<h2>บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG) เปิดกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจปี 2568 ภายใต้ Max World เดินหน้าขยายเครือข่ายธุรกิจในหลากหลายมิติ เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงและใช้ฐานสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus กว่า 25 ล้านสมาชิก เป็นกลไกสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ Oil และ Non-Oil ตั้งเป้าสัดส่วนกำไรขั้นต้นของธุรกิจ Non-Oil เพิ่มขึ้นเป็น 50% ภายในปี 2571 มุ่งเน้นกาแฟพันธุ์ไทย เป็นหัวหอกสำคัญ ขยายสู่ 5,000 สาขาทั่วประเทศ และก้าวสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality ภายในปี 2573</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยในงาน PTG Drive for Tomorrow: Max Card. Max Growth. Max World ว่าปี 2567 ที่ผ่านมาบริษัทสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยมี PT Max Card และ PT Max Card Plus เป็นกุญแจสำคัญที่ผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดดทั้งในด้านปริมาณ คุณภาพ และกลยุทธ์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธุรกิจ Oil ของ PTG ทำสถิติใหม่ด้านปริมาณการจำหน่ายน้ำมันสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 6,548 ล้านลิตร เติบโต 12.9% YoY สูงกว่าอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมกว่า 10 เท่า (ตลาดเติบโต 0.4% YoY) พร้อมครองส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 21.9% จาก Same-Store Sales Growth กว่า 11.6% YoY โดยมี PT Max Card เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ดึงดูดลูกค้าให้กลับมาเติมน้ำมันมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะเดียวกัน ธุรกิจ Non-Oil เติบโตอย่างแข็งแกร่งครอบคลุมทุกมิติ ในมุมของปริมาณทางฝั่งธุรกิจ Non-Oil มีรายได้เติบโต 31.2% YoY ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของ GDP 10 เท่า (GDP เติบโต 2.5% YoY) ขณะที่กำไรขั้นต้นของธุรกิจ Non-Oil เพิ่มขึ้น 35% YoY โดยมีกาแฟพันธุ์ไทยเป็นหนึ่งในธุรกิจหลักที่ขับเคลื่อนธุรกิจ Non-Oil ด้วยการเติบโตที่โดดเด่นของกำไรขั้นต้นซึ่งเพิ่มขึ้น 80.2% YoY จากการขยายสาขาเฉลี่ยกว่า 1.3 สาขาต่อวันไปยังสถานีบริการน้ำมันและภายนอกสถานีบริการน้ำมันที่มีศักยภาพ อีกทั้งได้พัฒนาสินค้าและบริการต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า โดยพัฒนาโมเดลร้านให้หลากหลาย รวมถึงการทำแคมเปญที่สอดรับกับการสนับสนุนวัตถุดิบท้องถิ่นอย่าง “ไทยริกาโน” <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/o3jEsjrFoqcZn5BoPwPK.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="o3jEsjrFoqcZn5BoPwPK.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" data-rotatex="" data-rotatey="" style="" data-index="0"><figcaption><div>​พิทักษ์ รัชกิจประการ</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ Autobacs ซึ่งประกอบธุรกิจศูนย์ซ่อมบำรุงรถยนต์ และศูนย์บริการ มาตรฐานระดับญี่ปุ่น กำไรขั้นต้นเติบโต 70.9% YoY จากการขยายสาขาเป็น 117 สาขาในปี 2567 โดยมีรายได้เติบโตที่ 76% YoY&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้บริษัทจะขยายธุรกิจ Non-Oil ให้เติบโตโดยตั้งเป้าสัดส่วนกำไรขั้นต้นในธุรกิจ Non-Oil เพิ่มขึ้นเป็น 50% ภายในปี 2571 โดยธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มจะเพิ่มขึ้นเป็น 25% ของกําไรขั้นต้น พร้อมกับธุรกิจ Non-Oil อื่นๆ อีก 25% การเพิ่มในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม มีปัจจัยมาจากการขยายกาแฟพันธุ์ไทยสู่ 5,000 สาขา ภายในปี 2571 และมี Subway เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศธุรกิจของ PTG ผ่านบัตร Max Card&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รังสรรค์ พวงปราง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงินและความยั่งยืน กล่าวเสริมว่าบริษัทได้ขยายขอบเขตไปยังธุรกิจ Non-Oil อื่นๆ อย่างเต็มรูปแบบ โดยร่วมมือกับ Paisan Capital เพื่อให้การสนับสนุนผู้ประกอบการขนส่ง เสริมศักยภาพในการเข้าถึงสินเชื่อด้วยเงื่อนไขที่เหมาะสม อีกทั้งเป็นผู้นำในการนำ Subscription Model มาเชื่อมต่อกับสถานีชาร์จ EV Elex by EGAT PT ให้ลูกค้าปลดล็อกสิทธิประโยชน์ที่เหนือกว่า พร้อมยกระดับสุขอนามัยของคนในชุมชนผ่านธุรกิจบริหารจัดการขยะ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ยังได้ย่อ Max World มาอยู่ในมือลูกค้า ผ่านแอปพลิเคชัน Max Me เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าและบริการได้ง่ายขึ้น ผ่านแพลตฟอร์มที่รวมสินค้า บริการ และสิทธิพิเศษไว้ในที่เดียว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้บริษัทจะก้าวสู่ Carbon Neutrality ภายในปี 2030 (Scope 1 และ 2) ผ่าน 3 กลยุทธ์ ไดเแก่ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการดำเนินงานภายในองค์กร 10%, ดูดซับและกักเก็บคาร์บอนผ่านการปลูกป่า การฟื้นฟู และการปกป้องระบบนิเวศชายฝั่ง 30% และสุดท้ายคือการลงทุนในธุรกิจพลังงานแห่งอนาคตที่สามารถชดเชยคาร์บอนและเติบโตในระยะยาวอีก 60% ภาพ: PTG เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/kkp-research-fiscal-policy-th-economy-mar-2025" alt="KKP เตือนใน 2 ปี 'หนี้สาธารณะอาจแตะ 70% - ปมการคลังปริ่มน้ำ' หากใช้เงินไม่ถูกที่ โอกาสปฏิรูปยาก">KKP เตือนใน 2 ปี 'หนี้สาธารณะอาจแตะ 70% - ปมการคลังปริ่มน้ำ' หากใช้เงินไม่ถูกที่ โอกาสปฏิรูปยาก</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

PTG ชูธงปี 68 ขยายฐานสมาชิก พร้อมพา ‘กาแฟพันธุ์ไทย’ นำทัพเสริมแกร่งพอร์ต Non-Oil

<h2>‘กาแฟพันธุ์ไทย’ หนึ่งในธุรกิจ Non-Oil ในเครือ PTG ประกาศรายได้ปี2567 ทะลุ 2,575 ล้านบาท เติบโต 97.4% จากปี 2566 สอดรับภาพรวมการเติบโตตลาดกาแฟในประเทศไทย ตั้งเป้ายอดขาย 5,800 ล้านบาท และปูพรมขยายสู่ 600 สาขา ในปี 2568 </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุขวสา ภูชัชวนิชกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด กล่าวว่า “ตลาดกาแฟในประเทศไทยมีการขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 60,000 ล้านบาท มาจากปัจจัยหลักคือกาแฟยังคงเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมสูง ผู้คนมองหากาแฟที่มีรสชาติหลากหลาย ทำให้เกิดความสนใจในการทดลองบริโภคกาแฟที่แตกต่างมากขึ้น อีกทั้งตลาดกาแฟพรีเมียมมีการพัฒนาขึ้น เพราะผู้บริโภคให้ความสำคัญกับคุณภาพของกาแฟมากขึ้น ทำให้เกิดการขยายตัวของธุรกิจกาแฟในทุกมิติ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ในส่วนของแบรนด์พันธุ์ไทยเองก็ได้ทำการตลาดเชิงรุกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้โดนใจผู้บริโภคทุกกลุ่ม เจาะตลาดให้ครอบคลุมทุก Segment ตั้งแต่ตลาดกาแฟนอกบ้าน, Home Coffee ไปจนถึงตลาดพรีเมียมและ Specialty Coffee ที่เป็นเทรนด์เติบโตสูงขึ้นในไทย และยังเป็นแบรนด์กาแฟแบรนด์เดียวที่ได้ ‘คัลแลน-พี่จอง’ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์เมื่อไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา ทำให้สามารถขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้เป็นจำนวนมาก”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/q6CX5rpJr9YyWnC5bkN9.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="q6CX5rpJr9YyWnC5bkN9.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,480"><figcaption><div>สุขวสา ภูชัชวนิชกุล</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“จากปัจจัยทั้งหมดนี้ ส่งผลให้กาแฟพันธุ์ไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2567 ที่ผ่านมา พันธุ์ไทยมีรายได้ 2,575 ล้านบาท เติบโตขึ้น 97.4% เมื่อเทียบกับปี 2566 และยังปิดปีด้วยการมีจำนวนสาขาถึง 1,347 สาขาทั่วประเทศ มากขึ้นจากปี 2566 52%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“และในปี 2568 นี้ พันธุ์ไทยจะยังคงเดินหน้าปั้นกาแฟไทยที่ตั้งใจให้โลกรัก ผ่านแบรนด์ Tagline ใหม่ในรอบ 12 ปี #พันธุ์ไทยอะไรก็เป็นไปได้ ที่ตอกย้ำ DNA ของแบรนด์พันธุ์ไทยตลอด 12 ปีมานี้ เราไม่หยุดสร้างสรรค์และเป็นผู้ริเริ่มสิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา กาแฟพันธุ์ไทยจะก้าวสู่ยุคใหม่ ที่ทำให้ทุกคนรู้ว่าอะไรที่เป็นไปไม่ได้พันธุ์ไทยจะทำให้เป็นไปได้ และในไตรมาสแรกปี 2568 นี้ เราตั้งเป้ารายได้ 1,214 ล้านบาท และจะขยายสาขาทั่วประเทศให้ได้ 146 สาขา และจะมีสาขาให้ครบ 5,000 แห่งทั่วประเทศ ภายในปี 2571”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุขวสา กล่าวถึง Brand Tagline ใหม่ว่า “#พันธุ์ไทยอะไรก็เป็นไปได้ สะท้อน Brand DNA ของพันธุ์ไทย ในการเป็นผู้ริเริ่มสิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น Creative Thai Taste เมนูหลากหลายที่ไม่เหมือนใคร แต่ยังคงคอนเซปต์ของการสนับสนุนเกษตรกรไทยและวัตถุดิบไทย เรายังทำสิ่งที่ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ คือทำอเมริกาโน ให้เป็น “ไทยริกาโน” ชื่อที่สะท้อนความเป็นไทย เป็นกาแฟสเปเชียลตี้ (Specialty Coffee) สัญชาติไทย จากเมล็ดกาแฟไทย สายพันธุ์อาราบิก้า 100% จากแหล่งปลูกที่ดีที่สุดในจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นกาแฟพรีเมียมในราคาเข้าถึงได้​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/votRPJ9QDvJ49B2T1sNZ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="votRPJ9QDvJ49B2T1sNZ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="720,480"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ล่าสุด ยังตอกย้ำแบรนด์กาแฟที่มีความสนุกแบบไทยๆ อยู่ใน DNA กล้านำเสนอความเป็นไทยผ่านสายตาพรีเซ็นเตอร์ต่างชาติ “คัลแลน-พี่จอง” ยูทูบเบอร์สายท่องเที่ยวชาวเกาหลี ผู้หลงใหลการดื่มอเมริกาโนและเป็น Real User ของพันธุ์ไทยที่ทุกคนจดจำ ผ่านภาพยนตร์โฆษณา Corporate Branding ที่มัดรวมความเป็นไทยไว้อย่างลงตัว โดยคัลแลน พี่จอง ได้มาร่วมสร้างสีสัน นำเสนอวัฒนธรรมไทยที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ทั้งน้องหมูเด้ง น้องฮิปโปแคระ Soft Power ของไทย, ลายเส้นจิตรกรรมในรูปแบบการ์ตูนไทยสมัยใหม่, ลิเกมาร์เวล ศิลปะไทยฟิวชัน, นาคกี้หรือบุดด้างูของ 2 อปป้า”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ประเดิมกิจกรรมแรกของปี 2568 กาแฟพันธุ์ไทยได้สื่อสารความเป็นไทยให้ไปไกลระดับโลก ด้วยการจับมือกับคุณสุรชัย พุฒิกุลางกูร ศิลปินนักสร้างสรรค์โฆษณา Illustrator อันดับหนึ่งของโลกที่กวาดรางวัลจากทั่วโลกมาแล้วกว่า 3,000 รางวัล ถ่ายทอดเส้นทางของกาแฟไทยริกาโนผ่านงานศิลปะบนแก้วไทยริกาโน บอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งการคัดสรรแหล่งปลูก และกรรมวิธีที่พิถีพิถันจากความตั้งใจของเกษตรกรไทย ไปจนถึงการส่งมอบกาแฟที่ดีที่สุดถึงมือลูกค้า​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/v3ZRaRw8JgWG2ggkRCrq.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="v3ZRaRw8JgWG2ggkRCrq.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2" origin-size="720,480"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“โดยแก้วไทยริกาโนสุดพิเศษนี้ คือการถ่ายทอดความมุ่งมั่นของพันธุ์ไทยที่มุ่งหวังให้ ไทยริกาโน กาแฟจากเมล็ดสัญชาติไทย เป็นกาแฟแห่งชาติที่คนไทยภาคภูมิใจ และยังเป็นการสื่อสารผ่านสื่อกลางคืองานศิลปะที่เป็นเสมือนภาษาสากลสู่ชาวโลก ให้รู้จักกาแฟไทยว่ามีคุณภาพไม่แพ้ชาติใดในโลก”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“นอกจากนี้ยังสร้างความตื่นเต้นด้วยการเปิดตัวแก้วไทยริกาโนสุดคราฟต์ขนาดยักษ์สูงกว่า 3 เมตรให้ทุกคนได้เห็นรายละเอียดงานศิลปะกันแบบชัดๆ พร้อมทั้งอยากจะขอบคุณด้อมใจฟู ‘คัลแลน-พี่จอง’ ทุกคนด้วยของขวัญจากกาแฟพันธุ์ไทยกับกิจกรรมสุดพิเศษให้ดื่มด่ำกับไทยริกาโนในแก้วลายลิมิเต็ดอิดิชันที่เปิดตัวในงานนี้เป็นที่แรก​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/rfoG3QFE3ybuE7RxGKmG.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="rfoG3QFE3ybuE7RxGKmG.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="3" origin-size="720,480"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“และให้ทุกคนภายในงานได้ลิ้มรสเมนูยอดนิยมในอดีตที่อยู่ในหนังโฆษณากลับมาให้ชิมกันเฉพาะในงาน – Creative Thai Taste Selected by คัลแลน พี่จอง อาทิ อเมริกาโน โซดา,สตรอว์เบอร์เร่อ, ฝอยทอง Thai Tea, มะม่วงเบาปั่น และโพดชาเขียว และนี่เป็นแค่จุดเริ่มต้น หลังจากนี้จะได้เห็นเซอร์ไพร์สที่ไม่มีใครคิดว่าเป็นไปได้และพันธุ์ไทยสามารถทำให้เป็นไปได้เกิดขึ้นอีกมากมาย โปรดรอติดตามกิจกรรมจากพันธุ์ไทยกันนะคะ” คุณสุขวสา กล่าวทิ้งท้าย เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/maguro-shows-tonkatsu-aoki-revenue-exceeding-target-investing-60-million-baht-expand-to-5-branches-in-first-half-2025" alt="MAGURO ปลื้ม 'ทงคัตสึ อาโอกิ' รายได้ทะลุเป้า ทุ่มงบ 60 ล้าน ขยายเพิ่มเป็น 5 สาขา ภายในครึ่งปี 68">MAGURO ปลื้ม 'ทงคัตสึ อาโอกิ' รายได้ทะลุเป้า ทุ่มงบ 60 ล้าน ขยายเพิ่มเป็น 5 สาขา ภายในครึ่งปี 68</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘กาแฟพันธุ์ไทย’ โตแรงมาก! ปี 67 กวาดรายได้ 2,575 ล้าน โต 97.4% ปีนี้ตั้งเป้าขยายอีก 600 สาขา

<h2>3 ธุรกิจแบรนด์ไทย จับมือผสานพลังรักษ์สิ่งแวดล้อม เปิดตัวคอลเลกชั่นรักษ์โลก ReWear ReCare–ทุกการใส่ใส่ใจโลก PT x CIRCULAR x Yuedpao ลดจำนวนขยะสิ่งทอแบบครบลูป ผ่านกระบวนการรีไซเคิลสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ ถ่ายทอดอัตลักษณ์ของแบรนด์ผสานเรื่องราวการเดินทางของเสื้อผ้าใช้แล้ว สู่เสื้อยืดตัวใหม่และหมวก ECOTECH TIMELESS ในสไตล์มินิมอล</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แรงบันดาลใจการสร้างสรรค์ความร่วมมือ Co-Create Ecosystem ตั้งแต่ต้นน้ำสู่ปลายน้ำ เริ่มต้นเมื่อปี 2566 ณ สถานีบริการน้ำมันพีที โดยสมาชิกแมกซ์ การ์ด ที่ปัจจุบันมีจำนวนกว่า 24 ล้านสมาชิกทั่วประเทศ นำเสื้อผ้าใช้แล้วมาบริจาคแลกเป็นแต้มสะสม โดยเสื้อผ้า 1 ชิ้นแลกรับ 10 แต้มที่สถานีบริการน้ำมันพีที 15 สาขาที่ร่วมนำร่องโครงการ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากนั้นแบรนด์ Circular ผู้เชี่ยวชาญด้านรีไซเคิลมากว่า 55 ปี นำเสื้อผ้าข้างต้นเข้าสู่กระบวนการแปรสภาพให้กลายเป็นเส้นด้ายและนำมาถักทอเป็นผ้าผืนใหม่ ซึ่งการรีไซเคิลเสื้อผ้า 1 ตัว ช่วยประหยัดการใช้น้ำ 2,700 ลิตร ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 3.9 กิโลกรัม ลดการใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงในการปลูกฝ้าย ตลอดจนลดการใช้สารเคมีในการฟอกย้อม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยปีที่ผ่าน PT ได้รับการบริจาคเสื้อผ้ารวม 17,500 กิโลกรัม และปีนี้ได้ขยายความร่วมมือสู่แบรนด์ยืดเปล่า (Yuedpao) ที่มาร่วมออกแบบคอลเลกชั่นรักษ์โลก ReWear ReCare – ทุกการใส่ใส่ใจโลก PT x CIRCULAR x Yuedpao ทั้งเสื้อ และหมวก ECOTECH TIMELESS ซึ่งคงเอกลักษณ์ของแบรนด์แฟชั่นดีไซน์ทันสมัย สไตล์มินิมอล นวัตกรรมเนื้อผ้าระบายอากาศได้ดี เหมาะสมกับสภาพอากาศเมืองไทย​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/xXxjBdhqE6mVqbA87s8P.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="xXxjBdhqE6mVqbA87s8P.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พร้อมศักดิ์ จรัญญากรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แมกซ์ โซลูชัน เซอร์วิส จำกัด บริษัทในเครือพีทีจี เปิดเผยว่าจุดเริ่มต้นความร่วมมือครั้งนี้ เกิดจากหัวใจหลักของธุรกิจทั้ง 3 แบรนด์ที่มีเป้าหมายเดียวกันในการดำเนินธุรกิจให้เติบโตไปพร้อมกับสร้างความยั่งยืนต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล สอดรับกับวิสัยทัศน์ พีทีจี ที่ต้องการเชื่อมให้ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงชีวิตที่ “อยู่ดี มีสุข” ในทุกด้านของช่วงชีวิต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เป้าหมายความร่วมมือครั้งนี้ เป็นการรณรงค์ให้ผู้คนตระหนักถึงคุณค่าสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันและพยายามใช้สิ่งนั้นอย่างเกิดประโยชน์สูงสุด เพราะทุกวันนี้กระแสของ Fast Fashion เป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญสร้างขยะสิ่งทอ และทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมตามมา ซึ่งปีนี้เราต่อยอดความสำเร็จจากโครงการตู้แจกแต้ม สู่การขยายความร่วมมือในมิติที่กว้างขึ้น จึงเป็นที่มาของการจัดทำเสื้อและหมวกคอลเลกชันพิเศษ และแสดงให้เห็นถึงสัญลักษณ์ของการร่วมสร้างสังคมที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/Pq25D4WD5EUfNxxn4TgK.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="Pq25D4WD5EUfNxxn4TgK.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"><figcaption><div>ทนงค์ศักดิ์ แซ่เอี้ยว, พร้อมศักดิ์ จรัญญากรณ์ และจิรโรจน์ พจนาวราพันธุ์ (จากซ้ายไปขวา) </div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จิรโรจน์ พจนาวราพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสงเจริญแกรนด์ จำกัด (SC GRAND) ผู้บริหารแบรนด์ Circular กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ตอกย้ำให้เห็นถึงความใส่ใจและห่วงใยที่ทั้ง 3 แบรนด์มีต่อผู้บริโภค สังคมและสิ่งแวดล้อม Circular รับหน้าที่เป็นตัวกลางช่วยสังคมจัดการกับขยะสิ่งทออย่างมีประสิทธิภาพ เปลี่ยนผืนผ้าเก่าสู่นวัตกรรมรีไซเคิลคุณภาพสูงจนเป็นคอลเลกชั่นรักษ์โลกออกแบบโดย Yuedpao ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและให้คุณภาพไม่ต่างจากเดิม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือครั้งนี้ จะเป็นอีกหนึ่งพลังเล็กๆ ช่วยให้ ผู้บริโภคตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และหันมาให้ความสำคัญและเลือกใช้สินค้าที่รังสรรค์ผ่านขั้นตอนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ ทนงค์ศักดิ์ แซ่เอี้ยว ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เริ่มใหม่ จำกัด หรือแบรนด์ยืดเปล่า (Yuedpao) กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันเทรนด์ผู้บริโภคให้ความสนใจต่อสินค้าที่มีความยั่งยืน รู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบคอลเลกชั่นนี้ เพราะนอกจากจะร่วมรับผิดชอบต่อสังคม ลดปริมาณขยะสิ่งทอแล้ว ยังถ่ายทอดผลงานฝีมือดีไซน์เนอร์ไทยได้อีกทางหนึ่ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“คอนเซ็ปต์การออกแบบเราต้องการผสานความเป็นเอกลักษณ์ของทั้ง 3 แบรนด์ลงบนรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ ซึ่งยังคงสไตล์ของ Yuedpao ที่ให้ผ้าเนื้อสัมผัสนุ่ม อ่อนโยนต่อสภาพผิว ระบายเหงื่อและอากาศได้ดี โดยเลือกใช้โทนสีขาวและสีดำแบบ Unisex โดดเด่นด้วยลวดลายและเส้นสายที่เรียบง่าย เพื่อให้แมตซ์กับเสื้อผ้าได้ทุกลุค ใส่ได้ในทุกโอกาส”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/d8PKF3FF6yV3sgRn8UUD.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="d8PKF3FF6yV3sgRn8UUD.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการหมุนเวียนขยะสิ่งทอให้กลับมาสร้างความสุขอีกครั้ง ผ่านคอลเลกชั่น ReWear ReCare–ทุกการใส่ใส่ใจโลก PT x CIRCULAR x Yuedpao โดยสมาชิก แมกซ์ การ์ด สามารถเป็นเจ้าของคอลเลกชั่นพิเศษเพียงใช้ 3,790 แต้ม แลกรับเสื้อยืด หรือหมวก ECOTECH TIMELESS ได้ที่แอปพลิเคชัน Max Me ลูกค้าทั่วไปซื้อสินค้าได้ที่ร้าน Yuedpao ที่ร่วมรายการ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/csr-sustainability/puimongkut-vml-thailand-sackitem-upcycle-fashion" alt="‘แฟชั่นจากถุงปุ๋ย’ ไอเดียอัพไซเคิลของปุ๋ยตรามงกุฎ สร้างรายได้เสริมสู่ชุมชนเกษตรกร">‘แฟชั่นจากถุงปุ๋ย’ ไอเดียอัพไซเคิลของปุ๋ยตรามงกุฎ สร้างรายได้เสริมสู่ชุมชนเกษตรกร</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

PT x Circular x Yuedpao เปิดตัวคอลเลกชั่นรักษ์โลกจากเสื้อผ้าใช้แล้ว

<h2>Subway แซนด์วิชยอดนิยมจากอเมริกาไม่ยอมแพ้! “โกลัค” บริษัทย่อยภายใต้อาณาจักร “พีทีจี เอ็นเนอยี” ขอไปต่อ เตรียมลงทุน 2,300-2,500 ล้าน ปูพรมเปิดอีก 500 สาขาใน 10 ปี หวังขึ้นแท่น TOP 3 ตลาด QSR ไทย ภายใน 3 ปี</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ซับเวย์” (Subway) เข้ามาทำตลาดในเมืองไทยตั้งแต่ปี 2546 โดยผ่านการลงทุนของ Individual Investorsและมีการเปลี่ยนมาสเตอร์แฟรนไชส์หลายครั้ง ก่อนที่ล่าสุด สิทธิ์มาสเตอร์แฟรนไชส์ของซับเวย์จะตกมาอยู่ในมือของ บริษัท โกลัค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ พีทีจี แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2567 เป็นต้นไป สำหรับการขยายสาขาของซับเวย์ในเมืองไทยจะดำเนินการโดย บริษัท โกซับเวย์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของโกลัคเท่านั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัท โกลัค จำกัด ถือหุ้น 70% โดยกลุ่มพีทีจี และอีก 30% ถือโดยเพชรัตน์ อุทัยสาง ซึ่งอยู่ในแวดวง QSR เมืองไทยมากว่า 20 ปี ประมาณ 5% และ 25% ถือโดยบริษัท ไลฟ์สไตล์ฟู้ดส์ จำกัด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราตัดสินใจมาทำธุรกิจนี้ เพราะซับเวย์ทำธุรกิจภายใต้คอนเซ็ปต์ eat fresh, feel good ซึ่งมีมุมคล้ายๆ กับคอนเซ็ปต์ธุรกิจของพีทีจี และ F&amp;B เป็น 1 ใน 8 ธุรกิจหลักที่ PTG ตั้งเป้าที่จะเข้าลงทุนตามแผน Diversify Portfolio เพื่อขยายกลุ่มธุรกิจ Non-Oil ให้เติบโตมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“โดย โกลัค จะเป็นตัวเร่งการเติบโตของบริษัทฯ รวมถึงต่อยอดและขยายธุรกิจกลุ่ม F&amp;B ของ PTG ที่มีอยู่เดิมให้เติบโตอย่างยั่งยืน” พิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พิทักษ์ระบุอีกว่า นอกจากซับเวย์แล้ว โกลัคยังมีแผนขยายธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มแบรนด์อื่นๆ ที่เป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศในอนาคต รวมทั้งการซื้อกิจการที่มีอยู่แล้วด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้การวิจัยพบว่า การสั่งซับเวย์ค่อนข้างซับซ้อน และใช้เวลาค่อนข้างนาน ทำให้ผู้บริโภคไม่กล้าสั่ง และทำให้การเติบโตและการขยายตัวของซับเวย์ทำได้ช้ากว่า QSR ประเภทอื่นๆ ในอดีต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่ด้วยเหตุผลที่ว่าซับเวย์เป็นอาหารที่มีความ healthy เพราะอบขนมปังสดใหม่ในร้านทุกวัน อาจจะเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่กำลังมองหาทางเลือกด้านสุขภาพ ประกอบกับการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ความมั่นใจในการกลับมารับประทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น และการเติบโตของจีดีพีที่อยู่ราว 3.2%​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/XHxQwotz78wkKgX9QnC8.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="XHxQwotz78wkKgX9QnC8.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,544"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เพชรัตน์ อุทัยสาง กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลัค จำกัด ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการ “มาสเตอร์แฟรนไชส์ซับเวย์” ในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว มั่นใจว่าซับเวย์ยังมีอนาคตที่สดใส และเป็นตลาด blue ocean เพราะแตกต่างจาก QSR อื่นๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้น บริษัทจึงเตรียมลงทุนอีกประมาณ 2,300-2,500 ล้านบาท เปิดสาขาใหม่ของซับเวย์อีกกว่า 500 สาขาภายในอีก 10 ปีข้างหน้า เพื่อเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนของซับเวย์ ซึ่งเป็นธุรกิจประเภทร้านอาหารบริการด่วน (QSR) ในเมืองไทย ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าการตลาดถึง 47,700 ล้านบาทในปี 2567 เติบโตขึ้นจาก 45,900 ล้านบาท และ 43,500 ล้านบาท ในปี 2566 และ 2565 ตามลำดับ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราตั้งเป้าขึ้นแท่น TOP 3 ตลาด QSR ในไทยภายใน 3 ปี จากปัจจุบันอยู่ลำดับที่ 5 หรือ 6 ของตลาด ทั้งในเชิงยอดขายและจำนวนสาขา” เพชรัตน์บอก และคาดการณ์รายได้ 5,000 ล้านในอีก 10 ปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กลยุทธ์ที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ได้แก่ การสร้างการรับรู้ของแบรนด์ให้ลูกค้าลองและมีประสบการณ์กับสินค้า ด้วยการทำ Value Campaign เพื่อขยายฐานลูกค้า และเพิ่มการกลับมาซื้อซ้ำ โดยการมีขาย combo set รวมทั้งโปรโมชั่นต่างๆ เพิ่มความหลากหลายของเมนู Snack และ Finger Food&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ การขยายสาขาให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ด้วยแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น คีออส เวนดิ้งแมชชีน และเปิดในทำเลใหม่ๆ เช่น โรงพยาบาล สนามบิน เป็นต้น รวมทั้งมีสินค้าที่เข้าถึงง่ายด้วยเมนูที่ต่ำกว่า 100 บาท หรือการปรับเมนูที่เข้าถึงง่ายกว่าแต่ก่อน และมีการใช้ดิจิทัลแพลตฟอร์ม เพิ่มช่องทาง Online, Mobile Application, Self-Ordering Kiosk, QR Ordering, Order and Pick Up, E-Wallet และ CRM ต่างๆ เพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็วแก่ลูกค้าที่มาใช้บริการ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยการใช้ Max World Ecosystem ที่แข็งแกร่งของ PTG ในเรื่องจำนวนสาขา และจำนวนสมาชิก ถือเป็นกำลังหลักในการทำให้ได้รู้จักลูกค้ามากขึ้น รวดเร็วขึ้น ผ่านระบบ CRM จากฐานลูกค้าผ่านสมาชิกบัตร PT Max Card ที่มีมากกว่า 21 ล้านสมาชิก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันซับเวย์มีสาขาอยู่ในเมืองไทยทั้งสิ้น 148 สาขา เป็นต่างจังหวัด 8 สาขา ที่เหลืออยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยการเปิดสาขาใหม่ของซับเวย์ยังคงเน้นในกรุงเทพฯ ปริมณฑล แหล่งท่องเที่ยว รวมไปถึงหัวเมืองหลักทั่วประเทศ ซึ่งจะโฟกัสไปที่ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ออฟฟิศ สนามบิน โรงพยาบาล รวมไปถึงรูปแบบ Stand Alone เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้า และสร้างการเข้าถึงร้านซับเวย์ไปยังกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ วัยรุ่น คนทำงาน และกลุ่มครอบครัว เพื่อเสริม Max World ให้แข็งแกร่งมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากการขยายสาขาใหม่แล้ว ล่าสุด เตรียมเปิดร้านซับเวย์ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ “Fresh Forward 2.0” แห่งแรกในเอเชียในเมืองไทยเดือนมิถุนายนปีนี้ ภายใต้แนวคิดการออกแบบ “Fresh Forward 2.0” โดยจะมีการนำวัฒนธรรมไทย มาผสมผสานในการออกแบบให้ลงตัวมากยิ่งขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ยังได้นำรูปแบบ “ไดร์ฟทรู” มาใช้ด้วยเช่นกัน โดยทางบริษัทฯ จะเปิดไดร์ฟทรูสาขาแรกในประเทศไทย ภายในสถานีบริการน้ำมันเรือธงของ PT ที่ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ภายในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคในปัจจุบัน โดยเน้นเน้นทำเลที่สะดวกเข้าถึงง่าย และมองเห็นเด่นชัด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราเชื่อว่าแบรนด์อาหารระดับโลกอย่างซับเวย์ จะเข้ามาเติมเต็มธุรกิจ F&amp;B ของบริษัทฯ สร้างความอยู่ดีมีสุขให้กับลูกค้าทั้งภายในและภายนอกสถานีบริการได้ นับเป็นการต่อยอดประสิทธิภาพของระบบนิเวศทางธุรกิจของ PTG และแบรนด์ PTG และเชื่อว่า Subway จะเข้ามาเติมเต็มธุรกิจ F&amp;B ของบริษัทฯ และสามารถสร้างกำไรได้เป็นสัดส่วน 50% ของธุรกิจทั้งหมดในอนาคต” เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/bambam-friend-of-kfc-thailand" alt="KFC Thailand ครบรอบ 40 ปี เปิดตัว “แบมแบม กันต์พิมุกต์” Friend of KFC คนแรกของไทย">KFC Thailand ครบรอบ 40 ปี เปิดตัว “แบมแบม กันต์พิมุกต์” Friend of KFC คนแรกของไทย</a>​​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘พีทีจี’ เตรียมลงทุน 2,300-2,500 ล้าน ลุยต่อ Subway ในไทย ปูพรมเปิดอีก 500 สาขาใน 10 ปี

<h2>บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) ทุ่มงบ 35 ล้านบาท ผ่านบริษัทย่อย GFA ถือหุ้น 70% ในบริษัทใหม่ “โกลัค” GL ดึงแซนด์วิชแบรนด์ดังจากฝั่งอเมริกาอย่าง Subway เก็บเข้าพอร์ต </h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG ได้แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยมีใจความสำคัญว่า บริษัท จีเอฟเอ คอร์ปอเรชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ GFA ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นผ่าน บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด คิดเป็นสัดส่วน 99.99% ได้เข้าร่วมลงทุนเพื่อประกอบธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม โดยการจัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ จำนวน 1 แห่ง ชื่อ บริษัท โกลัค จำกัด (GL)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ของการลงทุน คือดำเนินธุรกิจในฐานะที่เป็นเจ้าของ Master Franchise ภายใต้ชื่อ และเครื่องหมายการค้า “Subway” และบริหารจัดการร้านอาหารภายใต้ชื่อ และเครื่องหมายการค้า “Subway”รวมทั้งบริหารจัดการร้านอาหารในระบบแฟรนไชส์ภายใต้ชื่อ และเครื่องหมายการค้าอื่น ๆทั้งในส่วนที่เป็นชื่อ และเครื่องหมายการค้าของไทย และของต่างประเทศ รวมถึงการดำเนินงานในเรื่องอื่นใดทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจดังกล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับทุนจดทะเบียนของ GL มีมูลค่าอยู่ที่ 50,000,000 บาท ขณะที่สัดส่วนการเข้าลงทุนของ GFA ที่ถือหุ้นใน GL คิดเป็นสัดส่วน 70% ของทุนจดทะเบียนทั้งหมด หรือมูลค่าลงทุนอยู่ที่ 35,000,000 บาท​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/84UTTXxj3qtcVKZVKZXU.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="84UTTXxj3qtcVKZVKZXU.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div>​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/cJKUfhRvWa6YsQAgLzTd.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="cJKUfhRvWa6YsQAgLzTd.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> ​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/motoring/rolls-royce-reveals-the-arcadia-droptail-ultimate-custom-made-automobiles" alt="โรลส์-รอยซ์ เผยโฉม Arcadia รุ่น Droptail ที่สุดแห่งยนตรกรรมสั่งทำพิเศษตามความต้องการลูกค้า">โรลส์-รอยซ์ เผยโฉม Arcadia รุ่น Droptail ที่สุดแห่งยนตรกรรมสั่งทำพิเศษตามความต้องการลูกค้า</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

PTG ทุ่ม 35 ล้านบาท ผ่านบริษัทย่อย ถือหุ้น 70% ในบริษัทใหม่ “โกลัค” GL ดึงแบรนด์ Subway เก็บเข้าพอร์ต

<h2>บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) วางกลยุทธ์ปี 2567 เดินหน้ายกระดับธุรกิจ Oil &amp; Non-Oil ภายใต้ Max World พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจทุกภาคส่วนให้บรรลุตามแผนปี 2570 ที่ตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์น้ำมันกว่า 25% ฐานสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus โตกว่า 30 ล้านสมาชิก ส่วนร้านกาแฟพันธุ์ไทยขยายสาขาเพิ่มเป็น 5,000 สาขา</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยในงาน PTG Business Outlook 2024: Drive for Tomorrow, The Dynamism of Speed โดยระบุว่าปี 2566 เป็นอีกหนึ่งปีที่ธุรกิจในเครือ PTG ยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง เห็นได้จากปี 2566 ภาพรวมปริมาณการใช้น้ำมันของประเทศผ่านสถานีบริการเติบโตเล็กน้อยเพียง 2.2% แต่ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการกลับเติบโตอย่างโดดเด่นถึง 13.3% ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของประเทศถึง 6 เท่า และเติบโตในทุกช่องทางที่ 12.1% เป็น 5,960 ล้านลิตร นับเป็นสถิติสูงที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท และเป็นครั้งแรกที่สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดน้ำมันผ่านช่องทางสถานีบริการได้มากกว่า 20%&nbsp; &nbsp;&nbsp;ส่วนธุรกิจ Non-Oil มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 13,688 ล้านบาท เติบโต 44.4% ซึ่งเป็นการเติบโตจากธุรกิจก๊าซ LPG ที่สร้างสถิติสูงสุดอย่างต่อเนื่องที่จำนวน 634 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 27.7% มีการขยายจุดบริการก๊าซ LPG ในครัวเรือนจำนวน 332 จุด ขณะที่ปริมาณการขายเติบโตถึง 48.0% ส่วนธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทย มีรายได้เพิ่มขึ้น 54.1% จากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/8YSxaZXezs8fiKvqamSv.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="8YSxaZXezs8fiKvqamSv.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp; &nbsp;&nbsp;ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566 มีจำนวนสาขาอยู่ที่ 882 สาขา เพิ่มขึ้น 371 สาขาจากสิ้นปีที่ผ่านมา ประกอบกับการเติบโตของสาขาเดิม จากการกลับเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่องของกลุ่มลูกค้าผู้ถือบัตร PT Max Card และ PT Max Card Plus ซึ่งปี 2566 บริษัทฯ มีสาขาของธุรกิจ Non-Oil รวมทั้งสิ้น 2,087 สาขา เพิ่มขึ้น 561 สาขา หรือเติบโต 36.8% และมีสัดส่วนกำไรขั้นต้นจากธุรกิจ Non-Oil เป็นไปตามเป้าหมายที่ 21.2%&nbsp; &nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ภายในปี 2570 บริษัทตั้งเป้าครองส่วนแบ่งการตลาดน้ำมันผ่านช่องทางสถานีบริการมากกว่า 25% ผ่าน 3 กลยุทธ์ ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1) Expansion &amp; Renovation&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2) Service Innovation&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3) Data Optimization&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พร้อมตั้งเป้าฐานสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus ขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่า 30 ล้านสมาชิก ส่วนร้านกาแฟพันธุ์ไทยมุ่งขยายสาขาร้านในรูปแบบของ “แฟรนไชส์” มากขึ้น ทั้งภายในและนอกสถานีบริการน้ำมันจำนวน 5,000 สาขาครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ รวมถึงขยายออกสู่ตลาดต่างประเทศเช่น ลาว พร้อมพัฒนาและมุ่งหาธุรกิจใหม่ๆ เพื่อใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศของบริษัท&nbsp; &nbsp;&nbsp;รังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่าปีที่ผ่านมาบริษัทได้ขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์เพื่อเสริมระบบนิเวศทางธุรกิจ หรือ Max World ให้แข็งแกร่งมากขึ้น อาทิ ธุรกิจตัวกลางด้านการขนส่ง และโลจิสติกส์ในรูปแบบแพลตฟอร์มออนไลน์ ผ่าน บริษัท แมกซ์ เวนเจอร์ส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่เข้าร่วมลงทุนใน บริษัท ทรีซิกซ์ตี้ ซัพพลายเชน จำกัด ผู้ให้บริการ “360 TRUCK” ยอดขายสินค้าออนไลน์ (Gross Merchandise Volume: GMV) ปี 2566 สูงกว่า 1,100 ล้านบาท หรือธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสอง โดยซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ไพศาล แคปปิตอล จำกัด จำนวน 825 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 33.33%&nbsp; &nbsp;&nbsp;อีกทั้งได้ร่วมมือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ภายในสถานีบริการน้ำมันภายใต้ชื่อ Elex by EGAT PT ซึ่งปัจจุบันได้ดำเนินการติดตั้งแล้ว 49 สถานี และมีแผนจะติดตั้งเป็น 262 และ 712 ในปี 2567 และ 2570 ตามลำดับ&nbsp; &nbsp;&nbsp;ส่วนโครงการพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ที่ลงทุนผ่าน บริษัท พีทีจี กรีน เอ็นเนอยี จำกัด (PTGGE) โดยซื้อขายไฟฟ้าในรูปแบบ Private PPA ปัจจุบันติดตั้งแล้วบนพื้นที่ 37 สถานี ประหยัดพลังงานมากกว่า 1 ล้านหน่วยต่อปี ซึ่งลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าของกลุ่มสถานีดังกล่าว 15% ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 500 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ซึ่งปี 2567 PTGGE ได้ตั้งงบลงทุน 1,000 ล้านบาทสำหรับ 5 ปีข้างหน้า เพื่อขยายพอร์ต Solar Rooftop รูปแบบ Private PPA อีก 28.67 MW บนพื้นที่กว่า 1,200 สถานี โดยมีเป้าหมายลดปริมาณการใช้ไฟฟ้ามากกว่า 33 ล้านหน่วยต่อปี คาดว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 13,420 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี หรือเทียบเท่าการปลูกป่า 2.9 ล้านต้น​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/hPNZ5Bcuxawby7DnAurz.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="hPNZ5Bcuxawby7DnAurz.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ยังร่วมลงนามเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน บริษัท ไทยไพบูลย์ อีควิปเม้นท์ จำกัด ในสัดส่วน 10% คิดเป็นมูลค่าลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท และในอนาคตจะมีสิทธิเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของไทยไพบูลย์ฯ เพื่อถือหุ้นในสัดส่วนสูงสุดไม่เกิน 33.33% คิดเป็นมูลค่าการลงทุนประมาณการตลอดโครงการทั้งสิ้น 400 ล้านบาท เพื่อขยายการลงทุนธุรกิจบริหารจัดการขยะและผลิตเชื้อเพลิงขยะ โดยไทยไพบูลย์ฯ มีการผลิต RDF 1,500 ตัน/วัน มีสัญญากับหน่วยงานท้องถิ่นมากกว่า 20 สัญญา หรือมีขยะมูลฝอยมากกว่า 7 ล้านตัน คาดว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 5 ล้านตันต่อปี เทียบเท่าการปลูกป่า 555 ล้านต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับภาพรวมธุรกิจในปี 2567 บริษัทประมาณการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายน้ำมันไว้ที่ 10-12% และวางเป้าหมายการขยายสถานีบริการไว้ที่ 2,251 แห่ง&nbsp; &nbsp;&nbsp;ด้านธุรกิจ Non-Oil วางเป้าเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 40-50% โดยวางเป้าหมายการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายก๊าซ LPG ไว้ที่ 30-40% และขยายสถานีบริการ Auto LPG และ Gas Shop เป็น 788 สาขา จากเดิมที่มีอยู่ 573 สาขาในปี 2566 บริษัทยังขยายสาขาธุรกิจร้านกาแฟพันธุ์ไทยอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ที่มีศักยภาพ โดยปัจจุบันมีมากกกว่า 900 สาขา และตั้งเป้าหมายขยายสาขาเพิ่มอีก 400 สาขาภายในปี 2567&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับธุรกิจใหม่อย่างสินทรัพย์ดิจิทัล ปกเขตร รัชกิจประการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แมกซ์บิท ดิจิทัล แอสเซท จำกัด กล่าวว่าบริษัทได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล 2 ประเภท ได้แก่ นายหน้าซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี และนายหน้าซื้อขายโทเคนดิจิทัล โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 พร้อมตั้งเป้าหมายปี 2567จะมีสมาชิกเทรดประมาณ 350,000 ราย และมั่นใจว่าจะมีมาร์เก็ตแชร์เติบโตเป็น 9-10% และเป็นอันดับ 2 ของกลุ่มตลาดนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/other/sinon-vongkusolkit-ceo-banpu" alt="‘บ้านปู’ ก้าวสู่ยุคใหม่ด้วยคนรุ่นใหม่ แต่งตั้ง ‘สินนท์ ว่องกุศลกิจ’ เป็น CEO">‘บ้านปู’ ก้าวสู่ยุคใหม่ด้วยคนรุ่นใหม่ แต่งตั้ง ‘สินนท์ ว่องกุศลกิจ’ เป็น CEO</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

PTG ปักธงปี 2570 ครองมาร์เก็ตแชร์น้ำมัน 25% ร้านกาแฟพันธุ์ไทย 5,000 สาขา

พิทักษ์ รัชกิจประการ NEXT STEPS ก้าวสำคัญ PTG เพิ่มพอร์ตธุรกิจ Non-Oil

<h2>ซวนเซด้วยหนี้ก้อนโตจากพิษต้มยำกุ้ง แต่พิทักษ์ รัชกิจประการฮึดขึ้นสู้ปรับโครงสร้างหนี้ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี จนสำเร็จและนำเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯวันนี้ ธุรกิจปั๊มน้ำมันพีทีผงาดขึ้นอย่างแข็งแกร่งอีกครั้ง พร้อมต่อกรกับยักษ์ใหญ่ในตลาด</h2>
หลังจบจากคณะประมงสาขาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปี 2530 บัณฑิตป้ายแดง พิทักษ์ รัชกิจประการ และเพื่อนร่วมรุ่นอีก 4 คน ตีตั๋วรถบัสแดงไปเสี่ยงดวงที่อำเภอคลองโคน สมุทรสงคราม เพื่อสมัครงานในฟาร์มกุ้งแห่งหนึ่ง แต่ทั้งหมดโชคไม่ดีผู้จัดการฟาร์มไม่อยู่เพื่อนของเขายินดีจะกลับมาสมัครงานอีกครั้ง ขณะที่ พิทักษ์ ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวจบความคิดที่จะเป็นลูกจ้าง เขาเดินทางกลับบ้านที่หาดใหญ่เพื่อช่วยครอบครัวดูแลธุรกิจ

“สงสัยชีวิตกำหนดให้ทำเลย ไม่ใช่ทำให้คนอื่นเจ๊ง ในเมื่อเป็นลูกจ้างไม่ได้ ก็ไป “วัด” กันเลย ไม่ต้องนั่งเรียนรู้” พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) เปิดใจกับ Forbes Thailand กล่าวย้อนไปในช่วงวัย 20 ต้นๆ

ครอบครัวรัชกิจประการ ทำธุรกิจหลากหลายในจังหวัดภาคใต้ อาทิ ปั๊มน้ำมันสวนปาล์ม รังนก ฟาร์มกุ้ง เขาได้รับมอบหมายให้ดูแลธุรกิจฟาร์มกุ้งไม่กี่ไร่แต่สอนให้เขาเรียนรู้และอดทนในการทำงาน หลังเรียนจบด้าน MBA มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ปี 2535 พี่ชายของเขาจึงเรียกเข้ามาช่วยงานที่บริษัท ภาคใต้เชื้อเพลิงจำกัด (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นบมจ. พีทีจี เอ็นเนอยี) ซึ่งอยู่ระหว่างการขยายกิจการปั๊มน้ำมันพีที และนี่คือจุดเปลี่ยนในชีวิตของเขา พร้อมๆ กับเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวธุรกิจปั๊มน้ำมัน 5 หมื่นล้าน

ล้มแล้วลุก

พิทักษ์เข้ามาช่วยในช่วงที่บริษัทมีสถานีน้ำมันเพียง 24 สาขา เขาเริ่มต้นเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดซื้อน้ำมัน รับผิดชอบประสานงานสั่งซื้อน้ำมันจากต่างประเทศ เขาพบว่าในช่วง 15-20 ปีทีแล้ว ธุรกิจน้ำมันกำไรน้อยมาก และเมื่อยิ่งเป็นแบรนด์ที่ไม่รู้จักในตลาดการทำธุรกิจก็จะลำบากมากขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ยังสามารถเติบโตไปด้วยดี ช่วงปี 2538-2539 บริษัทสถานีบริการพีทีขายน้ำมันได้ราว 1,500 ล้านลิตรต่อปี สามารถต่อกรอย่างคู่คี่สูสีมากับค่ายสถานีน้ำมันบางจาก แต่โชคไม่ดีในปี 2540 บริษัทต้องเจอกับวิกฤตต้มยำกุ้ง ทำให้ต้องล้มแผนขยายธุรกิจลง เพราะเจอหนี้สิ้นก้อนโตถึง 3,600 ล้านบาท จากภาระดอกเบี้ยทับถมและค่าเงินบาทที่ตกฮวบ บริษัทจำใจต้องรัดเข็มขัดและนำบริษัทเดินหน้าปรับโครงสร้างหนี้ทันทีโดยผู้บริหารเบอร์หนึ่งของบริษัทประกาศไม่รับเงินเดือน ขณะที่ตำแหน่งถัดลงมาถูกตัดเงินเดือน 10% พร้อมกับมาตรการรัดเข็มขัดทุกด้าน

ในปี 2549 พิทักษ์ ก้าวขึ้นเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ โดยรับหน้าที่ช่วยปรับโครงสร้างหนี้และชำระหนี้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ได้สำเร็จ จนมีกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ 1,400 ล้านบาท ด้วยผลงานที่เป็นที่ยอมรับ ในปี 2550 เขาจึงก้าวขึ้นเป็นกรรมการผู้จัดการ แม้จะแก้ปัญหาการเงินได้ แต่พิทักษ์บอกว่าบริษัทก็ยังเหมือนผู้ป่วยออกจาก “ห้องไอซียู” ยังอยู่ในรถเข็น ไม่มีทุนที่จะทำให้องค์กรเติบโต ทำให้เขาตัดสินใจนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2556 และสามารถระดมทุนได้ 1,600 ล้านบาท และการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ นี่เอง ยังผลให้แบรนด์พีทีเป็นที่รู้จักมากขึ้นไม่ว่าจากซัพพลายเออร์และผู้บริโภคน้ำมันรายย่อย

“ชีวิตในช่วงวิกฤตมันก็เครียด ก็ท้อ ท้อได้ แต่ไม่ควรอยู่กับมันนาน ท้อได้แต่อย่าถอย...เราเชื่อ ไม่มีใครโชคร้ายตลอด” พิทักษ์ ย้อนถึงความรู้สึกในปี 2540

พิทักษ์ คาดว่า ธุรกิจของบริษัทยังสามารถเติบโตได้อีก โดยยอดขายปี 2559 จะเพิ่มขึ้น 30-40% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นไปตามการเติบโตของการขยายสถานีน้ำมันที่คาดว่าจะเปิดครบ 1,500 สาขาในปีนี้ เพิ่มจากเดิมราว 1,150 สาขาในปี 2558 และในไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมา บริษัทสามารถขยายครบ 1,200 สาขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“3-5 ปีข้างหน้า เราต้องการเป็นเบอร์ 1 ด้านจำนวนสถานีน้ำมันของประเทศ พร้อมคาดหวังจะเป็นเบอร์ 2 ขายน้ำมันสูงสุดผ่านปั๊ม” พิทักษ์กล่าว

ลุกแล้วลุย

เมื่อ PTG เริ่มแข็งแกร่ง บริษัทจึงเดินเครื่องขยายการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานอย่างรอบด้าน ในปี 2557 บริษัทยังได้ลงทุนในโครงการปาล์มน้ำมันวงจร (palm complex) มูลค่า 4,800 ล้านบาท โดยมีอีก 2 บริษัทหุ้นส่วนที่ร่วมคือ บริษัท ท่าฉาง (บางสะพาน) น้ำมันปาล์ม จำกัด และบริษัทอาร์แอนด์ดี เกษตรพัฒนา จำกัด โดย PTG ถือหุ้น 40% ในบริษัทร่วมทุนที่ทำตั้งแต่การปลูกปาล์มเพื่อนำผลผลิตมาใช้ในการกระบวนการผลิตจนถึงผลิตไบโอดีเซล B100 และน้ำมันปาล์มเพื่อบริโภค คาดว่าโครงการทั้งหมดจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปีหน้าและจะเริ่มการผลิตในไตรมาส 2

และเมื่อต้นปีที่ผ่านมาบริษัทได้เสริมความแข็งแกร่งด้านโลจิสติกส์โดยเข้าซื้อหุ้นของบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด หรือ FPT 9.55% ผู้ให้บริการขนส่งนำมันอากาศยาน และน้ำมันภาคพื้นดินผ่านระบบท่อ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานด้านการขนส่งไปคลังน้ำมันและสถานีบริการน้ำมันทางภาคเหนือ และยังได้ซื้อหุ้นบริษัท อาม่า มารีน จำกัด หรือ AMA จำนวน 32.01% ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการให้บริการขนส่งสินค้าเหลวทางทะเลและทางบก เป็นการบริหารจัดการต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพด้านขนส่งให้ดีขึ้น

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/3f7ab9a12d6d23b34282ac14a923e902.png" alt="" />

ปัจจุบัน บริษัทอายุครบ 28 ปี แต่พิทักษ์ยังเปรียบ PTG ว่า ยังเป็น “เด็กน้อย” แต่อนาคตอันใกล้ เด็กน้อยคนนี้จะเริ่ม “บิน” ผู้บริหารวัย 51 ปีบอกว่า เนื่องจากที่ผ่านมาเขาพยายามวางรากฐานบริษัทให้มีความแข็งแกร่ง ผ่านการวางแผนการเติบโตในระยะยาว 10 ปี

“อนาคตเราจะเข้าไปในธุรกิจ non oil มุ่งเน้นไปเรื่องธุรกิจเซอร์วิสเพราะไม่ต้องสต็อกสินค้า เจอสินค้าเสื่อมสภาพ ไม่มีสินค้าล้าสมัย และธุรกิจเซอร์วิสกำไรดีกว่า” พิทักษ์กล่าว

ปัจจุบัน เขาพยายามสื่อสารกับพนักงานทุกส่วนๆ ในองค์กร เรียกว่า “ซีอีโอ ทอลค์” ในปีหนึ่งก็แถลงนโยบายกับพนักงานทั้งหมด หรือในระดับผู้จัดการ ก็จัดทุกๆ ไตรมาสหรือ 2 เดือนครั้ง หรือในยามว่าง เขาก็จะแวะเวียนไปเยี่ยมสถานีน้ำมันในที่ต่างๆ ในวันที่เราไปสัมภาษณ์ เขาก็เพิ่งเสร็จจากการเยี่ยม 5 ปั๊มแถวบางบัวทองและตลิ่งชัน และทุกครั้งที่ไปก็จะมีการแจกน้ำและขนม เพื่อสร้างกำลังใจพนักงาน ขณะที่ทำงานในออฟฟิศเขาเข้างานเช้า 6.30 น และกลับไม่เกิน 1 ทุ่ม ช่วง 15 ปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยลาป่วยไม่เคยลาพักร้อน หากไปงานดึก เศรษฐีคนนี้ก็บอกให้คนขับรถกลับก่อน ส่วนเขาจะนั่งแท็กซี่แทน

“ทุกวันนี้ ชีวิตไม่ได้มาทำงาน แต่มาดูฝันที่เขียนไว้ ว่าเป็นจริงได้ขนาดไหน” เขากล่าวทิ้งท้าย

&nbsp;

เรื่อง: บำรุง อำนาจเจริญฤทธิ์ ภาพ: จันทร์กลาง กันทอง

<hr />

<a href="http://goo.gl/fFO1hE">คลิ๊กอ่าน "พิทักษ์ รัชกิจประการ ขยายอาณาจักรพีที" ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ JULY 2016 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="http://goo.gl/fFO1hE"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/6ef061c9479ff04c8771ed25445ed78a.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events