จากพื้นฐานครอบครัวที่ยากจน ทำให้เสียโอกาสหลายอย่างในชีวิต กลับกลายเป็นแรงผลักดันให้ จิราภรณ์ ทัศบุตร ประธานกรรมการผู้บริหารระดับสูง บริษัท แอนนา แอนด์ เอเอ็นซีทีเอช ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ (ไทยแลนด์) หรือที่รู้จักกันในนาม "หมวย ANC" ก้าวข้ามปัญหา อุปสรรคต่างๆ อย่างมีสติ และมีกำลังใจจากลูกและลูกน้อง จนเติบโตสู่บริษัทระดับพันล้าน ที่มีแบรนด์สินค้าตัวเองมากกว่า 40 แบรนด์ พร้อมสนับสนุนการสร้าง CEO คนต่อไป​"เราเริ่มต้นจากครอบครัวที่ยากจน พ่อแม่ทะเลาะกันด้วยปัญหาทางการเงิน ทำให้เสียโอกาสหลายอย่างในชีวิต แต่เราก็พยายามสอบชิงทุน ทำงานไปเรียนไปจนจบปริญญาตรี วิทยาศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาเคมี เป็นติวเตอร์ ขายซาลาเปา พนักงานเสิร์ฟ ทำงานทุกอย่างที่จะทำได้" จิราภรณ์ ทัศบุตร ประธานกรรมการผู้บริหารระดับสูง บริษัท&nbsp; แอนนา แอนด์ เอเอ็นซีทีเอช ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ (ไทยแลนด์) หรือ "หมวย ANC"&nbsp;เล่าถึงชีวิตในวัยเด็ก ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้สู้ชีวิตด้วยการทำงานที่หลากหลาย จนมาเจออาชีพที่ใช่ คือการเป็นพนักงานขาย หรือ เซลส ให้กับรถยนต์ฮอนด้าหลังแต่งงาน จิราภรณ์ จึงลาออกจากอาชีพพนักงานขายรถ เพื่อเลี้ยงลูกและสร้างครอบครัว แต่ด้วยหัวใจรักการขายของ เธอจึงเริ่มขายของออนไลน์ เริ่มจากเสื้อผ้าเด็ก ก็ลองผิดลองถูก โดนโกงบ้าง เพราะยังใหม่ในธุรกิจ จึงหันมาขายในสิ่งที่ตัวเองรักและชอบ คือกระเป๋า ก็เริ่มขายดีจนมีเงินเก็บหลักสิบล้านบาท และวิกฤตครั้งแรกก็เข้ามาทดสอบชีวิตของ จิราภรณ์​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/QcmeS51jetdjyNhes4bX.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="QcmeS51jetdjyNhes4bX.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"><figcaption><div>​จิราภรณ์ ทัศบุตร ประธานกรรมการผู้บริหารระดับสูง&nbsp;</div><div>บริษัท แอนนา แอนด์ เอเอ็นซีทีเอช ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ (ไทยแลนด์) หรือ "หมวย ANC"</div></figcaption></figure></div>ก้าวข้ามวิกฤต 4 ครั้ง ด้วยสติและกำลังใจ บางคนเจอวิกฤตครั้งเดียวก็หนักหนาแล้ว สำหรับจิราภรณ์เจอวิกฤตถึง 4 ครั้งด้วยกัน และเธอสามารถก้าวข้ามปัญหาอุปสรรคมาได้ด้วยสติและกำลังใจจากคนรอบข้าง โดยเฉพาะลูก และลูกน้อง วิกฤตแรกเงินสิบล้านที่หาได้ สูญไปกับการลงทุนโรงงานไม้แปรรูปของสามี ไม่มีเงินถึงขนาดไม่มีค่าหมอค่ายารักษาลูกที่ป่วย จึงให้น้องชายซึ่งเป็นข้าราชการกู้เงินมาให้ และเริ่มขายของออนไลน์อีกครั้ง และฟื้นกลับมาได้ในอีก 2-3 ปีถัดมา วิกฤตที่สองก็ตามมาอีกระลอก จากการที่โรงงานถูกสั่งปิดเนื่องจากตั้งอยู่บนที่สปก. ทำให้ตัดสินใจ "ไปตายเอาดาบหน้า" ย้ายโรงงานจากอำนาจเจริญเข้ามาตั้งโรงงานที่มหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งในช่วงโควิดถือเป็นพื้นที่สีแดงที่มีการระบาดของโรคอย่างมาก"ช่วงนั้นขายของดีมาก ก็มีหน่วยงานเข้ามาตรวจสอบ ก็ติดเรื่องที่สปก.จึงถูกสั่งปิดโรงงาน ก็ตัดสินใจย้ายมากรุงเทพ มาตายเอาดาบหน้า ขนสินค้ามา 22 รถพ่วง เพื่อมาเริ่มต้นใหม่ ก็มาเจอวิกฤตโควิดพอดี ลูกน้องที่ตามมาด้วยก็ติดโควิด ไม่มีรายได้ 2-3 เดือน พนักงานก็ทยอยลาออก ก็มีพนักงานส่วนหนึ่งที่ยังคงอยู่กับเรา ทำงานกันแบบไม่ได้เงินเดือน ไลฟ์ขายของ แพ็คของจนถึงตี 5 เราก็อยู่กินกับลูกน้อง วัดใจกันไป เราก็ได้ใจลูกน้อง ลูกน้องก็ได้ใจเรา"&nbsp; &nbsp; &nbsp; จิราภรณ์เล่าถึงการตัดสินใจครั้งสำคัญในการย้ายฐานธุรกิจจากอำนาจเจริญบ้านเกิดเข้ากรุงเทพฯ แบบที่ไม่รู้จักใครมาก่อน ​ผลจากความทุ่มเททั้งเจ้านายและลูกน้อง ทำให้ ANC ฟื้นขึ้นอีกครั้ง และเปลี่ยนจากไลฟ์ขายกระเป๋า สกินแคร์ ได้เพิ่มหมวดสินค้าต่างๆ ที่ครอบคลุมการใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น และวิกฤตครั้งที่ 4 คือการตัดสินใจหย่ากับสามี ถือเป็นวิกฤตหนักที่สุดที่ส่งผลกระทบต่องานและธุรกิจของ ANC "การตัดสินใจเข้ามากรุงเทพ ธุรกิจดีมาก มียอดขายหลักพันล้าน ชีวิตดีจนรู้สึกอิจฉาตัวเอง แต่พอชีวิตพุ่งขึ้นไปสูงๆ เหมือนถูกเตะตัดขา หล่นลงมา ถือเป็นช่วงที่ยากที่สุด เหมือนตายทั้งเป็นอยู่สองเดือน จนตัดสินใจว่าจะเลิกดีไหม ลูก หนี้สิ้น พนักงานจะทำอย่างไร คิดไม่ตก จัดการตัวเองไม่ได้ ไลฟ์ขายของก็เบลอ วีน เหวี่ยงลูกค้าและพนักงาน จนต้องไปพบจิตแพทย์ และเจอกับคำถามที่ว่า "เมื่อไหร่จะอนุญาตให้ตัวเองมีความสุข" และลูกที่ต้องการแม่ เรียกสติให้กลับมา และเริ่มต้นอีกครั้งกับหนี้ 110 ล้านบาท" จิราภรณ์กล่าว หลังผ่านวิกฤตมาถึง 4 ครั้ง สิ่งที่เธอได้เรียนรู้ คือ การมีสติและกำลังใจ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของมนุษย์ จิราภรณ์ จึงกลับมาลุยธุรกิจอีกครั้ง และสามารถปิดหนี้ได้ภายใน 1 ปี และปีต่อมาจึงได้สร้างโกดังแห่งใหม่ที่จังหวัดสมุทรสาคร มูลค่ากว่า 250 ล้านบาท และทำยอดขายไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ โดยในปีที่ผ่านมามียอดขายรวมกว่า 400 ล้านบาท และปีนี้คาดว่าจะเติบโต 3 เท่า ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/w8ntKG9tTNK9ZhkS9GjJ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="w8ntKG9tTNK9ZhkS9GjJ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> ​​มุ่งหน้า CEO หน้าใหม่ หนุนธุรกิจ ANCจิราภรณ์ หรือ หมวย ANC ถือเป็นแม่ค้าออนไลน์ที่มียอดขายสูงอันดับต้นๆ ของประเทศ เคยไลฟ์สด 1 ครั้ง ในเวลา 2 ชั่วโมง ปิดการขายได้ถึง 16 ล้านบาท โดยเฉลี่ยจะมียอดขาย 2-3 ล้านบาทต่อการไลฟ์ 1 ครั้ง สำหรับสินค้าที่ ANC จำหน่ายมีมากกว่า 3,000 รายการ และ 70% เป็นแบรนด์ของ ANC เอง มีเพียง 30% ที่เป็นแบรนด์ของพันธมิตร เช่นกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า ปัจจุบันสัดส่วนยอดขาย 30% มาจากกลุ่มแฟชั่น กระเป๋า เสื้อผ้า 20% จากชุดเครื่องนอน ของใช้ 20% จากสกินแคร์และอาหารเสริม ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า, น้ำยาสุขภัณฑ์ และนาฬิกา มีสัดส่วนกลุ่มละ 10%​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/hn7V1cnpxpZvYXBg6ckZ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="hn7V1cnpxpZvYXBg6ckZ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="2"><figcaption><div>​จิราภรณ์ ทัศบุตร ประธานกรรมการผู้บริหารระดับสูง&nbsp;</div><div>บริษัท แอนนา แอนด์ เอเอ็นซีทีเอช ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ (ไทยแลนด์) หรือ "หมวย ANC"</div></figcaption></figure></div>จิราภรณ์ กล่าวว่า การสร้างแบรนด์ของตัวเอง ซึ่งปัจจุบันมีกว่า 40 แบรนด์ ครอบคลุมสินค้าตั้งแต่หัวจรดเท้า เป็นการวางแผนธุรกิจในระยะยาว จากการที่ตัวเองสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ด้วยสินค้าดี มีคุณภาพ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ดังนั้นทำให้ลูกค้ามั่นใจว่าสินค้าที่ผ่านมือของเราขายได้หมด "เราขายของไม่ได้เน้นว่าขายถูกหรือแพง ลูกค้าจะจดจำ หมวย ANC ว่าเราเป็นพี่หมวยที่ขายกระเป๋าสวย คุณภาพดี ลูกค้าจดจำว่าคนนี้หยิบของดี ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรขายได้ทั้งสิ้น และยังมีบริการส่งของ ให้ลูกค้าเช็คของก่อนรับ ถ้าไม่ตรงปก ไม่ต้องรับ ไม่ต้องจ่าย เป็นบริการที่เราให้ใจลูกค้า ลูกค้าจึงบอกปากต่อปาก ทำให้เราเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง ไม่เคยต้องมีพรีเซนเตอร์ แค่ไลฟ์กับยิงแอดก็สามารถสร้างธุรกิจขึ้นมาได้ถึงทุกวันนี้" "ความตั้งใจ คืออยากเป็นจุดศูนย์รวมของสินค้าทุกประเภท ภายใต้โปรดักส์ของเราเอง ตอนนี้ใครอยากไลฟ์ มีพลังงานไปต่อ แต่ไม่มีทุนบริษัทจะต่อยอดให้ เป็นทัพหลังให้คนรุ่นใหม่ที่จะเป็น CEO คนต่อไป ใครมีความพร้อมก้าวเข้ามาเลย เรามีสินค้าพร้อมขาย ใครไลฟ์ได้ไลฟ์ เราแพ็คสินค้าให้ มีเซอร์วิส มีโกดัง พนักงาน มีเครื่องมือ มีความรู้ มีความเชี่ยวชาญ ทั้งจากการเป็นแม่ค้าไลฟ์สดและยิงแอด ซึ่งถือเป็น Passive Income ที่สามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง" และนี่คือเป้าหมายทางธุรกิจก้าวใหม่ที่ ANC กำลังก้าวไป โดยมี CEO หญิงแกร่งอย่าง หมวย ANC จิราภรณ์ ทัศบุตร ประธานกรรมการผู้บริหารระดับสูง ที่พร้อมเป็นพลังสนับสนุนแม่ค้าออนไลน์ทุกคนให้ประสบความสำเร็จ

จิราภรณ์ ทัศบุตร "หมวย ANC" จากแม่ค้าออนไลน์ สู่นักปั้น CEO พันล้าน

<h2>เปิดกลยุทธ์ เอพี ไทยแลนด์ ปั้นแบรนด์ 10 ปี สู่ “ชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้” ตอกย้ำบทบาทของแบรนด์ที่เป็นมากกว่าคนสร้างบ้าน กับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รวม 175 โครงการ มูลค่ากว่า 1.36 แสนล้านบาท เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ไตรมาส 2 รวม 11 โครงการ มูลค่ากว่า 16,000 ล้านบาท</h2>
<img class="alignnone size-full wp-image-61989" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/04/สรรพสิทธิ์-ฟุ้งเฟื่องเชวง_0401.jpg" alt="" width="650" height="428" />

สรรพสิทธิ์ ฟุ้งเฟื่องเชวง ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายงานกลยุทธ์แบรนด์องค์กร บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการประกาศคำมั่นสัญญา (Brand Promise) ในการดำเนินธุรกิจของเอพี ไทยแลนด์ในรอบ 10 ปี ภายใต้คำว่า “ชีวิตดี ๆ ที่เลือกเองได้” ซึ่งนำมาสู่การวางกลยุทธ์การดำเนินงานขององค์กรใน 3 ด้านหลักสำคัญ เพื่อตอบโจทย์วิสัยทัศน์ในระยะยาวของบริษัท ที่มุ่งมั่นสู่การเป็นผู้สร้างและจัดหาสินค้าหรือบริการที่เกื้อหนุนให้ลูกค้า และผู้เกี่ยวข้องกับเอพี สามารถเลือกใช้ชีวิตที่ดีในแบบที่ต้องการ ผ่านทุกมิติของการดำเนินชีวิต

“จากสถานการณ์โรคระบาดที่เกิดขึ้น ความสุขของผู้บริโภคไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เรามองถึงการขยายธุรกิจไปสู่สิ่งที่มากกว่า ด้วยการรับฟังความต้องการของสังคม มุ่งสร้างโลกที่มอบพื้นที่ไม่ใช่แค่การใช้ชีวิต แต่มอบสิ่งที่มากกว่า นำมาสู่คำมั่นสัญญาของแบรนด์ที่ว่า ชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้” สรรพสิทธิ์กล่าว

ภายใต้ Brand Promise ของเอพี ไทยแลนด์ที่ว่า “ชีวิตดี ๆ ที่เลือกเองได้” นำมาสู่การวางกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจที่สำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ 1. HAPPINESS HAS NO BLUEPRINTS ความสุขไม่มีแบบฉบับที่ตายตัว สะท้อนไปสู่การออกแบบโครงการของเอพี ที่มุ่งเน้นเรื่องความหลากหลาย ปัจจุบันเอพีมีแบรนด์ต่างๆ รวม 16  แบรนด์ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียมที่สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า

2.INNOVATION FROM YOU FOR YOU นวัตกรรมการดีไซน์ตามหลัก Design Thinking ที่ตอบโจทย์ความสุข วิถีชีวิต และพฤติกรรมของลูกค้า ตัวอย่างเช่นการออกแบบ Modular Layout ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสรีระของแต่ละบุคคล Smart Home Living และ Smart World Application ที่ตอบสนองการใช้งานของลูกค้าในทุกฟังก์ชั่น และ 3. COMMUNITY OF THE FUTURE เอพีต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการเอ็มพาวเวอร์สังคม ซึ่งเป็นการขยายขอบเขตที่มากกว่าการส่งมอบชีวิตดีๆ ในฐานะนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มาสู่การสร้างคอมมูนิตี้ที่ดีให้เกิดขึ้นในชุมชน เช่น โครงการสนามฟุตบอลแนวคิดใหม่ในชุมชนคลองเตย และ โครงการ Space Scholarship ที่มอบทุนการศึกษาเป็นตารางเมตร ให้กับนักเรียนต่างจังหวัดที่เข้ามาเรียนในกรุงเทพ เป็นต้น

สรรพสิทธิ์ กล่าวว่า แนวคิด “ชีวิตดี ๆ ที่เลือกเองได้” จะเป็นกลยุทธ์สำคัญที่สะท้อนผ่าน 175 โครงการของเอพี ไทยแลนด์ มูลค่ากว่า 1.36 แสนล้านบาท ซึ่งในปี 2565 บริษัทมีแผนพัฒนาโครงการใหม่รวมทั้งสิ้น 65 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 60,800 ล้านบาท เป็นโครงการคอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่า 13,000 ล้านบาท โครงการต่างจังหวัด 5 โครงการ มูลค่า 4,200 ล้านบาท โดยตั้งเป้ายอดขายรวม 50,000 ล้านบาท

สำหรับไตรมาส 2 ของปีนี้ บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 11 โครงการ มูลค่า 16,270 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 1 โครงการ มูลค่า 3,400 ล้านบาท ทาว์โฮม 8 โครงการ มูลค่า 7,270 ล้านนบาท และคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่า 5,600 ล้านบาท โดยไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายรวม 12,959 ล้านบาท เติบโต 63% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 10,798 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 2,161 ล้านบาท

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/%e0%b8%99%e0%b8%b5%e0%b9%82%e0%b8%ad-%e0%b8%84%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b8%9b%e0%b8%ad%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%97-%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b8%b4%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%aa%e0%b9%89%e0%b8%99%e0%b8%97.html">นีโอ คอร์ปอเรท เปิดเส้นทางความสำเร็จ “ดีนี่” ครอง “อันดับ 1” ตลาดสินค้าเด็ก</a>
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>

กลยุทธ์ 10 ปี "เอพี ไทยแลนด์" สร้างแบรนด์สู่ "ชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้"

ปวริศา ชุมวิกรานต์ สปีดแบรนด์ “FWD” ครองใจผู้บริโภค

<h2>ท่ามกลาง ‘แบรนด์’ จำนวนมหาศาลทั้งที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่และคร่ำหวอดมานานจนเป็นผู้นำตลาด "การสร้างแบรนด์" ให้ผู้บริโภคนึกถึงแบรนด์ของเราจึงไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องทุ่มเทงบประมาณไม่น้อยเพื่อสร้างสิ่งที่จะมาดึงดูดใจ แต่ธรรมชาติของมนุษย์มักให้ความสนใจในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตนเอง</h2>
ด้วยเหตุผลเบื้องต้น การสร้างแบรนด์ จำเป็นต้อง ‘เปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมทางประสบการณ์ (Interactive Experience Branding)’ เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ ผ่านการแสดงความคิดเห็นและพูดคุยแลกเปลี่ยนกับผู้ที่มีประสบการณ์ร่วมเกี่ยวกับแบรนด์ จนเกิดเป็นการร่วมสร้างสรรค์สินค้าหรือแคมเปญการตลาดในฐานะ ‘พาร์ตเนอร์’ ไม่ใช่เพียงลูกค้าที่มีหน้าที่ในการรับข้อมูลข่าวสารจากแบรนด์อย่างเดียวเท่านั้น

เมื่อโลกเข้าสู่ยุคดิจิทัล ‘การสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค’ กลายเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะการสื่อสารแบรนด์รูปแบบเดิมไม่สามารถปิดการขายได้อีกต่อไป ด้วยเหตุผลที่ผู้บริโภคมีกระบวนการตัดสินใจซื้อที่ซับซ้อนมากขึ้น มีพฤติกรรมการเปิดรับข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าที่เปลี่ยนไป ทั้งจากคนใกล้ตัว ลูกค้าคนอื่นๆ บนแพลตฟอร์มออนไลน์ ตลอดจน อินฟลูเอนเซอร์ และแน่นอนว่าข้อมูลที่ผู้บริโภคให้ความเชื่อถือน้อยที่สุดคือข้อมูลที่มาจากแบรนด์

ด้วยเหตุนี้การทำ Interactive Experience Branding จึงช่วยให้แบรนด์ใกล้ชิดและเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคจนนำเสนอสินค้าได้อย่างตรงใจมากขึ้น ก่อนจะพัฒนาเป็นความชื่นชอบในแบรนด์ (Brand Admiration) เชื่อถือข้อมูลที่แบรนด์นำเสนอและกลับมาซื้อซ้ำ (Re-purchase)

เกิดความรู้สึกที่อยากจะบอกต่อ (Word of Mouth) เรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับแบรนด์ให้บุคคลอื่นรับรู้ และนำไปสู่การเป็นสาวก (Brand Advocate) ที่พร้อมจะปกป้องเมื่อแบรนด์ถูกโจมตีในที่สุด แต่นอกจากการเปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมทางประสบการณ์ ยังต้องทำให้ผู้บริโภคเกิดความรู้สึก ‘เป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์’ มากขึ้นผ่าน 3 ขั้นตอน ดังนี้


ประกาศเจตจำนงของแบรนด์อย่างจริงใจและทำได้จริง 

เจตจำนงของแบรนด์ นับเป็นจุดเริ่มต้นให้แบรนด์ตระหนักว่า ‘เกิดมาเพื่ออะไร’ และ ‘สามารถสร้างประโยชน์อะไร’ เพราะในยุคที่ข้อมูลจากแบรนด์มีความน่าเชื่อถือต่ำในสายตาผู้บริโภค การสร้างความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจและเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์จึงต้องเกิดจากการประกาศเจตจำนงที่แบรนด์สามารถทำได้จริงและมีประโยชน์ต่อสังคม (Authentic Brand Purpose) อย่างชัดเจน เช่น โดฟ (Dove) เป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงามที่มีเจตจำนงว่าผู้หญิงทุกคนมีความงามในแบบฉบับของตนเอง

ดังนั้นสื่อโฆษณาของโดฟจึงมีการเลือกใช้นักแสดงที่มีความหลากหลายด้านกายภาพทั้งสีผิวและรูปร่าง เพื่อให้ผู้หญิงซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของแบรนด์เชื่อในความสวยที่แตกต่างและมั่นใจในตนเองมากขึ้น โดยผลลัพธ์ทางอ้อมคือแบรนด์มีโอกาสสร้างยอดขายได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะเลือกใช้แบรนด์ที่มีเจตจำนงสอดคล้องกับความเชื่อและทัศนคติของตนเอง

&nbsp;

สร้างประสบการณ์ลูกค้าให้สอดคล้องกับจุดยืนของแบรนด์

การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าสามารถทำได้หลากหลายด้าน ทั้งการพัฒนาคุณภาพสินค้า (Physical Experience) การพัฒนาการให้บริการ (Service Experience) การพัฒนาการสื่อสารแบรนด์และการตลาด (Communication Experience) และการพัฒนาช่องทางดิจิทัลของแบรนด์ (Digital Experience) แต่สิ่งสำคัญคือการพัฒนาทุกด้านต้องมีความสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกับจุดยืนของแบรนด์

ยกตัวอย่าง บาร์บีคิวพลาซ่า ที่มีจุดยืนในการขาย ‘ความสุข’ ผ่านมื้ออาหาร จึงสร้างมาสคอตบาร์บีก้อนขึ้นมาเป็นตัวกลางในการส่งมอบความสุข และสอดแทรกลงในทุกจุดที่ลูกค้าต้องมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ (Customer Touchpoint) เพื่อให้เกิดภาพจำขึ้นในใจของลูกค้าว่า หากมองหาร้านอาหารที่จะได้แบ่งปันช่วงเวลาแห่งความสุขกับคนที่รัก ต้องมองหาบาร์บีคิวพลาซ่า

เช่น การจัดโปรโมชันรีฟิลให้ลูกค้าได้รับประทานอาหารอย่างเต็มที่เพื่อเติมเต็ม ‘ความสุข’ อย่างไม่มีลิมิต หรือการให้มาสคอตบาร์บีก้อนให้บริการเดลิเวอรีส่งอาหารถึงบ้านเพื่อส่งต่อ ‘ความสุข’ และกำลังใจให้กับลูกค้าในช่วงโควิด-19

ที่สำคัญเมื่อคือเมื่อลูกค้าสัมผัสได้ถึงประสบการณ์ดีๆ ที่แบรนด์ต้องการมอบให้แล้ว แบรนด์ต้องเร่งสร้างการมีส่วนร่วมผ่านการเปิดพื้นที่ให้ลูกค้าได้พูดคุยและแบ่งปันประสบการณ์อย่างทันท่วงที เพราะสิ่งเหล่านี้จะนำมาซึ่งความรู้สึกเป็น ส่วนหนึ่งของแบรนด์และเป็นเจ้าของแบรนด์ (Brand Belonging) ในที่สุด

 

"การสร้างแบรนด์" บนพื้นฐานความเข้าใจเทคโนโลยีและโลกดิจิทัล

แบรนด์ที่จะประสบความสำเร็จในยุค 5.0 จำเป็นต้องรู้จักเครื่องมือดิจิทัลต่างๆ เป็นอย่างดี และรู้ว่าต้องทำอย่างไรให้องค์ประกอบของแบรนด์มีความทันสมัย โดดเด่น และแตกต่างบนเครื่องมือเหล่านั้น เช่น การออกแบบโลโก้ต้องมีความเหมาะสมกับรูปแบบการแสดงผลของแพลตฟอร์มออนไลน์แต่ละประเภท (Well – Displayed on Digital) และชื่อเว็บไซต์ของแบรนด์ (Domain name) ต้องสามารถอ่าน สะกด และเข้าใจได้ง่าย เพื่อให้ผู้บริโภคสะดวกในการพูดถึงหรือบอกต่อ เป็นต้น

ยิ่งไปกว่านั้นแบรนด์ต้องทำความเข้าใจว่าธรรมชาติของแพลตฟอร์มออนไลน์มีความแตกต่างกัน จึงไม่สามารถสื่อสารด้วยคอนเทนต์รูปแบบเดียวกันได้ เช่น อินสตาแกรม ที่ใช้การสื่อความหมายด้วยภาพ ไม่เน้นข้อความหรือคำบรรยาย อาจเหมาะกับธุรกิจประเภทแฟชั่น เสื้อผ้า เครื่องประดับ หรือร้านอาหาร ที่ผู้บริโภคมักตัดสินใจซื้อจากการถูกกระตุ้นด้วยภาพสินค้าเป็นหลัก

ส่วนทวิตเตอร์ เน้นการสื่อสารด้วยความรวดเร็วเพื่อสร้าง Buzzword ดังนั้นจึงอาจจะเหมาะกับการใช้เป็นช่องทางประชาสัมพันธ์แคมเปญ หรือเปิดตัวสินค้าใหม่ที่ต้องเร่งสร้างการบอกต่อ โดยยิ่งลูกค้าสามารถเข้าถึงและเข้าใจแบรนด์ได้มากเท่าใด นั่นหมายถึงความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ที่จะมากขึ้นเท่านั้น

แม้ ‘แบรนด์’ จะเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคยอมจ่ายเงินซื้อสินค้าในราคาที่แพงขึ้น เพื่อแลกกับความมั่นใจและประสบการณ์ดีๆ ที่จะได้รับจากการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับแบรนด์ แต่ต้องยอมรับว่าองค์กรส่วนใหญ่ในประเทศไทยยังถูกขับเคลื่อนด้วยแผนธุรกิจ (Business-Driven) และมองเรื่องผลกำไรเป็นหลัก

ซึ่งแม้จะมีข้อดีคือในระยะสั้นอาจทำให้ธุรกิจไม่ต้องประสบกับภาวะขาดทุน แต่ในระยะยาวสินค้าที่ไม่เคยถูกสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added) เหล่านั้นจะง่ายต่อการถูกคู่แข่งลอกเลียนแบบ และกลายเป็นสินค้าที่ไม่มีความโดดเด่นในที่สุด

ต่างจากการขับเคลื่อนองค์กรด้วยแบรนด์ (Brand-Driven) ที่สินค้าทุกชิ้นจะถูกสร้างขึ้นให้สอดรับกับจุดยืนของแบรนด์ จึงมีความแตกต่างและมีมูลค่าเพิ่มในตนเอง ดังนั้นเมื่อผู้บริโภครู้สึกว่าประสบการณ์ในการใช้งานที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหาได้จากสินค้าของคู่แข่ง ก็เป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนใจไปจากแบรนด์ของเรา

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-46852 size-thumbnail" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/06/สโรจ-เลาหศิริ_001-150x150.jpg" alt="" width="150" height="150" />
บทความโดย
สโรจ เลาหศิริ
Head of Marketing Transformation and Marketing Strategy
บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

<img class="aligncenter wp-image-46851 size-large" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/06/การสร้างแบรนด์-477x1024.jpg" alt="การสร้างแบรนด์" width="477" height="1024" />

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a> 

&nbsp;

"การสร้างแบรนด์" ให้ผู้บริโภครู้สึกเหมือนเป็น "เจ้าของแบรนด์"

5 เทคนิค "ปั้นแบรนด์" บนทวิตเตอร์

<h2 class="p1">สร้างความวุ่นวายให้กับตลาดไม่น้อย เมื่อผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ๆ ลุกมาประกาศนำโครงการขายผ่าน “ช้อปปี้” (Shopee) มาร์เก็ตเพลสออนไลน์ดัง ขายผ่านออนไลน์แบบอี-คอมเมิร์ซ แม้ว่ากระแสออนไลน์จะมาแรงต่อเนื่อง แต่การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ผ่านช่องทางนี้ยังเป็นเรื่องใหม่มาก</h2>
กลยุทธ์ของค่ายอสังหาฯ ที่ดูเป็นเรื่องใหม่มาแรงในยุคนี้ นอกจากเรื่องการนำเทคโนโลยีมาเป็นจุดขายแล้ว ยังพบว่าผู้นำตลาดหลายรายหันมารุกตลาดอี-คอมเมิร์ซ นำโดยบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ประกาศกลยุทธ์เพิ่มช่องทางการขายผ่านอี-คอมเมิร์ซ เพื่อเพิ่มความหลากหลายให้กับการทำตลาด หวังเพิ่มโอกาสทางการขายในยุคดิจิทัล ขณะที่ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตสูง 20-30% ต่อปี มูลธุรกิจอยู่ที่กว่า 1.5 แสนล้านบาท ถือว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจที่น่าสนใจ
การเติบโตของอี-คอมเมิร์ซนำมาซึ่งความร่วมมือระหว่างพฤกษาฯ ผู้นำอันดับหนึ่งในวงการอสังหาริมทรัพย์ กับช้อปปี้ ผู้นำด้านธุรกิจอี-คอมเมิร์ซที่มียอดดาวน์โหลดสูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง ที่ได้ร่วมกันจัดแคมเปญขายโครงการที่พักอาศัย เพิ่มช่องทางการขายให้เข้าถึงผู้บริโภคในยุคดิจิทัลได้มากขึ้น นับเป็นการยกระดับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เข้าสู่ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซอย่างเป็นรูปธรรม
ในเชิงกลยุทธ์ พฤกษาฯ ร่วมทำ strategic partner ร่วมกับ Pruksa Official Shop ที่ช้อปปี้ พร้อมจัด exclusive deal ซื้อ Pruksa Voucher มูลค่า 10,000 บาท ในราคาพิเศษเพียง 6 บาท โดย Pruksa Voucher สามารถใช้จองโครงการทาวน์โฮม บ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียมทำเลศักยภาพกว่า 59 โครงการ มากกว่า 700 ยูนิต ซึ่งทดลองทำในช่วงเดือนกรกฎาคม 2562 ที่ผ่านมา โดยลูกค้าที่จองและโอนกรรมสิทธิ์ก่อน 30 กันยายน ยังได้รับเพิ่มอีก 5,000 คอยน์ ซึ่งเป็นเงินออนไลน์ในระบบช้อปปี้
กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่คาดว่าสนใจและมีโอกาสซื้ออสังหาริมทรัพย์ อาทิ กลุ่มลูกค้าสินค้าแม่และเด็ก กลุ่มลูกค้าที่สนใจอุปกรณ์แต่งบ้าน จัดสวน และกลุ่มลูกค้าที่กำลังแต่งงาน เป็นต้น ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มการช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น และเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่แบรนด์ต้องการเจาะไปถึง
การเข้าสู่ช่องทางของช้อปปี้จึงเน้นเรื่องการขยายฐานลูกค้ามากกว่ายอดขาย เพราะจำนวนผู้ใช้งานชาวไทยมากกว่า 30 ล้านคน จะช่วยต่อยอดธุรกิจในช่องทางออนไลน์ให้พฤกษาฯ เข้าถึงกลุ่มผู้ใช้งานทั่วประเทศ และทำให้วงการอสังหาริมทรัพย์ไทยเข้าสู่อี-คอมเมิร์ซอย่างเป็นรูปธรรม
ด้านบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เป็นอีกบริษัทที่รุกตลาดอี-คอมเมิร์ซเช่นเดียวกัน นอกเหนือจากภาพลักษณ์ความเป็นบริษัท Prop Tech แล้ว ผู้บริหารอนันดาฯ ยังมองว่าพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป หันมาซื้อขายของผ่านช่องทางอี-คอมเมิร์ซสูงขึ้น ด้วยจำนวนผู้ใช้งานชาวไทยมากกว่า 30 ล้านคน และเนื่องจากอนันดาฯ เป็นพันธมิตรกับช้อปปี้ จึงเห็นว่าเป็นโอกาสใหม่ที่จะได้ขยายช่องทางและโอกาสในการขายมากขึ้น มากกว่าแค่ขายผ่านเอเย่นต์ หรือแค่ที่สำนักงานขายและงานอีเวนต์ต่างๆ เท่านั้น อีกทั้งอี-คอมเมิร์ซเป็นช่องทางที่ใช้งบการตลาดน้อยและเข้าถึงกลุ่มคนได้กว้างกว่า
การร่วมมือกันดังกล่าวจะช่วยต่อยอดธุรกิจในช่องทางออนไลน์ให้อนันดาฯ สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้งานทั่วประเทศ จากเดิมจำกัดอยู่ที่บริเวณรอบโครงการเท่านั้น โดยอนันดาฯ ไม่ได้นำทุกโครงการไปขายบนช้อปปี้ แต่นำเพียง 12 โครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ใกล้รถไฟฟ้า และโครงการบ้านจัดสรรบางโครงการไปขายบนช้อปปี้ รวมทั้งกำหนดระยะเวลาในการดำเนินแคมเปญจำกัดเพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น
ขณะที่มือเก่าของตลาดคอนโดมิเนียมอย่างบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ก็มองช่องทางออนไลน์เป็นหนึ่งในช่องทางสำคัญ เพราะประเมินแล้วว่าในยุคปัจจุบันผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทาง อยู่ที่ไหนก็ช็อปได้ รอรับของที่บ้านได้เลย แอล.พี.เอ็น.ฯ จึงนำแพลตฟอร์มการขายออนไลน์ทดลองกับการเปิดตัวโครงการใหม่อย่าง “ลุมพินี วิลล์ ราชพฤกษ์-บางแวก” ด้วยการเปิดให้จองออนไลน์ แอล.พี.เอ็น.ฯ จะใช้กลยุทธ์เริ่มเปิดให้จองออนไลน์ช่วงหลังสำนักงานขายปิด ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับที่ดี
การร่วมเป็นส่วนหนึ่งในร้านค้าจากช้อปปี้ เพราะแอล.พี.เอ็น.ฯ มองว่าช้อปปี้เป็นแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวันที่มีชื่อเสียง มีฐานลูกค้าอยู่ในมือเป็นจำนวนมาก การเปิดขาย voucher ในราคา 18 บาท สามารถนำไปเป็นส่วนลดได้สูงถึง 80,000 บาท และของแถมเพิ่มสูงสุด 8 รายการ จะดึงให้กลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจมองหาที่อยู่อาศัยอยู่แล้วสนใจมากขึ้น หรืออย่างน้อยสร้างการรับรู้ในแบรนด์อย่างเข้าถึงได้ดีขึ้น

<h2 class="p1">จองออนไลน์สะดวกรวดเร็ว</h2>
ไม่เพียงการขายกับช้อปปี้ที่ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่มาแรง แต่การเปิดจองที่อยู่อาศัยออนไลน์ก็เริ่มมีผู้ประกอบการหลายรายทำต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นบริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ จำกัด (มหาชน) ที่เคยใช้กลยุทธ์นี้มาแล้วเมื่อหลายปีก่อน ก็กลับมาใช้กลยุทธ์นี้อีกครั้ง โดยนำมาใช้กับโครงการ Denim จตุจักร ที่เน้นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ระดับราคาไม่สูงมาก เริ่มต้นประมาณ 1.89 ล้านบาท เปิดให้จองออนไลน์ในช่วงเปิดตัวโครงการดังกล่าว โดยเปิดให้จองในช่วงเวลา 21.00-24.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ประเมินมาแล้วว่าคนนิยมท่องโลกออนไลน์มากที่สุด เพราะเป็นช่วงหลังเลิกงานเดินทางกลับถึงที่พักอาศัยเรียบร้อยแล้ว นอกจากแกรนด์ ยูนิตี้แล้ว ผู้ประกอบการอีกรายบริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือโกลเด้นแลนด์ ก็หันมาใช้กลยุทธ์ดังกล่าวครั้งแรกเช่นกัน โดยมีการจัดฮอตดีลเฉพาะจองผ่านระบบออนไลน์ให้กับบางโครงการ
ขณะที่คนในแวดวงอสังหาริมทรัพย์หลายรายประเมินว่า การลุกมาใช้กลยุทธ์ออนไลน์ของหลายค่ายใหญ่ไม่ได้คาดหวังเรื่องยอดขายมากนัก แต่มองถึงภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่อยากให้แบรนด์มีความทันสมัยและเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น ซึ่งช่องทางในการเข้าถึงคนรุ่นใหม่ไม่ใช่เฉพาะโปรโมทผ่านออนไลน์ แต่ต้องเจาะลึกไปถึงผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด
ผู้ประกอบการรายใหญ่หลายรายที่ไม่ได้ลงมาเล่นกลยุทธ์อี-คอมเมิร์ซ แต่ก็ยังคงให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ออนไลน์ โดยหลายค่ายให้มาให้ความสำคัญกับสื่อดังกล่าวอย่างจริงจัง เช่นการใช้กลยุทธ์ชี้นำโดยอินฟลูเอนเซอร์ หรือผู้ทรงอิทธิพลในโลกออนไลน์ มาใช้กับโครงการที่อยู่อาศัยอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมหรือการใช้วิดีโอมาร์เก็ตติ้งบนยูทูบ ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือสื่อสารบนโลกออนไลน์ที่กลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ให้ความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงโค้งท้ายของปี 2562 จะยังไม่ดีนัก แต่ความเคลื่อนไหวในเชิงการตลาดอย่างร้อนแรง การใช้กลยุทธ์ออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ จะเพิ่มมากขึ้น สอดคล้องกับเทรนด์อสังหาฯ 4.0
&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/commentaries/insights/%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%a3%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b9%8c-%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%ad%e0%b8%a2%e0%b8%b9%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%a8%e0%b8%b1%e0%b8%a2-2020-%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b2.html">เทรนด์ “การอยู่อาศัย 2020” เราจะใช้ชีวิตเปลี่ยนไป</a></li>
</ul>
&nbsp;

<hr />

<a href="https://www.ookbee.com/shop/magazine/FORBES/bebabb02-eb1c-4942-ab9c-3fbf41894111/forbes-%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%96%E0%B8%A1-%E0%B8%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%A8%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%99-2562">คลิกเพื่ออ่านบทความทางด้านการลงทุนได้ที่ Forbes Life แถมฟรีมาในนิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2019 ในรูป e-Magazine</a>

<img class="alignnone wp-image-24460" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/11/ForbesLifeNov2019.jpg" alt="" width="300" height="359" />

ปั้นแบรนด์ผ่าน "อี-คอมเมิร์ซ" เทรนด์อสังหาฯ ยุคดิจิทัล

<div>
<h2 class="ace-copy-paste-skip-this-tag">ขึ้นปีที่ 2 ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในการเจาะตลาดผู้หญิงผ่านการสร้างแบรนด์แบบระยะยาว ด้วยคลับสำหรับสาวแกร่ง She's Mercedes โดยเมอร์เซเดสจะมอบกิจกรรมสร้างเครือข่ายให้ผู้หญิง ขณะที่บริษัทจะเข้าใจผู้หญิงซึ่งเป็นลูกค้าเป้าหมายมากขึ้น</h2>
</div>
Frank Steinacher รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า โครงการ She's Mercedes ได้ดำเนินมาเป็นปีที่ 2 แล้วในไทย และเป็นปีที่ 4 ของเมอร์เซเดสทั่วโลก 

โดย She's Mercedes เป็นโครงการที่เปรียบเสมือนคลับสำหรับผู้หญิงให้ได้สร้างเครือข่ายพบปะสังสรรค์ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์สร้างความแข็งแกร่งซึ่งกันและกัน

ในปีนี้ She's Mercedes จะมีการขยายงานจากเดิม ปีก่อนนี้เมอร์เซเดสเพียงสร้างเครือข่ายผู้หญิงเก่งที่มีทัศนคติที่ดีในการทำงานและใช้ชีวิต แต่ปีนี้จะมีการจัดเวิร์กช็อป ให้ผู้หญิงเก่งเหล่านี้เป็นเมนเทอร์แนะนำผู้เข้าร่วมเครือข่าย โดยจะมีการจัดทั้งระดับประเทศและในระดับภูมิภาค

นอกจากนี้ ยังเริ่มสร้างแพลตฟอร์มบนโลกออนไลน์ มีการเปิดกรุ๊ป Facebook ของ She's Mercedes เพื่อเผยแพร่เรื่องราวดีๆ จากผู้หญิงเก่ง หลังเปิดกรุ๊ปเพียง 2 วัน มีผู้สนใจสอบถามผ่านทุกช่องทางเข้ามามากกว่าพันคนแล้ว

<figure><img style="width: 638px; height: 638px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/26a65f9ac6e063d5eca5738a32315065.jpg" alt="" width="638" height="638" /><figcaption> Frank Steinacher รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด</figcaption></figure>

อย่างไรก็ตาม แม้คลับของ She's Mercedes จะไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้หญิงที่ใช้รถยนต์เมอร์เซเดสหรือจำกัดจำนวน แต่การเข้าร่วมจะต้องได้รับคำเชิญจากผู้ที่เป็นสมาชิกของคลับเท่านั้น

“ถ้าเรามองในระดับโลกจะเห็นว่าผู้หญิงมีส่วนในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ มากมาย แต่อาจจะมองไม่เห็นในสังคม เราอยากจะให้แบรนด์เมอร์เซเดสซึ่งเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว มีส่วนช่วยผลักดันให้ผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จได้รับการรับรู้จากสังคม” Steinacher กล่าว

“ผู้หญิงที่มาร่วมในคลับของเมอร์เซเดสมีพื้นเพที่ต่างกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้หญิงในสายงานธุรกิจ เรามีเชฟ มีคุณหมอ มีนักวิจัย แต่ทุกคนมีสิ่งที่เหมือนกันคือ passions ในการทำงาน” 

Steinacher กล่าวด้วยว่า She’s Mercedes ไม่ใช่โปรแกรมตอบแทนลูกค้าหรืออีเวนต์ทางการตลาด แต่รับว่าในมุมหนึ่งคือการสร้างแบรนด์ระยะยาวในกลุ่มลูกค้าผู้หญิง 

อีกทั้งเป็นช่องทางให้บริษัทเข้าใจความคิดของผู้หญิงมากขึ้นเพื่อทำการตลาดในอนาคต ซึ่งเชื่อว่าวิธีคิดของผู้หญิงจะแตกต่างจากผู้ชาย ทำให้ต้องใช้กลยุทธ์ทางการตลาดแตกต่างจากที่เคยเป็นมานั่นเอง

<figure><img style="width: 638px; height: 492px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/bef800d05770f06ce9249cfd0d9615c0.jpg" alt="" width="638" height="492" /><figcaption> เมนเทอร์ส่งแรงบันดาลใจจาก She's Mercedes (ที่ 1 จากซ้าย) พนิดา เอี่ยมศิรินพกุล บรรณาธิการสำนักพิมพ์ยาหยี, (ที่ 2 จากซ้าย) รรินทร์ ทองมา ผู้ก่อตั้งแบรนด์รองเท้าและกระเป๋า O&amp;B, (ที่ 2 จากขวา) มณีรัตน์ อนุโลมสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การีนา ออนไลน์ (ประเทศไทย) และ (ที่ 1 จากขวา) ช่อทิพย์ ส่งวัฒนา วุฒิพงศ์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์เครื่องสำอาง Bibury Coln</figcaption></figure>

เมอร์เซเดสสร้างแบรนด์ครองใจ 'ผู้หญิง' ผ่านเครือข่าย She's Mercedes

โลกของเราทุกวันนี้ทั้งซับซ้อน วุ่นวาย และเต็มไปด้วยสารพัดแบรนด์ในทุกจังหวะของชีวิตในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็น บนหน้าเว็บไซต์ต่างๆ บนรถไฟฟ้า ในรถไฟใต้ดิน ข้างรถประจำทาง หรือแม้แต่ในห้องน้ำสาธารณะ ถึงแม้ว่าเราจะรับรู้และยอมรับว่าแบรนด์ต่างๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมรอบตัวเรา แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว แบรนด์เหล่านี้กลับไม่ได้มีความหมายกับผู้ที่ได้พบเห็นเท่าใดนัก

ท่ามกลางการแข่งขันที่มากขึ้นในทุกๆ วัน มีเพียงไม่กี่แบรนด์เท่านั้นที่สามารถยกระดับทางการตลาดของตนเองให้โดดเด่นเหนือคู่แข่งได้ แบรนด์เหล่านี้เป็นที่ชื่นชอบของผู้คน ตอบโจทย์และโดนใจผู้บริโภค มีความหมายในตัวเอง ทั้งยังสร้างแรงบันดาลใจและความจงรักภักดีในกลุ่มลูกค้าได้อย่างเหนียวแน่น เราจึงกล่าวได้ว่าแบรนด์เหล่านี้ถือเป็นมาตรฐานสูงสุดของการสร้างแบรนด์ และนักการตลาดส่วนใหญ่ก็อยากจะร่วมงานหรือเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างแบรนด์เหล่านี้ให้ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียง

อย่างไรก็ดี แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้มักมีเรื่องราวเบื้องหลังที่คล้ายคลึงกัน ไม่ว่าตัวแบรนด์เองจะมีที่มาอย่างไรหรือเก่าแก่แค่ไหน โดยปัจจัยต่างๆ ที่ขับเคลื่อนความสำเร็จของแต่ละแบรนด์อาจจะแตกต่างกันไปบ้างในแต่ละตลาด ขณะที่ภาพรวมยังคงคล้ายคลึงกันอยู่

จากการสำรวจค้นคว้าแบรนด์ต่างๆ ทั้งที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลว เป็นเวลากว่าสิบปีเต็ม เราได้พบว่าการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งในเมืองไทยนั้น มีปัจจัยขับเคลื่อนความสำเร็จอยู่ห้าประการด้วยกัน ปัจจัยทั้งห้านี้อาจไม่ได้เป็นเส้นทางเดียวที่จะนำแบรนด์ของคุณไปสู่ความสำเร็จได้  แต่เรายืนยันได้เลยว่าแบรนด์ที่โดดเด่นที่สุดของเมืองไทยแทบทุกราย ล้วนก้าวเดินมาบนเส้นทางนี้ด้วยกันทั้งสิ้น

1.มีพันธกิจที่ชัดเจนและเป็นแบรนด์ที่มีความหมาย (สร้างความหมายให้แบรนด์)
แบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง แพมเพอร์ส (Pampers) โดฟ (Dove) ดูลักซ์ (Dulux) ซาร่า (Zara) หรือ ชิโพทเล (Chipotle) มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือการสร้างความหมายของแบรนด์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าอย่างชัดเจน ซึ่งแบรนด์จะไม่มีความหมายเลย ถ้าสิ่งที่สื่อออกไปนั้นไม่ตรงความต้องการของผู้บริโภค

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในประเทศไทยได้แก่โดฟ ที่ประสบความสำเร็จในการประยุกต์แนวคิดเกี่ยวกับความงามแบบธรรมชาติมาใช้ในแบบที่ตรงกับความสนใจของคนไทยอย่างเหมาะเจาะ ซึ่งโดฟได้สื่อสารคุณค่า (brand equity) ของแบรนด์ออกมาได้อย่างต่อเนื่อง จนเกิดการ “จดจำ" และสร้างเป็นความภักดีในตราสินค้า (brand loyalty)

2.เป็นแบรนด์ที่เข้าใจว่าผู้บริโภคต้องการ "อะไร" และ "ทำไม"
การเปิดตัวผลิตภัณฑ์หรือนวัตกรรมใหม่ไม่ได้นำไปสู่ความสำเร็จเสมอไป ซึ่งสาเหตุหลักของความล้มเหลวในกรณีนี้มักจะมาจากการที่แบรนด์นั้นๆ ไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมผู้บริโภคต้องหันมาใช้สินค้าของตน

สำหรับตัวอย่างที่ดีในด้านนี้ ได้แก่การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ตระกูลซากุระของการ์นิเยร์ สื่อสารเรื่องความงามโดยผนวกเข้ากับวัฒนธรรมญี่ปุ่น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจที่ชัดเจนว่าผู้บริโภคต้องการอะไร นั่นคือความต้องการมีผิวพรรณที่สวยงามแบบชาวญี่ปุ่น เพื่อให้ผู้บริโภคตอบโจทย์ตนเองได้ว่าทำไมต้องใช้การ์นิเยร์

3.โดดเด่นด้วยความต่าง
การจะประสบความสำเร็จในโลกที่มีการแข่งขันสูงและหลายสิ่งดูคล้ายคลึงกันไปหมดให้ได้นั้น เราต้องมีความโดดเด่นเหนือคู่แข่ง แบรนด์ที่เป็นผู้ตามทั้งในด้านแนวคิดและการกระทำมักจะไม่ประสบความสำเร็จในระยะยาว ในทางกลับกัน แบรนด์อย่างดีน่า (DNA) เลือกที่จะทำให้ตนเองแตกต่างจากคู่แข่งในตลาดนมถั่วเหลืองรายอื่นๆ อย่างชัดเจน จึงทำให้ประสบความสำเร็จในที่สุด ในขณะที่แบรนด์อื่นๆ เน้นการโฆษณาในเรื่องสุขภาพหรือข้อได้เปรียบทางราคา แต่ดีน่ามีการนำเสนอเรื่องนวัตกรรมของสินค้า มีดีน่า กาบา ที่เพิ่มคุณค่าของแบรนด์ที่ไม่ใช่เพียงเพื่อเป็น “นมถั่วเหลือง” แต่เป็นนมถั่วเหลืองที่เน้น “ความงาม” โดยมีชมพู่ อารยา เอ ฮาร์เก็ต เป็นพรีเซนเตอร์ ทำให้แบรนด์มีจุดแข็งที่โดดเด่นกว่านมถั่วเหลืองอื่นๆ

4.นวัตกรรมนำทางสู่ความได้เปรียบ
แบรนด์ที่ไม่ปรับเปลี่ยนตัวเองให้ทันยุคทันสมัย ย่อมกลายเป็นแบรนด์ที่ทั้งตกยุคและตกต่ำ แต่สุดยอดแบรนด์อย่างธนาคารกสิกรไทย ได้โดดเด่นในสายตาของลูกค้า พร้อมยังแนะนำบริการดิจิทัลต่างๆ มากมายมากกว่าแบรนด์อื่นๆ จึงเป็นตัวอย่างที่ดีในด้านการใช้นวัตกรรมเพื่อยกระดับแบรนด์จนก้าวสู่ความเป็นผู้นำในโลกการเงินของเมืองไทย โดยสิ่งที่กสิกรสื่อนั้นไม่เน้นแค่เรื่องการฝากเงินหรือดอกเบี้ย แต่เน้นเรื่องนวัตกรรมเป็นหลัก

5.มอบประสบการณ์ที่ครบถ้วนสมบูรณ์แบบ
ผู้บริโภคสามารถสร้างความสัมพันธ์กับแบรนด์ได้ ผ่านช่องทางการสื่อสารต่างๆ หรือจากประสบการณ์จริง ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ที่ร้านค้า การสื่อสารทางการตลาด ข่าวสาร การบอกต่อ หรือการโฆษณาประชาสัมพันธ์ โดยองค์ประกอบทั้งหมดนี้สามารถนำมาประกอบกันเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ครบถ้วนสมบูรณ์ให้กับลูกค้าของแบรนด์ได้ สำหรับตัวอย่างที่โดดเด่นในด้านนี้ ได้แก่ เอ็มเค สุกี้ ที่มอบประสบการณ์แบบครบวงจรให้กับลูกค้าได้ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การสื่อสารไปจนถึงบริการภายในร้าน

การสร้างแบรนด์ให้ประสบความสำเร็จเป็นภารกิจที่ต้องใช้เวลาไม่น้อย และความชัดเจนในด้านต่างๆ ทั้งหมดนี้ก็ถือเป็นก้าวแรกบนเส้นทางนี้เท่านั้น โดยสุดยอดแบรนด์ตัวจริงจะต้องสามารถสร้างประสบการณ์ทั้งหมดนี้ได้อย่างต่อเนื่องในทุกย่างก้าว

<img class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/2016%2002%20-%20FEB/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B8%B2.png" alt="" width="208" height="208" />
อุษณา จันทร์กล่ำ
กรรมการผู้จัดการ
บริษัท มิลวาร์ด บราวน์ ไฟร์ฟลาย (ประเทศไทย) จำกัด

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events