<h2>บี.กริม เพาเวอร์ กดปุ่ม COD โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ 14 เมกะวัตต์ ในประเทศญี่ปุ่น รุกขยายพอร์ตพลังงานทดแทนทุกภูมิภาคทั่วโลก มุ่งสู่เป้าหมาย Net-Zero</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัท Odakura Kuchinashi Solar Park LLC ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ Lohas ECE Spain Gifu Co., Ltd. ถือหุ้น 100% ประกาศเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน กำลังการผลิตติดตั้ง 14 เมกะวัตต์ในประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งนี้ตั้งอยู่ที่นิชิชิราคาวะ จังหวัดฟุกุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับบริษัท Tohoku Electric Power Corporation มีกำลังการผลิตตามสัญญา 10 เมกะวัตต์ (MWac) ด้วยอัตรารับซื้อไฟฟ้าแบบ Feed-in Tariff (FiT) ที่ 24 เยนต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 16 ปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การเปิด COD ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน ณ ประเทศญี่ปุ่นในครั้งนี้ เป็นไปตามเป้าหมายของ บี.กริม เพาเวอร์ ที่มุ่งขยายพอร์ตการลงทุนในโครงการพลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่องครอบคลุมทั้งในประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ประเทศไทย รวมถึงภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ยุโรป ตะวันออกกลาง และประเทศสหรัฐอเมริกา พร้อมมุ่งหาโอกาสการลงทุนในประเทศที่มีนโยบายภาครัฐที่เอื้อต่อการเติบโตเพื่อบรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ก้าวสู่บริษัทพลังงานชั้นนำระดับโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ระยะยาวของ บี.กริม เพาเวอร์ “GreenLeap-Global and Green” พร้อมเดินหน้ายกระดับความร่วมมือทางธุรกิจระดับโลกกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ ตามวิสัยทัศน์องค์กร “สร้างพลังให้กับสังคมโลกด้วยความโอบอ้อมอารี (Empowering the World Compassionately)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับทิศทางและเป้าหมายของ บี.กริม เพาเวอร์ ในระยะยาว ภายในปี 2573 ตั้งเป้าขยายการลงทุนสู่กำลังการผลิต 10,000 เมกะวัตต์ จากโครงการที่เปิดดำเนินการแล้วและโครงการระหว่างก่อสร้างและพัฒนา โดยมากกว่า 50% เป็นสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน และมีเป้าหมายก้าวสู่องค์กรที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Carbon Emissions ภายในปี 2593 หรือ ค.ศ. 2050 ภาพ: บี.กริม เพาเวอร์ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/egco-group-new-contract-philippine-mar-2025" alt="EGCO Group คว้าสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 15 ปีในฟิลิปปินส์">EGCO Group คว้าสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 15 ปีในฟิลิปปินส์</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

บี.กริม กดปุ่ม COD โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ใน ‘ญี่ปุ่น’ ขยายพอร์ตพลังงานทดแทนทั่วโลก

<h2>บี.กริม เพาเวอร์ ได้รับคัดเลือกเข้า S&amp;P Global Sustainability Yearbook 2025 ต่อเนื่องปีที่ 4 พร้อมขยับสู่ Top 5% ของกลุ่มสาธารณูปโภคไฟฟ้าโลก</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนด้วยการได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิก S&amp;P Global Sustainability Yearbook 2025 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 พร้อมยกระดับสู่กลุ่ม Top 5% ของอุตสาหกรรมสาธารณูปโภคไฟฟ้า จากระดับ Top 10% ในปีก่อนหน้า สะท้อนถึงการยอมรับในระดับสากลตลอดจนการยกระดับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) อย่างต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภายใต้ปรัชญาการดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารีของ บี.กริม ซึ่งยึดถือมาตลอด 147 ปี บี.กริม เพาเวอร์ มุ่งสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ควบคู่กับการลงทุนในพลังงานสะอาด เสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ภาคอุตสาหกรรม พร้อมนำเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รวมถึงพัฒนาโซลูชั่นด้านพลังงาน ลดการใช้ทรัพยากร และปรับปรุงกระบวนการผลิตพลังงานให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน และการส่งเสริมการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้วยแนวทางการดำเนินธุรกิจบนรากฐานของความยั่งยืน บี.กริม เพาเวอร์ ได้รับการยอมรับจากผู้ประเมินทั้งในระดับประเทศและระดับสากล โดยได้รับการประเมิน SET ESG Ratings ระดับสูงสุด AAA ประจำปี 2567 พร้อมครองอันดับหุ้นยั่งยืนเป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมถึงได้รับคัดเลือกให้อยู่ในดัชนี FTSE4Good Index Series ด้วยคะแนน 4.5 จาก 5 คะแนน และคะแนนเต็ม 5 ในมิติธรรมาภิบาล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บี.กริม เพาเวอร์ ยังคงมุ่งมั่นผสานความยั่งยืนเข้ากับการดำเนินงาน สร้างสมดุลระหว่างคุณค่าทางเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม เสริมสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน ลูกค้า และพันธมิตรทางธุรกิจ พร้อมเดินหน้าบรรลุเป้าหมายการเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2593&nbsp; &nbsp; ทั้งนี้ The S&amp;P Global Sustainability Yearbook&nbsp;เป็นรายงานการจัดอันดับความยั่งยืนองค์กรประจำปีระดับสากล โดยอิงจากการประเมินความยั่งยืนขององค์กรใน Corporate Sustainability Assessment (CSA) ที่ดำเนินการโดย S&amp;P Global ซึ่งพิจารณาจากปัจจัยสำคัญทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) เพื่อสะท้อนถึงความสามารถของบริษัทในการจัดการความเสี่ยงและโอกาสด้านความยั่งยืน ซึ่งในปี 2568 มีบริษัทได้รับการรับรองให้เป็นสมาชิก 780 บริษัท จากกว่า 7,690 บริษัทที่เข้าร่วมประเมินจากทั่วโลก เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/csr-sustainability/cpac-cpac-ev-mixer-truck" alt="CPAC อัปเลเวลความกรีน เปิดตัวรถโม่พลังงานไฟฟ้าแห่งแรกในภาคเหนือ">CPAC อัปเลเวลความกรีน เปิดตัวรถโม่พลังงานไฟฟ้าแห่งแรกในภาคเหนือ</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

บี.กริม อัปเกรดความยั่งยืนโลกสู่ Top 5%

<h2>บี.กริม เพาเวอร์ โชว์กำไรสุทธิจากการดำเนินงานไตรมาส 3/67 เติบโตแข็งแกร่ง ยอดขายไฟฟ้าเติบโต เดินหน้าลงทุนโรงไฟฟ้าหมุนเวียน ตอกย้ำผู้นำพลังงานสะอาด</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2567 เติบโตแข็งแกร่ง มี EBITDA อยู่ที่ 4,183 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.4% ด้วยปริมาณขายไฟฟ้าเติบโต 7.5% มาอยู่ที่ 3,908 กิกะวัตต์-ชั่วโมง เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักจาก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. ปริมาณไฟฟ้าขายให้แก่ กฟผ. เพิ่มขึ้น 12.9% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์โครงการโรงไฟฟ้าอุตสาหกรรม (SPP) 2 โครงการ ในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2566 รวมกำลังการผลิตติดตั้ง 280 เมกะวัตต์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. ปริมาณไฟฟ้าขายให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรม (IUs) ในประเทศเวียดนาม รวมทั้งปริมาณขายไอน้ำในประเทศไทยที่เติบโตขึ้น 41.4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากการขยายกำลังการผลิตของลูกค้าเดิม และความต้องการที่เพิ่มขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน (NNP) – ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ อยู่ที่ 808 ล้านบาท เติบโต 32.5% เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปัจจัยหลักที่กล่าวไปข้างต้น รายได้จากการให้บริการที่สูงขึ้น และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ กำไรสุทธิ – ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ ซึ่งเป็นกำไรที่รวมผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) ที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง และเป็นรายการที่ไม่ใช่เงินสด จะอยู่ที่ 163 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความสำเร็จตลอดช่วง 9 เดือนของปี 2567 บี.กริม เพาเวอร์ มีการเชื่อมเข้าระบบของลูกค้า IUs รายใหม่ในประเทศไทยจำนวน 11.2 เมกะวัตต์ และจะมีการเชื่อมเข้าระบบของลูกค้า IUs รายใหม่เพิ่มในไตรมาสที่ 4 ด้วยโครงการที่มีในปัจจุบันนับเป็นรากฐานที่ดีที่จะช่วยให้ บี.กริม เพาเวอร์ เติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในไตรมาส 3 นี้ บี.กริม เพาเวอร์ ประสบความสำเร็จในการนำเข้า LNG ลำแรก จำนวน 65,000 ตัน และลำที่สองในเดือนตุลาคม 2567 เพื่อนำเข้าสู่ระบบ Pool Gas โดยในช่วงเริ่มต้น ก๊าซที่นำเข้าจะส่งผ่านไปยังระบบ Pool Gas เพื่อเป็นเชื้อเพลิงให้กับโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมของบริษัททั้งสิ้น 10 โครงการ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ยังประสบความสำเร็จจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Lohas ECE Spain Gifu Co., Ltd. ในประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิตติดตั้ง 20 เมกะวัตต์ และมีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ระยะเวลา 25 ปี ของบริษัทย่อยและการร่วมค้าจำนวน 8 บริษัท เพื่อพัฒนาและดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาดโครงการรวม 323.3 เมกะวัตต์ มีกำหนดเปิด COD ตั้งแต่ปี 2569 ถึง 2573&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ไตรมาส 4 ปี 2567 เตรียมเปิด COD โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 2 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ อู่ตะเภา เฟสหนึ่ง และ 2) โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมแบบติดตั้งบนบก KOPOS ในสาธารณรัฐเกาหลี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าวว่า เป้าหมายระยะยาวของ บี.กริม เพาเวอร์ คือการเพิ่มกำลังผลิตสู่ 10,000 เมกะวัตต์ ในปี 2573 พร้อมตั้งเป้าหมายสู่การเป็นผู้ผลิตพลังงานชั้นนำระดับโลกและบรรลุเป้าหมายการก้าวสู่องค์กรที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero Carbon Emissions) ภายในปี 2593 เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/other/b-grimm-power-first-half-2024-revenue" alt="‘บี.กริม เพาเวอร์’ ครึ่งปีแรก 67 กำไรสุทธิ 1,091 ล้าน โต 2.3% หลังขายไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้น 10.4%">‘บี.กริม เพาเวอร์’ ครึ่งปีแรก 67 กำไรสุทธิ 1,091 ล้าน โต 2.3% หลังขายไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้น 10.4%</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

บี.กริม เพาเวอร์ โชว์กำไรสุทธิไตรมาส 3/67 เติบโตแข็งแกร่ง เดินหน้าลงทุนโรงไฟฟ้าหมุนเวียน

&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน (NNP) – ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ ในช่วง 6 เดือนแรก เติบโต 2.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ 1,091 ล้านบาท และ EBITDA เติบโต 8.0% ที่ 7,548 ล้านบาท จากปริมาณขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 10.4% ที่ 7,576 กิกะวัตต์-ชั่วโมง จากปริมาณไฟฟ้าขายให้แก่ กฟผ. เพิ่มขึ้น 14.9% จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้า SPP 3 โครงการ ในไตรมาสที่ 1 และไตรมาสที่ 4 ปี 2566 รวมกำลังการผลิตติดตั้ง 420 เมกะวัตต์ และปริมาณไฟฟ้าขายให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรม (IUs) ในประเทศเวียดนามที่เพิ่มขึ้น 8.2% รวมทั้งปริมาณขายไอน้ำที่เติบโตขึ้น 16.4% จากการขยายกำลังการผลิตของลูกค้าเดิม และความต้องการที่เพิ่มขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยผลการดำเนินการในไตรมาสที่ 2 ปี 2567 บี.กริม เพาเวอร์ มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน (NNP) – ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 579 ล้านบาท เติบโต 20.9% จากไตรมาสก่อนหน้า จากปริมาณการขายไฟฟ้าให้กับแก่ กฟผ. ที่เพิ่มขึ้น ราคาก๊าซธรรมชาติที่ลดลง รวมทั้งส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าที่เติบโต จากผลประกอบการที่ดีขึ้นของ 3 โรงไฟฟ้า SPP ภายใต้ บริษัท ยูนิเวนเจอร์ บีจีพี จำกัด (UVBGP)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ดี หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลการดำเนินงานได้ปรับตัวลดลงจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนทางการเงิน และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ เนื่องจากการหมดอายุของสิทธิประโยชน์ทางภาษีของโครงการโรงไฟฟ้า 3 โครงการ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้กำไรสุทธิ-ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ (เมื่อรวมผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) ที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง และรายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน) อยู่ที่ 229 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในไตรมาสที่ 2 ปี 2567 บี.กริม เพาเวอร์ ได้เชื่อมเข้าระบบของลูกค้าอุตสาหกรรม (IU) รายใหม่ในประเทศไทย จำนวน 5.2 เมกะวัตต์ จากกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม และกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งคิดเป็นการเชื่อมเข้าระบบในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 รวมทั้งสิ้น 11.2 เมกะวัตต์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับการขยายการลงทุนในไตรมาส 2 เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตในระยะยาว บริษัท BGP Holding (US) (บริษัทย่อยทางอ้อมของ บี.กริม เพาเวอร์) ได้ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Malacha ในตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย กำลังการผลิตติดตั้ง 30 เมกะวัตต์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และมีแผนขยายการเข้าซื้อและพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในตลาดพลังงานในรัฐแคลิฟอร์เนียและรัฐอื่นๆ ในสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ บริษัท RES Company Sicilia S.r.l. (บริษัทย่อย) เข้าซื้อหุ้นทั้งหมดในบริษัท LT09 S.r.l. เพื่อพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน “Ortanova 2” กำลังการผลิต 73.26 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของสาธารณรัฐอิตาลี และล่าสุดในเดือนกรกฎาคม B.Grimm Power Pty. (บริษัทย่อย) ได้เข้าซื้อหุ้นทั้งหมดใน Nemaroo Bimbi Wind Farm Pty. เพื่อพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนและ Energy Hub ทางตอนเหนือของรัฐ Queensland ประเทศออสเตรเลีย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบัน บี.กริม เพาเวอร์ มีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนามากกว่า 1 กิกะวัตต์ โดยในช่วงครึ่งปีหลัง 2567 มีกำหนดการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 3 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ อู่ตะเภา เฟสหนึ่ง 2. โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ GIFU ในประเทศญี่ปุ่น และ 3. โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม แบบติดตั้งบนบก KOPOS ในสาธารณรัฐเกาหลี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าวว่า เป้าหมายระยะยาว บี.กริม เพาเวอร์ตั้งเป้าสู่การเป็นผู้ผลิตพลังงานชั้นนำระดับโลกและบรรลุเป้าหมายการก้าวสู่องค์กรที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero Carbon Emissions) ภายในปี 2593 ตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิตเป็น 10,000 เมกะวัตต์ ในปี 2573 โดยมีสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนมากกว่า 50%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ มีมติประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลที่ 0.18 บาทต่อหุ้น สำหรับผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 โดยมีกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 26 สิงหาคม 2567 และกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 6 กันยายน 2567 เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/betagro-first-half-2024-revenue" alt="‘เบทาโกร’ ครึ่งปีแรก 67 กำไร 503.7 ล้าน เติบโตกว่า 10 เท่าตัว สัญญาณดีครึ่งปีหลัง ราคาหมู ไก่ ไข่ จ่อขยับ">‘เบทาโกร’ ครึ่งปีแรก 67 กำไร 503.7 ล้าน เติบโตกว่า 10 เท่าตัว สัญญาณดีครึ่งปีหลัง ราคาหมู ไก่ ไข่ จ่อขยับ</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘บี.กริม เพาเวอร์’ ครึ่งปีแรก 67 กำไรสุทธิ 1,091 ล้าน โต 2.3% หลังขายไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้น 10.4%

<h2>บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ประกาศการลงทุนครั้งใหม่ รุกตลาดพลังงานสะอาดในภูมิภาคตะวันออกกลาง ด้วยเงินลงทุนกว่า 3.39 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการเข้าซื้อหุ้นจำนวน 40% ที่ออกโดย ThreeEightSix Holdings Ltd. ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ที่มุ่งเน้นการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมในกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ เพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานสะอาดที่มากขึ้นของภูมิภาค</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การทุ่มทุนครั้งนี้เกิดจากการเล็งเห็นศักยภาพในอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียนของตะวันออกกลาง ซึ่งสอดคล้องกับมาตรการส่งเสริมพลังงานสะอาดในหลากหลายประเทศ อาทิ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ที่มีนโยบายเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนจาก 3.7 กิกะวัตต์ในปี 2566 เป็น 19.8 กิกะวัตต์ภายในปี 2573 (ข้อมูลจากกระทรวงพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เช่นเดียวกับประเทศซาอุดิอาระเบียที่มีนโยบายเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนจากต่ำกว่า 1 กิกะวัตต์ในปี 2565 เป็น 58 กิกะวัตต์ในปี 2573 (ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาโครงการพลังงานทดแทนของกระทรวงพลังงานของซาอุดีอาระเบีย)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ที่น่าจับตาคือประเทศบาห์เรน ถึงแม้จะเป็นตลาดขนาดเล็ก แต่ก็มีนโยบายพลังงานหมุนเวียนที่ชัดเจน โดยมีเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 710 เมกะวัตต์ภายในปี 2578 (ข้อมูลจากหน่วยงานพลังงานที่ยั่งยืนของบาห์เรน)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ThreeEightSix Holdings Ltd. มีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาและข้อตกลงการขายพลังงานแสงอาทิตย์ สำหรับกำลังการผลิตพลังงานไฟฟ้ารวม 33.7 เมกะวัตต์ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย และประเทศบาห์เรน แบ่งออกเป็นโครงการที่กำลังดำเนินการ 5 โครงการ มีกำลังการผลิตรวม 4.1 เมกะวัตต์ และโครงการซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาและก่อสร้างอีก 10 โครงการ มีกำลังการผลิตรวม 29.6 เมกะวัตต์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยทั้งหมดมีเป้าหมายดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ในช่วงปี 2567-2568 ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการการใช้พลังงานหมุนเวียนที่มากขึ้น และนับเป็นการลงทุนครั้งใหม่ของ บี.กริม เพาเวอร์ ในตลาดพลังงานสะอาดของภูมิภาคตะวันออกกลางผ่านบริษัทร่วมค้า ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการลงทุนที่สำคัญในภูมิภาคตะวันออกกลางในอนาคต เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/other/b-grimm-power-invest-offshore-wind-power-plants-in-korea" alt="‘บี.กริม เพาเวอร์’ ทุ่ม 36 ล้านเหรียญ ลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งใน ‘เกาหลีใต้’">‘บี.กริม เพาเวอร์’ ทุ่ม 36 ล้านเหรียญ ลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งใน ‘เกาหลีใต้’</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘บี.กริม เพาเวอร์’ รุกตะวันออกกลาง ลงทุน 3.39 ล้านเหรียญ ซื้อหุ้นพลังงานหมุนเวียนจาก ThreeEightSix Holdings

<h2>บี.กริม เพาเวอร์ ได้รับการคัดเลือกเป็นสมาชิก “The S&amp;P Global Sustainability Yearbook 2024” ในกลุ่มบริษัทผู้นำ 10% แรกของอุตสาหกรรมสาธารณูปโภคไฟฟ้า (Electric Utilities) เป็นบริษัทเดียวในภูมิภาคเอเชีย ตอกย้ำความสำเร็จภายใต้วิสัยทัศน์แห่งความมุ่งมั่น “สร้างพลังให้กับสังคมโลกด้วยความโอบอ้อมอารี” (Empowering the World Compassionately)</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า บี.กริม ดำเนินธุรกิจมานานกว่า 146 ปี ภายใต้แนวคิด “ดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี” (Doing Business with Compassion) ทำธุรกิจหลากหลายตั้งแต่ธุรกิจด้านพลังงาน, ธุรกิจอุตสาหกรรม ให้บริการโซลูชันในการจัดการพลังงานและเชื่อมต่อระบบภายในอาคารและภาคอุตสาหกรรม, ธุรกิจสุขภาพ, ธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัล, ธุรกิจไลฟ์สไตล์ และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการบริหารจัดการที่สอดประสานกันทั้งการส่งเสริมธุรกิจให้เติบโต ควบคู่การสร้างคุณค่าสู่สังคมไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ล่าสุดได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทที่มีความยั่งยืนในระดับ Top 10% จาก S&amp;P Global ใน The Sustainability Yearbook 2024 ปีที่ 2 ติดต่อกัน สำหรับกลุ่มบริษัทด้านอุตสาหกรรมสาธารณูปโภคไฟฟ้า ซึ่ง บี.กริม เพาเวอร์ ถือเป็นบริษัทเดียวในไทย และบริษัทเดียวในภูมิภาคเอเชียที่ได้จัดอันดับอยู่ในกลุ่มบริษัทผู้นำ 10% แรกของกลุ่ม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยได้รับ 83 คะแนน จาก 100 คะแนน สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนเมื่อเทียบกับบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันในระดับสากล ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของ บี.กริม ในการสร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างครอบคลุมในทุกมิติ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ GreenLeap – Global and Green ที่มุ่งเน้นความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยการเป็นผู้นำในการบริหารพลังงานที่ยั่งยืน ส่งมอบพลังงานและการบริการที่ครบวงจรเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่พัฒนาเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย พร้อมมุ่งสู่เป้าหมายองค์กรที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Carbon Emissions ภายในปี 2593​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/eSb2djavkp4LFQmwehxT.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="eSb2djavkp4LFQmwehxT.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจบนรากฐานของความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ได้รับการยอมรับจากผู้ประเมินด้านความยั่งยืนทั้งในระดับประเทศและระดับสากล นอกเหนือจากความภาคภูมิใจข้างต้น บี.กริม เพาเวอร์ ยังได้รับการประเมิน SET ESG Ratings ระดับสูงสุด AAA ประจำปี 2566 พร้อมครองอันดับหุ้นยั่งยืนเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมถึง MSCI ESG Rating ระดับ BBB และรับคัดเลือกเป็นสมาชิก FTSE4Good Index Series&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ยังได้รับคะแนนในโครงการสำรวจและติดตามพัฒนาการด้านการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทย (Corporate Governance Report of Thai Listed Companies: CGR) ในระดับดีเลิศ (ห้าดาว) ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 โดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย โดยยึดมั่นในการกำกับดูแลกิจการที่ดีภายใต้หลักธรรมาภิบาล ให้ความสำคัญสูงสุดต่อการปฏิบัติงานตามแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับ The S&amp;P Sustainability Yearbook เป็นรายงานการจัดอันดับซึ่งสะท้อนความยั่งยืนองค์กรประจำปีในระดับสากล ตามลำดับคะแนน S&amp;P Global ESG ซึ่งพิจารณาจาก 3 มิติ ได้แก่ มิติธรรมาภิบาลและเศรษฐกิจ มิติสิ่งแวดล้อม และมิติสังคม ซึ่งบริษัทที่ได้รับการจัดให้อยู่ใน The Sustainability Yearbook จะต้องมีคะแนนอยู่ในลำดับ 15% แรกของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม และมีคะแนนอยู่ภายใน 30% ของบริษัทที่มีผลคะแนนสูงสุดของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งรายงานประจำปี 2567 นี้ มีเพียง 759 บริษัท จากกว่า 9,400 บริษัทชั้นนำของโลก ได้รับการรับรองให้เป็นสมาชิก Yearbook เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/other/bgrimm-6-business-unit" alt="บี.กริม ขับเคลื่อน 6 กลุ่มธุรกิจ เติบโตก้าวกระโดด ขึ้นแท่นองค์กรชั้นนำระดับโลก">บี.กริม ขับเคลื่อน 6 กลุ่มธุรกิจ เติบโตก้าวกระโดด ขึ้นแท่นองค์กรชั้นนำระดับโลก</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘บี.กริม เพาเวอร์’ หนึ่งเดียวในเอเชีย คว้ารางวัลองค์กรยั่งยืนระดับโลก จาก S&P Global ในระดับ Top 10% กลุ่ม Electric Utilities

<h2>“ดร.ฮาราลด์ ลิงค์” ร่วมเสวนาในการประชุมผู้นำภาคเอกชน “GCNT Forum 2023” เดินหน้าสร้าง “คน” รองรับการเปลี่ยนแปลงสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ตอกย้ำวิสัยทัศน์ การดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ร่วมเสวนาในหัวข้อ “การเปลี่ยนแปลงสู่ความยั่งยืนในบริบทประเทศไทย โดยเฉพาะในมิติของคน” (Sustainability Disruption in Thailand especially in human aspect) ในการ ประชุมผู้นำภาคเอกชนประจำปี “GCNT Forum 2023 : Partnership for Human Capital 5.0 – Towards Sustainable Intelligence” จัดโดย สมาชิกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (UNGCNT) ภาคีเครือข่ายด้านความยั่งยืน ร่วมกับสหประชาชาติในประเทศไทย (United Nations in Thailand) รวมพลังพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนาคนยุค 5.0 สู่สังคมแห่งภูมิปัญญาที่ยั่งยืน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยมี ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานในงาน ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพมหานคร เมื่อเร็วๆ นี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าวในงานเสวนาว่า “บี.กริม ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และชุมชน ซึ่งเป็นไปตามปรัชญาการดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี ด้วยความเชื่อว่า “ความโอบอ้อมอารี” จะมีส่วนช่วยสร้างสรรค์ความสุขและสิ่งดีๆ ทั้งกับตัวเอง บี.กริม และทุกภาคส่วนในสังคม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เฉกเช่นกับคำกล่าวของท่านดาไลลามะ ที่ว่า “ถ้าคุณอยากให้ผู้อื่นมีความสุข จงฝึกฝนความโอบอ้อมอารี ถ้าคุณอยากให้ตัวเองมีความสุข ก็จงฝึกฝนความโอบอ้อมอารี” โดยมั่นใจว่า คนไทยมีศักยภาพโดดเด่นไม่แพ้ชาติใด​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/gKnXTVFVeCpnvi6xT53K.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="gKnXTVFVeCpnvi6xT53K.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> ​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจมาก คือ คนไทยปรับตัวเก่ง ไม่ว่าคนไทยจะไปทำธุรกิจที่ไหนในต่างประเทศ ทุกคนต่างต้อนรับ ด้วยความเป็นคนโอบอ้อมอารี และด้วยศักยภาพของคนไทย หากได้รับการฟูมฟักให้สิ่งเหล่านี้เฟื่องฟู สร้างชื่อเสียงขึ้นมา คนไทยก็จะก้าวสู่ความเป็นผู้นำ มีความศิวิไลซ์ต่อสายตาชาวโลกในที่สุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงสู่ความยั่งยืนในบริบทประเทศไทย โดยเฉพาะใน “มิติของคน” สิ่งสำคัญในการเตรียมความพร้อมเรื่อง “คน” คือการศึกษา ซึ่งปัจจุบัน บี.กริม มีโครงการด้านการศึกษาต่างๆ เพื่อสร้างและพัฒนาคนในมิติต่างๆ อาทิ โครงการอาชีวศึกษาทวิภาคี หรือ หลักสูตร Harbour.Space@UTCC ร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำ เพื่อสร้างผู้ประกอบการและเตรียมความพร้อมด้านนวัตกรรม ผ่านการเรียนรู้โดยตรงจากเจ้าของธุรกิจชั้นนำระดับโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ บี.กริม ยังให้การสนับสนุนเพื่อยกระดับดนตรีคลาสสิก โดยมุ่งมั่นพัฒนาวง RBSO วงดุริยางค์ซิมโฟนีกรุงเทพ ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ให้เป็นวงออร์เคสตราชั้นนำในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/sfZcW6WfaUpcCAMP1xdp.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="sfZcW6WfaUpcCAMP1xdp.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> ​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การประชุมผู้นำภาคเอกชนประจำปี GCNT Forum 2023 ในครั้งนี้ เป็นการรวมสมาชิก UNGCNT และพันธมิตรเข้าร่วมงานกว่า 60 องค์กร 7 สถาบันการศึกษา 15 องค์กรเยาวชน อาทิ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์, ผู้แทนที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย, สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, วิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นต้น พร้อมผู้นำองค์กรธุรกิจชั้นนำ ร่วมกันแบ่งปันประสบการณ์การเตรียมความพร้อมของ “คน” หรือทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตลอดจนประกาศเจตนารมณ์ที่จะส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรบุคคล อย่างน้อย 1 ล้านคน ใน 133 องค์กรสมาชิกสมาคมฯ ภายในปี ค.ศ. 2030 เตรียมตั้ง Sustainable Intelligence Youth Club เพิ่มศักยภาพคนรุ่นใหม่ ในปี ค.ศ. 2024 ผ่านการเรียนรู้โดยตรงจากภาคธุรกิจและพันธมิตรสู่สังคมแห่งภูมิปัญญาที่ยั่งยืน เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://www.forbesthailand.com/other/news/ungcnt-sustainable-intelligence" alt="UNGCNT ยกโมเดล “ภูมิปัญญาธุรกิจยั่งยืน” รับยุค 5.0">UNGCNT ยกโมเดล “ภูมิปัญญาธุรกิจยั่งยืน” รับยุค 5.0</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

“ดร.ฮาราลด์ ลิงค์” ร่วมเสวนาในการประชุมผู้นำภาคเอกชน “GCNT Forum 2023”

<div class="se-component se-video-container __se__float-none" contenteditable="false" style="width: 100%;"><figure style="width: 100%; height: 56.25%; padding-bottom: 56.25%; margin: 0px;"><iframe src="https://www.youtube.com/embed/MW99Hi0IS7w" data-proportion="true" data-percentage="100%,56.25%" data-size="100%,56.25%" data-align="none" data-file-name="MW99Hi0IS7w" data-file-size="0" data-origin="100%,56.25%" style="width: 100%; height: 100%;" data-index="0"></iframe></figure></div> ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บี.กริม บอกเล่าถึงการทำธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารีจากประสบการณ์ธุรกิจที่หลากหลายกว่า 45 ปีของเขา และในฐานะทายาทรุ่น 3 ผู้สืบทอดธุรกิจให้อยู่คู่เคียงกับสังคมไทยมานานถึง 145 ปี โดย บี.กริม เติบโตคู่กับสังคมไทยมาตลอด 6 รัชสมัยการปกครอง นับตั้งแต่รัชกาลที่ 5 จวบจนถึงรัชกาลที่ 10 ในปัจจุบัน

ฮาราลด์ ลิงค์ นักธุรกิจใจอารี ผู้ขับเคลื่อน บี.กริม เติบโตสู่สังคม

<h2>​นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2566 - Harald Link นักธุรกิจใจอารี ขยายพันธมิตรสร้าง บี.กริม เติบโตคู่สังคม </h2>.Harald Link นักธุรกิจใจอารี ขยายพันธมิตรสร้าง บี.กริม เติบโตคู่สังคม - จากประสบการณ์ธุรกิจที่หลากหลายกว่า 45 ปี และในฐานะทายาทรุ่นที่ 3 ผู้สืบทอดธุรกิจคู่เคียงกับสังคมไทยมานาน 145 ปี ปัจจุบัน บี.กริม เติบโตคู่กับสังคมไทยมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่รัชสมัยการปกครองรัชกาลที่ 5 จวบจนรัชกาลที่ 10&nbsp;พิสิษฐ์ วรรณวิทยาภา PLC สู้ต่างชาติด้วย One Touch Solution - เมื่อนักเทคนิคการแพทย์ผู้ค้นพบว่าตนเองไม่เหมาะกับการทำงานในห้องแล็บจึงผันตัวเองมาเป็นเซลส์ตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี บุกเบิกธุรกิจเกี่ยวกับการผลิต นำเข้า และจัดจำหน่าย เครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ และน้ำยาตรวจวิเคราะห์โรค จนกลายเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ&nbsp;ศรันย์ โรจน์เลิศจรรยา NL เติมแต้มต่อโปรก่อสร้าง - สายเลือดนักสู้ธุรกิจที่ถ่ายทอดถึงทายาทสามารถต่อยอดผลงานอาคารโครงสร้างพิเศษและมาตรฐานเฉพาะทางด้วยเทคโนโลยี BIM ยกระดับโปรเจกต์รับเหมาก่อสร้างมืออาชีพครบวงจร พร้อมเดินหน้าขยายพอร์ตสถานพยาบาลตอบดีมานด์ Wellness Destinationณัฏฐ์ ณัฐนิธิการัชต์ ประกอบคอมฯ หมื่นล้านแบบ Advice - นักบัญชีหนุ่มผู้สนใจไอทีมากกว่าการเป็นนักบัญชี เขาจึงผันตัวมาเป็นเซลส์ขายซอฟตแวร์และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าให้ช่วยจัดซื้อคอมพิวเตอร์และลงโปรแกรม ถือเป็นการจุดประกายธุรกิจออนไลน์ขายส่งเครื่องคอมพิวเตอร์แก่ดีลเลอร์รายย่อย สร้างยอดขายต่อปีหลักหมื่นล้านบาทนำพล มลิชัย ผนึกกำลังติดปีก SCGD - ด้วยความเชี่ยวชาญบนเส้นทางธุรกิจเซรามิกและผลิตภัณฑ์ก่อสร้างในบริษัทยักษ์ใหญ่ของไทยกว่า 30 ปี ผสมผสานประสบการณ์ปรับโครงสร้างองค์กรพร้อมนำทัพรวมพลัง COTTO ร่วมกับ SCG Decor ยกระดับความแข็งแกร่งในธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ครบวงจรแห่งภูมิภาคอาเซียนพบการจัดอันดับ "Singapore’s 50 Richest ล่าสุดปี 2023" โดยอันดับ 1 ได้เปลี่ยนมือมาเป็นของ Eduardo Saverin ผู้ร่วมก่อตั้ง Meta แล้วเรียบร้อย ร่วมอ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจรวมถึงเรื่องราวธุรกิจอันหลากหลายเพื่อสร้าง “แรงบันดาลของผู้ใฝ่ความสำเร็จ” จาก Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2566 และอ่านในรูปแบบ e-magazine​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="min-width: 100%; width: 50%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/DZdzRErCFUgnYnVQAc9Y.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="DZdzRErCFUgnYnVQAc9Y.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," style="width: 100%;" data-index="0"></figure></div>​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 50%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/3jLM9bsx8oHhryHCQE9v.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="3jLM9bsx8oHhryHCQE9v.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," style="width: 100%;" data-index="1"></figure></div>

นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2566 - Harald Link นักธุรกิจใจอารี ขยายพันธมิตรสร้าง บี.กริม เติบโตคู่สังคม 

<h2>บี.กริม กลุ่มธุรกิจชั้นนำของเมืองไทย จัดตั้งโครงการ “บี.กริม ปันน้ำใจ สู้ภัยโควิด-19” อนุมัติงบประมาณบริจาคเบื้องต้นไปแล้วรวมกว่า 46 ล้านบาท ผ่านการสนับสนุนในรูปแบบเงินบริจาคและปัจจัยสิ่งของจำเป็น เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์ ประกันชีวิต และถุงยังชีพ เป็นต้น โดยบริจาคทั้งทางตรงกับสถานพยาบาลต่างๆ ประชาชนที่เดือดร้อน รวมถึงผ่านองค์กรการกุศล มาตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา</h2>
<img class="alignnone size-full wp-image-29046" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/04/แทรกกก.jpg" alt="" width="567" height="800" />

ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม เปิดเผยว่า บี.กริม ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมายาวนานกว่า 142 ปี มีความเกี่ยวข้องผูกพันกับสังคมไทยในหลากหลายภาคส่วน ผ่านธุรกิจและกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ เมื่อเกิดสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 คณะผู้บริหารและพนักงานทุกคน จึงร่วมระดมความคิดเพื่อหาแนวทางให้ความช่วยเหลือ ผ่านการบริจาคและสนับสนุนในรูปแบบต่างๆ อาทิ
<ul>
 	<li>สนับสนุนกองทุนชัยพัฒนาสู้ภัยโควิด-19 (และโรคระบาดต่างๆ) จำนวน 10 ล้านบาท</li>
 	<li>สนับสนุนมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล จำนวน 4 ล้านบาท</li>
 	<li>สนับสนุนการทำประกันชีวิตให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ผ่านโรงพยาบาลรามาธิบดี จำนวน 5 ล้านบาท</li>
 	<li>บริจาคหน้ากาก N95/KN95 จำนวน 100,000 ชิ้น ให้แก่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และโรงพยาบาลรามาธิบดี มูลค่า 25 ล้านบาท</li>
 	<li>บริจาคเครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรด จำนวน 2,000 เครื่อง ให้แก่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย มูลค่า 3 ล้านบาท</li>
 	<li>จัดทำถุงยังชีพ จำนวน 5,000 ชุด แจกจ่ายไปยังประชาชนที่เดือดร้อน งบประมาณ 5 ล้านบาท</li>
 	<li>สนับสนุน เครื่องช่วยหายใจให้แก่สถานพยาบาลต่าง ๆ  มูลค่า 1.3 ล้านบาท</li>
</ul>
นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทางด้านกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าได้เข้าร่วม โครงการ “บี.กริม ปันน้ำใจสู้ภัยโควิด-19” โดยจัดส่งความช่วยเหลือรูปแบบต่างๆ ตามความเหมาะสมไปในแต่ละพื้นที่ ที่บริษัทมีโรงไฟฟ้าตั้งอยู่ โดยได้ส่งความช่วยเหลือไปเบื้องต้นแล้ว อาทิ
<ul>
 	<li>บริจาคเงินช่วยเหลือ ให้แก่ สถานพยาบาล และชุมชน โดยรอบพื้นที่โรงไฟฟ้าแต่ละแห่ง</li>
 	<li>สนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ Face Shield, เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ และเครื่องวัดอุณหภูมิ ให้แก่สถานพยาบาล</li>
 	<li>สนับสนุนหน้ากากอนามัย และน้ำ Demined เพื่อใช้ในการทำเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ เพื่อแจกจ่ายให้กับชุมชนรอบข้าง</li>
 	<li>บริจาคเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ, น้ำดื่ม ให้แก่ชุมชน</li>
</ul>
นอกจากการให้ความช่วยเหลือภายในประเทศแล้ว บี.กริม ยังได้ให้ความช่วยเหลือส่งอุปกรณ์ป้องกันและเครื่องมือทางการแพทย์ ไปยังต่างประเทศที่บริษัทมีการดำเนินธุรกิจตามความเหมาะสมด้วยเช่นกัน

บี.กริม โดยคณะผู้บริหารและพนักงาน พร้อมร่วมส่งกำลังใจและความช่วยเหลือ เพื่อให้คนไทยทุกคนปลอดภัย และจับมือกันก้าวผ่านสถานการณ์อันยากลำบากนี้ไปด้วยกัน อีกทั้งขอส่งพลัง ส่งความชื่นชมและความขอบคุณไปยังทีมบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ ผู้ปฏิบัติงานในทุกระดับชั้นทั่วประเทศ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า น้ำใจส่วนหนึ่งนี้จาก บี.กริม จะเป็นประโยชน์และมีส่วนสร้างความเข้มแข็งให้สังคมไทยได้ต่อไป

บี.กริม บริจาคเบื้องต้นกว่า 46 ล้านบาท ผ่านโครงการ “บี.กริม ปันน้ำใจ สู้ภัยโควิด-19”

นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บี.กริม เพาเวอร์ (B.GRIM) มอบเงินบริจาคจำนวน 6,500,000 บาท เพื่อสนับสนุนการทำประกันชีวิตให้กับบุคลากรทุกท่านของโรงพยาบาลรามาธิบดี ทั้งในส่วนแพทย์ พยาบาล รวมถึงเจ้าหน้าที่อื่นๆ ทุกท่านที่ปฏิบัติหน้าที่ของโรงพยาบาลฯ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการมอบกำลังใจต่อการปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือผู้ป่วยที่ถือเป็นกำลังสำคัญอย่างยิ่งต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยมี ศ.นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา คณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และ ศ.คลินิก นพ.พรชัย มูลพฤกษ์ รองคณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ร่วมรับมอบเงินบริจาคจำนวนดังกล่าว ณ สำนักงานคณบดี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events