<h2>บีโอไอชี้แจงข่าว “นิสสัน” ปิดโรงงาน เป็นแค่การรวมสายการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการต้นทุน และเตรียมความพร้อมสำหรับการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ในประเทศไทย ชี้ไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญในอาเซียน ยืนยันเดินหน้าลงทุนเพิ่ม ตามมาตรการส่งเสริมรถยนต์ไฮบริด (HEV) ที่ผ่านบอร์ดอีวีแล้ว</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตามที่มีรายงานข่าวว่า บริษัท นิสสัน มอเตอร์ จำกัด ประกาศปิดโรงงานผลิตรถยนต์ 3 แห่งทั่วโลก พร้อมลดกำลังการผลิตและปรับลดพนักงาน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของแผนปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยหนึ่งในโรงงานที่จะปิดเป็นโรงงานแห่งแรกของนิสสันในประเทศไทยนั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ภายหลังจากทราบข่าว บีโอไอได้หารือกับ นายโทชิฮิโระ ฟูจิกิ ประธานบริษัทนิสสัน ภูมิภาคอาเซียน และนิสสันประเทศไทย เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยผู้บริหารของนิสสันได้ชี้แจงว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นการรวมสายการผลิต (Line Integration) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุน และเป็นส่วนหนึ่งของแผนฟื้นฟูกิจการและปรับโครงสร้างธุรกิจทั่วโลกของนิสสัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยจะเป็นการรวมกระบวนการผลิตรถยนต์บางส่วนจากโรงงานที่ 1 ซึ่งเป็นโรงงานดั้งเดิมที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 ไปยังโรงงานที่ 2 ที่อยู่ในพื้นที่ติดกัน ซึ่งก่อตั้งในปี พ.ศ. 2557 พร้อมทั้งจะดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพสายการผลิต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยโรงงานที่ 1 จะถูกปรับให้เป็นโรงงานประกอบตัวถังและปั๊มขึ้นรูปชิ้นส่วน รวมถึงงานโลจิสติกส์ภายในโรงงาน&nbsp;ขณะที่การประกอบรถยนต์ของนิสสัน จะไปรวมอยู่ที่โรงงานที่ 2 ซึ่งนิสสันเตรียมเริ่มดำเนินการตามแผนตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปี พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป โดยความพยายามดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายในการปรับลดต้นทุนคงที่ในการดำเนินธุรกิจให้เหมาะสม และเตรียมความพร้อมสำหรับการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ในประเทศไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ผู้บริหารของนิสสัน ได้ยืนยันว่า ประเทศไทยจะยังคงเป็นตลาดสำคัญของนิสสันในภูมิภาคอาเซียน โดยฐานการผลิตในไทยเป็นเพียงประเทศเดียวในอาเซียนที่นิสสันเป็นผู้ลงทุนเอง อีกทั้งยังใช้ประเทศไทยเป็นฐานของสำนักงานภูมิภาค (Regional Headquarters) เพื่อกำกับดูแลกิจการในประเทศต่างๆ ในอาเซียนด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะเติบโต พัฒนาแบรนด์และธุรกิจในตลาดอาเซียนและประเทศไทยต่อไป โดยมีแผนจะลงทุนเพิ่มเติม เพื่อผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ในประเทศไทย ซึ่งมีแผนจะเปิดตัวในช่วงปี พ.ศ. 2569 - 2570 และจะขอรับการส่งเสริมตาม “มาตรการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า” ซึ่งจะมีการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับการผลิตรถยนต์ไฮบริด (HEV) เหลือร้อยละ 6 - 9 มีผลตั้งแต่เริ่มใช้โครงสร้างภาษีใหม่เป็นเวลา 7 ปี (พ.ศ. 2569 – 2575)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ มาตรการสนับสนุนรถยนต์ไฮบริด (HEV) ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เมื่อเดือนธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยได้กำหนดเงื่อนไขการลงทุน ดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;(1) ต้องมีการลงทุนในไทยเพิ่มเติม ไม่น้อยกว่า 3,000 ล้านบาท ภายในปี 2570&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;(2) ต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่ผลิตหรือประกอบในประเทศ โดยต้องใช้แบตเตอรี่ที่ผลิตในประเทศตั้งแต่ปี 2569 และต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญอื่นๆ เช่น Traction Motor, Reduction Gear, Inverter, BMS, DCU ตั้งแต่ปี 2571&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;(3) ต้องมีการติดตั้งระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ (ADAS) อย่างน้อย 4 จาก 6 ระบบ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;(4) ต้องมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) สูงสุดไม่เกิน 120 g/km โดยกรณีปล่อย CO2 ไม่เกิน 100 g/km กำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตร้อยละ 6 และกรณีปล่อย CO2 ตั้งแต่ 101 – 120 g/km กำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตร้อยละ 9&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;"รัฐบาลและบีโอไอมุ่งมั่นสนับสนุนผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นที่ได้ลงทุนในไทยมายาวนานกว่า 50 ปี เพื่อให้ยังคงมีความสามารถในการแข่งขัน และสามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างราบรื่น เห็นได้จากการที่บอร์ดอีวีและบีโอไอได้ออกมาตรการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น BEV, PHEV, HEV และ MHEV โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประเทศไทยเป็นผู้นำฐานการผลิตและส่งออกยานยนต์แห่งอนาคตของภูมิภาคและของโลก" นายนฤตม์ กล่าว เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/motoring/finance-and-investment/mazda-announces-mhev-investment-5000-million-thb" alt="‘มาสด้า’ ประกาศแผนลงทุน MHEV 5,000 ล้านบาทในไทย ตั้งเป้าผลิต 1 แสนคันต่อปี">‘มาสด้า’ ประกาศแผนลงทุน MHEV 5,000 ล้านบาทในไทย ตั้งเป้าผลิต 1 แสนคันต่อปี</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

บีโอไอแจงข่าว ‘นิสสัน’ ปิดโรงงาน แค่รวมสายการผลิต ยืนยันเดินหน้าลงทุนเพิ่ม

<h2>Honda และ Nissan มีแผนเจรจาการควบรวมกิจการเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ดียิ่งขึ้น หลังจากค่ายรถไฟฟ้าจากจีนเข้าบุกตลาดและจากอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว </h2> &nbsp; &nbsp; หนังสือพิมพ์ Nikkei ของญี่ปุ่นได้รายงานข้อมูลเมื่อวันอังคารที่ 17 ธ.ค. ที่ผ่านมาว่า บริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตยานยนต์ อย่าง ฮอนด้า มอเตอร์ และ นิสสัน มอเตอร์ อยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อควบรวมกิจการให้สามารถแข่งขันได้ดีขึ้นท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงทั่วโลกและจากการที่อุตสาหกรรมดังกล่าวกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว&nbsp;&nbsp; &nbsp; ฮอนด้าและนิสสันกำลังพิจารณาการดำเนินงานภายใต้บริษัทโฮลดิ้ง และเร็วๆ นี้ ก็คาดว่าจะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ ตามรายงาน อีกทั้งยังมีแผนที่จะนำ มิตซูบิชิ มอเตอร์ มาอยู่ภายใต้บริษัทโฮลดิ้งด้วยเช่นกัน เนื่องจากนิสสัน เป็นผู้ถือหุ้นสูงสุดด้วยสัดส่วนการถือหุ้น 24%&nbsp;&nbsp; &nbsp; ทั้งนี้ หากมีการควบรวมบริษัท Honda-Nissan-Mitsubishi เกิดขึ้นจะทำให้มียอดขายรถยนต์มากกว่า 8 ล้านคันต่อปี และจากข้อมูลของ Nikkei นั้น ยังเผยด้วยว่า การควบรวมที่จะเกิดขึ้นนี้ จะทำให้บริษัทเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก แต่ก็ยังต่ำกว่าบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นอย่าง Toyota Motor ที่มียอดขาย 11.2 ล้านในปี 2566 ขณะที่ Volkswagen ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมัน มียอดขาย 9.2 ล้านคัน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/ikNmUjf5oCPtQwGqWbxB.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="ikNmUjf5oCPtQwGqWbxB.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp; &nbsp; และจากแถลงการณ์ที่ปล่อยออกมาคล้ายกัน ทางฮอนด้าและนิสสันต่างไม่ได้ยืนยันหรือปฏิเสธผลของการรายงานดังกล่าว “บริษัทของเราไม่ได้เผยแพร่เนื้อหาที่รายงาน ซึ่งตามประกาศในเดือนมีนาคมปีนี้ ฮอนด้าและนิสสันกำลังสำรวจความเป็นไปได้ต่างๆ สำหรับการทำงานร่วมกันในอนาคต โดยใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของกันและกัน เราจะแจ้งให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของเราทราบถึงการอัปเดตใดๆ ในเวลาที่เหมาะสมอีกครั้ง” ฮอนด้าเผย&nbsp; &nbsp; อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวการควบรวมกิจการนี้ เกิดขึ้นหลังจากผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นทั้ง 2 รายดังกล่าวได้เข้าสู่ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เมื่อช่วงต้นปีเกี่ยวกับการใช้ส่วนประกอบและซอฟต์แวร์ยานยนต์ร่วมกัน&nbsp; &nbsp; การผนึกกำลังดังกล่าว น่าจะเป็นการควบรวมกิจการอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ Fiat Chrysler ได้เข้าร่วมกับ PSA Groupe ในฝรั่งเศสเพื่อก่อตั้ง Stellatiss ในเดือนมกราคม 2564&nbsp; &nbsp; อีกทั้งเมื่อเร็วๆ นี้ ที่ปรึกษาด้านยานยนต์และผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ ต่างเรียกร้องให้เพิ่มการควบรวมและซื้อกิจการเพื่อแบ่งปันต้นทุนและแข่งขันกับผู้ผลิตรถยนต์จากจีนที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว รวมถึงผู้นำรถยนต์ไฟฟ้าล้วนของสหรัฐฯ อย่าง Tesla ด้วย&nbsp; &nbsp; สำหรับหุ้นฮอนด้าที่ซื้อขายผ่านตลาดในสหรัฐฯ หลังจากปิดตัวในวันอังคารได้ดีดตัวขึ้นมาประมาณ 1% ขณะที่หุ้นของ Nissan ซึ่งอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้าง ได้พุ่งตัวสูงขึ้นมากกว่า 11% ภาพ: Nissan แปลและเรียบเรียงจากบทความ:&nbsp;<a href="https://www.cnbc.com/2024/12/17/japans-honda-and-nissan-to-reportedly-begin-merger-talks.html" alt="Japan’s Honda and Nissan to reportedly begin merger talks">Japan’s Honda and Nissan to reportedly begin merger talks</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :<a href="https://www.forbesthailand.com/news/motoring/global/nissan-ceo-cuts-salary-in-half-company-laying-off" alt="วิกฤต Nissan! เตรียมเลิกจ้างพนักงาน 9,000 คน หั่นเงินเดือน CEO ลงครึ่งหนึ่ง">วิกฤต Nissan! เตรียมเลิกจ้างพนักงาน 9,000 คน หั่นเงินเดือน CEO ลงครึ่งหนึ่ง</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Honda และ Nissan 2 ค่ายยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น อยู่ระหว่างเจรจาควบรวมกิจการ

‘กลุ่มสยามกลการ’ ทุ่ม 9,500 ล้านบาทใน 3 ปี เน้นลงทุนธุรกิจใหม่ ลดพึ่งพิงธุรกิจยานยนต์แบบเดิม

<h2>นิสสันจุดประกายสร้างความตื่นเต้นในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 กับ “นิสสัน ไฮเปอร์ ทัวร์เรอร์ (Hyper Tourer)” รถยนต์ไฟฟ้ามินิแวนต้นแบบ ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ จัดแสดงในไทยเป็นประเทศแรก หลังเปิดตัวในงาน เจแปน โมบิลิตี้ โชว์ เมื่อปลายปีที่ผ่านมา</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อิซาโอะ เซคิกุจิ ประธาน นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย และนิสสัน อาเซียน กล่าวว่า “นิสสัน เชื่อมั่นในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนขณะเดินทางด้วยกัน ดังนั้น รถยนต์ต้นแบบ ไฮเปอร์ ทัวร์เรอร์ จึงสะท้อนมุมมองใหม่ของนิสสันที่มีต่อการเดินทางด้วยกันได้อย่างชัดเจน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชากรในอาเซียน เราเชื่อว่าแนวคิดการพัฒนารถต้นแบบ นิสสัน ไฮเปอร์ ทัวร์เรอร์ จะช่วยให้เรายกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในอนาคต และมีความสุขกับการเดินทางได้อย่างหรูหรา สะดวกสบาย”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/wWDWxnrqtf6r6kGGhn4X.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="wWDWxnrqtf6r6kGGhn4X.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นิสสัน ไฮเปอร์ ทัวร์เรอร์ เป็นหนึ่งในรถต้นแบบ 5 รุ่น ที่นิสสันเปิดตัวในงานเจแปน โมบิลิตี้ โชว์ 2023 มินิแวนรุ่นนี้ผสมผสานจิตวิญญาณของการให้บริการแบบญี่ปุ่นเข้ากับเทคโนโลยีขั้นสูง อาทิ การขับขี่อัตโนมัติ ฟังก์ชัน V2X หรือ (vehicle-to-everything) และแบตเตอรี่ไฟฟ้าความจุสูงยังช่วยให้สามารถจ่ายไฟฟ้าให้กับบ้าน ร้านค้า และสำนักงาน ขณะเดินทาง หรือทำกิจกรรมทางธุรกิจต่างๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รูปลักษณ์ภายนอกของรถยนต์รุ่นนี้สื่อถึงความรู้สึกสบายที่มาจากภายใน ด้วยรูปโฉมภายนอกตัวถังที่เรียบลื่นไหล มีเส้นสายที่เฉียบคม เข้ากันได้ดีกับรูปลักษณ์ที่ดูโอ่อ่ากลมกลืนกับภูมิทัศน์โดยรอบ พื้นที่ห้องโดยสารภายในกว้างขวางเป็นผลมาจากวิสัยทัศน์ด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าของนิสสัน ซึ่งรวบรวมชิ้นส่วนขนาดเล็ก และแบตเตอรี่แบบ Solid-state ไว้อย่างกะทัดรัดและลงตัว เพื่อให้เกิดนวัตกรรมยานยนต์ที่มีความสร้างสรรค์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่คอนโซลเหนือศีรษะและไฟส่องสว่างมีลวดลายแบบคูมิโกะ และโคอุชิ อันเป็นลักษณะเฉพาะแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมที่สร้างความรู้สึกหรูหรา ในขณะที่พื้นห้องโดยสารประกอบด้วยแผง LED แสดงภาพคล้ายแม่น้ำ และท้องฟ้า ช่วยสร้างความผ่อนคลายที่ผสมผสานสไตล์ ที่มีทั้งความเป็นดิจิทัล และความธรรมชาติเข้าด้วยกันอย่างลงตัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รถยนต์ต้นแบบคันนี้มาพร้อมกับระบบควบคุมการขับขี่ e-4ORCE จากนิสสัน จะช่วยควบคุมล้อทั้งสี่ได้อย่างแม่นยำทั้งตอนเร่ง และชะลอความเร็ว ด้วยการขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถใช้เวลากับเพื่อนร่วมทางได้อย่างเต็มที่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เบาะหน้าสามารถปรับหมุนได้ 360 องศา ช่วยให้ผู้โดยสารตอนหน้า และตอนหลังสามารถหันมาพูดคุยกันได้อย่างสะดวก ผู้โดยสารตอนหลังสามารถใช้จอแสดงผลแบบสวมใส่ (wearable display) เพื่อดู และใช้งานระบบนำทาง และควบคุมเครื่องเสียงบนจอแสดงผลตรงกลางเบาะหน้า ช่วยให้ผู้โดยสารทุกคนรู้สึกสะดวกสบาย และมีส่วนร่วมในการเดินทาง​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/LFvYb3bJ1gKdhEC5Hfnm.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="LFvYb3bJ1gKdhEC5Hfnm.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ระบบ AI สามารถตรวจจับข้อมูลแบบไบโอเมตริค biometrics อาทิ คลื่นสมอง อัตราการเต้นของหัวใจ การหายใจ และเหงื่อ สามารถเลือกเพลงอัตโนมัติ และปรับบรรยากาศในห้องโดยสารให้เหมาะกับอารมณ์ในช่วงนั้นๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ นิสสัน ยังเผยโฉม นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ สตาร์ อิดิชั่น และรถยนต์ครบทุกรุ่นที่บูทของนิสสันภายในงานด้วย ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 มีนาคม - 7 เมษายน 2567 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ “SAY YES” ที่มีข้อเสนอพิเศษหลากหลาย ตั้งแต่ดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น 0% ไปจนผ่อนนาน 96 เดือน ช่วยให้ลูกค้าเป็นเจ้าของรถยนต์คุณภาพจากนิสสันได้ง่ายมากยิ่งขึ้น เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/motoring/xpeng-launch-in-thailand" alt="XPENG ขนทัพยานยนต์อัจฉริยะ เปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทย พร้อมให้จองรุ่น X6 ในงานมอเตอร์โชว์">XPENG ขนทัพยานยนต์อัจฉริยะ เปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทย พร้อมให้จองรุ่น X6 ในงานมอเตอร์โชว์</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

นิสสันอวดโฉม Hyper Tourer คอนเซ็ปต์คาร์สุดล้ำจากญี่ปุ่น ขับเคลื่อนอัตโนมัติ

วันแม่ปีนี้ นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ ชวนทุกคนเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ รักแม่แบบรักษ์โลก

<h2>นิสสัน ตั้งเป้าปี 2023 ยอดขายรถโตขึ้น 40% อยู่ที่ 35,000 คัน แม้ตลาดรถปิกอัพโดยรวมปรับตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัด จากปัญหาความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อประกอบกับชิ้นส่วนรถยนต์ขาดแคลนทำให้ไม่สามารถส่งมอบรถได้ เล็งศึกษารถรุ่นใหม่ใช้พลัง e-Power หรือ BEV</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อิซาโอะ เซคิกุจิ ประธาน นิสสัน ประเทศไทย และประธาน นิสสัน อาเซียน เผยว่า ตลาดรถยนต์โดยรวมของไทยปีนี้ เดิมคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 900,000 คัน แต่จากสถานการณ์ผ่าน 4 เดือนแรกทำให้ปรับประมาณการณ์ใหม่ โดยคาดว่าจะอยู่ระหว่าง 850,000-900,000 คัน เนื่องจากปัจจัยลบหลายรายการ โดยเฉพาะการหดตัวลงของรถปิกอัพ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ตลาดปิกอัพโดยรวมมีการปรับตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยมีสัดส่วนการขายต่ำกว่า 40% ของตลาดรวมทั้งหมด ซึ่งปกติจะมีสัดส่วนสูงเกือบ 50% ซึ่งสาเหตุผลสำคัญมาจากการเข้มงวดของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อ ตามนโยบายของรัฐบาล ประกอบกับปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนทำให้ไม่สามารถส่งมอบรถยนต์ให้ลูกค้าได้​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/HFvEoqovahMcjEVZ5FRX.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="HFvEoqovahMcjEVZ5FRX.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ก่อนหน้านี้นิสสันประสบปัญหาขาดแคลนชิ้นส่วนในการประกอบรถยนต์อย่างมากทำให้มีรถส่งมอบน้อย ปัญหาดังกล่าวได้รับการแก้ไขแล้ว แต่ยังมีบางส่วนที่ได้รับผลกระทบอยู่ ดังนั้นเราจึงตั้งเป้ายอดขายของปีงบประมาณ 2023 ไว้ที่ 35,000 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขาย 20,500 คัน หรือเติบโตราว 40% โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาทำตลาดรถยนต์รุ่นใหม่” เซคิกุจิ กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับรถรุ่นใหม่ ที่กำลังศึกษาข้อมูลอยู่นั้น คาดว่าจะเป็นรถที่ใช้เทคโนโลยี e-Power ซึ่งได้รับความนิยมและยอมรับจากผู้บริโภคชาวไทย ส่วนรถยนต์ไฟฟ้ายังอยู่ในแผนการทำตลาดด้วยเช่นเดียวกัน แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นรถรุ่นใด ซึ่งนิสสันมีทั้ง อริยะ , ซากูระ และ ลีฟ ที่ปัจจุบันยังคงจำหน่ายอยู่ โดยล็อตใหม่อยู่ระหว่างการดำเนินการให้เหมาะสมกับสภาพตลาด <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/5Es2WhcA7G55wv364tJw.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="5Es2WhcA7G55wv364tJw.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“นิสสัน ลีฟ รถยนต์ไฟฟ้า 100% ยังคงมีจำหน่ายอยู่ ซึ่งรัฐบาลวางนโยบาย 30@30 คือให้รถยนต์ไฟฟ้ามีสัดส่วนการขาย 30%ของตลาดรวม แต่ต้องไม่ลืมว่าอีก 70% ยังเป็นรถน้ำมัน ฉะนั้นส่วนใหญ่ของตลาดจึงยังเป็นรถที่ใช้น้ำมัน อนึ่ง ปัญหาเรื่องแอร์ของนิสสัน คิกส์ ยอมรับและขออภัยลูกค้าทุกคน นิสสันกำลังเร่งที่หาสาเหตุที่แท้จริง และแก้ปัญหาให้ตรงจุดในขั้นสุดท้าย ซึ่งเราจะทำอย่างรวดเร็วที่สุดคาดว่าอีกไม่กี่วันจะสำเร็จ” เซคิกุจิ กล่าว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/J4ZXRaXECFSZT5tBxbjc.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="J4ZXRaXECFSZT5tBxbjc.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ล่าสุดนิสสัน ได้ส่งรถยนต์ อัลเมร่า รุ่นปรับปรุงโฉมใหม่ออกมาเพื่อกระตุ้นยอดขายโดยหวังเป้าหมายได้สัดส่วนตลาดราว 8% หรือประมาณ 14,000 คัน โดยตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็กมีประมาณ 180,000 คัน หรือราว 20% ของตลาดรวม อ่านเพิ่มเติม:&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%87-%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%AA-1-%E0%B8%9B%E0%B8%B5-66-%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4-1-2-%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99" alt="&quot;การบินไทย&quot; รายได้พุ่งไตรมาส 1 ปี 66 ทำกำไรสุทธิ 1.2 หมื่นล้านบาท">"การบินไทย" รายได้พุ่งไตรมาส 1 ปี 66 ทำกำไรสุทธิ 1.2 หมื่นล้านบาท</a>​ <hr class="__se__solid">​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

"นิสสัน" ไม่หวั่นตลาดรถปิกอัพแผ่ว ตั้งเป้าปี 2023 ยอดขาย 35,000 คัน

Ramesh Narasimhan ขับเคลื่อนนิสสันไทยโตยั่งยืน

Nissan เปิดตัว "Kicks" เอสยูวีใหม่ในไทย พลัง "อี-พาวเวอร์" รถไฟฟ้าใช้น้ำมัน

Nic Thomas นำทาง Nissan ปลดปล่อยเทคโนโลยี รถยนต์ไฟฟ้า

<h2>เป็นปีที่สองติดต่อกันที่ Nissan มีนัดพูดคุยกับ Forbes Thailand Online ซึ่งครั้งนี้ Yutaka Sanada ในฐานะ senior vice president for Nissan in Asia and Oceania ที่ร่วมการแถลงข่าวในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งใหญ่ของประเทศไทยที่ผ่านมา</h2>
จากการพูดคุย เราได้รับรู้ทิศทางธุรกิจจากNissan ที่ฉายภาพความเชื่อมั่นซึ่งมีต่อประเทศไทยและทิศทางในการพัฒนายานยนต์พลังงานไฟฟ้าโดยมีสิ่งที่เรียกว่า “Nissan intelligent Mobility” เป็นโครงความคิดสำคัญ

ทิศทางNissan ของเอเชียและไทยอยู่ในส่วนหนึ่งของแผนระยะกลางที่ได้ประกาศไปแล้วทั่วโลกเมื่อต้นปี 2018 ที่เรียกว่า “M.O.V.E 2022” โดยมีเป้าหมายหลักในการขายรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเป็นจำนวน 1 ล้านคันในทั่วโลกในอีก 3 ปีที่มาถึง

ในแผนระยะกลางดังกล่าว มีสิ่งสำคัญที่ให้ความสำคัญคือ “ผู้บริโภค” ซึ่งสิ่งที่ค่ายยานยนต์แห่งนี้ได้ทำไปแล้วคือการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับภูมิภาคนั้นๆ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการเปิดตัวNissan Terra ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภูมิภาคที่ใช้เป็นฐานในการพัฒนาและการผลิต

Nissanมีโครงความคิดที่ใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์สู่นวัตกรรมใหม่เรียกว่า“Nissan intelligent Mobility” และต่อยอดก่อให้เกิดเป็นแนวทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ แนวทางการพัฒนาพลังงานสะอาด และ แนวทางในการนำเทคโนโลยีต่างๆ เกี่ยวข้องกับการเชื่อมต่อ “รถยนต์เข้ากับชีวิตประจำวัน”

Sanada เล่าต่อว่า “Nissan intelligent Mobility” มีหัวใจการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ได้นำเสนอต่อผู้บริโภคใน 3 ประเด็นหลักคือ การพัฒนาการขับขี่ให้ปลอดภัยและสะดวกสบายมากขึ้น การพัฒนานำเสนอเครื่องยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น และประเด็นสุดท้ายคือการพัฒนาในเรื่องการเชี่อมต่อ

ซึ่งการเชื่อมต่อที่ว่าจะไม่ใช่การที่รถยนต์ที่เชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถืออีกต่อไป แต่รถยนต์ไฟฟ้าจะถูกเชื่อมต่อเป็นโครงข่ายไฟฟ้า ทำหน้าที่เป็นแหล่งจ่ายพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานทดแทนหรือลดแทนการใช้งานภายในบ้าน ซึ่งทั้ง 3 ประเด็นหลักเหล่านี้ เป็นสิ่งที่มุ่งนำเสนอให้กับลูกค้า

ฟังแล้วอนาคตNissan จะมีรถยนต์ไฟฟ้าเปิดตัวมากแค่ไหน? Sanada เสริมว่าเราเพิ่มสัดส่วนของรถยนต์ไฟฟ้าแน่นอน ในวันนี้เรามีการเปิดตัวNissan Leaf ซึ่งเชื่อว่าสามารถนำส่งรถยนต์ในช่วงเดือนเมษายน 2562 สำหรับลูกค้าในประเทศไทย

การเปิดตัวNissan Leaf ถือเป็นก้าวแรกที่เราได้เตรียมความพร้อมสำหรับเครื่องยนต์ไฟฟ้า เราเตรียมพัฒนาให้การขับขี่อันมีสัมผัสเดียวกับเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน จึงเกิดเป็นโมเดลNissan Leaf ที่นำเข้ามาจำหน่ายสำหรับลูกค้าในประเทศไทย

ซึ่งในเรื่องการชาร์ตเครื่องยนต์ เราทำงานกับพาร์ทเนอร์เพื่อให้ใช้หัวจ่ายไฟฟ้าแบบเดียวกัน ราวเดือนกันยายน 2561 มีชาร์จมากกว่า 244 จุด ทั่วประเทศไทย แบ่งเป็นจุดชาร์ตแบบเร่งด่วน 104 จุด และจุดชาร์ตแบบธรรมดา 140 จุด

สำหรับความคาดหวังของNissan Leaf ในประเทศไทย Sanada เปิดเผยว่าสำหรับNissan Leaf เราถือว่าเป็น Icon ของแนวคิดเรื่อง “Intelligent Mobility” ดังนั้นNissan Leaf จะเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนสำหรับตอบโจทย์กับลูกค้าของเรา ว่าสิ่งที่Nissan พยายามนำเสนอในเรื่อง “Intelligent Mobility” มันคืออะไร

<img class="alignnone wp-image-3718 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/e_Power_02_en.jpg" alt="e-POWER" width="630" height="360" />

อีกก้าวสำหรับNissan ในวันนี้คือการนำเสนอเครื่องยนต์ที่เรียกว่า e-POWER โดยการทำงานของ e-POWER จะเป็นเครื่องยนต์สันดาปภายในและแบตไฟฟ้าอยู่ร่วมกันซึ่งเครื่องยนต์ทำหน้าที่ปั่นไฟฟ้าแล้วจ่ายกระแสไฟให้กับมอเตอร์ในการขับเคลื่อน ในญี่ปุ่นเรานำเครื่องยนต์แบบ e-POWER ในรถยนต์สองรุ่นคือNissan Note และNissan Serina ซึ่งทั้งสองรุ่นก้าวขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งในเซกเม้นต์การขายที่รถทั้งสองรุ่นทำตลาดอยู่

จากงานวิจัยด้านความพึงพอใจ ลูกค้าของเราต่างชื่นชอบในเรื่องของเทคโนโลยีและความรู้สึกที่ดีแห่งการขับขี่ ทั้งในเรื่องของการอัตราการเร่ง ความเงียบ การที่คู่แข่งของเราก็มีความโดดเด่นในเรื่องเครื่องยนต์แบบ Hybrid และเราสามารถเบียดเข้ามาเป็นอันดับหนึ่งทำให้เรามั่นใจยิ่งขึ้น

แล้วอนาคตอะไรที่ตอบโจทย์ของผู้บริโภค? Sanada เผยว่าอนาคตที่จะมาถึงคือ “การเชื่อมต่อ” และ “การขับขี่อัตโนมัติ” ซึ่งระบบการขับขี่อัตโนมัติของเรามีหลายระดับมาก ระบบการขับขี่อัตโนมัติถูกนำไปใช้แล้วในต่างประเทศอย่าง ญี่ปุ่น อเมริกา ซึ่งแผนในการนำเสนอในเรื่องการขับขี่อัตโนมัติNissan ได้ทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เนื่องจากเงื่อนไขในแต่ละประเทศก็ไม่เหมือนกัน อาทิ สัญญาณไฟจราจรที่แต่ละประเทศ การรุกทำตลาด

เมื่อ Forbes Thailand Online ได้ถามถึงการลงทุนของNissan สำหรับประเทศไทย?

Sanada เผยว่าตอนนี้แผนในการลงทุนในไทยเกิดขึ้นไปแล้วดูได้จากสิ่งที่เราได้ลงทุนและให้ความสำคัญกับประเทศไทย ฟาซิลิตี้ ของเราอยู่ที่นี่ เฮดควอเตอร์ก็ที่อยู่ที่นี่ รีจินอล เฮดควอเตอร์ อาร์แอนด์ดี ศูนย์ทดสอบอยู่ที่นี่หมด แม้ตอนนี้จะยังไม่แผนการลงทุนแต่ประเทศไทยจะเป็นที่แรกๆ ที่เราตัดสินใจลงทุน

สำหรับภาพรวมตลาดรถยนต์ในประเทศไทยถือว่าดีซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี ในขณะที่คู่แข่งของเราก็แข็งแกร่งเหมือนกัน ภาพที่เราอยากจะเห็นอยากจะเป็นและอยากจะไป คือเรื่องที่เราเน้นที่ลูกค้าของผลิตภัณฑ์และการบริการเพื่อตอบโจทย์ลูกค้ามากยิ่งขึ้น

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events