มยำกุ้งน้ำข้นพริกเผาชนิดชาม, รสหมูสับ (ปรับสูตรและแพ็กเกจใหม่) และรสต้มยำสูตรดั้งเดิม พร้อมๆ กับการออกโฆษณาและเพลงแบบมิวสิก มาร์เก็ตติ้งโปรโมตแคมเปญใหม่ “ทำวันนี้ ทำไวไว” มาสู้ศึกตลาดอิ่มตัว

<strong>ยศสรัล แต้มคงคา</strong> ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด <strong>บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด</strong> เปิดเผยข้อมูลตลาดรวมของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปว่า ช่วง 6 เดือนแรกปี 2561 ตลาดมีการเติบโตราว 2-3% คาดว่ามูลค่าตลาดทั้งปีจะอยู่ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้น 3-4% จากปีก่อนที่มีมูลค่า 1.65 หมื่นล้านบาท

“ปีนี้ถือว่าโตเยอะแล้วเพราะคนไทยรับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปประมาณ 40 ซองต่อคนต่อปี เป็นอัตราที่สูงมากแล้ว และยังมีอาหารทดแทนเข้ามาอีก เช่น อาหารพร้อมทานที่ราคาไม่ได้แพงมาก” ยศสรัลกล่าว

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/f1b812d7da0bcc633b22ba28f6ad4b82.jpg" alt="" width="638" height="453" /><figcaption> ยศสรัล แต้มคงคา</figcaption></figure>

ในขณะที่โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย ช่วง 9 เดือนแรกปี 2561 เติบโตสูงกว่าตลาดที่ 5% ยศสรัลกล่าวว่า แรงผลักดันสำคัญมาจากแบรนด์ควิก ซึ่งได้อานิสงส์นโยบายบัตรประชารัฐของรัฐบาล มียอดขายจากช่องทางร้านค้าดั้งเดิม (TT) เพิ่มขึ้น รวมถึงเส้นหมี่ขาวไวไวที่เป็นเบอร์ 1 ในตลาดยังเติบโตได้ดี ส่วนบะหมี่กึ่งฯ ไวไวนั้นยังเติบโตเทียบเท่ากับตลาด
<h2>แท็กไลน์ใหม่ การตลาด emotional</h2>
ยศสรัลกล่าวว่าปัจจุบัน <strong>บริษัทครองส่วนแบ่งเป็นอันดับ </strong><strong>2 ของตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ 24% แบ่งเป็นแบรนด์ไวไว 16% และแบรนด์ควิก 8% </strong>โดยมองว่าภาวะตลาดนี้การจะดึงส่วนแบ่งมาเพิ่มค่อนข้างลำบาก แต่ต้องทำให้สัดส่วนไม่ตกลง ดังนั้น ปีนี้จึงมีการออกแคมเปญใหม่ผ่านกลยุทธ์มิวสิก มาร์เก็ตติ้งเพลง <strong>“ทำวันนี้ ทำไวไว” </strong>จากบอย โกสิยพงษ์, ปู-พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ และวง Room39 สื่อสารให้ชื่อของแบรนด์ “ไวไว” สนับสนุนการลุกขึ้นมาทำตามความฝันของคน โดยเฉพาะวัยรุ่นวัยเรียน

<img class="" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/928de54a28ddee0d8ba89a61f4674b97.jpg" alt="" width="476" height="771" />

“เราเน้นโปรโมตเรื่องเส้นเหนียว นุ่ม ไม่อืด มาตลอด ซึ่งคิดว่าไปถึงผู้บริโภคได้แล้ว ดังนั้นจึงมีคอนเซปท์โฆษณาใหม่นี้ที่เราจะใช้ต่อเนื่องไปอีก 2 ปี ไอเดียมาจากคำว่า ‘ไวไว’ ที่เรามักจะใช้พูดกันในชีวิตประจำวัน แต่ว่ายังไม่ใช่คำที่สื่อถึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เราอยากให้คนรับรู้คำว่าไวไวแล้วนึกถึงบะหมี่กึ่งฯ มากขึ้น แน่นอนว่าไม่ได้จะไปแทนที่ชื่อ generic name ของบะหมี่กึ่งฯ เพราะทำได้ยาก แต่อยากให้ไวไวได้เป็น brand in mind”

&nbsp;
<h2>เจาะตลาดพรีเมียม ดักกระแสบะหมี่กึ่งฯ เกาหลีบูม</h2>
อีกหนึ่งกลยุทธ์คือไลน์สินค้าใหม่อย่างไวไวรสต้มยำกุ้งน้ำข้นพริกเผาชนิดชาม ราคา 25 บาท จัดเป็นสินค้าพรีเมียมชิ้นใหม่ของไวไว ซึ่งที่ผ่านมาจัดจำหน่ายเฉพาะในเซเว่นอีเลฟเว่น แต่ปีนี้จะเริ่มจำหน่ายทุกช่องทางเพื่อทดสอบการตอบสนองของตลาด

ยศสรัลกล่าวว่า ปัจจุบันผลิตภัณฑ์พรีเมียมในบริษัทมีสัดส่วนเพียง 2% การนำสินค้าชนิดชามออกจำหน่ายนอกร้านสะดวกซื้อ นับเป็นจุดเริ่มของการรุกตลาดพรีเมียมของไวไวและควิก ซึ่งสินค้าชนิดชามน่าจะเป็นเทรนด์ที่กำลังมาในหมู่ผู้บริโภคและบริษัทเตรียมจะผลิตจำหน่ายมากขึ้น จากสัดส่วน 2% เชื่อว่าจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 10% ภายใน 2-3 ปี และยังเตรียมจะผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบซองในระดับพรีเมียมภายใต้แบรนด์ควิกในปี 2562 ด้วยราคาจำหน่าย 30 บาท

“บะหมี่กึ่งฯ แบบชามในตลาดรวมเองก็ยังมีสัดส่วนน้อยเพียง 2% เช่นกัน แต่มีแนวโน้มเติบโต ผู้บริโภคนิยมซื้อไปรับประทานที่บ้านเพราะลักษณะชามสามารถใส่วัตถุดิบอื่นๆ เช่น ไข่ เนื้อสัตว์ ได้ง่ายกว่าแบบถ้วย และสะดวกกว่าแบบซอง”

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/18265176685fec34f2a407ab2741adaa.jpg" alt="" width="638" height="413" /><figcaption> 3 รสชาติใหม่ของไวไวปี 2561: รสหมูสับสูตรใหม่ รสต้มยำกุ้งน้ำข้นพริกเผาชนิดชาม และรสต้มยำสูตรดั้งเดิม</figcaption></figure>

ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูประดับพรีเมียมนี้มาพร้อมกับกระแสบะหมี่กึ่งฯ จากเกาหลีที่ฮิตในประเทศไทยมาแล้วหลายปี โดยเฉพาะ 2 ปีล่าสุดที่ยศสรัลบอกว่า <strong>มีบะหมี่กึ่งฯ แบรนด์เกาหลีอย่างน้อย </strong><strong>4 ยี่ห้อที่เข้ามาทำตลาดอย่างจริงจัง และผลักให้สัดส่วนสินค้ายี่ห้ออื่นๆ เติบโตมาแตะ 10% ของตลาดรวม</strong> รวมถึงเติบโตได้ดีกว่าโดยโตปีละมากกว่า 10% สะท้อนให้เห็นว่าตลาดยอมรับกับตลาดพรีเมียมเพราะบะหมี่กึ่งฯ ของเกาหลีนั้นส่วนใหญ่ขายในราคาสูง เป็นโอกาสของไวไวและควิกที่จะชิงส่วนแบ่งนี้กลับมา

&nbsp;
<h2>เปิดประตูบานใหม่ ดันสินค้า “เครื่องปรุงรส”</h2>
สำหรับอีกเส้นทางหนึ่งที่โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทยกำลังเดินหน้าคือการผลักดันสินค้าใหม่กลุ่มตลาดเครื่องปรุงรส ทั้งนี้ บริษัทมีสินค้าที่อยู่ในตลาดนี้อยู่แล้ว ได้แก่ ผงปรุงรสแบรนด์<strong> “รสเด็ด” </strong>ซึ่งยศสรัลแจกแจงว่าบริษัทมีการผลิตมานับสิบปีแล้ว แต่เพิ่งเริ่มติดตลาดเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาหลังจากปรับกลยุทธ์จากการขายในโมเดิร์นเทรดมาเป็นร้านค้าดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับตลาดรวมของผงปรุงรสที่มีมูลค่าราว 1 หมื่นล้านบาท รสเด็ดยังมีส่วนแบ่งที่เล็กมากไม่ถึง 1%

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/54a66c5c66c52a863d05d6ab92c16930.jpg" alt="" width="638" height="474" /><figcaption> ผงปรุงรส รสเด็ด ของโรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย</figcaption></figure>

แต่ตลาดเครื่องปรุงรสทั้งแบบผง ก้อน และน้ำนั้นมีมูลค่าสูงประมาณ 4 หมื่นล้านบาท วิสัยทัศน์บริษัทจึงต้องการจะบุกตลาดนี้เพิ่มขึ้น นอกจากผลักดันผงปรุงรสรสเด็ดที่มีอยู่เดิม ปีนี้ยังมีการลงทุนไลน์ผลิตใหม่เพื่อผลิตสินค้าชนิดใหม่ด้วย

“สินค้าใหม่อาจจะเป็นรูปแบบน้ำ ยังไม่ตัดสินใจว่าจะใช้แบรนด์รสเด็ดหรือไวไว ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างศึกษาตลาด แต่ได้มีการลงทุนไลน์ผลิตแล้ว คาดว่าจะเปิดตัวสินค้าได้ช่วงไตรมาส 2-3 ปีหน้า” ยศสรัลกล่าว <strong>“บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเติบโตน้อยลง กำไรน้อยเพราะขึ้นราคาไม่ได้ เราจึงต้องหาสินค้าอื่นมาเสริมซึ่งเครื่องปรุงรสมีมาร์จิ้นที่ดีกว่า”</strong>

<em>ต้องติดตามต่อไปว่ากลเม็ดของไวไว</em><em>-ควิกจะทำให้รักษาฐานตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปผนวกกับการเปิดตลาดใหม่ได้สำเร็จหรือไม่</em>

&nbsp;
<h3>Forbes Facts</h3>
<ul>
 	<li>ยศสรัลเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ส่วนแบ่งตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปปัจจุบันอันดับ 1 คือมาม่า 47-48%, ไวไวและควิก 23-24%, ยำยำ 20-21% และอื่นๆ อีก 9-10%</li>
 	<li>ส่วนถ้าหากแบ่งตลาดรวมตามประเภทแพ็กเกจจิ้ง แบบซองจะมีสัดส่วนมากที่สุดที่ 68% รองมาคือแบบถ้วย 30% และแบบชามมี 2%</li>
 	<li>ไวไวมีทั้งหมด 16 รสชาติ และควิกมี 11 รสชาติ สำหรับไวไวมีรสชาติขายดีคือ ไวไวปรุงสำเร็จ, หมูสับต้มยำ และหอยลายผัดฉ่า เป็น 3 รสหลักที่ทำรายได้สัดส่วน 70-80% ของไวไว</li>
 	<li>รสต้มยำสูตรดั้งเดิมเป็นการหวนคืนตลาดอีกครั้ง หลังจากที่รสนี้เคยจำหน่ายในไทยเมื่อ 20 ปีก่อน</li>
</ul>

ตลาดอิ่มตัว-เกาหลีครองเมือง ‘ไวไว’ เปิดตำราสู้ศึกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

ชนินทร์ วานิชวงศ์ สร้าง 'Habitat' บลูโอเชียนแห่งพัทยา

<h2>ทุกๆ 100 คนที่คุณเดินผ่านบนถนนทั่วไปในประเทศจีน คุณจะพบคนเป็นโรคอ้วน 12 คน แต่ถ้าคุณไปเดินบนถนนในเมือง Beijing ตัวเลขนั้นจะกลายเป็น 26 คน นอกจากนั้นแล้ว คนเมืองหลวงยังสูงกว่าคนจีนในเมือง Guangzhou ประมาณ 2-3 นิ้วด้วย คน Beijing ดูรายการทีวีที่เพื่อนร่วมชาติจากภาคใต้คิดว่าเป็นรายการที่แปลกพิศดาร สภาพแวดล้อมในการอยู่อาศัย เช่น สภาพอากาศ ระดับมลภาวะ มีผลต่อทุกสิ่งในชีวิตคนจีนแต่ละภูมิภาคตั้งแต่ความต้องการเครื่องประทินผิวจนถึงกิจกรรมบันเทิง</h2>
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คำว่า <strong>การปรับให้เข้ากับท้องถิ่น (</strong><strong>localization)</strong> กลายเป็นคำฮิตติดปากของแบรนด์ต่างชาติที่ต้องการบุกตลาดจีน แต่ถึงแม้ตลาดประเทศจีนจะต่างกันอย่างมากในแต่ละภูมิภาคและหัวเมืองสำคัญ แบรนด์ส่วนใหญ่ที่พยายามปรับให้เข้ากับท้องถิ่นกลับมองจีนแบบเหมารวมเป็นกลุ่มก้อนเดียวกันหมด

<span style="color: #ff0000;">เมืองใหญ่ในประเทศจีนเป็นตลาดขนาดยักษ์ด้วยตัวมันเอง GDP ของเมือง Shanghai เทียบมูลค่าได้กับประเทศไทยทั้งประเทศ และจำนวนประชากรของเมืองนี้เมืองเดียวยังมากกว่าออสเตรเลียเสียอีก</span> สินค้าหลายยี่ห้อเลือกที่จะปรับให้เข้ากับท้องถิ่นโดยมุ่งเน้นเฉพาะตลาดของแต่ละเมือง เพราะเมืองใหญ่<span style="color: #ff0000;">ในจีนนั้นมีถึง 112 เมืองที่จำนวนประชากรมากกว่า San Francisco และ 12 เมืองในนั้นมี GDP มากกว่า 1 ล้านล้านหยวน</span>

ขนาดของตลาดจีนดึงดูดสินค้าจากทุกมุมโลกเข้ามาทำตลาดแข่งขันกับแบรนด์ท้องถิ่นที่เพิ่มจำนวนขึ้นไม่แพ้กัน ทำให้ทุกวันนี้มีสินค้ายี่ห้อใหม่เฉลี่ยวันละ 160 แบรนด์ออกวางขาย ทุกแบรนด์แข่งขันกันเพื่อให้ได้ ‘ส่วนแบ่งในความทรงจำ’ ของผู้บริโภคที่รู้สึกเฉยเมยต่อสินค้ามากขึ้น

<figure><img style="width: 680px; height: 548px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/cfc6c1b37b6b1828dbf4696c3e056a16.png" alt="" width="680" height="548" /><figcaption> สินค้าใหม่ในจีนออกวางขายเฉลี่ย 160 แบรนด์ต่อวัน ตลาดจีนจึงน่าจะเป็นหนึ่งในตลาดที่มีการแข่งขันสูงที่สุดในโลก  (Photo Credit: China Daily USA)</figcaption></figure>

ด้วยการแข่งขันอันดุเดือดนี้ แบรนด์ที่จะสร้างผลการดำเนินงานได้ดีต้องมุ่งเน้นการสื่อสารการตลาดด้วยข้อความที่สื่อถึงตัวตน ตำแหน่งทางการตลาด ช่องทางจำหน่ายที่เจาะกลุ่มชัดเจน หรือเจาะลึกตั้งแต่ขั้นตอนการพัฒนาสินค้า

<strong>เครือโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนทัล </strong><strong>(IHG)</strong> เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับกรณีนี้ เครือดังกล่าวเปิดโรงแรมกว่า 300 สาขาทั่วแดนมังกร และยังวางแผนจะเปิดเพิ่มอีก 240 สาขาในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า

<strong>Ronald Yang</strong> ผู้อำนวยการฝ่ายร้านอาหาร บาร์ และคอนเซปท์ดีไซน์ <strong>IHG, จีนแผ่นดินใหญ่</strong> กล่าวว่า “การพัฒนาพื้นที่ร้านอาหารในโรงแรมส่วนใหญ่ของเราถูกปรับให้เข้ากับแต่ละตลาด กุญแจสำคัญคือ ผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่มีมุมมองต่างกันต่อค่าใช้จ่ายเฉลี่ยที่ควรใช้ในการรับประทานอาหารของโรงแรม”

<figure><img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/19e4000581516dafc9d297c8c2b5dc7a.png" alt="" width="680" height="453" /><figcaption> โรงแรม The InterContinental Hangzhou หนึ่งในโรงแรมเครือ IHG ที่ต้องมีการปรับให้เข้ากับท้องถิ่นในทุกเมืองที่เข้าไปเปิดธุรกิจ</figcaption></figure>

ไม่ใช่ทุกแบรนด์ที่สามารถปรับรายละเอียดได้ในระดับเดียวกับ IHG แต่ก็มีหัวข้อสำคัญหลายอย่างที่แต่ละบริษัทควรรับไว้พิจารณา­

&nbsp;
<h2>การวางตำแหน่งแบรนด์ในตลาด</h2>
การโฆษณาที่พยายามปรับให้เข้ากับท้องถิ่นด้วยการใช้รูปภาพตึก Pearl สำหรับชาว Shanghai หรือภาพเมืองต้องห้ามสำหรับคน Beijing อาจจะแสดงให้เห็นถึงความรักต่อคนท้องถิ่นได้ดีขึ้น แต่ปัจจุบันนัยยะในการสื่อสารควรจะคิดให้ลึกขึ้นและไม่จมอยู่กับวิธีการเก่าๆ เนื่องจากงานวิจัยหลายชิ้นพบว่าการสร้างความแตกต่างทางการสื่อสารส่งผลที่ดีในหมู่ผู้บริโภค

ยกตัวอย่างในเมือง Beijing เรื่องราวความผูกพันในครอบครัวผสานกลิ่นอายความรักชาติมักจะได้ผล เนื่องจากเพศชายมีลักษณะสมชายชาตรีมากกว่า เมื่อเทียบกับ Shanghai ซึ่งเพศชายจะมีลักษณะ metrosexual <em><span class="s1">(</span><span class="s2">ผู้ชายที่มีบุคลิกสำอางคล้ายเพศหญิง</span><span class="s1">)</span><span style="font-size: 14px;"> </span></em>และมีภาพลักษณ์ของบุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์ มีแรงบันดาลใจ และเป็นสากลมากกว่า

ในขณะที่การสื่อสารแบบตรงไปตรงมามักจะได้ผลดีกับเมืองอย่าง Guangzhou และ Shenzhen อย่างไรก็ตาม เมืองใหญ่ทั้งสองแห่งก็ยังมีความแตกต่างในหลายด้าน โดย Guangzhou เป็นเมืองเก่าที่คนส่วนใหญ่ยังอาศัยอยู่กับพ่อแม่และคนกว่าครึ่งใช้ภาษาจีนคันโตนีสเป็นภาษาแม่ แต่ในเมือง Shenzhen ที่ห่างออกไปเพียงแค่ 30 นาทีด้วยรถไฟ กลับเป็นเมืองที่คนอพยพเข้ามาอาศัยและใช้ภาษาจีนกลางเป็นหลัก

<figure><img style="width: 680px; height: 454px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/53b0900f71973faf9cdf75bb7623e74f.png" alt="" width="680" height="454" /><figcaption> Shenzhen หัวเมืองในจีน พฤติกรรมผู้บริโภคของเมืองนี้แตกต่างจาก Guangzhou หลายด้าน ถึงแม้ว่าทั้งสองเมืองจะห่างกันเพียง 30 นาทีด้วยการเดินทางโดยรถไฟก็ตาม (Photo Credit: Anthony Wallace/AFP)</figcaption></figure>

กระบวนการคิดและความพึงพอใจของคนมักจะเปลี่ยนไปในแต่ละหัวเมืองใหญ่ น่าจะมีประโยชน์อย่างมากหากเจ้าของสินค้าพยายามบิดปรับข้อความสื่อสารและตำแหน่งทางการตลาดบ้างเพื่อให้ตรงกับเมือง ภูมิภาค หรือกลุ่มลูกค้าที่เป็นเป้าหมายหลัก

&nbsp;
<h2>การใช้ช่องทางโปรโมตผ่านสื่อเก่าด้วยวิธีใหม่</h2>
การทำโฆษณาแบบปรับให้เข้ากับท้องถิ่นสำหรับช่องทางโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ยังคงเป็นวิธีการชนะใจผู้บริโภคได้รวดเร็ว เพราะทำให้ผู้บริโภคท้องถิ่นรู้สึกใกล้ชิดกับแบรนด์มากขึ้นโดยเฉพาะในหัวเมืองรองซึ่งคนยังไม่คุ้นเคยกับแบรนด์ต่างชาติ

อย่างไรก็ตาม <span style="color: #ff0000;">ช่องทางโฆษณาที่แนบเนียนคือจุดที่ต้องใส่ใจมากที่สุด อย่างเช่นโปรโมชันภายในร้านค้าและการให้ตัวอย่างสินค้าถือเป็นกลยุทธ์การตลาดที่นิยมมากในประเทศจีน โดยเฉพาะแบรนด์ต่างชาติที่พยายามนำเสนอสินค้าแปลกใหม่จำเป็นมากที่จะต้องมีสินค้าให้ทดลอง</span>

แต่ก็อีกเช่นกัน คนภาคต่างๆ ของจีนมีพฤติกรรมต่างกันในแต่ละกลุ่มสินค้า ทำให้ประสิทธิภาพของการจัดโปรโมชันต่างกันอย่างมากระหว่างแต่ละเมือง  ยกตัวอย่างเมือง Shenzhen ผู้บริโภค 38% ที่เลือกซื้อสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่มมองว่าเซลส์ขายในร้านค้าถือเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เทียบกับเมือง Nanjing ตัวเลขดังกล่าวลดเหลือเพียง 12% เท่านั้น (ข้อมูลจากรายงานวิจัยของ McKinsey ปี 2015)

&nbsp;
<h2>การตลาดดิจิทัล</h2>
หลายแบรนด์เลือกเน้นทำตลาดกับช่องทางออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ e-commerce สื่อสังคม และเว็บไซต์ทั่วไป เพราะคาดหวังว่าจะเป็นหนทางเข้าถึงตลาดที่แตกต่างกันมากในเชิงภูมิศาสตร์ได้อย่างครอบคลุม แต่แบรนด์ที่ฉลาดจะรู้ว่าการทำตลาดออนไลน์ก็สามารถพัฒนาให้เข้ากับท้องถิ่นและทำให้ตรงเฉพาะตัวบุคคล โดยเฉพาะในยุคที่การตลาดแบบ O2O <em><span class="s1">(Online to Offline : </span><span class="s2">การทำตลาดบนออนไลน์เพื่อผลักดันให้เกิดการซื้อในร้านค้าออฟไลน์</span><span class="s1">) </span></em>กำลังมาแรง

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/1c1e95ef9b446250655fd1253452a3f3.png" alt="" width="680" height="510" /><figcaption> การตลาดดิจิทัล อีกหนึ่งช่องทางสำคัญเจาะตลาดชาวจีน (Photo Credit: Gizbot.com)</figcaption></figure>

“O2O ให้โอกาสอันประเมินค่าไม่ได้แก่ผู้บริโภคชาวจีนที่ต้องการประสบการณ์ใหม่ๆ และสำหรับเจ้าของสินค้าที่จะได้สร้างการตระหนักรู้ในแบรนด์ผ่านพื้นที่ออนไลน์ ยิ่งสามารถสร้างประสบการณ์ที่พิเศษและเข้ากับท้องถิ่นมากเท่าไหร่ การมีส่วนร่วมในแคมเปญออนไลน์ก็จะยิ่งมากเท่านั้น” <strong>Andrew Atkinson</strong> ผู้จัดการฝ่ายการตลาด <strong>China Skinny</strong> กล่าว

ปัจจุบันทั้ง WeChat, Baidu และสื่อออนไลน์อื่นๆ ในจีนมีทางเลือกให้นักการตลาดสื่อสารข้อความโฆษณาแบบแบ่งกลุ่มเฉพาะพื้นที่ได้ ซึ่งเอื้อต่อการทำตลาดแบบแยกย่อยสำหรับแต่ละเมือง แม้แต่ยักษ์ใหญ่ Ailbaba ไม่นานมานี้ก็เพิ่งเปิดตัวฟังก์ชันที่ให้คู่ค้าสามารถแยกรูปแบบหน้าตาร้านค้าและสินค้าที่จะปรากฏแยกตามแต่ละพื้นที่ได้ด้วย

หลายคนมองว่าจีนเหมือนกับยุโรปในแง่ของความหลากหลายของลูกค้า แต่กลับเลือกที่จะใช้กลยุทธ์การตลาดแบบเหมารวมทั้งประเทศ ซึ่งในประเทศที่มีการแข่งขันสูงขึ้นทุกวันอย่างจีน การทำให้เข้ากับท้องถิ่นคือหนทางเดียวที่จะทำให้มั่นใจได้ว่า แบรนด์จะยังไปรอด

&nbsp;

&nbsp;
<p class="p1"><span class="s1">แปลและเรียบเรียงจากบทความ</span><span class="s2"><i> How China's Best Performing Brands Localize For The Market </i></span><span class="s1">โดย</span><span class="s2"><i> Mark Tanner </i></span><span class="s1">ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ</span><i> </i><span class="s1">บริษัท</span><span class="s2"><i> China Skinny </i></span><span class="s1">ที่ปรึกษาด้านการตลาดประเทศจีน</span><i> </i><span class="s1">ตีพิมพ์ใน</span><span class="s2"><i> Forbes.com</i></span></p>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events