<h2>​ตลาดของเล่น-ตุ๊กตาขาขึ้น เมื่อผู้ใหญ่ Gen Y และวัยรุ่น Gen Z หันมาฮิตสะสมตุ๊กตาผ้านุ่มเพื่อสนองนี้ด เพิ่มความสุขในวัยเด็กให้ตัวเอง โดย Grand View Research ยังคาดการณ์ด้วยว่า ตลาดตุ๊กตาสัตว์ขนนุ่มและของเล่นผ้ากำมะหยี่ทั่วโลกจะโตเพิ่มได้ถึงปีละ 8.2% ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2030</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตลาดของเล่นและตุ๊กตากำลังกลับมารุ่งเรื่องอีกครั้ง เมื่อเหล่าบรรดาผู้ใหญ่ยุคมิลเลนเนียลหรือ Gen Y และวัยรุ่น Gen Z เริ่มหันมาฮิตซื้อตุ๊กตาผ้าขนนุ่มๆ มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น กระแสไวรัลจาก TikTok ของตุ๊กตาห่านยักษ์ที่ยาวกว่าเมตรครึ่ง ต่อเนื่องไปจนการที่หลายๆ คนเลือกใช้จ่ายเงินเพื่อสะสมตุ๊กตา Squishmallows ที่มีราคาเฉลี่ยตัวละประมาณ 368-745 บาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ร้านป๊อบอัปแบรนด์ Jellycat ในห้างสรรพสินค้า Selfridges ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ก็กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จากการมีไอเดียสุดชิคจำหน่ายตุ๊กตาปลาค็อดและเฟรนช์ฟรายส์ขนนุ่มเลียนแบบร้านขายอาหาร Fish &amp; Chips ตามสไตล์อังกฤษ โดยมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 25 เหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 870 บาท จนทำให้มีลูกค้าที่มารอต่อคิวซื้อจนแถวยาวอย่างเนืองแน่น​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/KaR7uDyK5aadm5whj8nT.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="KaR7uDyK5aadm5whj8nT.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/oGJFvCsiMQwUp4HRW7xw.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="oGJFvCsiMQwUp4HRW7xw.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่ทั้งนี้ จากข้อมูลของ The Economist ที่มีการกล่าวอ้างถึงใน Business Insider รายงานว่า Art Toy ชื่อดังอย่าง ‘ตุ๊กตาลาบูบู้’ ยังคงครองตลาดในเอเชีย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ซื้อที่เป็น ‘ผู้ใหญ่แต่หัวใจเด็ก’ ที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่รายงานของบริษัทวิจัยตลาด Circana เผยว่า ยอดขายของเล่นในกลุ่มประเทศ G12 ลดลง 1% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 แต่ทั้งนี้ตัวเลขดังกล่าวก็ยังดีกว่าเมื่อเทียบกับปี 2023 ที่มีตัวเลขลดลงถึง 8% โดยเป็นผลมาจากการที่ผู้ใหญ่หันมาซื้อของเล่นให้กับตัวเอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายงานดังกล่าวยังระบุด้วยว่า กลุ่มคนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป มียอดการซื้อมากกว่า 1.5 พันล้านเหรียญ ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี 2024 แซงหน้าการซื้อของเล่นสำหรับเด็กเล็กกลุ่มอายุ 3 ถึง 5 ขวบ ซึ่งถือเป็นกลุ่มอายุที่สำคัญที่สุดในอุตสาหกรรมของเล่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Juli Lennett รองประธานและที่ปรึกษาอุตสาหกรรมของเล่นของ Circana ให้ความเห็นว่า "ในขณะที่อุตสาหกรรมของเล่นกำลังเผชิญกับสภาวะความกดดันของเศรษฐกิจ แต่ก็ยังเต็มไปด้วยโอกาส"&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Brian Benway นักวิเคราะห์อาวุโสด้านเทคโนโลยีและเกม ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้จัดทำรายงานดังกล่าว บอกกับ Business Insider ว่า “ตอนนี้ตุ๊กตากำลังเป็นสินค้าที่มาแรงและได้รับความนิยมควบคู่ไปกับของเล่นประเภทชุดต่อเลโก้ แน่นอนว่าเลโก้เป็นแบรนด์ใหญ่ในอุตสาหกรรมของเล่นและเกม ดังนั้นการได้เห็นตุ๊กตาอยู่เคียงข้างเลโก้จึงเป็นเรื่องดีสำหรับกลุ่มคนในธุรกิจนี้”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับสาเหตุหลักที่เหล่าบรรดาผู้ใหญ่หลายคนหันกลับมาซื้อของเล่นเพื่อตนเองนั้น Melissa Symonds กรรมการบริหารของเล่นในสหราชอาณาจักรของ Circana บอกกับ BBC News ว่า “ผู้ใหญ่จะซื้อของเล่นเพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพจิตในเชิงบวก เนื่องจากของเล่นเหล่านี้จุดประกายความคิดถึงในช่วงวัยเด็กและช่วยให้หลีกหนีจากความวุ่นวายทั่วโลก”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Carter Kench อินฟลูเอนเซอร์และนักสะสมตุ๊กตา Squishmallows ชื่อดัง เล่าให้ The Washington Post ฟัง ในปี 2023 ว่า “ผมรู้สึกเหมือนเป็น Indiana Jones ทุกครั้งที่ได้ออกล่าหาตุ๊กตาตัวที่อยากได้มาสะสม” เขามีตุ๊กตาที่ผลิตโดย Jazwares มากกว่า 400 ตัว ซึ่งปัจจุบันบริษัทดังกล่าวถูกซื้อไปในปี 2022 โดย Berkshire Hathaway ของ Warren Buffett&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/HweJ6ThL5d84arEHmckV.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="HweJ6ThL5d84arEHmckV.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“หลายคนไม่สนใจหรอกว่า คนอื่นจะคิดว่าการสะสมตุ๊กตาเหล่านี้จะกลายเป็นเรื่องที่งี่เง่าหรือเปล่า เพราะมันทำให้ฉันมีความสุขจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ดังนั้นฉันจะทำต่อไป” Brian นักวิเคราะห์อาวุโสด้านเทคโนโลยีและเกม ให้ความเห็นเพิ่มเติม พร้อมกล่าวเสริมด้วยว่าแม้แต่ศิลปินสาวคนดังอย่าง Lady Gaga ก็ยังโพสต์ภาพเตียงนอนของเธอที่เต็มไปด้วยตุ๊กตา Squishmallows บนอินสตาแกรม ดังนั้นถ้าเธอทำได้ ใครๆ ก็ทำได้ !!!&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม รายงานของ Grand View Research ยังคาดการณ์ด้วยว่า ตลาดตุ๊กตาสัตว์ขนนุ่มฟูและของเล่นผ้ากำมะหยี่ทั่วโลกจะเติบโตได้ถึงปีละ 8.2% ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2030 ส่วนยอดขายของเล่นจากการ์ตูนคาแรกเตอร์ต่างๆ ที่เหล่าบรรดาแฟนคลับชอบสะสมจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกปีละ 9.8%​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/BSt63XrN1A1YoeggVxX3.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="BSt63XrN1A1YoeggVxX3.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="3"></figure></div> ภาพ : The Washington Post และ Business Insider แปลและเรียบเรียงจากบทความ :&nbsp;<a href="https://www.msn.com/en-us/lifestyle/lifestyle-buzz/millennials-and-gen-zers-are-hooked-on-plushies-and-that-s-good-news-for-the-toy-market/ar-BB1rjlrK?ocid=ob-fb-frca-1617134617825" alt="Millennials and Gen Zers are hooked on plushies and that's good news for the toy market">Millennials and Gen Zers are hooked on plushies and that's good news for the toy market</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/world/global-world/henley-world-most-powerful-passport-2025" alt="Henley &amp; Partners เผยพาสปอร์ตสิงคโปร์ฟรีวีซ่า 195 ประเทศ ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกปี 2025">Henley &amp; Partners เผยพาสปอร์ตสิงคโปร์ฟรีวีซ่า 195 ประเทศ ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกปี 2025</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ตลาดของเล่นขาขึ้น! ผู้ใหญ่ Gen Y วัยรุ่น Gen Z ฮิตสะสม 'ตุ๊กตาผ้าขนนุ่ม' เสิร์ฟความสุขวัยเด็กให้ตัวเอง

<h2>​บริษัทวิจัยตลาด Circana เปิดเผยยอดขายของเล่นในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2023 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 2.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากปี 2022 แต่กลับพบว่ามีผู้ซื้อที่เป็นผู้ใหญ่เพิ่มมากขึ้น โดยคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 17.3% ของยอดขายของเล่นทั้งหมด </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Frederique Tutt นักวิเคราะห์ด้านอุตสาหกรรมของเล่นระดับโลกจากบริษัทวิจัยตลาด Circana บอกกับสำนักข่าว Business Insider ว่า แม้ลูกค้ากลุ่ม Kidult หรือผู้ใหญ่ที่ยังมีความเป็นเด็กในตัว จะคอยซื้อของเล่น และเกมต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ แต่ในช่วงหลายปีมานี้พบว่าสัดส่วนยอดขายที่ได้จากกลุ่มผู้ใหญ่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ จากรายงานของ Circana เผยว่า ยอดขายของเล่นในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2023 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 2.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากปี 2022 ที่อยู่ราว 3.03 หมื่นล้านเหรียญ แต่ข้อมูลที่น่าสนใจคือ มีผู้ซื้อกลุ่มผู้ใหญ่เพิ่มมากขึ้นในสัดส่วน 17.3% ของยอดขายของเล่นทั้งหมด (หรือเท่ากับราว 6.7 พันล้านเหรียญ) ถือว่าเติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 8%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Tutt ระบุว่า ตลาดฝั่งยุโรปก็เกิดสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน ยอดขายของเล่นและเกมในปี 2023 มีกลุ่มลูกค้าที่มีอายุมากกว่า 18 ปีในสัดส่วนราว 16% หรือมูลค่า 2.6 พันล้านยูโร (2.76 พันล้านเหรียญ)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Tutt มองว่าการเติบโตของสัดส่วนลูกค้ากลุ่ม Kidult เป็น ‘ปรากฏการณ์ระดับโลก’ ซึ่งมาแรงอย่างมากในเอเชีย โดยเฉพาะญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ อีกทั้ง ยังชี้ว่าเทรนด์นี้ถูกกระตุ้นด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้คนมีเวลาว่างมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน ความรู้สึกโหยหาอดีต (Nostalgia) เพื่อหลีกหนีจากความจริงอันเคร่งเครียด นับเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนเทรนด์ดังกล่าว ทำให้หลายแบรนด์หันมาโฟกัสกับความทรงจำในวัยเด็กที่ผู้ใหญ่เหล่านี้โปรดปราน ยกตัวอย่าง การเปิดตัว The Madalorian สานต่อซีรีส์ Star Wars และการสร้างภาพยนตร์ Barbie ก็ช่วยดันยอดขายสินค้าที่เกี่ยวข้อง โดยลูกค้าที่เข้ามาซื้อก็คือผู้ใหญ่นั่นเอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ตลาดนี้สามารถเติบโตได้อีกมหาศาลเลย” Tutt เผยว่าแบรนด์และผู้ผลิตต่างก็พากันหันมาให้ความสำคัญกับลูกค้าวัยผู้ใหญ่กันมากขึ้น ตามห้างร้านมากมายมีการขยายพื้นที่ และเพิ่มผลิตภัณฑ์สำหรับลูกค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Steve Torzke ประธานและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการค้าบริษัทของเล่นรายใหญ่อย่าง Mattel เผยกับ Los Angeles Times เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาว่า ความสนใจของผู้ใหญ่ที่มีต่อแบรนด์ของเล่น เช่น Barbie เพิ่มขึ้นอย่างมากตลอดหลายปีมานี้ สำหรับบางแบรนด์ สัดส่วนยอดขายมาจากผู้ใหญ่ถึง 1 ใน 4&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากข้อมูลของ Circana แม้ว่ายอดขายของเล่นในสหรัฐฯ เมื่อปี 2023 จะลดลงจากปี 2022 แต่การใช้จ่ายจากผู้ซื้อวัยผู้ใหญ่ยังคงแข็งแกร่ง โดยพวกเขามีการซื้อของเล่นและเกมมากกว่า 1.5 พันล้านเหรียญ ในไตรมาสแรกของปี 2024 ในขณะเดียวกัน 43% ของผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ เผยว่าพวกเขาซื้อของเล่นให้ตัวเองในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2024 เหตุผลหลักในการซื้อ ได้แก่ เพื่อเข้าสังคม เพื่อความสุข และเพื่อสะสม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ศักยภาพในการเติบโตของลูกค้ากลุ่มนี้ใหญ่มาก” Tutt กล่าว แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a href="https://www.businessinsider.com/adults-are-buying-more-kids-toys-in-a-quest-for-nostalgia-and-escape-2024-11" alt="Adults are buying more and more kids' toys for themselves in a quest for nostalgia and escape" style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; font-weight: 700; text-align: var(--bs-body-text-align);">Adults are buying more and more kids' toys for themselves in a quest for nostalgia and escape</a>​ ภาพ: Unsplash.com เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/global/toy-tycoon-enters-forbes-chinese-billionaire-list" alt="รวยด้วยพลังอาร์ตทอย! ผู้ก่อตั้ง Pop Mart ทรัพย์สิน 5.5 พันล้านเหรียญ ผงาดทำเนียบมหาเศรษฐี Forbes ครั้งแรก">รวยด้วยพลังอาร์ตทอย! ผู้ก่อตั้ง Pop Mart ทรัพย์สิน 5.5 พันล้านเหรียญ ผงาดทำเนียบมหาเศรษฐี Forbes ครั้งแรก</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ของเล่นไม่ได้จำกัดแค่เด็กอีกต่อไป! รายงานเผยยอดขายของเล่นในสหรัฐฯ 17.3% มาจากลูกค้าผู้ใหญ่

<h2>ช่วงที่ผ่านมา กระแส Art Toy เฟื่องฟูไปทั่วไทย โดยเฉพาะของเล่นแนวกลุ่มสุ่มอย่าง Labubu จากร้าน Pop Mart ที่ไม่ว่าจะช่วงวัยไหนต่างต้องหามาเก็บสะสม จนตอนนี้เห็นกล่องสุ่มของเล่นมากมายหลายประเภท แต่กระแสนี้กับภาคธุรกิจ เราเห็นภาพการเติบโตอย่างไรบ้าง</h2> กระแส ‘Art Toy - Kidult’ จากของเล่นสู่ของสะสม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลายปีมานี้ หลายคนอาจเห็นเทรนด์ Art Toy โมเดลคาแรกเตอร์ต่างๆ ที่ออกแบบมาโดยศิลปิน หรือนักวาด ได้ขยายตัวขึ้นอย่างก้าวกระโดด ซึ่งมีหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะในวงการมูเตลูที่นำสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาปรับคาแรกเตอร์ให้เข้าถึงง่าย หรือ การสร้างคาแรกเตอร์ใหม่ๆ ขึ้นมา และหากเป็นตัว Secret ราคาอาจที่ทะยานสูงกว่าราคาเปิดตัวอย่างมาก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กลยุทธ์ของ Art Toy ที่บางส่วนจะมาในลักษณะกล่องสุ่ม (ให้ผู้ซื้อได้ลุ้นว่าจะได้รับตัวไหน) อาจเรียกได้ว่า เป็นการทำการตลาดจาก ‘การจำกัดจำนวน’ และ ‘ความสนุก’ จากที่ผู้ซื้อจะได้ลุ้นว่า จะได้รับตัว Secret หรือไม่ ที่สำคัญอาจเห็นได้ว่า Influencer มีผลอย่างมากต่อการกระตุ้นให้คนอยากมีไว้ครอบครอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ช่วง เม.ย. 2567 ที่ผ่านมาหลายคนอาจเห็นเทรนด์ Labubu และสินค้ากล่องสุ่มจาก Pop Mart ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งมาจากที่ ลิซ่า วง Blackpink ยังเก็บสะสม Labubu อยู่เช่นกัน ดังนั้นเทรนด์นี้ไม่ได้เกิดแค่ในประเทศไทย แต่เกิดขึ้นทั่วโลก จนมีคำว่า ‘Kidult’ ที่ผสมจาก Kid (เด็ก) และ Adult (ผู้ใหญ่) ขึ้นมา &nbsp; &nbsp; &nbsp; แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็น ‘ของเล่น’ ที่เดิมผู้ใหญ่เป็นคนซื้อให้เด็ก แต่ตอนนี้เมื่อกลุ่มเป้าหมายกลายเป็นผู้ใหญ่ซื้อสะสมเอง ยิ่งทำให้ตลาดนี้เติบโตอย่างรวดเร็ว<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/CqNt8oc1dPJ9XH3HCoMb.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="CqNt8oc1dPJ9XH3HCoMb.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,480"></figure></div> ธุรกิจไซส์เล็กแต่สามารถครองตลาดใหญ่ได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อมูลจากกองข้อมูลธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า ‘ธุรกิจของเล่น’ โดดเด่นขึ้นทั้งกลุ่มผลิต (เช่น การผลิตของเล่นที่มีล้อ การผลิตตุ๊กตา และเกมต่างๆ) และกลุ่มขายส่ง/ขายปลีก โดยในประเทศไทยมีนิติบุคคลในประเทศไทย 1,093 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 5,692.21 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ในปี 2566 ธุรกิจขนาดเล็กในธุรกิจของเล่นสามารถสร้างรายได้กว่า 19,677.21 ล้านบาท ซึ่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้ายังระบุว่า มีนักลงทุนฮ่องกง จีน และญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในบริษัทไทยด้านนี้อีกด้วย ขณะเดียวกัน ธุรกิจของเล่นไทยยังสามารถผลิต และส่งออกเพื่อขายในต่างประเทศได้อย่างต่อเนื่อง ในปี 2566 มีมูลค่าการส่งออกได้มากถึง 8,776.24 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ข้อมูลที่น่าสังเกตคือ ธุรกิจขนาดเล็ก (S) เป็นกลุ่มที่มีการจัดตั้งธุรกิจมากที่สุด จำนวน 1,024 ราย แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและโอกาสของ SME ในธุรกิจของเล่นที่ยังเปิดกว้างให้ธุรกิจขนาดเล็กเข้ามาลงทุนช่วงชิงตลาด โดยจำนวนนี้เป็นกลุ่มขายมากถึง 804 ราย และผลิต 220 ราย สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบันที่จะเห็นได้ว่าตลาดของเล่นมีการซื้อขายอย่างคึกคักทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/N9JEtL75LmjM1ANU6zGM.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="N9JEtL75LmjM1ANU6zGM.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="720,480"></figure></div> ธุรกิจของเล่นในไทยเลือกเปิดบริษัทแบบไหน ปี 2567 เพิ่มขึ้นเท่าไร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้ช่วง COVID-19 ธุรกิจของเล่นจะเผชิญปัญหายอดขายตกลงเช่นกัน แต่ตอนนี้มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น ในช่วงปี 2566 มีการจัดตั้งธุรกิจของเล่นจำนวน 120 ราย เพิ่มขึ้น 49 ราย (+69.01%) จากปี 2565 ด้านมูลค่าทุนจดทะเบียน 2,736.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.52% จากปี 65 ขณะที่หากดูรายได้พบว่าอยู่ที่ 19,677.21 ล้านบาท มีกำไรอยู่ที่ 467.62 ล้านบาท ฟื้นตัวจากปี 2566 ที่มีกำไร 175.07 ล้านบาท (ปี 2565 ที่มีกำไรอยู่ที่ 83.58 ล้านบาท และปี 2564 ขาดทุน 42.25 ล้านบาท)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ ปี 2567 นี้การจัดตั้งธุรกิจใหม่ช่วง 5 เดือนแรก (ม.ค. - พ.ค.) มีจำนวน 57 ราย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มการผลิต 50 ราย และกลุ่มขาย 7 ราย โดยทั้งหมดเป็นธุรกิจขนาดเล็ก (S) ในภาพรวมมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 67 ล้านบาท (แบ่งเป็นกลุ่มผลิต 56 ล้านบาท และกลุ่มขาย 11 ล้านบาท)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ สำหรับการลงทุนของต่างชาติในธุรกิจของเล่น มีมูลค่าการลงทุนในไทยทั้งหมด 10,068.04 ล้านบาท โดยประเทศที่เข้ามาลงทุนมากที่สุด 3 อันดับ คือ ฮ่องกง มูลค่าการลงทุน 989.37 ล้านบาท จีน มูลค่าการลงทุน 784.16 ล้านบาท และญี่ปุ่น มูลค่าการลงทุน 541.81 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หากเจาะลึกธุรกิจของเล่นในปัจจุบันข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า ในไทยมีการจัดตั้งธุรกิจของเล่นในรูปแบบนิติบุคคลจำนวน 1,093 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนทั้งหมด 5,692.21 ล้านบาท แบ่งเป็น &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- กลุ่มการผลิต 238 ราย ทุนจดทะเบียนคิดเป็น 2,909.61 ล้านบาท &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- กลุ่มการขาย 855 ราย) ทุนจดทะเบียนคิดเป็น 2,782.60 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ หากดูตามประเภทการจดทะเบียน แบ่งเป็น &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1) บริษัทจำกัดจำนวน 935 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนทั้งหมด 5,517.15 ล้านบาท ได้แก่ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- กลุ่มการผลิต 209 ราย ทุนจดทะเบียนคิดเป็น 2,843.11 ล้านบาท &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- กลุ่มการขาย 726 ราย ทุนจดทะเบียนคิดเป็น 2,674.04 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2) ห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลจำนวน 158 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนทั้งหมด 175.06 ล้านบาท ได้แก่ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- กลุ่มการผลิต 29 ราย ทุนจดทะเบียนคิดเป็น 66.50 ล้านบาท &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- กลุ่มการขาย 129 ราย ทุนจดทะเบียนคิดเป็น 108.56ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธุรกิจของเล่น ขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากเดิมที่อาจอยู่ในกลุ่มเด็ก และผู้ชื่นชอบเฉพาะกลุ่ม เช่น ฟิกเกอร์ ตัวการตูน หรือของสะสมต่างๆ แต่ด้วยกระแสใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นทำให้คนจำนวนมากหันเข้ามาสู่วงการ Art Toy ดังนั้นอาจต้องติดตามว่า กระแสนี้จะยาวนานแค่ไหน และจะมีของเล่นใหม่ๆ เข้ามาสร้างสีสันอย่างต่อเนื่องหรือไม่ ​​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/asia/wang-ning-%e0%b8%a1%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a8%e0%b8%a3%e0%b8%a9%e0%b8%90%e0%b8%b5%e0%b8%9e%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%a5%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99" alt="Wang Ning มหาเศรษฐีพันล้าน ผู้ก่อตั้งอาณาจักรของเล่นรายใหญ่ในจีน">Wang Ning มหาเศรษฐีพันล้าน ผู้ก่อตั้งอาณาจักรของเล่นรายใหญ่ในจีน</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เทรนด์ ‘Kidult - Art Toy’ ของเล่นที่ผู้ใหญ่สะสม ปั้นธุรกิจไทยไซส์ S ให้ครองตลาดใหญ่รายได้กว่า 19,677 ล้าน

Barbie Inc. จากตุ๊กตา 3 เหรียญฯ สู่โลกธุรกิจสร้างฝันนับพันล้าน

เบื้องหลัง Funko บริษัทตุ๊กตาของสะสมมูลค่าพันล้าน

<h2>ตลาดของเล่นถูกครอบครองโดยบรรดายักษ์ใหญ่ แต่ Zuru สามารถเจาะตลาดได้ด้วยลูกโป่งน้ำกันรั่วซึมและสินค้าเลียนแบบราคาถูก</h2>
Nick Mowbray นั่งทำงานที่บ้านซึ่งเป็นแมนชั่นขนาด 12 ห้องนอนใน Coatesville ประเทศนิวซีแลนด์ ที่นี่เคยเป็นที่พำนักของ Kim Dotcom และที่บ้านหลังนี้เองที่ Dotcom ถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งมีอาวุธครบมือในปี 2012

ชีวิตของ Mowbray วัย 34 ปีนั้นเงียบสงบกว่า ดวงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิสาดแสงเจิดจ้าให้กับไร่องุ่นที่ให้ผลผลิตไวน์ 2,000 ขวดต่อปีของเขา ในขณะที่เขาอธิบายให้เราฟังว่า อะไรทำให้เขาสามารถใช้ชีวิตในรูปแบบนี้ได้

คำตอบก็คือ Zuruบริษัทของเล่นท่าเติบโตอย่งรวดเร็วซึ่งตัวเขาบริหารงานร่วมกับ Mat พี่ชายวัย 38 ปี และ Anna พี่สาววัย 36 ปี

“ปรัชญาของผมก็คือ ทำงานโดยใช้มาตรส่วนมาโดยตลอด” Mowbray กล่าวขณะที่เดินเตร่อยู่ในห้องสมุดภายในบ้านพักเนื้อที่ขนาด 48,000 ตารางฟุต ซึ่งมีพุ่มไม้ทำเป็นช่องทางเดินวกไปวนมาและมีสระว่ายน้ำแบบพูลแล็บในร่ม

<img class="alignnone size-full wp-image-25104" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/12/ZURU-Office.jpg" alt="" width="800" height="494" />

Zuru ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยพี่น้องตระกูล Mowbray ในปี 2003 เชี่ยวชาญในการผลิตของเล่นราคาถูกอย่าง Bunch O Balloons ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเป่าลูก ลูกโป่งน้ำ 100 ลูกได้ภายในเวลา 60 วินาที

บริษัทแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ฮ่องกง ซึ่งเป็นที่พำนักของ Mat และ Anna ทำให้ Zuru เสียภาษีในอัตราที่ถูก นอกจากนี้ พวกเขายังได้ทุ่มทุนมหาศาลกับระบบอัตโนมัติ เพื่อช่วยลดต้นทุนลงอีกในอนาคต

ปัจจุบัน Zuru วางจำหน่ายของเล่นใน 120 ประเทศและทำยอดขายต่อปีได้มากกว่า 300 ล้นเหรียญสหรัฐฯ Zuru ไม่มีหนี้สิน และไม่เคยหยิบยืมเงินลงทุนจากภายนอกเลย ยกเว้นเงินกู้ ซึ่งเป็นเงินทุนเริ่มต้นจำนวน 20,000 เหรียญ ที่หยิบยืมมาจากพ่อและแม่ ซึ่งเป็นวิศวกรและอาจารย์ สามพี่น้องเป็นเจ้าของธุรกิจซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านเหรียญ

“การเป็นคนนิวซีแลนด์ทำให้พวกเราค่อนข้างจะถ่อมเนื้อถ่อมตัว แต่นี่ก็เป็นการเดินทางที่น่าทึ่งจริงๆ” Anna ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการกล่าว (Nick และ Mat เป็นซีอีโอร่วม)

<img class="alignnone size-full wp-image-25105" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/12/Zuru1.jpg" alt="" width="466" height="262" />

Zuru เริ่มต้นจากการเป็นกิจกรรมสนุกๆ เมื่อ Mat อายุ 12 ปี เขาออกแบบชุดอุปกรณ์บอลลูนลมร้อนที่เป็นต้นแบบ เขาและ Nick เร่ขายอุปกรณ์ดังกล่าวไปทั่ว และในปี 2003 เมื่อ Nick อายุได้ 18 ปี พวกเขาก็ย้ายไปประเทศจีน เพื่อเปลี่ยนงานอดิเรกให้กลายเป็นธุรกิจจริงๆ

“คืนแรกเรานอนหลับกันในพุ่มไม้นอกสนามบินฮ่องกง” Nick เล่าถึงเรื่องราวในอดีต พวกเขาเช่าตึกสูง 8 ชั้นซึ่งไม่มีลิฟต์ที่นี่ในราคา 20 เหรียญต่อเดือน Anna ย้ายมา พักอยู่ที่นี่ด้วยในราว 1 ปีต่อมา

พี่น้องตระกูล Mowbray เริ่มต้นจำหน่ายสินค้าที่พวกเขามีอยู่แล้วอย่างเช่น บูมเมอแรงที่มีรูปร่างเหมือนกับเฮลิคอปเตอร์ ในที่สุดพวกเขาก็ผลิตของเล่นของตัวเองอย่าง Bunch O Balloons และคว่ำของเล่นแบรนด์ที่ติดตลาดแล้วอย่างปืนยิงลูกดอกของเล่นยี่ห้อ Nerf เมื่อเวลาผ่านไป พี่น้องตระกูล Mowbray กำลังกรุยทางเข้าสู่ห้างค้าปลีกชั้นนำทุกแห่งในสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึง Walmart, Target และ CVS

 “เราก็แค่ก้าวไปข้างหน้าด้วยทรัพยากรที่มีอยู่ของเราเอง ซึ่งเป็นแบบที่ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน” Nick กล่าว

<hr />

<a href="https://bit.ly/2PN8dcx">คลิกอ่านฉบับเต็ม “เกมแห่งการลอกเลียนแบบ” ได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2562 ได้ในรูปแบบ e-Magazine</a>

<img class="alignnone wp-image-23540" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/11/COVER-78-NOVEMBER.jpg" alt="" width="300" height="393" />

เกมแห่งการลอกเลียนแบบของ "Zuru" ผู้สร้างของเล่นเด็ก

<h2>Amy Norman และ Stella Ma ไม่ต่างจากพวกผู้ประกอบการย่าน Bay Area ส่วนใหญ่ที่ปรารถนาเงินทุนสนับสนุนจากกลุ่ม VC นั่นทำให้ทั้งคู่ต้องเดินสายพบปะนักลงทุนจำนวนมากเพื่อเสนอธุรกิจของเล่นเด็กในรูปแบบ “กระเป๋าอุปกรณ์นักเดินทาง” โชคดีที่ตอนนั้นไม่มีนักลงทุนรายใดสนใจร่วมลงทุน</h2>
ธุรกิจของพวกเธอมีชื่อว่า Little Passports ซึ่งจะมีกลุ่มลูกค้าเป็นเด็กอายุระหว่าง 6-10 ปี พวกเธอจะจัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าสมาชิกเหล่านี้ทางไปรษณีย์ สินค้าเป็นกระเป๋าบรรจุชุดอุปกรณ์ทำกิจกรรมที่สอดแทรกความรู้ทางภูมิศาสตร์ โดยคิดค่าบริการสมาชิกอยู่ที่ประมาณ 10.95 เหรียญสหรัฐฯต่อเดือน

ในปี 2009 ช่วงแรกที่ Amy Norman และ Stella Ma พยายามระดมทุน ปฏิกิริยาตอบกลับของนักลงทุนช่างเลวร้าย พวกเขาวิพากษ์วิจารณ์ว่า “หุ้นส่วนคนหนึ่งกำลังตั้งท้องลูกคนที่สอง ส่วนอีกคนมีลูกแล้วหนึ่งคน” “ไม่มีทางที่สองคนนี้จะทำโครงการนี้สำเร็จหรอก” คำพูดปรามาสเหล่านี้มาจากเหล่านักลงทุนที่มองว่าธุรกิจของพวกเธอจะพังไม่เป็นท่า

แต่หลังจากนั้นเกือบ 8 ปีทั้ง Norman และ Ma ได้พิสูจน์ผลงานเป็นที่ประจักษ์ พวกเธอปลุกปั้นกิจการ Little Passports ขึ้นมาได้สำเร็จและเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้า ในปี 2016 พวกเธอคาดว่ารายได้ของบริษัทจะพุ่งสูงถึง 30 ล้านเหรียญ และคาดการณ์ว่ากระแสเงินสดจะพลิกกลับเป็นบวกครั้งแรกในปีนี้

ถึงแม้ว่าพวกเธอจะได้รับเงินทุนสนับสนุนจากกลุ่มนักลงทุนอิสระประมาณ 5 ล้านเหรียญในช่วงที่ทำธุรกิจ แต่พวกเธอกลับไม่ประสบความสำเร็จในการระดมทุนผ่าน VC เอาเสียเลย ซึ่งจะว่าไปแล้วก็มีข้อดี เพราะนั่นทำให้พวกเธอขยายธุรกิจอย่างระมัดระวังและตั้งอยู่บนความพอประมาณ ไม่เทงบการตลาด หรือเช่าพื้นที่สำนักงานขนาดใหญ่ หรือว่าจ้างพนักงานที่ไม่มั่นใจว่าจะเพิ่มมูลค่าให้ธุรกิจ Norman บอกว่า “พวกเราต้องยืนด้วยลำแข้งของตัวเองให้เร็วที่สุดรวมถึงเคร่งครัดในเรื่องความมีวินัยทางการเงิน”

Norman วัย 42 ปี และ Ma วัย 44 ปี รู้จักกันที่ eBay ในเมือง San Jose ก่อนที่ทั้งคู่จะกลายเป็นเพื่อนสนิทกันในเวลาต่อมา ขณะทำงานอยู่ที่นั่น ทั้งคู่ต่างบ่มเพาะความคิดที่จะลงมือสร้างสรรค์ของเล่นเสริมทักษะความรู้ด้านภูมิศาสตร์โลกให้กับเด็ก

ครอบครัวของ Ma อพยพมาจากเมือง Guangzhou ในประเทศจีน และเธอเรียนจบด้านเอเชียตะวันออกศึกษาจาก Harvard University และสามารถพูดได้ทั้งภาษาจีนกวางตุ้งและภาษาญี่ปุ่น ส่วน Norman แม่ของเธอมาจากประเทศอังกฤษ Norman จบปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจจาก Wharton University และเคยทำงานมาแล้วทั้งบริษัทผู้สอบบัญชี KPMG และบริษัทที่ปรึกษา McKinsey

เดิมทีพวกเธอมีความเชื่อฝังหัวตามที่ได้ยินได้ฟังเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับ Silicon Valley ว่าการจะทำธุรกิจสตาร์ทอัพให้ประสบผลสำเร็จจำเป็นจะต้องมีเงินทุนสนับสนุนจาก VC แต่หลังจากธุรกิจของพวกเธอถูกปฏิเสธจากนักลงทุนครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งสองคนจึงตัดสินใจควักเงินส่วนตัวออกมาร่วมลงทุนทำธุรกิจคนละ 25,000 เหรียญ

พวกเธอลงมือสร้างสรรค์อุปกรณ์ต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น กระเป๋าจิ๋วสำหรับใส่บัตรกระดาษแข็ง สติกเกอร์ และของที่ระลึกต่างๆ เช่น จดหมายจาก Sam และ Sofia ซึ่งเป็นนักเดินทางรุ่นเยาว์ผู้เปี่ยมด้วยจินตนาการ จากนั้นพวกเธอได้นำของเล่นที่ทำขึ้นไปทดสอบกับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 50 ครอบครัว โดยผลการทดสอบพบว่า เด็กๆ รู้สึกตื่นเต้น ดีใจ และอยากจะได้รับของเล่นแบบนี้อีก

<figure><img class="wp-image-10862 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/07/19.1.png" alt="" width="680" height="393" /><figcaption> ตัวอย่างของเล่น Little Passports</figcaption></figure>

แต่แล้วได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันในช่วงก่อนจะเปิดตัวสินค้าได้เพียงไม่กี่วัน ชีวิตการแต่งงานของ Norman มาถึงทางตันขณะที่เธอกำลังตั้งท้องลูกคนที่สองได้ 8 เดือน และยังคงทรมานกับโรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีกภายหลังการคลอดบุตร ตามด้วยข่าวร้ายว่าพ่อของเธอเป็นโรคมะเร็งและจะมีชีวิตได้อีกเพียง 4 เดือน แต่ถึงแม้เพื่อนฝูงต่างแนะให้เธอหางานประจำที่มั่นคง เธอยังเลือกที่จะทำธุรกิจของตัวเองต่อ “ฉันต้องการอะไรก็ได้ที่จะดึงฉันให้พ้นจากเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้น ซึ่ง Little Passports เป็นคำตอบ”

ทั้ง Ma และ Norman ตกลงกันว่าจะไม่รับเงินเดือนในช่วงเริ่มต้นทำธุรกิจ ช่วงแรกพวกเธอทำงานอยู่ที่บ้านเป็นเวลาเกือบปี ก่อนจะยอมไปเช่าพื้นที่เล็กๆ ในเมือง San Francisco เป็นออฟฟิศ เพราะโจทย์หินของ Little Passports คือวัตถุดิบส่วนใหญ่นำเข้ามาจากประเทศจีน พวกเธอจึงต้องใช้เวลา 6 เดือนกว่าจะส่งสินค้าได้ ทำให้การบริหารเงินสดยากลำบาก

Norman เล่าว่า ถ้าตอนนั้นพวกเธอได้เงินร่วมลงทุนจาก VC พวกเธอคงจะถลุงเงินไปกับการทำการตลาดด้วยการว่าจ้างพวกเอเจนซี่ แต่เมื่อไม่มีเงินทุนสนับสนุน การใช้จ่ายเงินจึงเป็นไปด้วยความระมัดระวัง พวกเธอว่าจ้างฟรีแลนซ์มาถ่ายรูปสินค้า รวมถึงคิดหาวิธีทำธุรกิจโดยไม่ต้องสำรองจ่ายล่วงหน้า อย่างเช่น การลงโฆษณาสินค้าในบล็อกสนทนาของกลุ่มแม่เด็ก การลดราคาสินค้าผ่านเว็บไซต์คูปองส่วนลดต่างๆ เช่น Groupon ซึ่งวิธีแบบนี้สามารถสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจได้เหมือนกัน ต่างกันอยู่บ้างตรงที่อาจจะต้องใช้เวลาช้ากว่า

ในปี 2013 Norman ตัดสินใจเดิมพันการทำธุรกิจด้วยการควักเงินจำนวน 30,000 เหรียญเพื่อลงโฆษณาสินค้าผ่านฟีเจอร์ Lookalike Audience ของ Facebook นอกจากนี้ยังลงโฆษณาสินค้าในฟีดข้อมูลข่าวสารของกลุ่มโซเชียลบน Facebook ที่อาจจะสนใจสินค้า เช่น กลุ่มแฟนคลับของ Disney และกลุ่มแม่เด็กที่ขับขี่รถยนต์ยี่ห้อ Volvo ผลคือฐานลูกค้าของพวกเธอเพิ่มสูงขึ้นเป็น 3 เท่าในช่วงเวลาเพียงแค่ 6 เดือน

<img class="alignnone size-full wp-image-10864" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/07/19.2.png" alt="" width="680" height="383" />

ปัจจุบันบริษัทของเธอได้ย้ายออฟฟิศมาอยู่บนชั้น 7 ในย่านใจกลางเมือง San Francisco โดยออฟฟิศของเธอจะปิดทุกวันอังคารและวันศุกร์เพื่อให้พนักงานนั่งทำงานที่บ้าน พนักงานทั้งหมด 31 คนของ Little Passports กว่าครึ่งเป็นผู้หญิงและอีกกว่าครึ่งเป็นคนผิวสี

เมื่อปีที่แล้ว ทั้ง Norman และ Ma ยังคิดไม่ตกเรื่องการหาแหล่งเงินทุน เนื่องจากพวกเธออยากจะเพิ่มงบการตลาด พวกเธอจึงเอาสินค้าไปเสนอพวก VC อีกครั้ง แต่ไม่มีความคืบหน้า พวกเธอจึงนึกขึ้นได้ว่าทำไมตอนนั้นถึงตัดสินใจไม่ง้อเงินทุนจาก VC โดย Norman บอกว่า “ถ้าคุณจะรอแต่พึ่งเงินทุนจาก VC คุณก็จะตกเป็นทาสของมันเหมือนการติดยาเสพติดดีๆ นี่เอง เมื่อยาหมดคุณก็จะไม่คิดทำอะไรต่อ นอกจากรอให้ยาล็อตใหม่มาส่ง”

เมื่อคิดได้ดังนั้น พวกเธอจึงตัดสินใจขยายธุรกิจโดยใช้เงินสดที่มีอยู่ รวมถึงพิจารณาทางเลือกสินเชื่อจากธนาคารและแหล่งทุนจากกลุ่มไพรเวทอิควิตี้ สิ่งที่พวกเธอมุ่งมั่นในเวลานี้ คือ การทำวีดีโอประชาสัมพันธ์สินค้าผ่าน Netflix หรือ Amazon อันที่จริงพวกเธอยังไม่ได้ล้มเลิกความตั้งใจที่จะหาเงินทุนสนับสนุนจาก VC โดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะหากมันจะมาจากใครสักคนที่จะสามารถปั้น Little Passports ให้เจิดจรัสแบบ Disney ได้ Ma บอกว่า “เรามองตัวเองเป็นแบรนด์สินค้าเด็กที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต”

https://www.instagram.com/p/BSlX53TlW05/?utm_source=ig_embed

เรื่อง: Susan Adams
เรียบเรียง: ชนกานต์ อนันตคุณากร

<hr />

<a href="https://goo.gl/qT690n">คลิ๊กอ่านฉบับเต็ม "เรียนรู้โลกกว้างผ่านของเล่นสุดว้าว!" ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ กุมภาพันธ์ 2560</a>

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/93a16701dc17880c01dadd3fa399ba46.png" />

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events