<h2>แอลจี เปิดตัวไลน์อัพทีวีใหม่ล่าสุดประจำปี 2567 ชูนวัตกรรมทีวี OLED ไร้สายครั้งแรกของโลก “LG SIGNATURE OLED M4” ขนาด 97 นิ้ว รุ่น OLED97M4 ใช้ Zero Connect Box เชื่อมต่อกับสตรีมมิ่ง ราคาเครื่องละ 1,0999,990 บาท ย้ำความเชื่อมั่นตลาดทีวีพรีเมียมในไทยยังคงเติบโตต่อเนื่อง</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซอง ฮัน จอง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “กว่าทศวรรษที่แอลจีนำเสนอนวัตกรรมทีวีระดับโลกให้แก่ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง เราไม่เคยหยุดพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ และตื่นเต้นที่จะก้าวเข้าสู่ปีที่ 11 แห่งการเป็นผู้นำตลาดทีวี OLED ตัวจริง ด้วยการนำเสนอทีวี OLED แบบไร้สายรุ่นแรกของโลกในประเทศไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราเข้าใจเป็นอย่างดีว่าผู้บริโภคยุคใหม่มองหาทีวีที่ให้มากกว่าฟีเจอร์การใช้งานด้านการรับชมคอนเทนต์ แต่ยังต้องการให้ทีวีเป็นส่วนหนึ่งของการตกแต่งบ้านด้วย เรามั่นใจว่านวัตกรรมทีวี LG SIGNATURE OLED M4 นี้จะเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่เข้ามาพลิกโฉมอนาคตของผู้บริโภค ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของแอลจีเรื่อง Reinvent Your Future”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อำนาจ สิงหจันทร์ หัวหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ตลาดทีวีปี 2023 มีมูลค่า 21,000 ล้านบาท หดตัวลงจากปี 2022 แต่ปีนี้จะมีฟุตบอลยูโร โอลิมปิกเกมส์ ฝั่งสตรีมมิ่งต่างๆ ก็แข่งขันกันผลิตคอนเทนต์คุณภาพดี ทำให้คนอยากดูซีรีส์/หนังมากขึ้น อีกทั้งปลายปีที่อาจมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งกลุ่ม Gen X และ Gen ถ้ามีเงินอัดฉีดเข้ามา เขาจะซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ทำให้เรามองว่าปีนี้มีปัจจัยบวกหลายอย่าง และคาดว่าตลาดปีนี้น่าจะโต 8% โดยกลุ่ม OLED โตต่อเนื่อง จากเทรนด์ผู้บริโภคในปีนี้ที่จะเน้นในเรื่อง OLED, เทคโนโลยี AI และให้ความสนใจที่จอขนาดใหญ่ 70 นิ้วขึ้นไป”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/4MQuxGoKEcZ7depwbJcM.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="4MQuxGoKEcZ7depwbJcM.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อำนาจ ระบุอีกว่า แอลจีให้ความสำคัญกับการศึกษาความต้องการใหม่ๆ ของผู้บริโภค ทำให้เราสามารถพัฒนานวัตกรรมทีวีรุ่นใหม่ออกมาตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างต่อเนื่อง ยืนยันด้วยตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดทีวีพรีเมียม 11 ปีซ้อน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และมั่นใจว่าในปีนี้เราจะยังรักษาส่วนแบ่งของตลาดทีวี OLED ที่ 60% และส่วนแบ่งของตลาดทีวีโดยรวมทั้งหมด 20% พร้อมตั้งเป้าการเติบโตของยอดขายทีวี OLED ในปี 2567 อีก 30% ด้วยกลยุทธ์การเปิดตัวไลน์อัพใหม่ของทีวีที่ครอบคลุม โดยตั้งเป้าใช้งบการตลาดทั้งหมด 100 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พร้อมทั้งชูจุดเด่นการนำเสนอนวัตกรรมทีวีขั้นสูงอย่าง LG SIGNATURE OLED M4 ทีวีระดับไฮเอนด์ที่มอบประสบการณ์ความบันเทิงที่แตกต่างออกไปด้วยนวัตกรรมการส่งสัญญาณภาพ 4K และเสียงที่คมชัดสูงสุดแบบไร้สาย​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/3TMNDcYAbs4BkTsVMF9Y.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="3TMNDcYAbs4BkTsVMF9Y.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""><figcaption><div>อำนาจ สิงหจันทร์ หัวหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราคาดว่าการเปิดตัวนวัตกรรมทีวีในปีนี้จะช่วยสร้างความตื่นเต้นให้กับตลาด และได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากแฟนๆ ทีวี OLED ในไทยที่ให้ความไว้วางใจแบรนด์แอลจีในฐานะผู้มอบประสบการณ์ความบันเทิงภายในบ้านขั้นสูงสุดให้กับทุกคน โดยปัจจุบันตลาดพรีเมียมในประเทศไทยยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีสัดส่วน 15% ในภาพรวมตลาดทีวีภาพรวมทั้งหมด”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/GzNyUbe15L1KqDS7fPXS.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="2" data-file-name="GzNyUbe15L1KqDS7fPXS.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับไฮไลต์ของการเปิดตัวไลน์อัพทีวีใหม่ล่าสุดประจำปี 2567 ของแอลจี ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-ยกระดับการแสดงภาพและการประมวลผลที่เร็วขึ้นด้วยชิปประมวลผลใหม่รุ่น α11 ที่ขับเคลื่อนด้วย AI โดยในปีนี้มีทีวี LG SIGNATURE OLED M4 และ LG OLED evo G4 ที่ได้รับการอัปเกรดชิปประมวลผล α11 (อัลฟ่า) AI Processor 4K ซึ่งเป็นชิปประมวลผลที่ล้ำหน้าที่สุดของทีวี OLED ตามมาด้วย LG OLED evo C4 ที่ขับเคลื่อนด้วยชิปประมวลผล α9 AI Processor 4K Gen7 ซึ่งชิปประมวลผล AI จะมอบภาพที่มีมิติและคมชัดยิ่งขึ้นทั้งในโทนมืดและสว่าง รวมถึงมอบความสมดุลของเสียงได้ดียิ่งขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-AI Picture Pro และ AI Sound Pro ที่อัพเกรดไปอีกขั้น ทีวีแอลจีไลน์อัพใหม่ประจำปี 2567 ยังมาพร้อมเทคโนโลยี AI Picture Pro ที่มอบคุณสมบัติแยกแยะวัตถุที่มีความละเอียดระดับพิกเซล (AI Object Enhancing) ช่วยปรับภาพวัตถุให้ชัดเจนสะดุดตายิ่งขึ้น และคุณสมบัติการปรับการแสดงผลสีภาพตามต้นฉบับที่ผู้กำกับตั้งใจไว้ (AI Director Processing) ผ่านการวิเคราะห์ด้วยเทคโนโลยี AI&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในขณะที่ฟีเจอร์ AI Sound Pro ในทีวีรุ่นที่ใช้ชิปประมวลผล α11 AI Processor 4K ก็ช่วยยกระดับการจำลองเสียงรอบทิศทางที่สมจริงยิ่งขึ้นถึง 11.1.2 ชาแนล (11.1.2 Ch Virtual Sound) และช่วยแยกเสียงต่าง ๆ ออกจากกัน พร้อมรีมาสเตอร์เสียงให้ชัดเจนยิ่งขึ้น (AI Voice Remastering)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-โปรแกรม webOS Re:New ใหม่ล่าสุด รองรับการอัปเดตนานถึง 5 ปี สามารถใช้งานต่อไปได้หมดกังวลเรื่องการใช้งานอินเทอร์เฟซที่ตกยุค หรือปัญหาทีวีไม่รองรับการใช้งานแอปพลิเคชันใหม่ๆ อีกต่อไป​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/661m1cNndSbYroFxVM5M.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="3" data-file-name="661m1cNndSbYroFxVM5M.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับไลน์อัพทีวีจากแอลจีในปี 2567 พร้อมวางจำหน่ายแล้ว โดยมีรายละเอียดราคา ดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-LG SIGNATURE OLED M4 ขนาด 97 นิ้ว ราคา 1,099,990 บาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-LG OLED evo 4K G4, C4 และ LG OLED B4 ขนาดตั้งแต่ 48 - 97 นิ้ว ราคา 49,990 – 999,990 บาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-LG QNED 4 ซีรีส์ ได้แก่ QNED91TSA (MiniLED), QNED89TSA, QNED86TSA และ QNED80TSA ขนาดเริ่มต้นตั้งแต่ 55 - 98 นิ้ว ราคา 28,990 – 149,990 บาท ​​​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/it/samsung-launches-3-premium-monitor-series" alt="จอมอนิเตอร์พรีเมียมโตแรง! ‘ซัมซุง’ เปิดตัวใหม่ 3 ซีรีส์ เดินหน้าบุก OLED ชูฟีเจอร์ AI">จอมอนิเตอร์พรีเมียมโตแรง! ‘ซัมซุง’ เปิดตัวใหม่ 3 ซีรีส์ เดินหน้าบุก OLED ชูฟีเจอร์ AI</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เปิดตัวทีวีเครื่องละล้าน! LG SIGNATURE OLED M4 ทีวีไร้สายเชื่อมต่อ เครื่องแรกของโลก

<h2>‘เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์’ เอาใจคอหนัง จับมือ ‘แอลจี’ เปิดตัวโรงหนังจอ 4K LED ที่ใหญ่สุดในไทยและในโลก มูลค่ากว่า 30 ล้านบาทมาใช้ที่โรงหนังเมกา ซินีเพล็กซ์ ชูจุดเด่นคมชัดสมจริงกว่าที่เคย</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วิศรุต พูลวรลักษณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์องค์กร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจโรงภาพยนตร์ของ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป มุ่งมั่นและตั้งใจสร้างความสุขให้กับลูกค้าจากการใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงในการดูหนังในโรงหนัง ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่สำคัญที่จะต้องสร้างความสุข ความประทับใจ และความแตกต่างในการดูหนัง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งนอกจากเนื้อเรื่องของหนังแล้ว ภาพและเสียงเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะดึงอารมณ์ความรู้สึกของลูกค้าให้เข้าไปอยู่ในหนัง ดังนั้น การดูหนังที่ภาพและเสียงให้ความรู้สึกเหมือนจริงจะทำให้การดูหนังสนุกและได้อรรถรสมากยิ่งขึ้น​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/AaTxQ1JXph1vY7xJ6ako.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="AaTxQ1JXph1vY7xJ6ako.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="900,600"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ครั้งนี้ได้ร่วมกับ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด นำสุดยอดนวัตกรรมจอ LED ขั้นสูงที่ใหญ่ที่สุดในไทย มาให้บริการที่โรงภาพยนตร์เมกา ซีนีเพล็กซ์ บางนา พร้อมสนับสนุนเป็นเนมมิ่งสปอนเซอร์เปิดตัวโรงภาพยนตร์ “LG Miraclass LED Cinema” ประสบการณ์ใหม่ที่ต้องลอง โดยเปิดให้บริการในวันที่ 8 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับโรงภาพยนตร์ LG Miraclass LED Cinema เปิดให้บริการที่ โรงภาพยนตร์ที่ 6 สามารถรองรับลูกค้าได้จำนวน 216 ที่นั่ง ตั้งอยู่บนชั้น 2 ศูนย์การค้าเมกาบางนา เป็นโรงภาพยนตร์จอ LED ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ขนาดจอกว้าง 14 เมตร สูง 7 เมตร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จุดเด่นคือมอบภาพคมชัดระดับ 4K และรองรับ HDR (High Dynamic Range) เทคโนโลยีจอ LED ให้ภาพที่สมจริงเป็นพิเศษด้วยเฉดสีที่เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าหรือ 35 ล้านล้านล้านเฉดสี จากโรงปกติที่มีเพียงแค่ 16 ล้านล้านเฉดสี อีกทั้งให้สว่างคมชัดสม่ำเสมอทั่วทั้งจอภาพไม่ว่าจะรับชมจากตำแหน่งที่นั่งใดในโรงหนัง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยนวัตกรรมจอภาพยนตร์ LED จากแอลจีมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า 100,000 ชั่วโมง ทำให้มั่นใจได้ว่าโรงภาพยนตร์ LG Miraclass LED Cinema จะให้ภาพสว่างคมชัดในทุกรอบฉาย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ยังเป็นโรงภาพยนตร์จอ LED แห่งแรก ที่รองรับระบบเสียงรอบทิศทางอย่าง Dollby Atmos ซึ่งเป็นระบบเสียงรอบทิศทางใหม่ล่าสุดที่เพิ่มมิติเสียงจากทุกทิศทางแบบ 360 องศา เหนือกว่าระบบเสียงรอบทิศทางทั่วไป มีมิติเสียงที่ลงมาจากด้านบนผ่านลำโพง Over head ที่ติดตั้งบนเพดานให้เสียงเอฟเฟกต์ เช่น ฝนตก ฟ้าร้อง หรือเสียงเครื่องบินอย่างสมจริง นอกจากนี้ ลำโพงแต่ละตัวยังแยกกันทำงานกันอย่างอิสระช่วยให้ทิศทางเสียงมีความชัดเจนมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จีรภา คงสว่างวงศา รองประธานบริหาร ฝ่ายธุรกิจกลุ่มลูกค้าองค์กรและไอที บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จอ&nbsp;LG Miraclass ที่นำมาใช้ในโรงภาพยนตร์ของเมเจอร์ฯ ดังกล่าว คาดว่าจะเป็นจอ LED 4K ที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ว่าได้ โดยแอลจีมีจอกลุ่ม&nbsp;Miraclass ทั้งหมด 3 ขนาดด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ 5 เมตร และรุ่นนี้คือใหญ่ที่สุดกว้าง 14 เมตร <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/ZBM8vdsV2GSK5ToGvyuN.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="ZBM8vdsV2GSK5ToGvyuN.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="900,600"></figure></div>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันทีวีของแอลจี แบ่งเป็น ลูกค้า B2C อยู่ที่ 90% ส่วน B2B อยู่ที่ 10% แต่ถึงอย่างนั้นกลุ่มลูกค้าองค์กรก็มีอัตราการเติบโตที่น่าสนใจ โดยปีที่ผ่านมามีการเติบโตกว่า 100% &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนปีนี้คาดว่าจะเติบโตขึ้นอีก เนื่องจากมีการทำโปรเจ็กต์ที่น่าสนใจมากมาย เช่น โปรเจ็กต์จอ LED ที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ประเทศไทย ใช้จอ LED คิดเป็นพื้นที่รวมกว่า 4,000 ตารางเมตร เป็นการสร้างแลนด์มาร์กใหม่ที่โครงการ ONE Bangkok รูปแบบจะเป็นการติดตั้งจอในหลายตึกในรูปแบบมีเดียอาร์ต ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นการเปิดตัวในช่วงปลายปีนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เรามีโปรดักต์ที่ตอบโจทย์ทุกเซกเมนต์ ทั้งกลุ่มโฮเรก้า โรงแรม ร้านอาหาร จัดเลี้ยง และปีนี้เราจะมีเสริมทัพโปรดักต์กลุ่มจอเพิ่ม นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกจากสัญญาณนักท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมาตั้งแต่ปีที่แล้ว และเริ่มดีขึ้นอีกในปีนี้ ทำให้เห็นทิศทางการลงทุนเพิ่มขึ้นทั้งในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและการตั้งสำนักงานในไทย เรียกว่าเป็นโอกาสที่ดีต่อการเติบโตของแอลจีในปีนี้”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แอลจียังเผยอีกว่าในปีนี้เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ยังมีแผนนำจอของแอลจีมาใช้โรงภาพยนตร์อีก 6 โรงด้วยกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อำนาจ สิงหจันทร์ หัวหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า&nbsp;“สำหรับการร่วมมือกับเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์นั้น แอลจีเป็นผู้จำหน่ายให้กับเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ซึ่งจอมีมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท นอกจากนี้ในภาพของการเป็นพันธมิตร แอลจียังดูแล brand image ด้วย กล่าวคือโรงภาพยนตร์ก็ใช้ชื่อว่า LG Miraclass LED Cinema ทำให้ลูกค้าที่มาใช้บริการนึกถึงแอลจีเมื่อดูหนังจบ เรียกว่าได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย”​&nbsp; &nbsp; อำนาจยังกล่าวอีกว่า ปัจจุบันทีวีแอลจีมีมาร์เก็ตแชร์เป็นอันดับ 2 ของตลาด ครองส่วนแบ่งตลาดอยู่ 20% ส่วนเบอร์หนึ่งครองส่วนแบ่งอยู่ราว 30% แต่ถ้าแบ่งเป็นเซ็กเมนต์พรีเมียม เช่น OLED แล้ว แอลจีจะมีส่วนแบ่งอยู่ที่ 78% ในปี 2023 ที่ผ่านมา และในปีนี้คาดว่าภาพรวมยอดขายของกลุ่ม B2C จะเติบโตขึ้นจากปัจจัยบวกอย่างการแข่งขันโอลิมปิกและฟุตบอลยูโร ที่จะส่งผลให้แนวโน้มการใช้จอน่าจะเพิ่มขึ้น อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/panasonic-launches-xu-new-series-air-conditioners" alt="พานาโซนิค ส่งเครื่องปรับอากาศ XU Series ใหม่ ลุยหน้าร้อน ชูจุดเด่นประหยัดพลังงาน 20% ลดกลิ่นอับเร็วขึ้น 4 เท่า">พานาโซนิค ส่งเครื่องปรับอากาศ XU Series ใหม่ ลุยหน้าร้อน ชูจุดเด่นประหยัดพลังงาน 20% ลดกลิ่นอับเร็วขึ้น 4 เท่า</a><a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/other/%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2-%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B8%99" alt="แรงงานสูงวัย กองหนุนองค์กรสู่ความยั่งยืน"></a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เมเจอร์ฯ จับมือ แอลจี เปิดตัวโรงหนังจอ LED ใหญ่สุดในโลก กว้าง 14 เมตร มูลค่า 30 ล้าน

รูปแบบการรับสื่อกีฬาบนโทรทัศน์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาลในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผลลัพธ์คือ ESPN (Entertainment and Sports Programming Network) หนึ่งในสื่อด้านกีฬายักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งของโลกจำเป็นต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ธุรกิจ โดย ESPN มีการปลดพนักงานไปแล้วหนึ่งครั้งเมื่อเดือนตุลาคมปี 2015 ครั้งนั้นบริษัทเลย์ออฟพนักงานไปกว่า 300 คน แต่การปลดพนักงานในรอบแรกส่วนใหญ่แล้วเป็นการปลดคนทำงานเบื้องหลัง ซึ่งทำให้ไม่ส่งผลมากนักต่อประสบการณ์รับชมของผู้บริโภค

แต่ในช่วงเช้าของวันที่ 26 เมษายน 2017 ช่องเคเบิลทีวี ESPN ซึ่งมีพนักงานทั่วโลกกว่า 8,000 คน มีการปลดพนักงานเป็นครั้งที่สอง จากการรายงานของสำนักข่าว USA Today คาดว่ามีการปลดไปแล้วประมาณ 100 คนและครั้งนี้เป็นการเลย์ออฟคนทำงานเบื้องหน้าซึ่งเป็นที่รู้จักของผู้ชม

ก่อนหน้าที่ ESPN จะแจ้งปลดอย่างเป็นทางการ Forbes รายงานว่า การปลดพนักงานครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องคาดไม่ถึงแต่อย่างใด เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ESPN กำลังต่อสู้กับต้นทุนลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาที่ทะยานสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันอเมริกันฟุตบอล NFL (National Football League) หรือบาสเก็ตบอล NBA (National Basketball Association) ในขณะที่จำนวนสมาชิกกลับลดลงเรื่อยๆ ปัจจัยทั้งสองเมื่อรวมกันแล้วส่งผลให้รายได้ของ ESPN ดำดิ่งลงในช่วงที่ผ่านมา

<figure><img style="width: 680px; height: 383px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/ebc903ccea7fbcf431524ac5a9be7895.png" alt="" width="680" height="383" /><figcaption> ตัวอย่างรายการ NFL Live OT ในสถานีเคเบิลทีวี ESPN</figcaption></figure>

ESPN มีจำนวนสมาชิกสูงสุดที่ 100.1 ล้านรายเมื่อปี 2011 แต่หลังจากนั้นจำนวนสมาชิกกลับลดลงต่อเนื่องโดยเฉพาะในปีที่ผ่านมา ไตรมาสที่แล้ว ESPN รายงานว่าจำนวนสมาชิกของช่องลดเหลือเพียง 88 ล้านราย และมีรายได้จากค่าสมาชิกเฉลี่ย 7.21 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อคนต่อเดือน

รายได้ที่ลดลงของเคเบิลทีวีแห่งนี้ส่งผลให้รายได้โดยรวมของ Disney บริษัทแม่ ESPN ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญเช่นกัน แม้ว่าช่อง ESPN จะมีการปรับค่าสมาชิกขึ้นมาถึง 120% ตั้งแต่ปี 2007 (เฉลี่ย 12% ต่อปี) ซึ่งในขณะนั้นช่องคิดค่าสมาชิกเพียง 3.26 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อเดือน

ด้านสถานการณ์ภายในบริษัท ก่อนหน้านี้ มีการรายงานจาก Richard Deitsch ผู้สื่อข่าวนิตยสารกีฬา Sports Illustrated ว่าภายในบริษัทมีความปั่นป่วนโกลาหลอย่างมาก เนื่องจากพิธีกรและคนทำงานเบื้องหน้าของช่อง ESPN หลายรายพยายามที่จะเจรจาต่อรองกับสถานี โดยเจรจาขอลดอัตราเงินเดือนเพื่อทำงานในบริษัทต่อไป หรือขอให้ ESPN ชดเชยด้วยหุ้นของบริษัทแลกเปลี่ยนกับการยินยอมลาออกเพื่อแสวงหาโอกาสใหม่

ในขณะที่พนักงานบางรายของ ESPN และนักกีฬา ได้ทวีตข้อความใน Twitter เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ เช่น Paul Kuharsky ผู้สื่อข่าวของ ESPN ประจำทีมอเมริกันฟุตบอล Tennessee Titans ทวีตตั้งแต่วันที่ 24 เมษายนที่ผ่านมา โดยยืนยันข่าวว่าจะมีการเลย์ออฟพนักงาน และการทำงานกับช่องตลอด 9 ปีของเขากำลังจะสิ้นสุดในเดือนกรกฎาคมนี้

หรือนักกีฬาศิลปะการต่อสู้แบบผสม Jim Miller กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่า ESPN เป็นสถานที่แห่งความภาคภูมิใจ ความสำเร็จ และแหล่งรายได้มหาศาลสำหรับหลายต่อหลายคน แต่สัปดาห์แห่งการเลย์ออฟนี้จะกลายเป็นสัปดาห์ที่ยากลำบากที่สุดสำหรับทุกคน

<figure><img style="width: 680px; height: 408px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/4d7d0f54cfddabdef772e6c99468e653.png" alt="" width="680" height="408" /><figcaption> Jim Miller ​นักกีฬาศิลปะการต่อสู้แบบผสม (MMA) เขาเป็นผู้แต่งหนังสือ These Guys Have All The Fun ซึ่งรวบรวมเรื่องราวของช่อง ESPN ไว้อย่างครอบคลุม วางจำหน่ายเมื่อปี 2011 (Photo Credit: mmajunkie.com)</figcaption></figure>

เมื่อ ESPN มาถึงจุดที่ต้องเลย์ออฟพนักงานจำนวนมากเช่นนี้ ต้นเหตุสำคัญที่ถูกกล่าวถึงย่อมหนีไม่พ้นการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุครับชมสื่อกีฬาผ่านช่องทางดิจิทัล ซึ่งตอบสนองความต้องการของผู้ชมที่ต้องการเลือกรายการแบบเฉพาะบุคคลมากขึ้น เมื่อพวกเขาสามารถเลือกรายการที่จะรับชมด้วยตนเองได้ ต่างจากช่องโทรทัศน์สมัครสมาชิกที่มีรายการจำนวนมากซึ่งอาจมีรายการที่ไม่ได้ตรงกับความชื่นชอบ ทำให้ผู้บริโภคเปลี่ยนช่องทาง

ซ้ำร้าย การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของพฤติกรรมผู้บริโภคนั้นเกิดขึ้นทันทีหลังจากงานประมูลลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดกีฬามูลค่าสูงเพิ่งจบลงไป ซึ่ง ESPN เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมการประมูลได้รับสิทธิถ่ายทอดสด NBA คู่กับช่องกีฬา TNT โดยมูลค่าการประมูลครั้งนี้รวมกันของทั้งสองช่องสูงถึง 2,660 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี ในช่วงฤดูกาลปี 2024-25

แม้ ESPN จะถือเป็นธุรกิจเกี่ยวกับกีฬาที่มีมูลค่าแบรนด์สูงเป็นอันดับ 2 (รองจาก Nike) จากการจัดอันดับของ Forbes ในปี 2016 แต่เมื่อ ESPN คว้าสัญญาระยะยาวมูลค่าสูงดังกล่าว รวมกับการสูญเสียรายได้อย่างกะทันหัน ESPN จึงต้องขยับตัวเปลี่ยนกลยุทธ์และมองหาหนทางประหยัดต้นทุน

และการประกาศเลย์ออฟพนักงานครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เพราะบริษัทดิจิทัลอย่าง Twitter และ Amazon ได้รับลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดรายการแข่งขันอเมริกันฟุตบอล NFL ไปเรียบร้อยแล้ว รวมถึงกิจกรรมอีเวนท์ต่างๆ มีการถ่ายทอดสดผ่าน Facebook Live มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ช่องทางที่ผู้บริโภคใช้รับชมการถ่ายทอดสดกีฬาจึงเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และ ESPN ที่เป็นเหมือนผู้เฝ้าประตูสูงวัยจึงต้องปรับตัวอย่างฉับพลันเท่านั้นจึงจะรับมือได้ทันการณ์

&nbsp;
เรียบเรียงจาก ESPN’s Layoffs Reportedly Will Begin This Week And Could Be Larger Than Expected โดย Simon Ogus และขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก USA Today

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events