<h2>PRI ปรับกลยุทธ์ เล็งเห็นโอกาสการตกแต่งอสังหาฯ โต พร้อมชู ‘วายด์ อินทิเรีย (Wyde interior)’ รุกตลาด B2B ให้บริการออกแบบและตกแต่งภายในทุกรูปแบบอย่างครบวงจร อาทิ อาคารสำนักงาน โรงแรม ร้านค้า คาเฟ่ โครงการบ้านจัดสรร ครอบคลุมทั้งหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ เอกชน ชูจุดแข็งทีมงานมืออาชีพ มากประสบการณ์กว่า 10 ปี เข้าใจเทรนด์และพฤติกรรมการใช้ชีวิต พร้อมยกระดับบริการแบบ One Stop Service</h2> &nbsp; &nbsp;&nbsp;สุรินทร์ สหชาติโภคานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PRI ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรชั้นนำของประเทศ เปิดเผยว่า บริษัทเดินหน้าขยายธุรกิจและส่งมอบบริการในทุกภาคส่วนตามแผน Elevate Your Living Experience ตั้งแต่กลุ่มธุรกิจต้นน้ำ บริการก่อนเข้าอยู่อาศัย (Pre-Living Services), กลุ่มกลางน้ำ บริการการจัดการเพื่อการอยู่อาศัย (Living Services) และกลุ่มปลายน้ำ บริการหลังการขายที่อยู่อาศัย (Living &amp; Earning Services) &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยสุรินทร์เน้นย้ำกลุ่มบริการหลังการขาย ด้านบริการออกแบบและตกแต่งภายใน ที่บริษัทมองเห็นว่า ปัจจุบันเทรนด์การตกแต่งคอนโดมิเนียม และบ้านพักอาศัยมีความต้องการสูงทั้งในแบบอยู่อาศัยเอง-ปล่อยเช่า ขณะเดียวกันในกลุ่มคอนโดฯ และบ้านที่มีอายุกว่า 10 ปี ก็มีความต้องการบริการตกแต่งภายใน หรือบริการรีโนเวทเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปีอีกด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น ได้ขยายบริการการออกแบบและตกแต่งภายในซึ่งดำเนินงานโดย บริษัท วายด์ อินทีเรีย จำกัด ผู้ให้บริการด้านการออกแบบและตกแต่งภายในแบบครบวงจร และอยู่ในกลุ่ม Living &amp; Earning Services ของบริษัท เพื่อตอบโจทย์บริการในที่อยู่อาศัยทั้งกลุ่มตลาดผู้พัฒนาโครงการ กลุ่มลูกค้ารายย่อย และกลุ่มเจ้าของโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยในทุกระดับราคา ทุกเซ็กเมนท์ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การออกแบบและตกแต่งภายในสะท้อนถึงความเป็นเอกลักษณ์และตัวตนของแบรนด์มากขึ้น โดยเฉพาะโครงการเชิงพาณิชย์ที่ให้ความสำคัญกับฟังก์ชันการทำงาน สร้างประสบการณ์ร่วมของลูกค้ากับแบรนด์ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ดึงดูดลูกค้า และสอดคล้องกับเป้าหมายของกิจการ​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/Fx9oLNa7JkhCPzJ95kcX.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="Fx9oLNa7JkhCPzJ95kcX.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"><figcaption><div>สุรินทร์ สหชาติโภคานันท์</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“จากความต้องการดังกล่าวเราจึงมองเห็นถึงโอกาสการเติบโตของตลาดการออกแบบภายใน และการตกแต่ง ด้วยทางเลือกที่สามารถนำเสนอโซลูชันการออกแบบตามความต้องการ และแรงบันดาลใจของลูกค้า โดยนักออกแบบและสถาปนิกมืออาชีพที่มีประสบการณ์การกว่า 10 ปี เพื่อผสานองค์ประกอบต่างๆ และสร้างบรรยากาศที่น่าดึงดูดซึ่งสะท้อนกับเอกลักษณ์ขององค์กรอย่างสูงสุด” สุรินทร์ กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ลักษณา แสงมณี ผู้บริหารสายงานการขายงานตกแต่ง เผยว่า กลุ่มวายด์ อินทีเรีย มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ พร้อมที่จะบุกเจาะตลาดทุกเซ็กเมนต์ทั้งตลาดปรับปรุง ซ่อมแซม หรือ Renovate, ธุรกิจ B2B หลากหลายหน่วยงาน ทั้งงานโครงการเอกชน ราชการ และรัฐวิสาหกิจ รวมถึงกลุ่มตลาด B2C โดยได้ตั้งเป้าเติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยเฉพาะการวางแผนขยายงานสู่ธุรกิจ B2B มากขึ้น เพื่อเข้าถึงกลุ่มธุรกิจที่มีความหลากหลาย ทั้งโครงการเอกชน ราชการ รัฐวิสาหกิจ รวมถึงโครงการอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม และโรงพยาบาล ที่ต้องการการออกแบบและตกแต่งภายในที่มีสไตล์เฉพาะทาง และแสดงถึงความเป็นตัวตนของแบรนด์มากขึ้น เน้นโครงการเชิงพาณิชย์ที่ให้ความสำคัญกับฟังก์ชันการทำงาน การสร้างประสบการณ์ร่วมของลูกค้ากับแบรนด์ ตลอดจนผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในภูมิภาค รวมถึงการเข้าไปรับงาน ห้างค้าปลีก คอมมูนิตี้มอลล์ และศูนย์ดูแลสุขภาพต่างๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ที่ผ่านมาบริษัทได้ให้บริการในโครงการคอนโดฯมาแล้วมากกว่า 4,500 ยูนิต และบ้านแนวราบมากกว่า 450 ยูนิต รวมทั้งยังมีพันธมิตรธุรกิจแบบ B2B มากกว่า 125 โครงการ&nbsp;โดยปัจจุบันมีงานการออกแบบโครงการโรงแรมในหัวเมืองท่องเที่ยวทั้ง เชียงใหม่ และภูเก็ต ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนเจรจาคาดว่าจะสามารถปิดดีลได้ในช่วงปลายปี 2567 นี้&nbsp;ขณะที่งานด้านบริการแบบ B2C บริษัทได้จัดแพ็คเกจสำเร็จรูปที่ลูกค้านิยมตกแต่ง เช่น มุมทีวี เตียงนอน ตู้เสื้อผ้า โดยมี Wyde Collection มากกว่า 200 รายการให้ลูกค้าเลือกและหลากหลายสไตล์ เช่น Modern Muji Luxury เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“จากประสบการณ์ของทีมงานทำให้สามารถจับ painpoint ของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความกังวลใจเกี่ยวกับบริษัทผู้รับเหมาในเรื่องต่างๆ เช่น งานไม่ตรงตามแบบ การส่งมอบงานไม่ตรงเวลา งานบริการหลังการขายที่ล่าช้า ขณะที่ลูกค้าไม่ค่อยมีเวลาในการตรวจสอบ และต้องการความสะดวกสบายมากที่สุด บริษัทจึงได้เข้าไปแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ลูกค้า โดยการนำเสนอบริการแบบครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบและเลือกวัสดุ โดยมีการเปรียบเทียบวัสดุที่ใช้ให้ลูกค้าได้เห็นก่อนเริ่มตกแต่ง มีการทำรายงานแจ้งความคืบหน้าลูกค้าตลอดเวลาระหว่างขึ้นงาน และมีทีมงานที่คอยดูแลบริการหลังการขายโดยเฉพาะ เพื่อความสบายใจ ไร้กังวล ปราศจากความยุ่งยากซับซ้อน” ลักษณากล่าว​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/CnZe1N5sYnD4s2UAai1C.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="CnZe1N5sYnD4s2UAai1C.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนงาน Renovate ที่บริษัทได้ขยายเพิ่มเข้ามา เพราะมองเห็นเทรนด์ของตลาด Renovate ที่เพิ่มขึ้นทุกปี โดยได้นำอินไซด์ของลูกค้าที่เคยเจอ เช่น ขาดที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ต้องติดต่อกับผู้รับเหมาหลายเจ้า เกิดความล่าช้าในการทำงาน จัดสรรงบประมาณผิดพลาด จนทำให้เกิดงบประมาณบานปลาย และค่าใช้จ่ายอื่นๆที่ไม่คาดคิด ด้วยการบริการแบบ One stop Service โดยมีการประสานงานทุกส่วนตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ หรือตั้งแต่ต้นทางจนจบ ทั้งการวางแผนดำเนินงาน งานออกแบบ งานติดต่อโครงการ การเข้าทำงาน ตลอดจนการส่งมอบงาน เนื่องจากมีทีมที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญ รวมถึงผู้รับเหมาที่ไว้ใจได้และมีมาตรฐาน ทำงานตามขอบเขตเวลาที่ชัดเจน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัทตั้งเป้าที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญและผู้ช่วยให้ทุกเรื่องยากของงาน Renovate ให้เป็นเรื่องง่ายที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ และถือเป็นโอกาสที่ดีในการรุกตลาด Renovate โดยสามารถประเมินได้จากภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยทั้งบ้านแนวราบและคอนโดมิเนียมทั่วประเทศที่มีอายุ 10 ปีขึ้นไปมีมากกว่า 23.4 ล้านยูนิต คิดเป็นมูลค่ากว่า 234,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 400,000 ยูนิต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับข้อมูลของสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ที่สะท้อนให้เห็นภาพรวมตลาดยังมีดีมานด์จากกลุ่มลูกค้าที่สร้างบ้านเอง โดยเฉพาะในกลุ่มบ้านอายุ 5-10 ปีขึ้นไป เริ่มมีปัญหาภายในตัวบ้านที่ต้องปรับปรุงซ่อมแซม รวมถึงกลุ่มครอบครัวที่ขยายใหญ่ขึ้นจึงต้องการต่อเติมบ้านเพิ่ม ส่งผลให้ผู้ประกอบการรับสร้างบ้านหลายรายมองเห็นถึงโอกาสในการขยายธุรกิจ Renovate ในครั้งนี้ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/property/asset-wise-group-title-opens-4-new-projects-in-phuket" alt="‘อสังหาภูเก็ต’ บูมต่อ โดยเฉพาะตลาดลักชู ‘เครือแอสเสทไวส์’ เปิด 4 โครงการใหม่มูลค่ารวม 15,500 ล้านบาท">‘อสังหาภูเก็ต’ บูมต่อ โดยเฉพาะตลาดลักชู ‘เครือแอสเสทไวส์’ เปิด 4 โครงการใหม่มูลค่ารวม 15,500 ล้านบาท</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

PRI ปรับกลยุทธ์รับเทรนด์ออกแบบ-ตกแต่งอสังหาฯ โต ให้บริการครบวงจรรุกตลาด B2B

“นุชนารถ รัตนสุวรรณชาติ” BKD ยักษ์เล็กรับเหมาตกแต่ง

<h2>คุน เดคอเรต (KUN) เฟอร์นิเจอร์อะลูมิเนียม แบรนด์ไทยในเครือคุณากิจ วางเป้ายอดขายเติบโต 20% ชูจุดเด่นสินค้าผลิตจากอะลูมิเนียมที่ทนทานต่อการใช้งานกลางแจ้ง เตรียมรุกตลาดผู้บริโภครายย่อยเพิ่มขึ้น</h2>
จุไรรัตน์ คุณาวิชยานนท์ รองกรรมการผู้จัดการ แบรนด์ คุน เดคอเรต (KUN) ในเครือ บริษัท คุณากิจอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ จำกัด เปิดเผยว่า ปีนี้แบรนด์ KUN ครบรอบ 10 ปีและกำลังก้าวสู่ปีที่ 11 ที่ผ่านมาบริษัทมีการปรับตัวจากโรงงานเฟอร์นิเจอร์เหล็กและรับจ้างผลิต (OEM) มาเป็นการพัฒนาแบรนด์ของตนเองโดยใช้ดีไซเนอร์ชาวไทย รวมถึงปรับวัสดุจากเหล็กมาเป็นอะลูมิเนียมซึ่งมีความทนทานกว่าและน้ำหนักเบา เหมาะกับการใช้งานกลางแจ้ง

รายได้ของ KUN ปี 2561 อยู่ที่ราว 10 กว่าล้านบาท (คิดเป็น 60% ของบริษัทคุณากิจ ซึ่งยังรับผลิต OEM อยู่) มีลูกค้าหลัก 80-90% เป็นลูกค้าโครงการโรงแรมและร้านอาหาร และมีการส่งออก 40% ของยอดขายแบรนด์ ในประเทศเยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และฝรั่งเศส โดยเป็นสินค้าเฟอร์นิเจอร์ระดับบนถึงไฮเอนด์ ช่วงราคาตั้งแต่ 3,000-60,000 บาทต่อชิ้น

จุไรรัตน์กล่าวว่า ในปี 2562 นี้บริษัทจะเริ่มรุกตลาดผู้บริโภครายย่อยมากขึ้น ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนลูกค้ารายย่อยจาก 10-20% เป็น 20-30% ภายใน 2-3 ปีนี้ โดยขณะนี้บริษัทมีช่องทางจำหน่ายรายย่อยในร้านบุญถาวร 8 สาขา ด้านกลยุทธ์อนาคตจะเน้นการโฆษณาผ่านสื่อไปถึงผู้บริโภคปลายทาง สามารถติดต่อซื้อสินค้ากับบริษัทได้โดยตรงที่โรงงานย่านซอยประชาอุทิศ 37 รวมถึงร้านค้าท้องถิ่นในต่างจังหวัด หากต้องการสินค้าที่มีดีไซน์สามารถติดต่อแบรนด์ KUN ไปวางจำหน่ายได้

สาเหตุที่ต้องการรุกตลาดรายย่อย จุไรรัตน์มองว่าเป็นช่องทางที่ได้มาร์จิ้นดีกว่า ในขณะเดียวกันการเข้าถึงคนจำนวนมากจะช่วยประชาสัมพันธ์แบรนด์ไปในตัว

<figure><img class="wp-image-5765" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/จุไรรัตน์-คุณาวิชยานนท์-รองกรรมการผู้จัดการ-KUN-decorat.jpg" alt="" width="533" height="800" /><figcaption> จุไรรัตน์ คุณาวิชยานนท์ รองกรรมการผู้จัดการ แบรนด์คุน เดคอเรต</figcaption></figure>

นอกจากนี้ KUN จะเริ่มออกสินค้าคอลเลคชั่นใหม่ที่ขยับจากการใช้งานกลางแจ้งมาใช้งานในอาคารได้มากขึ้น ในปีนี้จะมีการออก จอย คอลเลคชั่น ซึ่งเป็นเฟอร์นิเจอร์อะลูมิเนียมผสมไม้สัก และมีสินค้าตกแต่งกลุ่มแต่งผนัง เครื่องเขียน โคมไฟ เพิ่มเข้ามา เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคที่อาจไม่เคยชินกับเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากอะลูมิเนียม 100% และทำให้ผลิตภัณฑ์มีความนุ่มนวลมากขึ้น

“การใช้ไม้ผสมนี้ ต่อไปอาจจะมีการใช้ไม้ประเภทอื่นที่เหมาะสำหรับใช้ในอาคารมากขึ้นด้วย” จุไรรัตน์กล่าวและเสริมว่า ทั้งหมดนี้จะส่งให้แบรนด์ KUN มียอดขายเติบโต วางเป้า 20% ในปีนี้ และวางแผนจะเริ่มขยายกำลังการผลิตในช่วงปลายปี โดยเพิ่มจำนวนพนักงานช่างอีก 10-15% จากปัจจุบันช่างในโรงงานสามารถผลิตชิ้นงานพื้นฐาน เช่น เก้าอี้ ได้ 400-500 ตัวต่อเดือน

<figure><img class="size-full wp-image-5766" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/KUN-e1553075559206.jpg" alt="" width="800" height="533" /><figcaption> จอย คอลเลคชั่น ที่มีการผสมไม้สักเข้ามาในเฟอร์นิเจอร์อะลูมิเนียม หวังเจาะผู้บริโภครายย่อย</figcaption></figure>

สำหรับ คุณากิจอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ เป็นโรงงานที่ก่อตั้งมากว่า 50 ปี โดยจุไรรัตน์เป็นทายาทรุ่นสองที่เข้ามาช่วยสืบสานกิจการเมื่อ 10 ปีก่อน และร่วมกับครอบครัวตัดสินใจปรับทิศทางธุรกิจมาเป็น เฟอร์นิเจอร์อะลูมิเนียม ที่มีการออกแบบ โดยสินค้าจะราคาสูงกว่าเหล็กประมาณ 15% เพื่อปรับมาเจาะตลาดระดับบนภายใต้แบรนด์ของตนเอง

“ต้องปรับมาทำแบรนด์ KUN เพราะ 10 ปีก่อนเป็นช่วงเศรษฐกิจแย่ลง และถูกสินค้าจีนตีตลาดด้วยของที่ราคาถูกกว่า เราต้องปรับตัวมาทำงานดีไซน์ให้มากขึ้น เปลี่ยนวัสดุ เป็นช่วงที่ลำบากมากเพราะโรงงานเคยทำตลาดแมสมาก่อน เมื่อเราทำงานกับดีไซเนอร์ไทยให้ช่วยออกแบบ เราต้องเป็นคนกลางระหว่างดีไซเนอร์กับช่างในโรงงาน เพราะคนในโรงงานเราจะบอกว่าทำไม่ได้หรอก แต่ก็ต้องค่อยๆ พัฒนามาด้วยกัน และปรับตัวไปพร้อมกับลูกค้า” จุไรรัตน์อธิบายถึงจุดเริ่มต้นของแบรนด์
<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/people/asean-biz/%E0%B8%A8%E0%B8%B8%E0%B8%A0%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B9%8C-%E0%B8%9F%E0%B8%B8%E0%B8%87-%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2.html">ศุภลักษณ์ ฟุง บุกเมียนมา เนรมิต Rosewood Yangon</a></li>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/marketing/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88-i.html">กลยุทธ์เพิ่มรายได้ใหม่ IKEA เตรียมทดลองเปิดให้บริการ "เช่าเฟอร์นิเจอร์"</a></li>
</ul>
ปัจจุบัน แบรนด์ KUN ชูจุดเด่นของสินค้าด้านวัสดุอะลูมิเนียม มีสีให้เลือกหลากหลาย และเป็นสินค้าทำมือทุกชิ้น รวมถึงเน้นการบริการหลังขาย โดยรับประกันซ่อม 1 ปีไม่มีค่าใช้จ่าย และรับซ่อมแบบมีค่าใช้จ่ายตลอดอายุการใช้งาน

&nbsp;

Forbes Facts
<ul>
 	<li>ลูกค้าที่ใช้แบรนด์ KUN เช่น โรงแรม ครอสทู ริเวอร์แคว รีสอร์ท จ.กาญจนบุรี, โรงแรม หลับดี ภูเก็ต-ป่าตอง, โรงแรมศาลา อยุธยา, ร้านอาหาร บอนชอน, ร้านอาหาร เดอะ คอฟฟี่ คลับ, ร้านเบเกอรี่ อีริค เคย์เซอร์ เป็นต้น</li>
 	<li>ตลาดเฟอร์นิเจอร์ไทยมูลค่า 9 หมื่นล้านบาทในปี 2561 จุไรรัตน์มองว่าในปีนี้น่าจะเติบโตได้ 15% หากสถานการณ์หลังการเลือกตั้งเป็นไปตามปกติ</li>
</ul>

KUN ‘เฟอร์นิเจอร์อะลูมิเนียม’ แบรนด์ไทย หันบุกผู้บริโภครายย่อย หวังยอดขายโต 20%

<h2>พราวพรรณ เลาหพงศ์ชนะ เผยครบรอบ 12 ปี บริษัท ควอตโตร ดีไซน์ จำกัด ธุรกิจนำเข้าเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้านระดับพรีเมียม และ การให้บริการออกแบบและตกแต่งแบบ On Demand พร้อมชูกลยุทธ์การให้บริการแบบครบวงจร 360 องศา คาดปี 2562 หนุนยอดรายได้โตกว่า 50 เปอร์เซ็นต์</h2>
พราวพรรณ เลาหพงศ์ชนะ หนึ่งในผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอตโตร ดีไซน์ จำกัด เผย 12 ปีแห่งการสร้างธุรกิจนำเข้าเฟอร์นิเจอร์ของตกแต่งบ้านระดับพรีเมียม และการให้บริการการออกแบบตกแต่งโดยให้บริการลูกค้ากลุ่มบุคคลและกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลายโครงการ

“หลังจากมองเห็นช่องว่างของตลาดที่ยังไม่มีคนรับตกแต่งหรือจัดบ้านตัวอย่าง ซึ่งเดิมทีจะมีแค่ผู้ที่ออกแบบแต่ไม่ได้ผลิต หรือจัดหาสินค้าให้ บริษัทจึงได้เปิดส่วนให้บริการตกแต่งแบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ ของประดับตกแต่ง หรือแม้กระทั่งการทำสไตล์ลิ่ง ในขณะเดียวกันเรามีธุรกิจร้านเฟอร์นิเจอร์ควอตโตร ดีไซน์ ที่ทองหล่ออันเป็นสาขาแรกซึ่งเป็นโชว์รูมและหน้าแรกสำหรับลูกค้าปลีกและลูกค้าโครงการ” พราวพรรณ เลาหพงศ์ชนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอตโตร ดีไซน์ จำกัด กล่าวและเสริมว่า

“ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมารายได้เราเติบโตเฉลี่ยปีละ 35 เปอร์เซ็นต์จากธุรกิจจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และการให้บริการตกแต่งกับลูกค้าทั้งแบบรายบุคคลและลูกค้าโครงการ โดย ควอตโตรฯ รับทำงานออกแบบและตกแต่งไปแล้วมากกว่า 300 โครงการ อาทิ โครงการลักชัวรี่อย่าง MARQUE Sukhumvit หรือโครงการคอนโดมิเนียม Ideo Mobi ซึ่งปีที่ผ่านมาเรามีรายได้ราว 180 ล้านบาท”

พราวพรรณกล่าวเสริมอีกว่า ที่ผ่านมาสัดส่วนธุรกิจของการให้บริการของควอตโตร ดีไซน์ นั้นมีสัดส่วน 50:50  ระหว่างการจัดหน่ายเฟอร์นิเจอร์พรีเมียมและการออกแบบตกแต่ง ซึ่งในปี 2561 สัดส่วนการให้บริการออกแบบ อาทิ การออกแบบห้องตัวอย่าง โดยเฉพาะการออกแบบตกแต่งห้องชุดในโครงการของคอนโดมิเนียมระดับกลางและระดับลักชัวรี่ รวมถึงกลุ่มธุรกิจโรงแรม เติบโตขึ้นอย่างมาก ทำให้ปีนี้เองเราตัดสินใจปรับสัดส่วนธุรกิจในฝั่งออกแบบและตกแต่งเป็น 60 เปอร์เซ็นต์

“สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจนับจากนี้ บริษัทจะเพิ่มสินค้าและเพิ่มกลยุทธ์การบริการรูปแบบครบวงจร 360 องศา เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หลังจากที่ผ่านมาบริษัทจะเน้นรับตกแต่งบ้านตัวอย่าง ควบคู่ไปกับการมีร้านจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์จากต่างประเทศ” พราวพรรณ กล่าว

<figure><img class="wp-image-4216 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/พราวพรรณ-เลาหพงศชนะ-02.jpg" alt="พราวพรรณ เลาหพงศ์ชนะ " width="638" height="543" /><figcaption> พราวพรรณ เลาหพงศ์ชนะ หนึ่งในผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอตโตร ดีไซน์ จำกัด</figcaption></figure>

พราวพรรณ กล่าวเสริมอีกว่าในส่วนธุรกิจการนำเข้าและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์พรีเมียม ปัจจุบันควอตโตร ดีไซน์ มีเอ็กซ์คลูชีพแบรนด์ 4 แบรนด์ดัง ได้แก่ ประกอบด้วย ไอค์โฮล์ท (EICHHOLTZ) อยู่ในตลาดลักชัวรี่ นำเข้าจากเนเธอร์แลนด์ โดยแบรนด์นี้มีสินค้ามากกว่า 4,000 รายการครอบคลุมทุกหมวด เธอกล่าวเสริมด้วยว่า แบรนด์ไอค์โฮล์ท ถือเป็นแบรนด์ระดับโลกแบรนด์หนึ่งที่เป็นผู้กำหนดเทรนด์การออกแบบโลก

แบรนด์ พริสมิค แอนด์ บริล (PRIZMIC &amp; BRILL) แบรนด์สัญชาติอเมริกาที่เกิดขึ้นพร้อมกับบริษัทควอตโตรฯ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผลิตในประเทศฟิลิปปินส์ เน้นงานหนัง มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร และเป็นแบรนด์ขายดีที่สุดของทางร้าน

แบรนด์ เคเนท โคบุนพวย  (KENNETH COBONPUE) สินค้าเอาท์ดอร์จากฟิลิปปินส์ และเป็นแบรนด์ที่ขายดีที่สาขาภูเก็ต สาขาที่สอง ของ ควอตโตร ดีไซน์ บนพื้นที่ 800 ตร.ม. ด้วยงบประมาณลงทุนก่อสร้างราว 30 ล้านบาท

“เรามองเห็นว่าตลาดภูเก็ต มีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ มาเลเซีย ยุโรป ขณะเดียวกันภูเก็ตยังไม่มีร้านเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นมัลติแบรนด์ จึงได้เลือกทำเลดังกล่าวเพื่อตอบสนองความต้องการคนในจังหวัดภูเก็ต หรือผู้อยู่อาศัยในจังหวัดใกล้เคียงและชาวต่างชาติ” พราวพรรณกล่าว

ส่วนแบรนด์ที่ 4 ที่บริษัทฯ ได้เอ็กซ์คลูชีพคือแบรนด์ อินดัสเทรีย เอดิชั่น (INDUSTRIA EDITION) อีกหนึ่งแบรนด์สัญชาติฟิลิปปินส์ เน้นงานโลหะที่ออกแบบอย่างสร้างสรรค์ ด้วยความสวยงามของยุคโมเดิร์น และแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ

<figure><img class="wp-image-4217 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/เฟอร์นิเจอร์หรู.jpg" alt="PRIZMIC &amp; BRILL" width="638" height="588" /><figcaption> PRIZMIC &amp; BRILL แบรนด์สัญชาติอเมริการ่วมเอ็กซ์คลูชีพกับควอตโตรฯ เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา</figcaption></figure>

“จากประสบการณ์ในนำเข้าเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งทำให้ความสัมพันธ์ในฐานะพันธมิตรกับโรงงานเฟอร์นิเจอร์แบบครบวงจรที่เราทำธุรกิจด้วยยิ่งเหนียวเน้นมากขึ้น และจากความสัมพันธ์ดังกล่าวนี้ทำให้เรามั่นใจ และตอบโจทย์การทำงานที่รวดเร็วโดยเฉพาะลูกค้าโครงการที่อยู่อาศัยและธุรกิจโรงแรมในระดับ 200 ห้องขึ้นไปได้มากขึ้น จากก่อนหน้าให้บริการกลุ่มโครงการได้เพียงระดับหลักสิบห้อง รวมไปถึงความมั่นใจในความพร้อมในการผลิตสินค้าประเภทตู้เสื้อผ้าและชุดครัวติดห้องให้กับกลุ่มคอนโดมิเนียมระดับ 8,000 ต่อ ตร.ม.ขึ้นไป” พราวพรรณกล่าวและเสริมว่า

“ความสัมพันธ์อันดีของเรากับผู้ผลิตทั้งในทวีปเอเชียและยุโรป จากการดำเนินธุรกิจมา 12 ปี ทำให้เรารองรับลูกค้าโครงการขนาดใหญ่ และทำราคาที่กลุ่มดังกล่าวเข้าถึงได้อีกด้วย”

พราวพรรณ กล่าวว่า สรุปเป้าหมายรายได้ของปี 2562 นี้บริษัทตั้งเป้าเติบโต 50 % โดยมีการเริ่มต้นปีที่ดีในการเซ็นสัญญากับโครงการระดับ 100 กว่ายูนิตขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้สัญญาที่เซ็นไปแล้วประมาณ  270 ยูนิต สะท้อนให้เห็นว่าลูกค้ามีความไว้วางใจการให้บริการและเชื่อในมุมมองของการเลือกใช้และการออกแบบของควอตโตรฯ"

"นอกจากการลงทุนที่ผ่านมาในสาขาภูเก็ตแล้วนั้น เราเองมองไปยังตลาดในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามที่ตลาดโรงแรมหรูกำลังเติบโต ปีที่ผ่านมาเราเองได้ขยายทีมขาย ทีมออกแบบตกแต่งเพื่อรองรับการบริการรูปแบบครบวงจร 360 องศา และโอกาสทางธุรกิจ พร้อมกับเตรียมงบประมาณด้านการตลาดอีกราว 15 เปอร์เซ็นต์" พราวพรรณ กล่าวทิ้งท้าย

พราวพรรณ เลาหพงศ์ชนะ เผย 12 ปี ควอตโตรฯ รุกบริการใหม่

<h2>เฮเฟเล่ ผู้ผลิตวัสดุอุปกรณ์ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ภายในบ้านจากเยอรมนี มองปี 2560 ตลาดยังเติบโต เร่งเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ 10-15% ระดมเซลส์ขายประจำหัวเมืองต่างจังหวัดบุกหนักขายตรงเข้าโครงการอสังหาฯ เปิดสินค้าใหม่เน้นเทคโนโลยี IoT บ้านอัจฉริยะ</h2>
Volker Hellstern กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฮเฟเล่ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปี 2560 นี้ เฮเฟเล่มีการเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เข้ามาจำนวนมาก โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เน้นเสริมนวัตกรรมเพื่อความสะดวกสบายยิ่งขึ้น รวมทั้งการเพิ่มทางเลือกหลากหลายในงานดีไซน์ เน้นสีดำคลาสสิกซึ่งเป็นสีนำเทรนด์การตกแต่งบ้านในปีนี้ นอกจากนี้ยังนำเสนอสินค้าเด่นประเภทวัสดุ คือหินควอตซ์ ซึ่งเหมาะกับการใช้เป็นหน้าท็อปชุดครัวหรือผนังตกแต่ง เนื่องจากเป็นหินธรรมชาติแท้สวยงามและแตกต่างกันในแต่ละแผ่น

ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมของเฮเฟเล่ปีนี้ ส่วนใหญ่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวและในห้องน้ำ อาทิ
<ul>
 	<li>เตาแม่เหล็กไฟฟ้า IQcook มีอุปกรณ์เชื่อมต่อระหว่างเตากับตัวรับสัญญาณทำให้สามารถหรี่หรือเพิ่มความร้อนได้เองโดยอัตโนมัติ สามารถตั้งอุปกรณ์ทำครัวไว้บนเตาได้อย่างปลอดภัย</li>
 	<li>เครื่องดูดควัน Gorenje ซึ่งจะปรับเพิ่มความแรงในการดูดได้เองอัตโนมัติ</li>
</ul>
<img style="width: 680px; height: 369px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/b859a41894622e3a8743a6accabb0030.png" alt="" />
<ul>
 	<li>ตู้เย็น 2 ประตูจาก Gorenje ติดตั้งระบบ AdaptTech ทำให้จดจำช่วงเวลาที่ใช้งานบ่อย และปรับลดความเย็นลง 1-2 องศาในช่วงนั้นเพื่อลดการสูญเสียความเย็นเมื่อเปิดตู้เย็น</li>
 	<li>กระจกห้องน้ำ LED Mirror Glass มีระบบ touch screen สำหรับเลือกเปลี่ยนแสงไฟสีขาวหรือสีส้มตามการใช้งาน และสามารถไล่ฝ้าบนกระจกได้</li>
</ul>
<img style="width: 680px; height: 528px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/53fc3c81f1ea16fb19de05669c8e920c.png" alt="" />

ทั้งหมดจัดแสดงภายในบูธเฮเฟเล่ งานสถาปนิก’60 อิมแพค เมืองทองธานี ตั้งแต่วันที่ 2-7 พฤษภาคม 2560

ด้าน รัตนะ พูนสง่า ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท เฮเฟเล่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า รายได้ของเฮเฟเล่ในปี 2559 ยังโตตามเป้าหมายเนื่องจากงานก่อสร้างยังไม่ชะลอตัว และเฮเฟเล่ยังรักษามาตรฐานคุณภาพกับลูกค้าจึงยังมียอดขายต่อเนื่อง

สำหรับปี 2560 จะยังเติบโต โดยมีกลยุทธ์แรกคือการเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่และรูปแบบ/สีสันใหม่ดังกล่าว ภาพรวมมีการปรับเพิ่มผลิตภัณฑ์ขึ้น 10-15% แต่กลุ่มที่เพิ่มมากที่สุดคืออุปกรณ์และเครื่องใช้ภายในบ้าน (Home Appliance) เช่น หน้าท็อปชุดครัว เครื่องดูดควัน เตาแก๊ส/ไฟฟ้า เพิ่มขึ้นถึง 50% เพราะมีการใช้ นวัตกรรม IoT (Internet of Things) ในสินค้ามากขึ้น และสุขภัณฑ์และอุปกรณ์ในห้องน้ำ เพิ่มสินค้ากว่า 20%

อีกกลยุทธ์หนึ่งจะเปิดตลาดการขายโดยตรงเข้าสู่โครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างจังหวัด โดยกำลังรับสมัครเซลส์ดูแลการขายเข้าโครงการเพิ่มอีก 35 อัตรา ในหัวเมืองต่างๆ เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต เกาะสมุย อุบลราชธานี อุดรธานี ขอนแก่น เพื่อเจาะกลุ่มดีไซเนอร์ท้องถิ่นซึ่งร่วมงานอยู่กับบริษัทลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาค

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/4a6ebae8c1107f6842dea61bc357c45f.png" alt="" width="680" height="481" /><figcaption> (ซ้าย) Volker Hellstern กรรมการผู้จัดการ และ (ขวา) รัตนะ พูนสง่า ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท เฮเฟเล่ (ประเทศไทย) จำกัด</figcaption></figure>

ทั้งนี้ ปัจจุบันรายได้ของเฮเฟเล่ มีจุดแข็งที่อุปกรณ์ประตู หน้าต่าง ได้รับการยอมรับในตลาดระดับกลางถึงบน สัดส่วนรายได้ 40% เป็นการขายโดยตรงสู่ตลาดโครงการอสังหาริมทรัพย์ เช่น โครงการจัดสรร โรงแรม สำนักงาน ศูนย์การค้า โรงพยาบาล ฯลฯ อีก 40% เป็นธุรกิจค้าปลีก ทั้งผ่านร้านค้าตัวแทนจำหน่ายและกลุ่มโมเดิร์นเทรด ส่วน 20% สุดท้ายเป็นซัพพลายเออร์ผู้ผลิตชิ้นส่วนให้กับโรงงานอุตสาหกรรมผลิตเฟอร์นิเจอร์หลากหลายแบรนด์

นอกจากนี้ รัตนะ กล่าวว่า โกดังสินค้าในไทยที่ถนนบางนา-ตราด กม.22 พื้นที่เก็บสินค้ากว่า 1 หมื่นตร.ม. ยังเป็นแหล่งกระจายสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านกลุ่ม CLM (กัมพูชา ลาว เมียนมา) ซึ่งพบว่าตลาดเมียนมามีศักยภาพเติบโตสูงในอนาคต เนื่องจากมีประชากรถึง 70 ล้านคนและกำลังพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนเอกชนจะเติบโตตาม ทำให้มีความต้องการสำนักงานให้เช่าและโรงแรมสูงขึ้นมากในขณะที่พื้นฐานของประเทศเมียนมาปัจจุบันยังมีอาคารเหล่านี้น้อย เป็นโอกาสในการทำธุรกิจของเฮเฟเล่เมื่อมีการก่อสร้างอาคารต่างๆ เพิ่มขึ้น

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events