<h2>เป้าหมายของไทยในการต้อนรับนักท่องเที่ยวจีน 9 ล้านคนในปีนี้ดูจะเต็มไปด้วยข้อกังขา หลังข่าวการลักพาตัวนักแสดงชาวจีนทำให้นักท่องเที่ยวจากแผ่นดินใหญ่หันไปมองหาจุดหมายปลายทางที่มีความปลอดภัยสูงกว่าอย่างญี่ปุ่นและสิงคโปร์</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อมูลจาก Bloomberg Intelligence เผยว่า ยอดการยกเลิกเที่ยวบินมายัง ‘สยามเมืองยิ้ม’ พุ่งสูงถึง 94% ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยชาวจีนเลือกจะพาครอบครัวไปยังลานสกีหรือบ่อน้ำพุร้อนในญี่ปุ่นมากกว่าช่วงวันหยุดยาวเทศกาลตรุษจีน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จำนวนนักท่องเที่ยวที่มาไทยช่วง 2 สัปดาห์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ก็น้อยกว่าปีก่อนหน้าด้วยเช่นกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข่าวการลักพาตัวนักแสดงชาวจีน ‘หวัง ซิง’ หรือ ‘ซิงซิง’ จากไทยไปยังเมียนมา ตามด้วยการเข้าช่วยเหลือเขากลับมา พาให้ชาวจีนแผ่นดินใหญ่แห่ยกเลิกทริปท่องเที่ยวในไทยช่วงตรุษจีน แม้ไทยจะมีปฏิบัติการทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์และรับมือกับกลุ่มมิจฉาชีพที่ลักพาตัวเหยื่อไปบังคับใช้แรงงานผิดกฎหมายตามแนวชายแดน แต่ความหวาดกลัวที่นักท่องเที่ยวมีต่อเหตุการณ์ดังกล่าวก็แทบไม่ได้ลดลง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ความกังวลเรื่องความปลอดภัยมีน้ำหนักมากพอให้นักท่องเที่ยวจีนต้องคิดทบทวนเกี่ยวกับการมาเยือนไทยอีกครั้ง” Eric Zhu นักวิเคราะห์จาก Bloomberg Intelligence กล่าว “ความหวั่นวิตกในข่าวร้ายพุ่งสูงเกินกว่าแนวทางยกระดับความปลอดไทยของไทยจะรับมือได้ ซึ่งอาจต้องใช้เวลานานในการกู้คืนความมั่นใจในประเด็นนี้”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ยอดการจองเที่ยวบินจากจีนไปญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว ณ ไตรมาสแรกของปี 2568 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อานิสงส์ค่าเงินเยนอ่อนและราคาตั๋วเครื่องบินจากเซี่ยงไฮ้ไปโตเกียวที่มีราคาเพียง 150 เหรียญสหรัฐฯ เท่านั้น (คิดเป็นเงินไทยราว 5,000 บาท อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน ณ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจัยดังกล่าวทำให้ญี่ปุ่นแซงหน้าไทยในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวต่างประเทศของชาวจีนในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลตรุษจีนประจำปีนี้ อีกทั้งฝั่งประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างสิงคโปร์และมาเลเซียก็มีนโยบายฟรีวีซ่าที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนไปจากไทยอีกต่อหนึ่ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่ลำพังแค่ญี่ปุ่นก็มีนักท่องเที่ยวจีนไปเยือนมากถึง 980,000 คนในเดือนที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อ้างอิงข้อมูลจากองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนไทย ตั้งแต่ปีใหม่จนถึง 2 กุมภาพันธ์ 2568 มีจำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนมาเยือนราว 711,000 คน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อเร็วๆ นี้ ไทยได้มีการตัดไฟและเชื้อเพลิงในพื้นที่ที่ถูกระบุว่ามีความเกี่ยวข้องกับที่ตั้งของขบวนการผิดกฎหมายต่างๆ รวมถึงได้มีการจับมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และปล่อยตัวเหยื่อซึ่งเป็นแรงงานต่างชาติกว่า 1,000 คน โดยเป็นชาวจีนหลายร้อยคน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจับตาดูต่อไปว่าปฏิบัติการเหล่านี้จะช่วยกอบกู้ความไว้ใจที่นักท่องเที่ยวจีนมีต่อไทยคืนมาได้มากน้อยแค่ไหน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ภาคการท่องเที่ยวไทยนั้นมีมูลค่าคิดเป็น 12% ของจีดีพีของประเทศ และคาดการณ์ว่าจะดึงดูดเม็ดเงินเข้าประเทศในปีนี้ราว 5.5 หมื่นล้านเหรียญ (1.85 ล้านล้านบาท)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Zhu มองว่าไทยไม่น่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนได้ตามเป้าสูงสุด และต้องพยายามอย่างมากเพื่อพิชิตเป้าต่ำสุดที่ 8.8 ล้านคน หากไม่เร่งดำเนินการเพื่อฟื้นคืนความมั่นใจจากนักท่องเที่ยวชาวจีนภายในไตรมาสนี้ และชี้ว่าหากปัญหายังคงคาราคาซังต่อเนื่องไปตลอดปี 2568 การดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนให้มาเยือนได้มากกว่า 7.5 ล้านคนก็อาจกลายเป็นเรื่องยากสำหรับไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ มีสัญญาณบ่งชี้ว่าความวิตกกังวลบางส่วนเริ่มบรรเทาลงแล้ว แต่ยังเร็วเกินกว่าจะด่วนสรุป บริษัท China Trading Desk ที่คอยติดตามตลาดท่องเที่ยวของจีนเผยว่า ยอดจองตั๋วเครื่องบินจากจีนมาไทยในเดือนมีนาคมยังลดลงราว 10% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า ส่วนดีมานด์เที่ยวบินในเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคมยังเติบโตเกิน 3%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ความหวาดกลัวการเดินทางมาไทยลดลง” Subramania Bhatt ซีอีโอ China Trading Desk กล่าว “อย่างไรก็ตาม ไทยยังห่างไกลจากเมื่อปี 2019 อยู่มาก ในขณะที่มาเลเซียและสิงคโปร์มีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนฟื้นคืนมาอย่างแข็งแกร่ง”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย มองว่า เหนือกว่าการทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รัฐบาลไทยและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องขยายการท่องเที่ยวไปให้ไกลกว่าจุดหมายปลายทางยอดนิยมอย่างกรุงเทพฯ ภูเก็ต และเชียงใหม่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“แม้แต่คนไทยยังชอบไปญี่ปุ่นมากกว่าท่องเที่ยวในประเทศอย่างภูเก็ต” เทียนประสิทธิ์ กล่าว “เราสูญเสียนักท่องเที่ยวคุณภาพที่เลือกไปประเทศที่ค่าเงินอ่อนกว่า เราต้องพยายามให้มากขึ้น และนำเสนอสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว” แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a href="https://www.scmp.com/news/asia/southeast-asia/article/3299854/thailands-tourism-goal-doubt-chinese-travellers-opt-japan?module=perpetual_scroll_0&amp;pgtype=article" alt="Thailand’s tourism goal in doubt as Chinese travellers opt for Japan">Thailand’s tourism goal in doubt as Chinese travellers opt for Japan</a>​ภาพ: AFP เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/it/whoscall-annual-report-2024-reveals-168-million-scam-calls-and-sms-in-thailand" alt="Whoscall เผยรายงานปี 2567 คนไทยเจอมิจฉาชีพ 168 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้น 112% จากปีก่อนหน้า">Whoscall เผยรายงานปี 2567 คนไทยเจอมิจฉาชีพ 168 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้น 112% จากปีก่อนหน้า</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ท่องเที่ยวไทยสะท้าน! ม.ค. 68 จีนยกเลิกเที่ยวบิน 94% เลือกไป ‘ญี่ปุ่น-สิงคโปร์’ แทน เพราะปลอดภัยกว่า

<h2>Booking.com ผู้ให้บริการเชื่อมต่อผู้เดินทางกับตัวเลือกด้านการเดินทางต่างๆ ระดับโลกจัดการประกาศผลรางวัล Traveller Review Awards เป็นที่ 13 อย่างต่อเนื่อง โดยได้รวบรวมคะแนนรีวิวของผู้ใช้บริการจริงกว่า 360 ล้านรีวิวบนแพลตฟอร์ม ทำให้ในปี 2025 นี้มีพาร์ทเนอร์ผู้ให้บริการด้านการเดินทางจากทั่วโลกรวมกว่า 1.71 ล้านรายได้รับรางวัล Traveller Review Awards 2025 ทั้งผู้ให้บริการที่พักจำนวน 1,711,539 ราย, ผู้ให้บริการรถเช่า 1,329 ราย และผู้ให้บริการแท็กซี่ 124 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้น 16% จากปีที่ผ่านมา</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปีนี้ มีพาร์ทเนอร์ผู้ให้บริการด้านที่พักและด้านการเดินทางอื่นๆ จากประเทศไทยจำนวน 14,710 ราย (เพิ่มขึ้นมากกว่า 20% จากปี 2567) ที่ได้รับรางวัล Traveller Review Awards 2025 สำหรับการมอบบริการอันยอดเยี่ยมและการต้อนรับอันอบอุ่น โดยมีคะแนนรีวิวเฉลี่ย 8.8 คะแนน อ้างอิงจากการรีวิวของผู้เดินทางกว่า 3.2 ล้านรีวิวทั่วโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อพูดถึงรายชื่อ เมืองต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ดีที่สุดในไทย แน่นอนว่าจุดหมายปลายทางที่รายล้อมไปด้วยน้ำทะเลสีใส หาดทรายระยิบระยับ และเนินเขาสูงตระหง่านยังคงติดอันดับอย่างไร้ข้อสงสัย อย่างไรก็ตาม ผู้เดินทางก็ให้ความสนใจกับเมืองรองอย่างต่อเนื่องจนทำให้ น่าน’ ได้รับความนิยมเป็นที่ปีที่ 2 ติดต่อกัน ไม่เพียงเท่านั้น ‘สุโขทัย’ อันเลื่องลือด้านโบราณสถานและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของประวัติศาสตร์ก็ติดอันดับเป็นปีแรกเช่นเดียวกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับ เมืองต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ดีที่สุดในประเทศไทยประจำปี 2025 ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;• จังหวัดกระบี่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;• จังหวัดพังงา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;• จังหวัดน่าน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;• จังหวัดสุราษฎร์ธานี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;• จังหวัดสุโขทัย ​‘โรงแรม’&nbsp;ยังเป็นประเภทที่พักที่ผู้เดินทางชาวไทยชื่นชอบ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้ว่าอพาร์ตเมนต์จะเป็นประเภทที่พักที่ได้รับรางวัลมากที่สุดมาเป็นอันดับ 1 ด้วยจำนวน 847,627 แห่งทั่วโลกจากการจัดอันดับของ Traveller Review Awards 2025 และครองตำแหน่งติดต่อกันเป็นปีที่ 8 แต่ที่พักที่ได้รับความนิยมสูงสุดในไทยยังคงเป็นโรงแรม​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/4MWPoMq6LMuBoiPozX65.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="4MWPoMq6LMuBoiPozX65.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับจำนวนโรงแรมในไทยที่ได้รับรางวัลมีทั้งสิ้น 3,833 แห่ง มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ตามด้วยอพาร์ตเมนต์ 2,457 แห่ง, รีสอร์ท 2,228 แห่ง, วิลลา 1,624 แห่ง และเกตส์เฮ้าส์ 1,150 แห่ง ผู้ให้บริการด้านขนส่งโดยสารช่วยเติมความประทับใจให้ทริป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Booking.com ยกย่องผู้ให้บริการด้านการขนส่งโดยสารทั้งผู้ให้บริการรถเช่าและแท็กซี่สนามบินที่มอบบริการอันยอดเยี่ยมให้กับผู้เดินทางอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้เดินทางสามารถออกไปสัมผัสโลกกว้างได้อย่างง่ายดายและไร้รอยต่อยิ่งขึ้น โดยในปี 2025 มีบริษัทผู้ให้บริการรถเช่า 1,329 รายจาก 100 ประเทศทั่วโลกได้รับรางวัล Traveller Review Awards 2025 ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 196% ไม่เพียงเท่านี้ยังมีบริษัทผู้ให้บริการแท็กซี่สนามบิน 124 รายที่ได้รับรางวัลนี้ด้วยเช่นกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ไม่ว่าจะเป็นการแชร์เคล็ดลับการเลือกร้านและเมนูอาหารถิ่นที่ห้ามพลาดจากคนขับแท็กซี่ หรือการเซอร์ไพรส์คู่รักด้วยแชมเปญและดอกไม้จากเจ้าของที่พักและเหล่าพนักงานเพื่อช่วยให้พวกเขาได้เฉลิมฉลองในวันครบรอบ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พาร์ทเนอร์ของเราทำให้การท่องเที่ยวในแต่ละวันเป็นที่น่าจดจำและประทับใจสำหรับผู้เดินทางมากยิ่งขึ้น” มิเชล เกา ผู้จัดการประจำภูมิภาคประจำกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขงและจีนของ Booking.com กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้นรางวัล Traveller Review Awards นี้จึงไม่เพียงเป็นคำขอบคุณจาก Booking.com แต่ในนามของผู้เดินทางหลายร้อยล้านคนจากทั่วโลกที่ต้องการมอบให้พาร์ทเนอร์ด้านการเดินทางสำหรับความมุ่งมั่นและความตั้งใจในการมอบบริการอันอบอุ่นและร่วมสร้างประสบการณ์การเดินทางอันยอดเยี่ยมให้กับผู้เดินทางได้อย่างไร้ที่ติ ภาพ: Booking.com,&nbsp;อุ่นไอมาง สะปัน และสุโขทัย การ์เด้น เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/travel/property/paul-kanjanapas-build-impact-to-tourism-destination" alt="‘พอลล์ กาญจนพาสน์’ เปิดแผนปั้นเมืองทองธานีสู่ Tourism Destination ลุยสร้างโรงแรมใหม่รวม 1,000 ห้อง">‘พอลล์ กาญจนพาสน์’ เปิดแผนปั้นเมืองทองธานีสู่ Tourism Destination ลุยสร้างโรงแรมใหม่รวม 1,000 ห้อง</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เมืองรองเริ่มมาแรง! Booking.com เผย ‘น่าน’ และ ‘สุโขทัย’ ติดอันดับเมืองต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ดีที่สุดในไทย

<h2>อโกด้า จัดทำผลสำรวจพบว่า 5 อันดับจุดหมายปลายทางยอดนิยมในเอเชียของนักท่องเที่ยวสายกิน ได้แก่ 1. เกาหลีใต้ 2. ไต้หวัน 3. ไทย 4. ญี่ปุ่น 5. มาเลเซีย แต่สำหรับไทย ญี่ปุ่นยังเป็นที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับ 1 เสมอ</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อโกด้า แพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการท่องเที่ยว เปิดเผยผลสำรวจจากผู้ใช้แพลตฟอร์มกว่า 4,000 ราย ใน 10 ประเทศ หนึ่งในข้อมูลที่น่าสนใจพบว่า อาหาร เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้นักท่องเที่ยวเลือกจะเดินทางไปท่องเที่ยว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เอนริก คาซาลส์, Associate Vice President, Southeast Asia, อโกด้า กล่าวว่า อาหารไม่ได้เป็นแค่สิ่งหล่อเลี้ยงร่างกายเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ทางวัฒนธรรมอีกด้วย นักท่องเที่ยวบางคนหลงใหลในอาหารมากถึงขนาดจองร้านอาหารในต่างประเทศก่อนจองตั๋วเครื่องบินเสียอีก ข้อมูลการสำรวจของอโกด้าแสดงให้เห็นชัดเจนว่านักท่องเที่ยวกำลังมองหาจุดหมายปลายทางที่สามารถไปดื่มด่ำกับอาหาร และประเพณีท้องถิ่นได้ ไม่ใช่แค่ไปเดินชมสถานที่ท่องเที่ยว<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/NGU1ZV32Z3oczaa5mT3L.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="NGU1ZV32Z3oczaa5mT3L.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,480"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ มี 5 อันดับจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับสายกิน ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. เกาหลีใต้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากข้อมูลการสำรวจที่อโกด้าจัดทำขึ้นพบว่า นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเกาหลีใต้มากกว่า 64% ระบุว่า อาหารคือเหตุผลหลักในการเดินทางไปเที่ยวที่นี่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนหนึ่งอาจเพราะกระแสอาหารเกาหลีใต้เกิดจากละคร และภาพยนตร์เกาหลีที่มักจะนำเสนอประสบการณ์การกินอาหารที่น่าสนใจ เช่น กิมจิ, บาร์บีคิวสไตล์เกาหลี, ไก่ทอด, อาหารทะเลสดบนเกาะเชจู, ปูดองเกาหลี,โชดังซุนดูบู (เต้าหู้เนื้อนุ่มในซุปร้อน) ไปจนถึง Street Food ตลาดแบบดั้งเดิม เช่น ตลาดควังจางในกรุงโซล ต็อกโบกี (เค้กข้าวรสเผ็ด) และบินเดต็อก (แพนเค้กถั่วเขียวสไตล์เกาหลี)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. ไต้หวัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาไต้หวันกว่า 62% ระบุเหตุผลหลักในการเดินทางคือ อาหาร โดยมีวัฒนธรรมอาหารที่หลากหลาย อาทิ เต้าหู้เหม็น ชาไข่มุก บะหมี่ตันไซ และซุปปลานวลจันทร์ทะเล ซึ่งสะท้อนมรดกภูมิปัญญาอาหารของเกาะ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3. ไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นักท่องเที่ยวกว่า 55% ให้เหตุผลหลักที่เดินทางมาท่องเที่ยวคือ อาหาร ที่ขึ้นชื่อทั้งความหลากหลายในแต่ละภูมิภาค และ Street Food ที่น่าสนใจ เช่น แผงขายอาหารแบบดั้งเดิมในเยาวราช (ไชนาทาวน์ในกรุงเทพฯ) ข้าวซอยของภาคเหนือ อาหารรสจัดจ้านของภาคใต้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4. ญี่ปุ่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากผลสำรวจพบว่า นักท่องเที่ยวกว่า 52% ระบุว่า อาหารเป็นเหตุลผลหลักในการเดินทางไปเยือนญี่ปุ่น ทั้งจากอาหารที่มีให้เลือกหลากหลาย เช่น อาหารทานเล่นแบบอิซากายะ และอาหารไคเซกิแบบฟูลคอร์ส หรือการท่องเที่ยวชิมอาหารท้องถิ่น อาทิ ตลาดสึกิจิรอบนอกของกรุงโตเกียว (ซูชิ และซาซิมิ) ทาโกะยากิ (ลูกชิ้นปลาหมึก) และยากิโทริ (ไก่เสียบไม้ย่าง) ราเมง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;5. มาเลเซีย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากผลสำรวจพบว่า นักท่องเที่ยวกว่า 49% ระบุอาหารเป็นเหตุลผลหลักในการเดินทางไปเยือนมาเลเซีย ซึ่งอาหารมีความเฉพาะตัวในแต่ละวัฒนธรรม เช่น กัวลาลัมเปอร์ มีนาซิเลอหลากหลายแบบ เช่น นาซิเลอมักบุงกุส (ข้าวแช่กะทิห่อ เสิร์ฟพร้อมน้ำพริก และผัก) และนาซิเลอมักอายัมโกเร็งเบเรมปาห์ (ไก่รสเผ็ด) ส่วนรัฐปีนัง ยังมี Street Food อย่าง ฉ่าก๋วยเตี๋ยว (ก๋วยเตี๋ยวผัด) หมี่ฮกเกี้ยน (เส้นหมี่เหลืองผัด) และเซ็นดอล (น้ำแข็งไสหวานเย็น) ในมาเลเซียตะวันออก โคตาคินาบาลูมีอาหารท้องถิ่น เช่น ฮินาวา (สลัดปลาดิบ) และหมี่ตัวรัน หรือ Tuaran Mee ส่วนที่กูชิงก็มีจานเด็ดขึ้นชื่อมานอกปันโซห์ หรือ Manok Pansoh ซึ่งเป็นอาหารพื้นเมืองของชาวอีบันที่ทำจากไก่ที่ปรุงด้วยสมุนไพรในไม้ไผ่<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/bZLHFdrNga8yWrY6LaCD.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="720px,405px" data-align="center" data-file-name="bZLHFdrNga8yWrY6LaCD.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,405" data-origin="720px,405px" style="width: 720px; height: 405px;" data-index="1"></figure></div>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย จากผลสำรวจพบว่า ‘ญี่ปุ่น' คือจุดหมายปลายทางยอดนิยมอันดับ 1 สำหรับด้านอาหาร ตามมาด้วยเวียดนามและลาว (อันดับ 2) และจีน (อันดับ 3) สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ระบุว่าอาหารคือเหตุผลหลักในการเดินทางมาเที่ยวไทย ส่วนใหญ่มาจากเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และเวียดนาม (ตามลำดับ) เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/bay-flood-2024-sep-2024" alt="วิจัยกรุงศรี ชี้ช่วงปลายปี 67 เสี่ยงน้ำท่วมสูงขึ้น แต่ไม่หนักเท่าปี 54 คาดเสียหาย 46,500 ล้าน"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/kr-home-loan-banking-thailand-sep-2024" alt="ศูนย์วิจัยฯ ประเมินสินเชื่อบ้านโตต่ำสุดในรอบ 23 ปี ผลเศรษฐกิจฟื้นไม่ทั่ว-หนี้เสียสูง"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/travel/bangkok-ranks-4th-among-top-5-destinations-for-chinese-national-day" alt="กรุงเทพฯ ครองใจนักท่องเที่ยวจีน 2 ปีซ้อน! ติดอันดับ 4 ใน 5 จุดหมายปลายทางยอดฮิตช่วงวันชาติจีน">กรุงเทพฯ ครองใจนักท่องเที่ยวจีน 2 ปีซ้อน! ติดอันดับ 4 ใน 5 จุดหมายปลายทางยอดฮิตช่วงวันชาติจีน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ไทยติดอันดับ 3 เมืองที่สายกินต้องมาเยือนในเอเชีย รองจาก ‘เกาหลีใต้ - ไต้หวัน’

<h2>ททท.จับมือ Butterbear และ BeOnCloud ชวนเที่ยวสุดคิ้วท์ (Cute) ผุดแคมเปญ “สุขทันทีกับอาโปและน้องเนย” ชวนเซเลบฯ สาวผู้โด่งดังอย่าง “น้องเนย” และ “อาโป-ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์” นักแสดงและนายแบบที่มีผลงานร่วมกับแบรนด์ดังระดับโลก ควงแขนกันชวนเที่ยวไทยช่วงปลายปี คาดกระตุ้นการเดินทาง-สร้างรายได้ 500 ล้านบาท</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายนิธี สีแพร รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด ททท. กล่าวว่า การประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวโดยร่วมกับศิลปินที่มีชื่อเสียง น้องเนย Butter Bear และ อาโป ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์ ในโครงการ “สุขทันทีกับอาโปและน้องเนย” มีเป้าหมายเพื่อดึงกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่หลงรักและติดตามน้องเนยและอาโป เข้าร่วมกิจกรรมตามรอยน้องเนยและพี่อาโป ซึ่งมีระยะเวลาแคมเปญ 6 เดือน ให้ออกเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ตามรอยน้องเนยกับพี่อาโป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยจะมีการทยอยปล่อยคลิปน่ารักๆ ที่ทั้งคู่ชวนกันไปเที่ยวในรูปแบบ ชิม ชม ช้อป และชิลล์ ซึ่งผู้ที่เดินทางท่องเที่ยวตามรอยจะมีสิทธิ์ลุ้นเข้าร่วมงาน Exclusive Meet เพื่อไปสัมผัสความน่ารักของเซเลบริตี้ทั้งสองได้ในช่วงปลายปี คาดว่าแคมเปญนี้จะเข้าถึงกลุ่มแฟนคลับน้องหมีเนยและพี่อาโป กระตุ้นการเดินทางและสร้างรายได้ประมาณ 500 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ การเปิดตัวของพี่อาโปและน้องเนย จะเป็นภาพลักษณ์ของเพื่อนวัยฉามขวบที่สดใส มาช่วยสร้างภาพจำของแหล่งท่องเที่ยวไทยแบบเข้าใจง่าย ซึ่งนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติสามารถเที่ยวตามได้แบบชิลล์ๆ พร้อมเสริมกิจกรรมกิน เที่ยว สุดชิลล์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยเริ่มที่แรกคือย่าน “เสาชิงช้า” ชวนถ่ายรูปสุดชิคกับแลนด์มาร์คคู่เกาะรัตนโกสินทร์มาอย่างยาวนาน และยังคงเป็นย่านที่ได้รับความนิยมอยู่เสมอ เพราะเป็นแหล่งรวมกิจกรรมการท่องเที่ยวแบบครบรส&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อาทิ การไหว้ขอพรในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองในวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ ตลอดทางมีวิวสวยๆ ให้แวะถ่ายรูป และเดินได้แบบสบายๆ เช่น แวะถ่ายรูปกับป้ายชื่อจังหวัดที่ยาวที่สุดในโลก ชิมอาหารอร่อยขึ้นชื่อมากมายที่เปิดร้านมาอย่างยาวนานสืบทอดกันรุ่นต่อรุ่น หรือคาเฟ่ชิคๆ เก๋ๆ ให้แวะชิมตลอดสองข้างทาง​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/08/ydWg6ZuJYqnM2dRQHePq.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="ydWg6ZuJYqnM2dRQHePq.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,900" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ททท. ขอชวนแฟนคลับของน้องเนย อาโป และนักท่องเที่ยวที่สนใจ ติดตามว่าทั้งสองจะชวนไปเที่ยวที่ไหนบ้าง ได้ทางเฟซบุ๊ก Amazing Thailand และอินสตาแกรม TourismThailand เริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคมนี้เป็นต้นไป เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/travel/american-express-high-earning-thai-plan-for-travel-2024" alt="‘คนไทยรายได้สูง’ กว่า 55% วางแผนเที่ยว 3-4 ครั้งในปี 67 ส่วนใหญ่อยากไปเชียงใหม่-ภูเก็ต">‘คนไทยรายได้สูง’ กว่า 55% วางแผนเที่ยว 3-4 ครั้งในปี 67 ส่วนใหญ่อยากไปเชียงใหม่-ภูเก็ต</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ททท. ดึง ‘น้องหมีเนย-อาโป’ ร่วมแคมเปญใหม่ หวังดึงคนไทย-ต่างชาติเที่ยวไทยแบบ Cute Cute

<h2>ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2567 นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยฟื้นตัวดีกว่าที่คาด ด้วยจำนวน 6.4 ล้านคน หรือเติบโตกว่า 50% (YoY) มองไปข้างหน้า จากปัจจัยสนับสนุนที่ดีขึ้น ทั้งมาตรการวีซ่าชั่วคราวและถาวร การกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน แผนการจัดงานประชุมสัมมนาระดับโลก รวมถึงสายการบินระหว่างประเทศที่มาไทยเพิ่มขึ้น ทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปรับประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยปี 2567 มาอยู่ที่ประมาณ 36 ล้านคน </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีมุมมองเชิงบวกต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยมากขึ้นในปี 2567 โดยสาเหตุหลักๆ มาจาก 4 ปัจจัยหลัก ดังนี้&nbsp; &nbsp; 1.นักท่องเที่ยวต่างชาติหลายประเทศฟื้นตัวดีกว่าที่คาดและกลับมาเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 โดยจากข้อมูลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในช่วง 2 เดือนแรกปี 2567 นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยมีจำนวน 6.4 ล้านคน เติบโตกว่า 50% (YoY) และนักท่องเที่ยวหลายประเทศกลับมาเติบโตกว่าปี 2562 เช่น มาเลเซีย รัสเซีย เกาหลีใต้ อินเดีย เยอรมัน ฝรั่งเศส ซาอุดีอาระเบีย อินโดนีเซีย เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ คาดว่าในไตรมาส 1 ของปี 2567 นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยน่าจะอยู่ที่ประมาณ 9.32 ล้านคน เติบโต 42.7% (YoY) ซึ่งนับเป็นสัญญาณบวกต่อทิศทางในช่วงที่เหลือของปีน <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/KSYGrnuEWx6kCJjNa5bW.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="KSYGrnuEWx6kCJjNa5bW.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2.มาตรการวีซ่าฟรีชั่วคราวกับหลายตลาด และวีซ่าถาวรสำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีน ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้รับปัจจัยจากมาตรการวีซ่าชั่วคราว ได้แก่ นักท่องเที่ยวชาวคาซัคสถาน (ทางการต่ออายุมาตรการเริ่มวันที่ 1 มี.ค.- 31 ส.ค. 2567 และอยู่ระหว่างการทำข้อตกลงวีซ่าฟรีถาวร) อินเดียและไต้หวัน (10 พ.ย. 66 - 10 พ.ค. 2567) มาตรการขยายระยะเวลาพำนักของนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย (1 พ.ย. 66 - 30 เม.ย. 2567) รวมถึงวีซ่าฟรีถาวรระหว่างไทย-จีน เริ่มวันที่ 1 มี.ค. 2567 ซึ่งช่วยหนุนการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนในช่วงที่เหลือของปีนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3.ธุรกิจสายการบินเปิดเส้นทางการบินใหม่ระหว่างประเทศมาไทยและเพิ่มความถี่เที่ยวบิน จากข้อมูลของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ในช่วง 2 เดือนแรกของปี2567 ปริมาณเที่ยวบินระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น 34.0% (YoY) หรือมีประมาณ 6.8 หมื่นเที่ยวบิน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 เที่ยวบินระหว่างประเทศกลับมาแล้ว 78% ขณะที่ในช่วงที่เหลือของปีนี้สายการบินทั้งไทยอย่างกลุ่มสายการบิน Low Cost มีการขยายเส้นทางการบินระหว่างประเทศมากขึ้น อาทิ จีน ญี่ป่น และเกาหลีใต้ นอกจากนี้สายการบินต่างชาติ อาทิ สายการบินจากกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย ขยายระยะเวลาการบินนถึงในช่วงฤดูร้อนของยุโรป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4.การจัดงานสัมมนาและประชุมระดับโลก ได้แก่ การเป็นเจ้าภาพการจัดงานประชุมใหญ่สามัญของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติครั้งที่ 74 (FIFA Congress 2024) การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งกีฬาระดับนานาชาติและงานอื่นๆ ช่วยหนุนการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวในช่วงที่เหลือปีนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยปี 2567 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 36 ล้านคน (เพิ่มจากประมาณการที่ 30.6 ล้านคน ณ เดือน ธ.ค. 2566) โดยการปรับขึ้นส่วนสำคัญมาจากการมาตรการวีซ่าฟรีถาวรจีน ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกสบายต่อการเดินทางของท่องเที่ยวจีน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/8GPpdoiXJQsFdFBiNTkp.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="8GPpdoiXJQsFdFBiNTkp.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีกทั้งตลาดหลักอย่างเกาหลีใต้ (ซึ่งได้รับปัจจัยหนุนจากความร่วมมือในการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างไทยและเกาหลีโดยปี 2566-2567 เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวระหว่างไทยและเกาหลีใต้) มาเลเซีย อินเดีย และรัสเซีย เติบโตดี รวมถึงตลาดรองอย่างอินโดนีเซียและยุโรปตะวันออก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การท่องเที่ยวที่กลับมาฟื้นตัวและปริมาณนักท่องเที่ยวมีจำนวนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวยังไม่ทั่วถึง นักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงเน้นการเดินทางเมืองท่องเที่ยวหลัก โดยกว่า 49% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางท่องเที่ยวใน 3 จังหวัดหลัก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี และภูเก็ต ซึ่งคงต้องอาศัยหน่วยงานท่องเที่ยวภาครัฐในการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวในเมืองรอง การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมต่อเมืองท่องเที่ยวรองมากขึ้น เพื่อลดปัญหาความหนาแน่นของเมืองท่องเที่ยวและกระจายรายได้ท่องเที่ยวเป็นวงกว้างมากขึ้น เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/travel/centara-business-plan-2024" alt="‘เซ็นทารา’ ฟื้นกลับมามีกำไร! ปีนี้เตรียมเปิดโรงแรมอีก 6 แห่ง">‘เซ็นทารา’ ฟื้นกลับมามีกำไร! ปีนี้เตรียมเปิดโรงแรมอีก 6 แห่ง</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ฟรีวีซ่า-นักท่องเที่ยวจีนคัมแบ็ก คาดปีนี้ต่างชาติเที่ยวไทยแตะ 36 ล้านคน

<h2>ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ตัวเลขนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ที่เดินทางมาประเทศไทย มีจำนวนกว่า 1.19 ล้านคน สูงสุดเป็นอันดับ 3 รองจากมาเลเซีย และจีน ขณะที่นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ ถือเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง โดยมีการใช้จ่ายถึงกว่า 5,500 บาทต่อคนต่อวัน เป็นโอกาสของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศ และดึงดูดให้ Yanolja สตาร์ทอัพยูนิคอร์นจากเกาหลีใต้เข้ามารุกธุรกิจในประเทศไทย</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ปัจจุบัน 1 ใน 3 ของคนเกาหลีใต้ ใช้แอปพลิเคชัน Yanolja” คิม จงยุน (Jong Yoon Kim) ประธานบริษัท Yanolja ให้สัมภาษณ์เนื่องในโอกาสเดินทางมาร่วมลงนามข้อตกลงทางธุรกิจระหว่างเกาหลีใต้และไทย ในการพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลเพื่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 50%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/gsbmWTv2o3yNr4CF9Sma.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="gsbmWTv2o3yNr4CF9Sma.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," style="width: 100%;" data-index="0" origin-size="1773,2364"><figcaption><div style="text-align: center;">คิม จงยุน ประธานบริษัท Yanolja</div></figcaption></figure></div> ​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Yanolja เป็นสตาร์ทอัพยูนิคอร์นจากเกาหลีใต้ที่ก่อตั้งตั้งแต่ปี 2005 มีความหมายในภาษาเกาหลีใต้ว่า “มาเล่นกันเถอะ” และได้ขยายจากการเป็นแอปพลิเคชันจองที่พักระยะสั้น ไปสู่การเป็นซูเปอร์แอปที่ให้บริการด้านคมนาคมขนส่ง บริการซอฟต์แวร์และคลาวด์คอมพิวติ้ง ที่ช่วยให้โรงแรมและบริษัทท่องเที่ยวปรับตัวสู่ดิจิทัล&nbsp; &nbsp;&nbsp;อย่างที่ทราบกันดีว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้พฤติกรรมการท่องเที่ยวเปลี่ยนแปลงไป ผู้ประกอบการต้องปรับตัวจากการทำธุรกิจแบบออฟไลน์ไปสู่ออนไลน์ และเป็นโอกาสการเติบโตของ Yanolja ซึ่งปัจจุบันมีการขยายตลาดใน 12 ประเทศทั่วโลก ทั้งในยุโรป สหรัฐอเมริกา ละตินอเมริกา และอินเดีย ล่าสุดกับการเข้าสู่ตลาดประเทศไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราต้องการเป็นสะพานเชื่อมระหว่างคนไทยกับคนเกาหลีใต้ ร่วมสร้างประสบการณ์ใหม่ในการเดินทาง ด้านวัฒนธรรม รวมถึงร่วมสัมผัสศิลปิน K-POP ระดับโลกผ่านแพลตฟอร์มของ Yanolja” คิม จงยุน กล่าว ยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย-เกาหลีใต้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เจมส์ ลี (James Lee) รองประธานอาวุโส องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (KTO) กล่าวว่า ในโอกาสครบรอบ 65 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างเกาหลี-ไทย KTO จึงร่วมกับองค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และอินโนสเปซ ไทยแลนด์ จัด Korea-Thailand Tourism Startup Cooperation Forum เพื่อยกระดับความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว และสร้างฐานนวัตกรรมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ผ่านความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการท่องเที่ยว และสตาร์ทอัพ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 50%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/b6ACj8byQSjyYcWMz5qY.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="b6ACj8byQSjyYcWMz5qY.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," style="width: 100%;" data-index="1" origin-size="1153,1537"><figcaption><div>เจมส์ ลี รองประธานอาวุโสแห่ง KTO</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Korea-Thailand Tourism Startup Cooperation Forum นับเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง หลังจาก KTO ได้ร่วมกับ ททท. กำหนดให้ปี 2566-2567 เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวระหว่างเกาหลีและไทยเพื่อให้ทั้ง 2 ประเทศก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยวระดับโลก และนำไปสู่การส่งเสริมยูนิคอร์นด้านการท่องเที่ยว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การจัดงานครั้งนี้ได้มีการลงนามข้อตกลงทางธุรกิจระหว่างเกาหลีและไทย ได้แก่ ข้อตกลงทางธุรกิจสำหรับนวัตกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเกาหลี-ไทย ระหว่าง Yanolja ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวของเกาหลี และสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว และข้อตกลงทางธุรกิจเพื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวในเกาหลีผ่านช่องทรู และไลฟ์คอมเมิร์ส ระหว่าง LaLa Station และทรู คอร์ปอเรชั่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“อุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัลอย่างรวดเร็ว เราเล็งเห็นว่าการระดมทุน และหาพันธมิตรเป็นสิ่งจำเป็น การจัดทำข้อตกลงทางธุรกิจครั้งนี้ นับเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะผลักดันการท่องเที่ยวแบบ Smart Tourism ของเกาหลีให้เติบโต และเรายังวางแผนที่จะร่วมมือกับผู้ประกอบการท่องเที่ยว และนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้นอีก” เจมส์ ลี กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับการท่องเที่ยวแบบ Smart Tourism ถือเป็นเทรนด์การท่องเที่ยวมิติใหม่ที่เกาหลีพัฒนาขึ้น เพื่อให้นักท่องเที่ยวใช้บริการด้านการท่องเที่ยวได้อย่างสะดวกสบายผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ ซึ่งที่ผ่านมาได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/DT59p9yRGKqK5dNCof54.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="DT59p9yRGKqK5dNCof54.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;" data-index="2" origin-size="1920,1281"><figcaption><div>HiKR Ground เกาหลีใต้</div></figcaption></figure></div> เที่ยวไทย-เกาหลีฟื้นตัวต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เจมส์ ลี กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์การท่องเที่ยวเกาหลีในปัจจุบันมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลวันที่ 25 กันยายน 2566 พบว่าปีนี้มีนักท่องเที่ยวมาเยือนเกาหลีแล้ว 7.49 ล้านคน เพิ่มขึ้น 60% จากปี 2562 ช่วงก่อนการระบาดของโควิด -19 ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในปีนี้ ได้แก่ หอคอยนัมซานในกรุงโซล ป้อมปราการฮวาซองในเมืองซู วอน จังหวัด คยองกี เกาะนามิในจังหวัดคังวอน หมู่บ้านฮันอกในจอนจู และสวนสนุกแทจงแดในพูซาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เรามีแผนที่จะดึงนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวเกาหลีให้มากที่สุด เราตั้งเป้าที่จะขยายฐานการท่องเที่ยวเกาหลีสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยกำหนดให้ปีนี้และปีหน้าเป็น&nbsp;ปีแห่งการมาเยือนเกาหลี&nbsp;และได้จัดแคมเปญ 100 กิจกรรมการท่องเที่ยวเกาหลี ที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมเกาหลี โดยตั้งเป้าว่าปี 2566 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวเกาหลี 10 ล้านคน ส่วนในปี 2567 คาดว่าสถานการณ์จะฟื้นตัวเต็มที่ กลับไปสู่สภาวะก่อนเกิดโควิด ซึ่งมีนักเที่ยวอยู่ที่ 17.5 ล้านคนต่อปี” เจมส์ ลี กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับนักท่องเที่ยวไทยไปเกาหลีช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้มีจำนวน 2.6 แสนคน ขณะที่ช่วงก่อนโควิด มีคนไทยไปเกาหลี 5.7 แสนคน ขณะที่นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้มาไทย มีจำนวนกว่า 1.19 ล้านคน และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา (24 กันยายน – 1 ตุลาคม 2566) มีจำนวนนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ 41,981 เพิ่มขึ้นร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้านี้ และถือเป็นโอกาสทางธุรกิจระหว่าง 2 ประเทศที่จะขยายต่อไปในอนาคต อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/travel/%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%8A%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2-%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%9A-%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7-%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2-%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7" alt="เอกชนเผย “กราดยิงพารากอน” กระทบท่องเที่ยวระยะสั้น ด้านภาครัฐเร่งยกระดับความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว">เอกชนเผย “กราดยิงพารากอน” กระทบท่องเที่ยวระยะสั้น ด้านภาครัฐเร่งยกระดับความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Yanolja สตาร์ทอัพยูนิคอร์นเกาหลี รุกตลาดไทย

เขาใหญ่ฟื้นตัวท่องเที่ยวคึกคัก “IHG” ปักธงอินเตอร์คอนฯ พ่วงจุดขายอีโคทัวริซึ่ม

<h2>ยอดนักท่องเที่ยวจีนฟื้นหลังมาตรการจัดระเบียบทัวร์ศูนย์เหรียญ ผลโพลล์ระบุนักท่องเที่ยวจีนเชียร์คัดคุณภาพกรุ๊ปทัวร์จีน พร้อมยกให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวอันดับ 1 ในเอเชีย</h2>
แม้การจัดระเบียบทัวร์ศูนย์เหรียญส่งผลกระทบให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวยังประเทศไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2559 ลดลง โดยครึ่งแรกของปี 2560 นักท่องเที่ยวจีนน่าจะเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 4.88-4.98 ล้านคน หรือหดตัว 0.4-1.6% จากช่วงครึ่งแรกของปี 2559

อย่างไรก็ตาม  ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้สำรวจความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาเที่ยวในประเทศไทยระหว่างวันที่ 1-15 มกราคม 2560 จากกลุ่มตัวอย่าง 400 คน ที่ท่าอากาศยานสองแห่งในกรุงเทพฯ พบว่า ตัวอย่างสัดส่วนร้อยละ 64.8 ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดทราบข่าวการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญของทางการไทยที่ร่วมกับทางการจีน

ขณะที่กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่จำนวนร้อยละ 83.4 เห็นด้วยกับการจัดระเบียบทัวร์ศูนย์เหรียญ เนื่องจากทำให้การท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์ในประเทศมีคุณภาพยิ่งขึ้น และกลุ่มตัวอย่าง 15.4% เห็นด้วยแต่ไม่แน่ใจถึงผลการจัดระเบียบ ซึ่งนักท่องเที่ยวจีนจำนวน 98% ยังยกให้ประเทศไทยเป็นปลายทางท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับ 1 เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย โดยเป็นสัดส่วนที่เพิ่มสูงขึ้น เมื่อเทียบกับผลสำรวจในปีที่ผ่านมา ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 94.5 ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด

สำหรับกลุ่มตัวอย่างที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวยังประเทศไทยส่วนใหญ่เดินทางมาเป็นครั้งแรกคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 77.7 ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด ในจำนวนนี้ เป็นการท่องเที่ยวเป็นกรุ๊ปทัวร์สัดส่วนร้อยละ 61.0 และท่องเที่ยวด้วยตนเองคิดเป็นร้อยละ 39.0 โดยนักท่องเที่ยวจำนวนร้อยละ 87.3 ระบุว่าจะท่องเที่ยวด้วยตนเองในครั้งหน้าแทนที่จะมากับกรุ๊ปทัวร์ สะท้อนถึงพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีนที่เปลี่ยนแปลงไป

จากผลสำรวจดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า แม้การจัดระเบียบทัวร์ศูนย์เหรียญที่ผ่านมา จะส่งผลกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวยังประเทศไทยช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ผลจากการเร่งแก้ไขปัญหา และสร้างความเข้าใจกับผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวจีนน่าจะส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มเดินทางมากับกรุ๊ปทัวร์ทยอยปรับตัวดีขึ้น

นอกจากนั้น การจัดระเบียบทัวร์ศูนย์เหรียญจะช่วยให้การท่องเที่ยวของประเทศไทยในระยะยาวมีคุณภาพมากขึ้น โดยช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวยังประเทศไทย และสร้างภาพลักษณ์การให้บริการด้านการท่องเที่ยวที่ดีขึ้นในสายตานักท่องเที่ยวจีน ทั้งยังดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมากับกรุ๊ปทัวร์มีความประทับใจ และเลือกประเทศไทยเป็นปลายทางท่องเที่ยวซ้ำอีกในอนาคต ซึ่งนักท่องเที่ยวจีนที่มีรายได้ระดับกลางขึ้นไปน่าจะเลือกเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวยังประเทศไทยได้มากขึ้น และก่อให้เกิดเม็ดเงินการใช้จ่ายสะพัดสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีนที่มีแนวโน้มท่องเที่ยวด้วยตนเองมากขึ้นเป็นโจทย์ที่ท้าทายผู้ประกอบการธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยเฉพาะบริษัทนำเที่ยว และธุรกิจโรงแรมที่ต้องปรับตัว โดยบริษัทนำเที่ยวอาจต้องเจาะตลาดนักท่องเที่ยวจีนเฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่มครอบครัว กลุ่มท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล ซึ่งท่องเที่ยวเป็นกลุ่มใหญ่ และต้องการการอำนวยความสะดวกในการท่องเที่ยว รวมถึงบริษัทนำเที่ยวอาจนำเสนอแพ็คเกจทัวร์ที่ประกอบด้วยเส้นทางการท่องเที่ยวใหม่ๆ และกิจกรรมที่หลากหลาย สอดคล้องกับความสนใจของนักท่องเที่ยวจีนแต่ละกลุ่ม

ขณะเดียวกันธุรกิจโรงแรมที่เจาะตลาดนักท่องเที่ยวจีนอาจปรับกลยุทธ์จากเดิมที่เน้นการพึ่งพิงลูกค้าจากบริษัทนำเที่ยว โดยหันมาทำการตลาดยังนักท่องเที่ยวกลุ่มท่องเที่ยวด้วยตนเองมากขึ้น หรืออาจเจาะตลาดกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มเติบโตในปีนี้  เช่น รัสเซีย อาเซียน เป็นต้น เพื่อลดการพึ่งพิงรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก

&nbsp;

จีนขานรับจัดระเบียบทัวร์ศูนย์เหรียญ

<h2>นอกจากมณฑล Guangdong (กวางตุ้ง) จะเป็นแผ่นดินแม่ของคนจีนโพ้นทะเลในไทยแล้ว เมืองเอกของมณฑลนี้ยังช่วยให้เม็ดเงินจากการท่องเที่ยวไหลเข้าแผ่นดินขวานทองเกือบปีละแสนล้านบาท คิดเป็นราว 1 ใน 3 ของนักท่องเที่ยวจีนทั้งประเทศ หากจะเรียก Guangzhou (กวางโจว) ว่าเป็นเมืองหลวงของการท่องเที่ยวไทยในประเทศที่มี GDP มากเป็นอันดับที่ 2 ของโลกก็คงจะไม่ผิดนัก</h2>
กว่า 3 ชั่วโมงที่เจ้านกเหล็กลำโตเหินเวหาในระยะทางกว่า 1,600 กิโลเมตร จากสนามบินดอนเมืองมาสู่ท่าอากาศยานนานาชาติ Guangzhou Baiyun (กวางโจวไป่หยุน) สนามบินที่มีความหนาแน่นของเที่ยวบินมากเป็นอันดับ 2 ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ด้วยสถิติรองรับผู้โดยสารราว 52 ล้านคนในปีที่ผ่านมา (รองจากท่าอากาศยานนานาชาติในเมืองหลวง Beijing) จุดหมายปลายทางที่ถือเป็นประตูสู่แดนใต้ของแผ่นดินมังกร ต้อนรับเราด้วยความสงัดเงียบในยามค่ำคืน ตัดสลับกับแสงสีจากป้ายไฟน้อยใหญ่ที่รายเรียงตามสองข้างทาง ท่ามกลางการหลับไหลของผู้คนส่วนใหญ่ในตึกทรงสูง

Guangzhou คือเมืองระดับ Beta+ จากการจัดอันดับ Global City ทั่วโลก ถือเป็นเมืองท่าสำคัญของจีนแผ่นดินใหญ่ เนื่องจากมีทำเลที่ตั้งใกล้เขตเศรษฐกิจสำคัญ เช่น ฮ่องกง, มาเก๊า รวมไปถึง Shenzhen (เสินเจิ้น) ที่เสมือนเป็นโรงงานอุปกรณ์ไอทีของโลก ทั้งยังถือเป็น 1 ใน 5 นครศูนย์กลางแห่งชาติหรือ National Central City ที่ครอบคลุมพื้นที่ในเขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไข่มุก (The Pearl River Delta Economics Zone) ทำให้ได้รับการพัฒนาทั้งเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน การบริหารจัดการ รวมไปถึงคุณภาพชีวิตที่ได้รับการดูแลมากกว่า หากเทียบกับเมืองอื่นๆ ตรงนี้เองที่ทำให้กำลังซื้อของคนกวางโจวมีสูงกว่าประชาชนต่างเมือง

เศรษฐกิจในปี 2013 ของ Guangzhou มีมูลค่าประมาณ 8 ล้านล้านบาท คิดเป็น 2.67% ของ GDP จีนทั้งประเทศ มีอัตราการเติบโตที่ 12.5% จากปี 2012 ประชากรมีรายได้ต่อคนต่อปีประมาณ 6.32 แสนบาท (ขณะที่ GDP ของประเทศไทยอยู่ที่ราว 11.897 ล้านล้านบาท ประชากรมีรายได้ต่อคนต่อปีไม่ถึง 1.9 แสนบาท)

ด้วยศักยภาพด้านทำเลที่ตั้งและผลสัมฤทธิ์ทางเศรษฐกิจ ทำให้ Guangzhou นครซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของฮ่องกงเพียง 120 กิโลเมตร ในวันนี้ เป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อจีนตอนใต้ไว้ด้วยกัน ไม่เพียงแต่การคมนาคมขนส่งเท่านั้น การเดินทางท่องเที่ยวของคนทางตอนใต้ก็ล้วนต้องอาศัยเมืองเอกแห่งลุ่มแม่น้ำไข่มุกแห่งนี้ทั้งสิ้น

<hr />

Global City คือการจัดอันดับเมืองต่างๆ ที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจองค์รวมของโลก โดยเกณฑ์ที่ใช้วัดจะอิงตามหลัก socio-economic ซึ่งจะจำแนกเมืองต่างๆ ออกเป็น 4 หมวดใหญ่ๆ คือ Alpha หรือเมืองที่มีอิทธิพลต่อระบบเศรษฐกิจองค์รวมของโลกมาก, Beta หรือเมืองที่มีอิทธิพลต่อระบบเศรษฐกิจองค์รวมของโลกแบบปานกลาง, Gamma หรือเมืองที่มีอิทธิพลต่อระบบเศรษฐกิจองค์รวมของโลกเล็กน้อย และ Sufficiency หรือเมืองที่ไม่มีอิทธิพลต่อระบบเศรษฐกิจองค์รวมของโลก โดยนครที่มีอันดับสูงที่สุดในโลกคือ New York City และ London ในตำแหน่ง Alpha++ ขณะที่กรุงเทพมหานครอยู่ในกลุ่ม Alpha- ตามหลัง 2 เมืองใหญ่ในภูมิภาค ASEAN อย่าง Singapore City (Alpha+) และ Kuala Lumpur (Alpha)


นครศูนย์กลางแห่งชาติ (National Central City) คือเมืองที่ทางการจีนต้องการให้เป็นเสมือนศูนย์กลางทางการปกครองในภูมิภาค ประกอบไปด้วย Beijing (ปักกิ่ง), Chongqing (ฉงชิ่ง), Guangzhou (กวางโจว), Shanghai (เซี่ยงไฮ้), Tianjin (เทียนจิน) และอีก 1 เมืองพิเศษคือ ฮ่องกง
<div>

<hr />

</div>
<div>
<div>
<div>

สถิติในปีที่ผ่านมาขององค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ หรือ UNTWO ได้พูดถึงประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกไว้อย่างน่าสนใจว่า จีนเป็นประเทศที่มีการต้อนรับนักท่องเที่ยวกว่า 55.7 ล้านคน มากเป็นอันดับ 4 ของโลก แต่ในขณะที่ยอดนักท่องเที่ยวที่เดินทางออกนอกประเทศนั้นกลับมากเป็นอันดับ 1 ด้วยจำนวนมากกว่า 80 ล้านคน มียอดการใช้จ่ายรวมมากที่สุดในโลก ราว 1.28 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 4.14 ล้านล้านบาท คิดเป็น 11% ของการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวของทั้งโลก

แม้แนวโน้มการท่องเที่ยวของชาวจีนจะยังคงจำกัดอยู่ภายในประเทศเป็นหลัก แต่ก็ยังมีนักท่องเที่ยวจีนอีกไม่น้อยเลือกเดินทางท่องโลกกว้างนอกม่านไม้ไผ่ โดยจุดหมายปลายทางที่ชาวจีนนิยมมากที่สุดคือเกาหลีใต้ รองลงมาคือไทย ส่วนอันดับ 3 คือญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นประเทศคู่แค้นทางประวัติศาสตร์นับร้อยๆ ปีของจีน

การจับจ่ายของนักท่องเที่ยวชาวจีนสร้างเม็ดเงินเข้าประเทศไทยกว่า 1.8 แสนล้านบาทในปี 2013 เฉลี่ยตกคนละประมาณ 39,000 บาทในการมาเยือนแต่ละครั้ง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงาน Guangzhou ประมาณการตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้าไทยว่าราว 30-40% ของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนราว 4.7 ล้านคนในปีที่ผ่านมา คือนักท่องเที่ยวที่เดินทางออกจากนคร Guangzhou

เมื่อจีนทั้งประเทศคือตลาดมหึมาของการท่องเที่ยวไทย และนักท่องเที่ยวจาก Guangzhou มีสัดส่วนประมาณ 1/3 ของ นักท่องเที่ยวจีนที่เข้าไทย ภาครัฐและเอกชนของไทยจึงจับมือร่วมกันพัฒนาตลาดและสร้างโอกาสทางธุรกิจ

</div>
</div>
<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/World/A%20Bigger%20Yaowaraj%20(C).jpg" alt="" />

“ผู้โดยสารชาวจีนที่โดยสารมากับสายการบินของเราสิ้นปีนี้จะมีประมาณ 1.5 ล้านคน คิดเป็นประมาณ 19-20% ของจำนวนผู้โดยสารทั้งหมด... ตรงนี้ทำให้เราเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศจีน และก็โชคดีมากที่ได้ slot ว่างของสนามบิน Guangzhou เลยเลือกเปิดเส้นทางบินใหม่จาก Guangzhou บินตรงไปกระบี่ โดยที่เราแทบไม่ต้องโปรโมตเส้นทางบินใหม่ ซึ่งก็คือกระบี่เลย เพราะคนจีนเขารู้จักกระบี่ดี เผลอๆ ดีกว่าคนไทยอย่างเราๆ อีก” ทัศพล แบเลเว็ลด์ CEO ของสายการบิน Thai AirAsia และรับผิดชอบดูแลภูมิภาค Great China ของ AirAsia Group พูดถึงโอกาสทางธุรกิจการบินในประเทศจีน หลังแถลงเปิดเส้นทางบินใหม่ เมื่อกลางเดือนกันยายน

“Guangzhou ถือเป็นเมืองที่โดดเด่นมากเมืองหนึ่งในจีน เพราะบรรดาเมืองต่างๆ ทางตอนใต้ต้องมาอาศัยสนามบินของ Guangzhou ลักษณะเดียวกับสนามบินในมาเก๊า ทำให้การจราจรทางอากาศของ Guangzhou ชุกชุมมาก จนต้องมีโครงการสร้างสนามบินแห่งที่ 2 มารองรับเส้นทางบินใหม่ๆ ”

สุพัตรา ศรีไมตรีพิทักษ์ กงสุลใหญ่ ณ นคร Guangzhou มองว่าการเพิ่มเส้นทางบิน โดยเฉพาะเส้นทางบินตรงสู่จุดหมายปลายทางใหม่ๆ ที่ไม่ใช่แค่กรุงเทพฯ หรือเชียงใหม่ จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในหมู่นักท่องเที่ยวชาวจีน อีกทั้งยังเป็นการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น กระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ

ทิศทางนี้สอดคล้องกับนโยบายของ ททท. ที่มีแผนจะพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ อาทิ เขาใหญ่ ชะอำ กาญจนบุรี ให้เป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวชาวจีน เพื่อลดการกระจุกตัวในเมืองท่องเที่ยวชื่อดัง ซึ่งความคับคั่งของนักท่องเที่ยวชาวจีนในไทยอาจจะเป็นผลมาจากภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมมากในจีนเรื่อง Lost in Thailand ที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับชาวจีนที่มาเยี่ยมเยือนไทย จนเกิดกระแส Thailand Fever ในแผ่นดินใหญ่  และการจะรุกตลาดท่องเที่ยวในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนตอนนี้ถือว่าเหมาะสมมาก เนื่องจากทางการไทยเพิ่งมีนโยบายลดค่าธรรมเนียมวีซ่า ซึ่งจะเป็นผลดีในการช่วยธุรกิจภาคการท่องเที่ยวที่ค่อนข้างจะซบเซาหลังเหตุการณ์ไม่แน่นอนทางการเมืองในช่วงต้นปี ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง

“เชื่อว่าจบปีนี้ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนจะกระเตื้องมาแตะที่ราว 5 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วประมาณ 3 แสนคน ซึ่งเป็นผลพวงมาจากนโยบายยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าแ ละสถานการณ์การเมืองที่คลี่คลาย“สันติ แสวงเจริญ ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงาน Guangzhou คาดการณ์

ในอนาคต Thai AirAsia มีเป้าหมายขยายเส้นทางบินสู่เมืองระดับ 2 มากขึ้น เช่น Guilin (กุ้ยหลิน), Nanning (หนานหนิง), Chengdu (เฉิงตู) แต่ด้วยข้อจำกัดด้านการรับรู้ของกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทย ที่ไปเยือนจีนแค่ 1 ใน 3 ของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่มาไทย ตรงจุดนี้เองทำให้ต้องประชาสัมพันธ์จุดหมายปลายทางใหม่ๆ ก่อนเปิดดำเนินการจริง

“เส้นทางจีนถือเป็นตลาดสำคัญของ Thai AirAsia เนื่องจาก load factor (อัตราขนส่งผู้โดยสาร) ใน 8 เดือนแรกของปี 2557 เฉลี่ยสูงมากถึงร้อยละ 80 ซึ่งในไตรมาสที่ 3 และ 4 เราคงต้องเร่งกระตุ้นตลาดต้อนรับฤดูกาลท่องเที่ยว เพื่อขจัดภาพของกฎอัยการศึกที่ต้องยอมรับว่ามีผลต่อจำนวนที่ลดลงของนักท่องเที่ยว” ทัศพลกล่าว

&nbsp;
<div>

<hr />

รายงานพิเศษชุด <a href="http://www.forbesthailand.com/_preview_article_detail.php?article_id=202">Greater China</a> ประจำฉบับ NOVEMBER 2014

</div>
</div>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events