<h2 class="p1">จากกระแสความท้าทายท่ามกลางยุคดิสรัปชั่น ด้วยเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้หลายๆ ธุรกิจปรับตัวและรับมือกับความเปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ที่ทรานส์ฟอร์มหนีการดิสรัปชั่นจากพายุเทคโนโลยี ขยับองค์กรให้สอดคล้องกับโลกยุคใหม่ได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน</h2>
โดยล่าสุด กิฟฟารีน จัดงานฉลองครบรอบ 24 ปี ภายใต้คอนเซ็ปต์ “TURN DISRUPTION INTO OPPORTUNITY” โลกเปลี่ยน เราต้องเปลี่ยน เพื่อโอกาสที่ดีกว่า พร้อมติดปีกอาวุธให้นักธุรกิจด้วยสุดยอดผลิตภัณฑ์ทรงประสิทธิภาพกว่า 15 รายการ ตั้งเป้ารายได้ปี 2020 เติบโต 5-10%
แพทย์หญิงนลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่กิฟฟารีนได้ทรานฟอร์มธุรกิจ ปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ไปเมื่อปีที่แล้ว ก็พบว่าอะไรที่เคยดิสรัปต์เมื่อหลายๆ 10 ปีที่ผ่านมา กลับกลายเป็นโอกาส ทำให้คนทั้งประเทศตอนนี้เข้าถึงกิฟฟารีนได้ง่ายขึ้นมาก
“บางคนอาจจะเคยใช้สินค้าแล้ว หรือคนที่ขายเกิดย้ายถิ่นฐานไปหรือไม่ได้ทำงานในที่เดียวกัน และไม่รู้จะซื้อสินค้ากิฟฟารีนได้ที่ไหน มาในตอนนี้ผู้บริโภคสามารถช็อปปิ้งสินค้าของกิฟฟารีนได้ผ่านช่องทางที่หลากหลายขึ้น ส่งผลให้ผลประกอบการโดยรวมในปี 2562 มียอดขายรวม 4,978  ล้านบาท เติบโต 10.3% ปัจจุบันมีจำนวนสมาชิกทั้งหมด 7.9 ล้านรหัส และมีจำนวนนักธุรกิจ 740,000 รหัส”
สำหรับการจัดงานฉลองครบรอบ 24 ปี ในปีนี้ จัดขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ “TURN DISRUPTION INTO OPPORTUNITY” โลกเปลี่ยน เราต้องเปลี่ยน เพื่อโอกาสที่ดีกว่า กิฟฟารีนต้องการส่งต่อแนวคิดให้กับนักธุรกิจให้มีมุมมองต่อการเปลี่ยนแปลง หรือดิสรัปชั่นเป็นโอกาสทางธุรกิจที่เป็นไปได้จริง และทุกคนสามารถประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก ถือเป็นความท้าทายใหม่เพื่อให้ทันกับเทคโนโลยี
ทั้งนี้ ในปีนี้กิฟฟารีนได้ทุ่มงบทางการตลาด 200 ล้านบาท พัฒนาช่องทางการตลาดใหม่ๆ มีโอกาสที่ดีในการให้บริการผู้บริโภคมากขึ้น ภายใต้กลยุทธ์ในการพัฒนาองค์ความรู้ให้กับนักธุรกิจ เพื่อสร้างเครือข่ายผู้ใช้สินค้าในโลกออนไลน์ พร้อมเพิ่มขีดความสามารถรอบด้านให้กับนักธุรกิจกิฟฟารีน เพื่อสร้างโอกาสในการขาย
นอกจากนี้ ยังพร้อมนำแบรนด์กิฟฟารีนเข้าไปอยู่ใน customer journey ที่เป็นทุกจุดสัมผัสของผู้บริโภค และเป็นแบรนด์ที่ทำให้ผู้บริโภคไว้ใจได้ ร่วมด้วยการพัฒนาระบบสนับสนุนทางการตลาดในทุกๆ แพลตฟอร์ม ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงการโฆษณาประชาสัมพันธ์ในช่องทางออนไลน์ใหม่ๆ ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่ม การเปิดช่องทางการจำหน่ายในหลากหลายแพลตฟอร์ม และการสร้างแอปพลิเคชั่นที่ส่งเสริมการขาย และเพิ่มองค์ความรู้ทุกด้านให้กับนักธุรกิจ
&nbsp;

อ่านข่าวน่าสนใจเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/%e0%b9%81%e0%b8%ad%e0%b8%a1%e0%b9%80%e0%b8%a7%e0%b8%a2%e0%b9%8c-%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b8%a5%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a2%e0%b8%99%e0%b8%aa%e0%b8%b9%e0%b9%88%e0%b9%82%e0%b8%a5%e0%b8%81-%e0%b8%94%e0%b8%b4.html">เปลี่ยนสู่โลก “ดิจิทัล” ภารกิจท้าทายของ “แอมเวย์”</a></li>
</ul>
&nbsp;

<hr />

<article id="post-26295" class="post-26295 post type-post status-publish format-standard has-post-thumbnail hentry category-technology category-thailand tag-apco tag-10960 tag-996 tag-530 tag-10961">
<div class="body-content post-content-wrap post-detail">

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</article>

"กิฟฟารีน" อัดออนไลน์-ออฟไลน์ สู้ศึกดิจิทัลดิสรัปชั่น ตั้งเป้าปี 2020 โต 5-10%

เรื่อง: บำรุง อำนาจเจริญฤทธิ์ ภาพ: กิตติ บวรพัฒน์นนท์ 
 
คุณหมอใจเด็ด นลินี ไพบูลย์ เดิมพันชีวิตด้วยเงิน 100 ล้านบาทแบบหมดตัว ปั้น &ldquo;กิฟฟารีน&rdquo; จน เป็นขายตรงยักษ์ใหญ่สัญชาติไทย ยอดขายทะลุ 5 พันล้านบาท ติดโผ 100 บริษัทขายตรงรายได้สูงสุดของโลก พร้อมเดินหน้าเป็น Regional Brand 
 
นับเป็นเวลาเกือบ 2 ทศวรรษ ที่อดีตหมอสูตินารีนาม นลินี ไพบูลย์ ตัดสินใจสลัดเสื้อกราวน์และก้าวเข้าสู่โลกธุรกิจอย่างเต็มตัว ด้วยการสร้างบริษัทขายตรงเล็กๆ ที่มีพนักงาน 150 คนในปี 2538 และยอดขาย 384 ล้านบาทในปี 2539 จนเติบใหญ่และมีพนักงานประจำถึง 2,400 คน ยอดขายพุ่งทะยานขึ้นถึง 5.39 พันล้านบาทในปี 2556 จนสามารถจัดสรรเงินปันผลเกือบ 3 หมื่นล้านบาทให้กับนักขายอิสระของบริษัท (ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท) อีกทั้งยังได้รับรางวัลยืนยันถึงคุณภาพนับ 26 รางวัล โดยหนึ่งในนั้นคือ รางวัลสุดยอดแบรนด์ &ldquo;Superbrands Award 2014&rdquo; ที่ได้รับถึง 5 ปีซ้อน 
 
&ldquo;ธุรกิจในวันนี้ เติบโตขึ้นเกินความคาดหมายจริงๆ จนกลายเป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ เป็น commitment ที่มีกับคนเป็นแสนๆ คน&rdquo; เธอกล่าว พร้อมเสริมว่าจำนวนนักขายของบริษัทมีจำนวนถึง 6.5 แสนคน 
 
100 ล้านบาทเดิมพันชีวิตกับ &ldquo;กิฟฟารีน&rdquo; 
 
นลินีเล่าว่า ในวัยเยาว์เธอไม่เคยฝันเป็นนักธุรกิจเนื่องจากครอบครัวของเธอรับราชการมาตลอด 7 ชั่วรุ่น หลังจบแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เธอเข้าสู่ประตูวิวาห์เมื่ออายุ 25 กับ นายแพทย์มั่น อุดมพาณิชย์ โดยนอกเหนือจากงานประจำ ทั้งคู่ยังเปิดโปลีคลีนิกในตอนเย็น โดยมีผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพของตนเองวางจำหน่าย ซึ่งธุรกิจไปได้ด้วยดี จนกระทั่งวันหนึ่ง มีคนไข้ผู้หนึ่งได้ตั้งคำถามว่า &ldquo;ทำไมคุณหมอไม่สร้างแบรนด์สินค้าของตนเองขึ้นมา&rdquo; ซึ่งเป็นคำถามที่ก่อให้เกิดประกายความคิดทางธุรกิจขึ้น 
 
บทเรียนจากความผิดพลาดเมื่อลงเงินลงทุน 20-30 ล้าน ไปกับการทำการตลาดและโฆษณาและการวางสินค้าเพื่อจำหน่าย ทำให้เธอเริ่มศึกษาธุรกิจขายตรง และเปิดบริษัทขายตรงเพื่อจำหน่ายสินค้าเพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ &ldquo;สุพรีเดอร์ม&rdquo; ร่วมกับสามีในเวลาต่อมา สินค้าเธอได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า ทำให้เธอและสามีตัดสินใจเดินออกจากอาชีพแพทย์ และเป็นนักธุรกิจอย่างเต็มตัว 
 
จุดพลิกผันในชีวิตของนลินีได้เกิดขึ้นเมื่อครั้งเธอได้แยกทางกับสามีในปี 2536 ขณะที่เธอมีอายุ 36 ปี และมีลูกสาว 2 คน โดยการหย่าร้างครั้งนี้ทำให้เธอได้เงินมาจำนวน 100 ล้านบาท ซึ่งเธอตัดสินใจนำมันมาลงทุนในธุรกิจขายตรงแบรนด์ใหม่นาม &ldquo;กิฟฟารีน&rdquo; 
 
การลงทุนครั้งนี้ เธอยอมรับว่าเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญของชีวิต เนื่องจากงบการลงทุนของเธอได้บานปลาย จากการที่เธอตัดสินใจสร้างโรงงานของตัวเองเพื่อควบคุมคุณภาพสินค้า ตั้งแต่การคัดเลือกวัตถุดิบจนถึงกระบวนการบรรจุภัณฑ์ ซึ่งต่างจากบริษัทขายตรงอื่นๆ ที่เน้นการจ้างผลิตเป็นส่วนสำคัญ และการลงทุนดังกล่าว ทำให้เธอเหลือเงินติดกระเป๋าเพียง 500 บาท 
 
ในวันนั้น นลินียอมรับว่า เธอมีทุกข์และความเครียด จนต้องถามตัวเองว่า เธอต้องการอะไรในชีวิต &ldquo;คำตอบคือ ความสุข เราอยากได้ความสุขกลับคืนมา จึงเดินหน้าทำงาน เพราะเชื่อว่า ธุรกิจนี้สร้างรายได้ให้คนอื่นและทำให้พวกเขามีความสุข และความสุขเหล่านั้นก็จะกลับคืนมาที่เรา&rdquo; 
 
เป้าหมายหลักของนลินี ในการก่อตั้ง &ldquo;กิฟฟารีน&rdquo; คือความต้องการที่จะให้คนไทยเป็นเจ้าของธุรกิจได้โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุน เธอจึงเลือกทำธุรกิจขายตรงแบบหลายชั้น ถึงแม้ว่าการบริหารนักขายอิสระจำนวนมากจะไม่ใช่เรื่องง่าย และผลตอบแทนให้กับบริษัทค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับการขายตรงแบบชั้นเดียว หรือ Single-level Marketing (SLM) 
เธอเล่าถึงเหตุการณ์ในวันแรกของการเปิดอบรมว่า มีคนสนใจเข้าร่วมฟังราว 5,000 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ ทว่า สินค้าที่เธอได้จัดไว้เป็นแพ็คเพื่อเตรียมขาย โดยแยกตามวัย ซึ่งมีแพ็คสำหรับวัยรุ่น แม่บ้าน ฯลฯ นั้นขายได้เพียง 11 ชุด จากทั้งหมด 2,000 ชุดที่เตรียมเอาไว้ ซึ่งทำให้เธอถึงขึ้นใจเสีย 
 
&ldquo;วันนั้นพี่เครียดมากจนถึงขึ้นไปหาบริษัทประกันและถามว่าถ้าพี่ตายและอยากได้เงิน 40 ล้านบาทนั้น พี่ต้องจ่ายเบี้ยประกันเท่าไร และพี่ก็ไปยืมเงินแม่ เนื่องจากไม่มีเงินเหลือแล้ว...ทุกอย่างทำไปเพราะเป็นห่วงพนักงานและสมาชิกนักขาย พวกเขาทุบหม้อข้าวมาอยู่กับเรา&rdquo; เธอเล่า 
 
แต่โชคไม่ได้โหดร้ายกับเธอจนเกินไป ยอดขายในเวลาต่อมาค่อย ๆ เริ่มกระเตื้องขึ้น โดยผู้ซื้อเลือกซื้อสินค้าเป็นชิ้นๆ ตามความต้องการของแต่ละคนที่แตกต่างกันไป และไม่เลือกซื้อสินค้าที่ทางบริษัทได้แพ็คเตรียมไว้เป็นเซ็ท จึงทำให้นลินีตาสว่าง และเข้าใจว่า ผู้บริโภคต้องการเลือกสินค้าของตนเองมากกว่า 
 
หลังจากนั้น ธุรกิจจึงเริ่มดีขึ้นตามลำดับ โดยยอดขายพุ่งขึ้นเป็น 18 ล้านบาทต่อเดือน ภายในสิ้นปี 2539 บริษัทมียอดขายทั้งสิ้น 384 ล้านบาท แม้กระทั่งในปี 2540 ซึ่งเป็นปีที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในไทย กิฟฟารีนไม่เพียงสามารถยืนหยัดอยู่ได้ในท่ามกลางมรสุม แต่ยังสามารถทำยอดขายได้อย่างงดงามถึง 1.5 พันล้านบาท 
 
เป็น regional brand 
 
หลังจากที่ประสบความสำเร็จภายในประเทศ กิฟฟารีนจึงเริ่มก้าวออกนอกอาณาจักรในปี 2547 โดยมีพม่าเป็นประเทศแรก ตามด้วยมาเลเซียและกัมพูชาในปี 2552 จากนั้นการขยายก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึง 40 ประเทศ การส่งออกสินค้าไปขายต่างประเทศนี้เป็นยุทธศาสตร์ทางการค้าของนลินี ช่วยดึงความสนใจของคนไทยให้หันมาใช้สินค้ากิฟฟารีนมากขึ้น 
 
ช้าๆ แต่ยั่งยืน 
 
แม้ว่าบริษัทจะเติบโตอย่างมั่นคงและมีผลประกอบการที่ดีมาตลอด ทว่าเธอไม่เคยคิดที่จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เนื่องจากเธอต้องการบริหารงานอย่างเป็นอิสระและไม่อยู่ภายใต้แรงกดดันของผู้ถือหุ้น &ldquo;ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่มักต้องการให้บริษัททำกำไรสูงสุด เพื่อได้เงินปันผลมากตามที่ต้องการ ซึ่งอาจทำให้สินค้าของกิฟฟารีนต้องมีราคาแพงขึ้น อันเป็นสิ่งที่สวนทางกับปรัชญาการทำธุรกิจของเรา คือ ต้องการให้คนไทยได้ใช้สินค้าคุณภาพในราคาไม่แพง&rdquo; เธอกล่าว 
 
แม้ว่าอีก 4 ปีข้างหน้า นลินีจะเข้าสู่วัยเกษียน แต่ความคิดที่จะวางมือในธุรกิจยังไม่เคยเกิดขึ้น แต่เธอได้วางแผนการระยะยาวสำหรับผู้ที่จะมารับไม้ต่อจากเธอ โดยเป็นใครไม่ได้นอกจากลูกสาวคนโต ศิริอร อุดมพันธ์ 
 
<blockquote class="instagram-media" data-instgrm-version="5" style=" background:#FFF; border:0; border-radius:3px; box-shadow:0 0 1px 0 rgba(0,0,0,0.5),0 1px 10px 0 rgba(0,0,0,0.15); margin: 1px; max-width:350px; padding:0; width:99.375%; width:-webkit-calc(100% - 2px); width:calc(100% - 2px);">
	<div style="padding:8px;">
		<div style=" background:#F8F8F8; line-height:0; margin-top:40px; padding:50.0% 0; text-align:center; width:100%;">
			<div style=" background:url(data:image/png;base64,iVBORw0KGgoAAAANSUhEUgAAACwAAAAsCAMAAAApWqozAAAAGFBMVEUiIiI9PT0eHh4gIB4hIBkcHBwcHBwcHBydr+JQAAAACHRSTlMABA4YHyQsM5jtaMwAAADfSURBVDjL7ZVBEgMhCAQBAf//42xcNbpAqakcM0ftUmFAAIBE81IqBJdS3lS6zs3bIpB9WED3YYXFPmHRfT8sgyrCP1x8uEUxLMzNWElFOYCV6mHWWwMzdPEKHlhLw7NWJqkHc4uIZphavDzA2JPzUDsBZziNae2S6owH8xPmX8G7zzgKEOPUoYHvGz1TBCxMkd3kwNVbU0gKHkx+iZILf77IofhrY1nYFnB/lQPb79drWOyJVa/DAvg9B/rLB4cC+Nqgdz/TvBbBnr6GBReqn/nRmDgaQEej7WhonozjF+Y2I/fZou/qAAAAAElFTkSuQmCC); display:block; height:44px; margin:0 auto -44px; position:relative; top:-22px; width:44px;">
				&nbsp;</div>
		</div>
		<p style=" color:#c9c8cd; font-family:Arial,sans-serif; font-size:14px; line-height:17px; margin-bottom:0; margin-top:8px; overflow:hidden; padding:8px 0 7px; text-align:center; text-overflow:ellipsis; white-space:nowrap;">
			<a href="https://instagram.com/p/7fQBOjw3Ax/" style=" color:#c9c8cd; font-family:Arial,sans-serif; font-size:14px; font-style:normal; font-weight:normal; line-height:17px; text-decoration:none;" target="_blank" rel="noopener noreferrer">รูปภาพที่โพสต์โดย Forbes Thailand Magazine (@forbesthailand)</a> เมื่อ
		<time datetime="2015-09-11T11:15:43+00:00" style=" font-family:Arial,sans-serif; font-size:14px; line-height:17px;">
			ก.ย. 11, 2015 เวลา 4:15am PDT</time>
	</div>
</blockquote>
<script async defer src="//platform.instagram.com/en_US/embeds.js"></script>
<hr />

	<a href="http://goo.gl/xs62JE">คลิ๊กอ่านฉบับเต็ม "นลินี ไพบูลย์ หญิงเหล็กแห่ง &ldquo;กิฟฟารีน&rdquo; ขายตรงสัญชาติไทย เติบใหญ่แกร่งกล้า" Forbes Thailand ฉบับ SEPTEMBER 2015 ในรูปแบบ E-Magazine</a>

นลินี ไพบูลย์ หญิงเหล็กแห่ง “กิฟฟารีน”  ขายตรงสัญชาติไทย เติบใหญ่แกร่งกล้า

เรื่อง พรพรรณ ปัญญาภิรมย์ ภาพ: กิตติ บวรพัฒน์นนท์<a href="http://goo.gl/xs62JE"> (คลิ๊กอ่านฉบับเต็ม "ดนัย ดีโรจนวงศ์ ดัน &ldquo;มิสทิน&rdquo; เฉิดฉายข้ามทวีป" Forbes Thailand ฉบับ SEPTEMBER 2015 ในรูปแบบ E-Magazine)</a> 
&nbsp; 
เจ้าพ่อแห่งวงการขายตรงเครื่องสำอางไทยอันดับที่ 33 ของโลกเดินหน้าภารกิจขยายอาณาจักรหมื่นล้าน นำทัพสาวมิสทินกว่า 1 ล้านคนเคาะประตูขายข้ามขอบฟ้า พร้อมก้าวให้ถึงฝัน &ldquo;แบรนด์อันดับ 1 ในใจสาวเอเชีย&rdquo; 
&nbsp; 
นับตั้งแต่วินาทีที่ อมรเทพ ดีโรจนวงศ์ ตัดสินใจลาออกจากการเป็นผู้บริหารระดับสูงของ บริษัท เอวอน คอสเมติคส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทข้ามชาติรายใหญ่ที่เป็นต้นแบบของธุรกิจขายตรงแบบชั้นเดียว (Single &ndash; Level Marketing หรือ SLM) สู่อาณาจักรที่วันนี้ค่าหมื่นล้านเป็นเครื่องพิสูจน์ศักยภาพของคนไทยและความเก่งกาจที่ถ่ายทอดทายาทธุรกิจภายใต้การกุมบังเหียนของ ดนัย ดีโรจนวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด กับเส้นทาง 27 ปี ดังวลีสุดคลาสสิค &ldquo;Time will tell&rdquo; 
&nbsp; 
ปี 2531 สาวน้อยนาม มิสทิน เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นในอาคารพาณิชย์ 3 คูหากับพนักงานจำนวนไม่ถึง 10 คน แต่สามารถสร้างรายได้พุ่งทะยานจาก 16 ล้านบาท ชนะยักษ์ใหญ่ในวงการที่มีเกือบพันล้านบาทภายในเวลาไม่ถึง 5 ปี ด้วยกลยุทธ์การแจ้งเกิดแบรนด์และทำให้คนไทยยอมรับธุรกิจขายตรง ด้วยสโลแกนอันเป็นอมตะ &ldquo;นิ้งหน่อง..มิสทินมาแล้วค่ะ&rdquo; 
 
การใช้กลยุทธ์ภาพยนตร์โฆษณาช่วยเปิดใจผู้บริโภคและสร้างการรับรู้ของแบรนด์ (brand awareness) รวมถึงการปั่นกระแสทอล์กออฟเดอะทาวน์ผ่านพรีเซนเตอร์จำนวนมาก พร้อมทั้งการทุ่มเทวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางให้ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค 
 
&ldquo;ในปีแรกเรามียอดขายแค่ 16-17 ล้าน ขณะที่เอวอนเจ้าตลาดมียอดขาย 700-800 ล้าน และกำลังจะแตะ 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนมหาศาลเมื่อ 20 ปีที่แล้ว แต่เราก็สามารถใช้เวลาไม่เกิน 5 ปีแซงเอวอนขึ้นมาเป็นอันดับ 1 และวันนี้เรามีรายได้มากกว่าหมื่นล้านบาท&rdquo; ดนัย กล่าวย้อนอดีต 
&nbsp; 
ด้วยสายเลือดนักสู้ทางธุรกิจที่ถ่ายทอดอย่างเข้มข้นได้ส่งผ่านจากผู้ก่อตั้งถึงลูกไม้ใกล้ต้น ดนัย ในวัย 24 ปี ผู้พกพาดีกรีปริญญาโท Master of Science in Industrial Management จาก New Haven University CT (MSIM) สหรัฐอเมริกา เริ่มต้นทำงานอย่างใกล้ชิดกับอมรเทพ ผู้เป็นบิดา พร้อมเรียนรู้งานจริงจากการติดตามนำแคตตาล็อกเสนอขายสินค้าตามแหล่งชุมชนต่างๆ และสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในยุคที่มิสทินเริ่มใช้พรีเซนเตอร์เป็นตัวแทนภาพลักษณ์ 
&nbsp;<a href="http://goo.gl/xs62JE"><img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/Sep%202015/mistine-03.jpg" /></a> 
หลังจากนั้นเพียง 4 ปี อมรเทพ ผู้เป็นบิดาได้จากไปด้วยอุบัติเหตุอย่างกะทันหัน ในฐานะทายาทที่ถูกวางตัวและได้รับการ้ฝึกปรือฝีมือจำเป็นต้องรับตำแหน่งซีอีโอป้ายแดงในวัย 28 ปี พร้อมผ่านการติวเข้มในหลักสูตรเครื่องสำอางแบบเร่งด่วน ขณะที่แนวทางการดำเนินธุรกิจและหลักคิดการบริหารงานของอมรเทพ ถูกถ่ายทอดให้กับดนัย ตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งกลายเป็นเหมือนรอยทางความสำเร็จของธุรกิจขายตรงเครื่องสำอางไทย 
&nbsp; 
&ldquo;ธุรกิจขายตรงยืนอยู่บน 2 ขาของความสำเร็จ ได้แก่ การทำการตลาดที่มีประสิทธิภาพกับการบริการหลังการขาย ส่วนอีกขาหนึ่งเกิดขึ้นหลังจากมีออเดอร์แล้ว เรามีกระบวนการจัดการออเดอร์และระบบการจัดส่งอย่างไร ถ้าประมาณ 10 ออเดอร์ต่อวันอาจจะพอไหว แต่ถ้า 25,000-30,000 ออเดอร์ต่อวัน เราจะจัดการอย่างไร ด้วยหลักคิดเหล่านี้ที่เราซึมซับตลอด 4 ปี ได้กลายเป็นรากฐานสำคัญของความเข้าใจในแก่นธุรกิจ&rdquo; 
 
ในวันนี้ ซีอีโอวัย 46 ปี มองย้อนกลับไปในวันแรกของเขาที่เข้ามารับช่วงธุรกิจของบิดาที่มีรายได้นับพันล้านบาทอย่างเต็มตัว ในขณะนั้นมันเป็นช่วงเวลาที่ท้าทาย โดยเขามีความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ในการนำพาพนักงานจำนวน 600-700 คน และสาวมิสทินอีกจำนวน 100,000 กว่าคน ขึ้นเรือและพายให้ถึงฝั่ง &ldquo;ถึงแม้ว่ามันจะเป็นภารกิจที่หนัก แต่เมื่อทำแล้ว ผมสนุก คุ้นเคย และเกิดผลลัพธ์ที่ดี ทำให้ผมมีความมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ&rdquo; 
 
ในวันนี้ มิสทิน สามารถผงาดธุรกิจไทยอย่างเต็มภาคภูมิ ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 ในหมวดธุรกิจขายตรงแบบชั้นเดียว และอันดับ 2 รองจากแอมเวย์ในธุรกิจขายตรงทั้งหมดของไทยที่มีมูลค่าตลาดรวมมากกว่า 70,000 ล้านบาท รวมถึงติดอันดับที่ 33 ในธุรกิจขายตรงเครื่องสำอางของโลกจากการจัดอันดับของสมาพันธ์สมาคมการขายตรงโลก 
&nbsp; 
ทั้งนี้ มิสทิน เดินทางข้ามขอบฟ้าแจ้งเกิดแบรนด์เครื่องสำอางไทย เริ่มจากประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ กัมพูชา ลาว และเมียนมาร์ รวมทั้ง ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย โดยเฉพาะในประเทศเมียนมาร์ที่มิสทินรุกสร้างสาขามากว่า 10 ปี และนำระบบขายตรงเข้าดำเนินธุรกิจเป็นเวลากว่า 4 ปี 
&nbsp; 
&ldquo;ทุกวันนี้เรามีสาวมิสทินเป็นชาวเมียนมาร์มากกว่า 20,000 คน พูดทักทายภาษาเมียนมาร์ว่า &ldquo;มิงกลาบา มิสทินมาแล้ว&rdquo; ทั่วย่างกุ้งและมัณฑะเลย์ รวมไปถึงสาวมิสทินที่พนมเปญ และเวียงจันทน์ เรามีแคตตาล็อกเครื่องสำอาง 3 ภาษา -- เมียนมาร์ ลาว และกัมพูชา -- เวลาเราเข้าไป เราไม่ได้ขายสินค้าอย่างเดียว แต่เป็นการ joint venture กับนักธุรกิจท้องถิ่น เพื่อช่วยวางระบบการทำธุรกิจขายตรง เรานำ know-how ไปมอบให้&rdquo; 
 
<a href="http://goo.gl/xs62JE"><img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/Sep%202015/mistine-04.jpg" /></a> 
ความลับที่ทำให้มิสทินเติบโตได้ในต่างประเทศ ด้วยจำนวนรายได้กว่า 1,000 ล้านบาททั้งที่ในบางประเทศยังไม่ได้ทำการตลาดอย่างจริงจัง ประกอบไปด้วยการให้ความสำคัญกับคุณภาพที่ปรับตามความเหมาะสมในแต่ละประเทศ character ความเป็นไทยที่ได้รับการยอมรับในต่างประเทศ รวมถึงความโดดเด่นจากการใช้สมุนไพรไทยเป็นส่วนผสมของในเครื่องสำอาง ดนัยกล่าวว่า ก่อนที่มิสทินจะบุกประเทศไหน จำเป็นต้องศึกษาให้รู้ลึกรู้จริง ทั้งความต้องการของผู้บริโภคในท้องถิ่น และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ 
 
ภายใต้หลักการ balance ชีวิตส่วนตัวและการทำงาน ดนัยสะท้อนตัวตนผ่านการตกแต่งโลกสีชมพูของมิสทิน ด้วยการใช้สีโปรดของเขา อันได้แก่ สีดำและสีเทาเป็นสีหลัก รวมถึง สีเขียวจากสวนกลางออฟฟิศที่ให้บรรยากาศร่มรื่นและผ่อนคลาย 
 
&ldquo;ผมมักจะบอกว่า การที่เราชอบอะไร ไม่ได้หมายความว่า เราต้องทำสิ่งนั้นเป็นธุรกิจเสมอไป ultimate goal ของผมไม่ใช่ในแง่รูปทรัพย์ แต่เป็นความสุขทางใจ การทำให้คนรอบข้างมีความสุข ชื่นชม ไม่ว่าจะเป็น ต้นไม้ หรือธุรกิจ ถ้าทำให้เขารู้สึกดี และยอมรับ ความสุขนั้นจะสะท้อนกลับมาเป็นความสุขของเรา&rdquo; บทสรุปเป้าหมายอันสูงสุดทั้งการทำงานและชีวิตส่วนตัวของซีอีโอหนุ่มในธุรกิจเครื่องสำอาง 
 
<blockquote class="instagram-media" data-instgrm-version="5" style=" background:#FFF; border:0; border-radius:3px; box-shadow:0 0 1px 0 rgba(0,0,0,0.5),0 1px 10px 0 rgba(0,0,0,0.15); margin: 1px; max-width:300px; padding:0; width:99.375%; width:-webkit-calc(100% - 2px); width:calc(100% - 2px);">
	<div style="padding:8px;">
		<div style=" background:#F8F8F8; line-height:0; margin-top:40px; padding:50.0% 0; text-align:center; width:100%;">
			<div style=" background:url(data:image/png;base64,iVBORw0KGgoAAAANSUhEUgAAACwAAAAsCAMAAAApWqozAAAAGFBMVEUiIiI9PT0eHh4gIB4hIBkcHBwcHBwcHBydr+JQAAAACHRSTlMABA4YHyQsM5jtaMwAAADfSURBVDjL7ZVBEgMhCAQBAf//42xcNbpAqakcM0ftUmFAAIBE81IqBJdS3lS6zs3bIpB9WED3YYXFPmHRfT8sgyrCP1x8uEUxLMzNWElFOYCV6mHWWwMzdPEKHlhLw7NWJqkHc4uIZphavDzA2JPzUDsBZziNae2S6owH8xPmX8G7zzgKEOPUoYHvGz1TBCxMkd3kwNVbU0gKHkx+iZILf77IofhrY1nYFnB/lQPb79drWOyJVa/DAvg9B/rLB4cC+Nqgdz/TvBbBnr6GBReqn/nRmDgaQEej7WhonozjF+Y2I/fZou/qAAAAAElFTkSuQmCC); display:block; height:44px; margin:0 auto -44px; position:relative; top:-22px; width:44px;">
				&nbsp;</div>
		</div>
		<p style=" color:#c9c8cd; font-family:Arial,sans-serif; font-size:14px; line-height:17px; margin-bottom:0; margin-top:8px; overflow:hidden; padding:8px 0 7px; text-align:center; text-overflow:ellipsis; white-space:nowrap;">
			<a href="https://instagram.com/p/7rqI4qw3OL/" style=" color:#c9c8cd; font-family:Arial,sans-serif; font-size:14px; font-style:normal; font-weight:normal; line-height:17px; text-decoration:none;" target="_blank" rel="noopener noreferrer">รูปภาพที่โพสต์โดย Forbes Thailand Magazine (@forbesthailand)</a> เมื่อ
		<time datetime="2015-09-16T06:54:50+00:00" style=" font-family:Arial,sans-serif; font-size:14px; line-height:17px;">
			ก.ย. 15, 2015 เวลา 11:54pm PDT</time>
	</div>
</blockquote>
<script async defer src="//platform.instagram.com/en_US/embeds.js"></script>
<hr />

	<a href="http://goo.gl/xs62JE">คลิ๊กอ่านฉบับเต็ม "ดนัย ดีโรจนวงศ์ ดัน &ldquo;มิสทิน&rdquo; เฉิดฉายข้ามทวีป" Forbes Thailand ฉบับ SEPTEMBER 2015 ในรูปแบบ E-Magazine</a>

ดนัย ดีโรจนวงศ์ ดัน “มิสทิน” เฉิดฉายข้ามทวีป

เรื่อง: ศรีวิภา สิริปัญญาวิทย์ 
 
ถึงแม้ว่าทุกวันนี้ ช่องทางการขายสินค้าหลักจะเป็นการขายผ่านห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ร้านสะดวกซื้อ ฯลฯ จะผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดในทุกซอกทุกมุม ทว่า การขายตรง ก็ยังคงเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ยังได้รับความนิยมอย่างสม่ำเสมอ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากยังคงมีสินค้าบางประเภทที่เหมาะกับการขายตรง อีกทั้งการที่ใช้ผู้บริโภคสินค้านั้นๆ มาเป็นตัวแทนขายโดยตรง นับเป็นกลยุทธ์ที่แยบยล 
 
จากข้อมูลสถิติรวบรวมโดย สมาพันธ์การขายตรงโลก ยอดการขายตรงของทั่วโลกในปี 2557 มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น 6.4% โดยมีมูลค่า 1.828 แสนล้านเหรียญสหรัฐ จาก 1.7 แสนล้านเหรียญ ในปี 2556 ทั้งนี้ ทวีปเอเชียนับเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด โดยมีสัดส่วนถึง 45% ของยอดขายรวมทั่วโลก อันดับ 2 ได้แก่ทวีปอเมริกา ซึ่งมีสัดส่วน 37% ตามด้วยทวีปยุโรป 17% 
 
ในปีที่ผ่านมา มีจำนวน 23 ประเทศที่มียอดการขายตรงสูงที่สุด โดยมีมูลค่ารวมถึง 1.7 แสนล้านเหรียญ ซึ่งนับเป็น 93% ของทั่วโลก และมีจำนวนนักขายรวมทั้งสิ้น 85.8 ล้านคน ในจำนวนนี้ ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 15 โดยมียอดขายอยู่ที่ 2.76 พันล้านเหรียญ ซึ่งลดลงจากปี 2013 อยู่ 4% อีกทั้งจำนวนนักขายตรงยังลดลง เป็น 11 ล้านคน จาก 11.1 ล้านคนในปี 2556 นับเป็นปรากฏการณ์ที่สำคัญในรอบหลายปีที่ผ่านมา 
 
จากข้อมูลของสมาคมการขายตรงไทย (TDSA) ยอดขายตรงในประเทศนั้นมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งโดยเฉลี่ยจะมีการขยายตัว 7-10% ต่อปี แต่ยอดขายที่ลดลงในปีที่แล้วนั้น มีสาเหตุหลักจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยภายในประเทศ และสภาพการเมืองที่ไม่แน่นอน อันส่งผลให้มีการส่งเสริมการขายที่ลดลง อีกทั้งประชาชนส่วนใหญ่มีการรัดเข็มขัดและชะลอการใช้จ่ายออกไปอีกด้วย 
 
ยอดขายในปีที่แล้วของเจ้าแห่งขายตรงเบอร์ 1 ในไทยอย่าง แอมเวย์ประเทศไทย ลดลง 3.27% เพียง 1.62 หมื่นล้านบาท โดยยอดของแอมเวย์ ทั่วโลกก็ลดลงเช่นเดียวกันที่ 8% มาอยู่ที่ 1.08 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ อันเนื่องมาจากผลประกอบการในจีนที่ลดลง และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน 
 
ทว่า ยอดขายของเบอร์สองอย่างสาวน้อย &ldquo;มิสทิน&rdquo; แห่ง บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด กลับสวนทางกับอุตสาหกรรม โดยเพิ่มขึ้น 3.42% เป็น 1.16 หมื่นล้านบาท ในปี 2557 
 
สินค้ากลุ่มหลักที่ครองตำแหน่งยอดขายสูงสุดคือ สินค้าเพื่อสุขภาพ (44.67% ของยอดขายรวม) และเครื่องสำอาง (34%) ตามมาด้วยเครื่องใช้ในครัวเรือน (12.46%) เหตุผลหลักคือ ผู้บริโภคในทุกวันนี้ต่างให้ความสนใจในสุขภาพ และภาพลักษณ์ของตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับผู้บริโภคทั่วโลก 
 
ในปัจจุบัน มีจำนวนบริษัทขายตรงที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องกับกระทรวงพาณิชย์กว่า 800 บริษัท ในจำนวนนี้ 32 บริษัทเป็นสมาชิกของสมาคม ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดถึง 70% 
 
ทั้งนี้ ทางสมาคมคาดการณ์ว่า ในปีนี้ ยอดขายตรงในประเทศน่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เนื่องจากการเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น แต่การที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงระมัดระวังการใช้จ่ายอยู่นั้น น่าจะทำให้บริษัทขายตรงต่างๆ ต้องนำกลยุทธ์ที่แยบยลและการส่งเสริมการขายที่เข้มข้นมาใช้ เพื่อแย่งชิงเงินในกระเป๋าของผู้บริโภคที่มีจำกัด อีกทั้งยังต้องให้ความสำคัญกับการนำเสนอสินค้าที่โดนใจและอยู่ในความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง และแน่นอนที่สุด ต้องอยู่ในราคาที่เหมาะสม 
 
<img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" height="282" src="/uploads/userfiles/images/Sep%202015/cover-01.jpg" width="608" />
<hr />

	<a href="http://goo.gl/JeQCAL">คลิ๊กเพื่ออ่าน Forbes Thailand "Giffarine - Mistine ยักษ์ใหญ่ขายตรงไทยรุกไกลในอาเซียน" ฉบับ September 2015 ในรูปแบบ E-Magazine</a>

ปีสดใส ขายตรงไทย?

สวัสดีค่ะท่านผู้อ่าน 
 
Robert Louis Stevenson เคยกล่าวไว้ว่า &ldquo;Everyone lives by selling something.&rdquo; หรือ &ldquo;ทุกๆ คนต่างดำรงชีพด้วยการขายอะไรบางอย่าง&rdquo; ซึ่งหากไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งแล้ว จะเห็นว่าคำกล่าวนี้เป็นดั่งกับสัจธรรมเลยทีเดียว เพราะตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พวกเราทุกคนต่างเปรียบเสมือน &ldquo;นักขาย&rdquo; ด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะขายสินค้า บริการ ความรู้ ความสามารถ ความชำนาญ หรือ ฯลฯ ก็ตาม จึงเห็นได้ว่า การขายนั้น จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องใกล้ตัวยิ่งนัก 
 
Forbes Thailand ฉบับนี้นำเสนอเรื่องราวของ &ldquo;สองนักขายตรงผู้ยิ่งใหญ่&rdquo; ที่สร้างตำนานยักษ์ใหญ่ขายตรงสัญชาติไทย ที่มีศักยภาพเทียบเท่ากับขายตรงต่างชาติ โดยเราได้เลือก &ldquo;Mistine&rdquo; บริษัทขายตรงเบอร์หนึ่งของไทยภายใต้รูปแบบขายตรงแบบชั้นเดียว หรือ Single-Level Marketing ที่มียอดขายในปีที่แล้วถึง 1.16 หมื่นล้านบาท และ &ldquo;Giffarine&rdquo; ที่เป็นเบอร์หนึ่งในรูปแบบขายตรงระบบหลายชั้น หรือ Multi-level Marketing ที่มียอดขายทะลุ 5 พันล้านบาท 
 
ทั้งสอง ผู้เป็นเจ้าแห่งธุรกิจขายตรงไทย ต่างมีจุดเริ่มต้นที่คล้ายกัน คือ ความเชื่อในการขายสินค้าที่ดีและมีความหมายต่อผู้บริโภค โดยให้ผู้ใช้สินค้าเป็นผู้ขายสินค้าโดยตรง ซึ่งนับเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด เพราะยังมีสินค้าอีกจำนวนมากที่มีลักษณะเฉพาะตัวและเหมาะกับการขายตรงมากกว่าการวางขายตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อทั่วไป 
 
นลินี ไพบูลย์ หญิงเหล็กผู้ก่อตั้งบริษัท Giffarine Skyline Unity และ ดนัย ดีโรจนวงศ์ ผู้กุมบังเหียน บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด (เจ้าของแบรนด์ Mistine) ต่อจาก อมรเทพ ผู้เป็นบิดา ที่ทางนิตยสารได้นำเสนอเรื่องราวในฉบับนี้ ล้วนแล้วแต่มีเลือดนักขายตรงสูบฉีดอยู่ในตัว ซึ่งพร้อมที่จะผลักดันสินค้าและแบรนด์ของตัวเองให้เป็นหนึ่งในอาเซียน 
<div style="text-align: right;">
	 
	 
	<img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" height="99" src="/uploads/userfiles/images/Sep%202015/pee-ping-2.jpg" width="99" /></div>
<div>
	ศรีวิภา สิริปัญญาวิทย์ 
	Editor 
	FORBES THAILAND</div>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events