<h2>ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี (Automobili Lamborghini) ตอกย้ำแนวโน้มธุรกิจขาขึ้นของบริษัทฯ ตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ด้วยผลประกอบการที่ดีที่สุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2567 ทั้งจำนวนการส่งมอบรถยนต์ ยอดขาย และรายได้จากการดำเนินงาน แม้ตลาดรถยนต์กำลังเผชิญสภาวะที่ท้าทาย โดยสามารถทำลายสถิติรายได้สูงกว่า 3 พันล้านยูโรเป็นครั้งแรก</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สเตฟาน วิงเคิลมันน์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี กล่าวว่า “เราสามารถกล่าวสรุปปีแห่งการทำลายสถิติของออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี ครั้งนี้ได้ว่าเกิดจากการพัฒนาทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ไปพร้อมกับการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ต้องเผชิญกับความยากลำบากในตลาดรถยนต์และสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันสูง ทว่าในปี 2567 ที่ผ่านมา เรากลับสามารถเติบโตในทั้ง 3 ภูมิภาคหลัก (อเมริกา / ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา / เอเชียแปซิฟิก) ซึ่งยืนยันถึงสถานะอันแข็งแกร่งของแบรนด์ในตลาดโลก”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/vPoJr6upuwcnAFJXrgJd.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="vPoJr6upuwcnAFJXrgJd.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="2150,1206" style="width: 720px; height: auto;" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลประกอบการของออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี ประจำปี 2567 มีดังนี้&nbsp; &nbsp; &nbsp;- รายได้ 3.09 พันล้านยูโร เพิ่มขึ้น 16.2% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 และทะลุเพดาน 3 พันล้านยูโรเป็นครั้งแรก&nbsp; &nbsp; &nbsp;- รายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 835 ล้านยูโร เพิ่มขึ้น 15.5% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน&nbsp; &nbsp; &nbsp;- อัตรากำไรจากการดำเนินงานยังรักษาระดับที่ 27%&nbsp; &nbsp; &nbsp;- จำนวนการส่งมอบรถยนต์มากถึง 10,687 คันทั่วโลก และยังมีอัตราการเติบโตสูงกว่าปีก่อนหน้าที่ 5.7%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เปาโล โพมา กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี กล่าวว่า “บริษัทฯ มีการเติบโตในปี 2567 อย่างต่อเนื่องทั้งในด้านการเงินและธุรกิจ ซึ่งทำให้เรามีระดับผลกำไรที่เกาะกลุ่มแบรนด์หรูชั้นนำอื่นๆ ของโลก ท่ามกลางบริบทที่ท้าทายนี้ เป้าหมายของเรายังคงเป็นการเติบโตอย่างยั่งยืนทั้งในด้านการเงินและสิ่งแวดล้อม เพื่อมอบคุณค่าให้แก่ผู้ถือประโยชน์ทุกฝ่ายของเรา”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สถิติผลประกอบการในปี 2567 ถือเป็นจุดสูงสุดของช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนของบริษัทฯ โดยในระยะเวลาเพียง 18 เดือน บริษัทได้พัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งหมดด้วยการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ถึง 3 รุ่น ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กลุ่มผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ และสร้างกระแสความสนใจได้อย่างมากในตลาดโลก​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/26PkR9NBSLCdNKY4HpxQ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="26PkR9NBSLCdNKY4HpxQ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="720,480"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รุ่นแรกที่เปิดตัวคือ Revuelto รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง (High Performance Electrified Vehicle: HPEV) ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ V12 รุ่นแรกจากโรงงาน โดยผสานเครื่องยนต์ V12 อันเป็นแบบฉบับของออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี เข้ากับเทคโนโลยีไฮบริดขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รุ่นต่อมาคือการเปิดตัว Urus SE ยกระดับคอนเซ็ปต์ Super SUV ไปอีกขั้นด้วยการนำเสนอสุดยอดแห่งเทคโนโลยี นวัตกรรม ประสิทธิภาพ และการออกแบบเพื่อมอบประสิทธิภาพที่เหนือกว่า และรุ่นสุดท้าย นำเสนอคุณสมบัติอันโดดเด่นและเครื่องยนต์ที่ออกแบบใหม่ทั้งหมดใน Temerario ซึ่งเปิดตัวในงาน Monterey Car Week เดือนสิงหาคม 2567 แสดงให้เห็นถึงดีเอ็นเอในแบบฉบับของลัมโบร์กินีได้อย่างสมบูรณ์ พร้อมการันตีประสบการณ์การขับขี่ที่ไร้คู่แข่ง ภาพ:&nbsp;Automobili Lamborghini เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/global/marketing/prada-acquires-versace-for-1-36-billion-usd" alt="Prada เข้าซื้อกิจการ Versace เล็งเห็นศักยภาพการเติบโต แม้กำลังอยู่ในช่วงขาลง">Prada เข้าซื้อกิจการ Versace เล็งเห็นศักยภาพการเติบโต แม้กำลังอยู่ในช่วงขาลง</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Lamborghini ทุบสถิติใหม่! รายได้ปี 67 ทะลุ 3,000 ล้านยูโรเป็นครั้งแรก ยอดส่งมอบรถยนต์ทั่วโลกกว่า 10,000 คัน

<h2>แอสตัน มาร์ติน แบงคอก ผู้จำหน่ายยนตรกรรมสปอร์ตจากประเทศอังกฤษ ‘แอสตัน มาร์ติน’ อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เปิดตัวรถยนต์รุ่น ‘แวนเทจ ใหม่’ (New Vantage) ที่เป็นเสมือนตัวแทนของสมรรถนะขั้นสูงสุดของสายพันธุ์ แวนเทจ ที่ถือกำเนิดมากว่า 76 ปี ด้วยโครงสร้างและระบบขับเคลื่อนถูกปรับแต่ง เพื่อสร้างความเร้าใจสูงสุดให้ผู้ขับ ห้องโดยสารออกแบบใหม่ทั้งหมด พร้อมระบบอินโฟเทนเมนต์ล้ำสมัย ที่มาพร้อมความหรูหรา และคุณภาพเหนือระดับ ราคาเริ่มต้น 21.9 ล้านบาท (รวม warranty 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง)</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธีรไนย มาศดิตถ์ ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายขายและการตลาด แอสตัน มาร์ติน แบงคอก กล่าวว่า “นับเป็นโอกาสดีสำหรับลูกค้าในประเทศไทย ที่จะได้สัมผัสกับ แอสตัน มาร์ติน แวนเทจ ใหม่ ภายใต้คอนเซปต์ ‘Thrill.Driven.’ ซึ่งยังคงรักษาเอกลักษณ์และกลิ่นอายตามแบบฉบับดั้งเดิม ไว้ได้อย่างครบถ้วน ทำให้ แวนเทจ ใหม่ เป็นยนตรกรรมเปี่ยมสมรรถนะ ถ่ายทอดเทคโนโลยีการขับจากสนามแข่งฟอร์มูลาวัน สะท้อนตัวตนออกมาได้อย่างชัดเจนและทรงพลังที่สุด”​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/mEeFs11ioneW1nCAheCZ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="720px,480px" data-align="center" data-file-name="mEeFs11ioneW1nCAheCZ.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,480" data-origin="720px,480px" style="width: 720px; height: 480px;" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แอสตัน มาร์ติน เป็นรถยนต์สัญชาติอังกฤษ กำเนิดช่วงปี 1913 ก่อตั้งโดย ไลโอเนล มาร์ติน กับ โรเบิร์ต แบมฟอร์ต ซึ่งทั้งคู่สร้างรถแข่งร่วมกัน เพื่อไปแข่งรายการ แอสตัน คลินตัน ฮิลล์ไคล์ม (Aston Clinton Hillclimb) และคว้าแชมป์ได้สำเร็จ&nbsp;สำหรับปีนี้ นับว่าเป็นการครบรอบ 112 ปีของแอสตัน มาร์ติน​​รูปลักษณ์บึกบึน น่าเกรงขาม ทุกองศา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แอสตัน มาร์ติน แวนเทจ ใหม่ มิติตัวถัง ยาว 4,495 กว้าง 2,124 และสูง 1,275 มิลลิเมตร ตัวถังกว้างขึ้น 30 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,705 มิลลิเมตร น้ำหนักรถเปล่า 1,605 กิโลกรัม โครงสร้างตัวถังอะลูมิเนียม ปรับแต่งให้ทนต่อแรงบิดได้สูงขึ้น ส่งผลดีต่อความแม่นยำในการควบคุม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กระจังหน้ากว้างกว่าเดิม 38% เพิ่มประสิทธิภาพการนำอากาศมาระบายความร้อนได้ดีขึ้น 29% ไฟหน้า Matrix LED ดีไซน์ใหม่ พร้อมเดย์ไทมรันนิ่งไลท์ในตัว สะท้อนเอกลักษณ์ของ แอสตัน มาร์ติน ยุคใหม่ ปิดท้ายด้วยล้อฟอร์จขนาด 21 นิ้ว ความกว้างหน้า 9.5J และหลัง 11.5J จับคู่กับยางมิชลิน (Michelin) Pilot S 5 หน้า 275/35/ZR21 หลัง 325/30ZR21 ปั๊มรหัส ‘AML’ บ่งบอกว่าผลิตมาเพื่อใช้กับ แวนเทจ ใหม่ โดยเฉพาะ​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/CpSSDdeW1EoEQeL4G4zd.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="720px,480px" data-align="center" data-file-name="CpSSDdeW1EoEQeL4G4zd.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,480" data-origin="720px,480px" style="width: 720px; height: 480px;" data-index="1"></figure></div>​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/DxAU1ktTMNCrHT5qt26P.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="DxAU1ktTMNCrHT5qt26P.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="2"></figure></div> หรูหรา ฉลาดล้ำ ผสานอารมณ์แห่งความสปอร์ต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ห้องโดยสารได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด ผสมผสานความหรูหรากับเทคโนโลยีล้ำสมัย ตกแต่งด้วย หนังแท้ Bridge of Weir ที่ให้สัมผัสหรูหราและกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ มาพร้อมระบบเสียงมาตรฐาน Aston Martin 390W 11 ลำโพง พวงมาลัยพาวเวอร์แบบไฟฟ้า แปรผันอัตโนมัติ (Variable Electrical Power Assistance) ทัชสกรีนอเนกประสงค์ Pure Black ขนาด 10.25 นิ้ว ผสานปุ่มกดบริเวณใกล้เคียง สามารถใช้งานได้สะดวกและรวดเร็ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ระบบอินโฟเทนเมนท์แบบใหม่ รองรับทั้ง iOS และ Android มาพร้อม 5 โหมดการขับ-Wet, Sport, Sport Plus, Track และ Individual ที่เปิดโอกาสให้ผู้ขับผสมผสานการตั้งค่าของระบบต่างๆ ได้ตามต้องการ​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/52YtYLvMGB7nWSs3KaDu.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="52YtYLvMGB7nWSs3KaDu.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="3"></figure></div> รีดกำลัง ทวีความแรง สู่มิติใหม่แห่งความเร้าใจ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แอสตัน มาร์ติน แวนเทจ ใหม่ ใช้เครื่องยนต์เบนซิน วี8 สูบ ทวินเทอร์โบ 4.0 ลิตร ที่ผ่านการปรับแต่งใหม่ โดยการเพิ่มขนาดเทอร์โบ, ปรับแต่งแคมชาฟท์ (Dual Variable Camshaft Timing), ปรับอัตราส่วนการอัด 8.6:1 พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน ห้องเผาไหม้ผ่านการกลึง CNC เต็มรูปแบบ (Fully CNC machined combustion Chamber) ทำได้ 665 แรงม้า (PS) แรงบิด 800 นิวตันเมตร มีกำลังสูงขึ้น 30% หรือ 155 แรงม้า (PS) และแรงบิดเพิ่มขึ้น 15% หรือ 115 นิวตันเมตร เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ส่งกำลังสู่ล้อคู่หลัง ผ่านเกียร์อัตโนมัติ ZF 8 จังหวะ ที่ติดตั้งติดตั้งอยู่ด้านหลัง (rear mounted) พร้อมเพลาขับคาร์บอนไฟเบอร์ (Carbon Fibre Prop Shaft) และเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิปควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Rear Limited Slip Differential) อัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 3.4 วินาที และสามารถทำความเร็วสูงสุด 325 กิโลเมตรต่อชั่วโมง​<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/17bfKT1ASmFEQ7aMh9Fn.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="17bfKT1ASmFEQ7aMh9Fn.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="4"></figure></div>​แฮนด์ลิงคมกริบ พิชิตทุกความท้าทาย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โครงสร้างตัวถังอะลูมิเนียม (Bonded Aluminium) ได้รับการพัฒนาเพิ่มความแข็งแกร่ง ทนต่อการบิดตัวได้สูงขึ้น มาพร้อมความสมดุลในการกระจายน้ำหนัก 50:50 ช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ ดับเบิลวิชโบน คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ช่วงล่างหน้าหลังแบบ มัลติ-ลิงค์ คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ระบบกันสะเทือนแบบอะแด๊ปทีฟ (ADS-Adaptive Damping System)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี Skyhook และ Intelligent Adaptive Dampers คานขวางช่วงล่างด้านหน้า (cross-member) ออกแบบใหม่ และย้ายตำแหน่งติดตั้งไปข้างหลังมากขึ้นเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับจุดยึดช่วงล่างหน้าแบบดับเบิลวิชโบน ค้ำตัวถังในห้องเครื่องด้านหน้า น้ำหนักเบาลง แต่แข็งแกร่งขึ้น ช่วยลดการบิดของตัวถัง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ช่วงล่างหลังเพิ่มความแข็งแกร่ง 29% ผสานโช้กอัพแบบอะแด๊ปทีฟของ Bilstein DTX ที่มีช่วงการทำงานที่กว้างขึ้นถึง 500% เทียบกับรุ่นก่อนหน้า ส่งผลให้มีแฮนด์ลิงคมกริบ และขับสนุกยิ่งขึ้น จานเบรกโลหะเจาะรูระบายความร้อน หน้า 400 x 36 มิลลิเมตร หลัง 360 x 36 มิลลิเมตร จับคู่คาลิเปอร์เบรกหน้า 4 พ็อต และหลัง 6 พ็อต โดยมีชุดจานเบรกเซรามิกให้เลือกติดตั้งเป็นออปชั่น ภาพ:&nbsp;แอสตัน มาร์ติน แบงคอก เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/travel/minor-hotels-open-2nd-nh-hotel-in-bangkok" alt="Minor Hotels เปิดโรงแรมเอ็นเอชแห่งที่สองในกรุงเทพฯ ทำเล ‘อโศก’ ตอบโจทย์นักธุรกิจ-นักท่องเที่ยว">Minor Hotels เปิดโรงแรมเอ็นเอชแห่งที่สองในกรุงเทพฯ ทำเล ‘อโศก’ ตอบโจทย์นักธุรกิจ-นักท่องเที่ยว</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘แอสตัน มาร์ติน แบงคอก’ เปิดตัวรถยนต์สปอร์ต รุ่น New Vantage ราคาเริ่มต้น 21.9 ล้านบาท

<h2>บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เผยผลการดำเนินงานจากปี 2567 หลังทำผลงานได้อย่างแข็งแกร่งในตลาดท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ท้าทาย แม้ว่าตลาดรถยนต์พรีเมียมในภาพรวมจะมียอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ลดลงถึง 24% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่ทั้งสามแบรนด์ภายใต้บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังมีผลงานในตลาดที่ดีกว่าค่าเฉลี่ย ด้วยยอดส่งมอบรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูและมินิรวม 13,659 คัน โดยมินิมียอดจดทะเบียนรถใหม่เพิ่มขึ้น 7.6% มาอยู่ที่ 1,451 คัน ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยูทำยอดรวมได้ 12,208 คัน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เรเน่ แกร์ฮาร์ด ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป มีความมุ่งมั่นที่จะยกระดับทั้งนวัตกรรม ความยั่งยืน และความพึงพอใจของลูกค้ามาโดยตลอด และการยึดมั่นในเป้าหมายทั้งสามด้านหลักนี้ ประกอบกับแรงสนับสนุนที่เข้มแข็งจากทั้งทีมงาน พันธมิตร และลูกค้าของเรา ต่างช่วยให้เราสามารถฟันฝ่าสถานการณ์ที่ท้าทายในตลาดไทยได้อย่างมั่นคง ถึงแม้ว่าตลาดรถยนต์ของไทยจะต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยในการฟื้นตัวท่ามกลางแรงกดดันจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ แต่เราก็ยังมองเห็นปัจจัยบวกจากแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงที่ยังคงชัดเจนในหลายด้าน เช่น ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าในกลุ่ม BEV ของทั้งบีเอ็มดับเบิลยูและมินิที่เพิ่มขึ้นราว 11% จากปีที่แล้ว เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ลูกค้าในประเทศไทยต่างตอบรับมุมมองและวิสัยทัศน์ของเราในอุตสาหกรรมยานยนต์ และเราก็พร้อมที่จะมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ดียิ่งขึ้นไปอีก ทั้งในปี 2025 นี้ และปีต่อๆ ไป”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปี 2567 บีเอ็มดับเบิลยูยังคงรักษาแรงขับเคลื่อนที่ผลักดันให้แบรนด์รั้งอันดับหนึ่งในเซกเมนต์รถยนต์พรีเมียมได้อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 แม้ว่าจะมียอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ลดลง 13.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน ลงมาอยู่ที่ 12,208 คัน แต่ส่วนแบ่งตลาดของบีเอ็มดับเบิลยูในกลุ่มรถยนต์พรีเมียมกลับเพิ่มขึ้น 5% จากปีก่อน เป็น 39.9% และหากพิจารณาเฉพาะกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียม บีเอ็มดับเบิลยูก็มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นกว่า 9.1% มาอยู่ที่ 22.6%​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/7mkKQhR4ERwcGtkTmE9e.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="7mkKQhR4ERwcGtkTmE9e.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนทางด้านมินิ การยกทัพ New MINI Family มาเปิดตัวในประเทศไทยก็ช่วยให้ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์พุ่งสูงขึ้นกว่า 44% ด้วยยอดรวมเฉพาะรุ่น BEV ถึง 295 คัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ก็ทำผลงานได้อย่างมั่นคงไม่แพ้กัน ด้วยยอดจดทะเบียนมอเตอร์ไซค์ใหม่ที่ลดลงเพียง 6% หรือคิดเป็นจำนวน 1,011 คัน สานต่อความเชื่อมั่น ยกระดับความวางใจ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกเหนือจากยอดขายและส่วนแบ่งตลาดแล้ว บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังคงมุ่งยกระดับความพึงพอใจของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยผลการสำรวจลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยูที่ใช้บริการด้านการขายและหลังการขายตลอดปี 2567 ได้แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการในรอบปีที่ผ่านมาด้วยคะแนน Net Promoter Score (NPS) สำหรับบริการด้านการขายที่ 95 คะแนน (เพิ่มขึ้น 1 คะแนนจากปี 2566) และสำหรับการบริการหลังการขายที่ 93 คะแนน (เพิ่มขึ้น 2 คะแนนจากปี 2566)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มุมมองของลูกค้านี้ยังสะท้อนออกมาให้เห็นในผลสำรวจ Thailand’s Most Admired Company ครั้งที่ 17 ประจำปีของนิตยสาร BrandAge ซึ่งจัดให้บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เป็นบริษัทในอันดับ 1 ในกลุ่มธุรกิจยานยนต์ ต่อเนื่องกันเป็นปีที่ 7 ด้วยคะแนนสูงสุดทั้งในด้านผลประกอบการ การบริหารจัดการ และการบริการลูกค้า <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/r1mTVU8wPz6ncg2vNDmG.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="720px,480px" data-align="center" data-file-name="r1mTVU8wPz6ncg2vNDmG.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,480" data-origin="720px,480px" style="width: 720px; height: 480px;" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนนิตยสาร Marketeer ก็ได้มอบรางวัล No.1 Brand Thailand ในตลาดรถยนต์พรีเมียมให้กับบีเอ็มดับเบิลยู หลังจากที่ได้รวบรวมความเห็นจากผู้บริโภคกว่า 6,000 คนทั่วประเทศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ปี 2567 ยังนับเป็นอีกหนึ่งปีที่น่าจดจำของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย บนเวทีรางวัลของอุตสาหกรรมยานยนต์ หลังจากที่มอเตอร์ไซค์ทัวริ่ง เอนดูโร่ตัวแรงอย่าง บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS ได้รับเลือกให้เป็นรถจักรยานยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีบนเวที Car, EV &amp; Motorcycle of the Year 2024 โดยสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.)​ต่อยอดความสำเร็จในปี 2568 เดินหน้าพัฒนาอย่างต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราขอขอบคุณลูกค้าทุกคนและพันธมิตรในวงการยานยนต์ทุกภาคส่วนที่ให้ความไว้วางใจในบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ในฐานะผู้นำในตลาดพรีเมียม เราและผู้จำหน่ายบีเอ็มดับเบิลยูและมินิอย่างเป็นทางการทุกท่าน ยังคงเดินหน้าสร้างสรรค์และส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า เพื่อตอบโจทย์ด้านการขับขี่ในทุกรูปแบบ บนทุกเส้นทาง สำหรับในปี 2568 เราก็มีแผนงานอย่างครบวงจรเพื่อนำนวัตกรรมล่าสุดและประสบการณ์ที่หลากหลายและแตกต่าง มาให้ลูกค้าในประเทศไทยได้สัมผัสกัน โดยทุกท่านจะได้ทราบรายละเอียดกันเร็วๆ นี้” เรเน่ แกร์ฮาร์ด กล่าวเสริม&nbsp; &nbsp; ในปีนี้&nbsp;นอกเหนือจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้ทั้งสามแบรนด์แล้ว บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังเตรียมขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายทั่วประเทศตลอดทั้งปีภายใต้แนวคิด Retail Next ซึ่งเน้นการผสมผสานประสบการณ์ดิจิทัลและไลฟ์สไตล์ไว้ในพื้นที่โชว์รูม โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีการเปิดโชว์รูมใหม่ครบทั้งสามแบรนด์ สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู คือ เพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส อยุธยา และสำหรับมินิ ได้แก่ เพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส ราชพฤกษ์, ยูโรปา มอเตอร์ (สำนักงานใหญ่) และ บาร์เซโลนา มอเตอร์ บางแค <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/cz8wp5VsHzJwqcHqdjcL.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="cz8wp5VsHzJwqcHqdjcL.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" data-rotatex="" data-rotatey="" style="" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ก็ได้ต้อนรับผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการรายใหม่ คือ โมโตกรุ๊ป พระราม 5 พร้อมเปิดตัวโชว์รูมภายใต้คอนเซปต์ใหม่ New Retail Brand Experience เป็นครั้งแรก เน้นบรรยากาศอบอุ่นและเป็นกันเอง เสมือนการพบปะตามสไตล์ของเหล่าไบค์เกอร์ เพื่อสร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้าในทุกขั้นตอน ภาพ:&nbsp;บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/it/meta-2025-social-media-trends-for-businesses" alt="Meta แชร์ 5 เทรนด์โซเชียลปี 2025 ที่ธุรกิจไทยยุคใหม่ไม่ควรพลาด AI ยังคงเป็นหัวใจสำคัญ">Meta แชร์ 5 เทรนด์โซเชียลปี 2025 ที่ธุรกิจไทยยุคใหม่ไม่ควรพลาด AI ยังคงเป็นหัวใจสำคัญ</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เผยยอดขายปี 67 รวม 13,659 คัน เฉพาะแบรนด์มินิโตเพิ่ม 7.6%

PORSCHE จุดเริ่มต้น Journey ความสำเร็จ และความสุข ‘รุ่งโรจน์ นาคสุข’

<h2>โรลส์-รอยซ์ เปิดตัว “สเปกเตอร์” รถไฟฟ้ารุ่นแรกของโลก ราคาเริ่มต้น 31.8 ล้านบาท</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“สเปกเตอร์” ยนตรกรรมไฟฟ้าซึ่งถือเป็นรุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของแบรนด์สุดหรูอย่าง โรลส์-รอยซ์ ได้เปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้วด้วยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 31.8 ล้านบาท​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/P1g8mxuntMa5qwvkXAdy.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="4" data-file-name="P1g8mxuntMa5qwvkXAdy.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไอรีน นิคเคียน ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โรลส์-รอยซ์ มอเตอร์ คาร์ส เผยว่า “มีความยินดีที่ได้เฉลิมฉลองการเปิดตัว โรลส์-รอยซ์ สเปกเตอร์ ในประเทศไทย ซึ่งเป็นรถที่มีการพูดถึงและได้รับความสนใจมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของแบรนด์&nbsp;โดยประเทศไทยนับเป็นตลาดหลักในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และรถยนต์รุ่นนี้ก็นับเป็นยนตรกรรมที่มีความสำคัญกับการก้าวสู่โลกของรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคตของแบรนด์&nbsp;ด้วยรูปลักษณ์อันโดดเด่น รวมถึงความล้ำสมัยในเชิงวิศวกรรมและนวัตกรรมใหม่ๆ ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้ สเปกเตอร์ มีจุดเด่นตามแบบฉบับของ โรลส์-รอยซ์ พันธุ์แท้ ทุกประการ"​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/wAtUg8vuqcD5eoqH4FZ8.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="7" data-file-name="wAtUg8vuqcD5eoqH4FZ8.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน กฤษฎา สวามิภักดิ์ ผู้จัดการทั่วไป โรลส์-รอยซ์ มอเตอร์ คาร์ส แบงคอก กล่าวว่า” ประเทศไทยเปรียบเสมือนศูนย์กลางแห่งความหรูหราในภูมิภาคนี้ ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มจำนวนของเจ้าของกิจการและผู้ประกอบธุรกิจรุ่นใหม่ ที่ก้าวขึ้นสู่ความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว&nbsp;สเปกเตอร์ จึงเลือกเปิดตัวได้อย่างเหมาะสมในช่วงเวลานี้ โดยรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วม ในการเปิดตัวยนตรกรรมรุ่นสำคัญให้กับลูกค้าในประเทศไทย และเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญ สำหรับการก้าวไปสู่โลกของรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคตของ โรลส์-รอยซ์” <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/RKxjyM9YDGBhnRDbDiDw.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="6" data-file-name="RKxjyM9YDGBhnRDbDiDw.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div>​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/N3ZuK3V8E8EwwwoYXmYM.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="5" data-file-name="N3ZuK3V8E8EwwwoYXmYM.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ในปี 2564 ที่ผ่านมา โรลส์-รอยซ์ มอเตอร์ คาร์ส ได้ทำการประกาศครั้งประวัติศาสตร์ โดยยืนยันความแน่วแน่ในการพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า ผ่านรุ่น "สเปกเตอร์" (SPECTRE) ยนตรกรรมไฟฟ้า 100% ที่พร้อมส่งมอบให้ลูกค้าภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และตั้งเป้ายุติการผลิตเครื่องยนต์สันดาป และหันมาจำหน่ายรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าทั้งหมดภายในปี 2573 ซึ่งนับตั้งแต่การประกาศสำคัญในครั้งนั้น สเปกเตอร์ ก็ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง&nbsp;รวมถึงการทดสอบอย่างเข้มข้น เป็นระยะทางรวมระยะทางกว่า 2.5 ล้านกิโลเมตร และเปิดตัวอย่างเป็นทางการช่วงเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา ณ Home of Rolls-Royce เมือง West Sussex ประเทศอังกฤษ พร้อมเสียงตอบรับที่เยี่ยมจากทั่วโลก อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/grab-%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84-5-0-%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%89%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81-%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A1-%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88-%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C" alt="Grab เดินหน้าสู่ยุค 5.0 พลิกโฉมจาก &quot;แพลตฟอร์ม&quot; สู่ &quot;ผู้ส่งมอบประสบการณ์&quot;">Grab เดินหน้าสู่ยุค 5.0 พลิกโฉมจาก "แพลตฟอร์ม" สู่ "ผู้ส่งมอบประสบการณ์"</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

โรลส์-รอยซ์ เปิดตัว “สเปกเตอร์” รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของโลก เริ่มต้น 31.8 ล้านบาท

<h2>เอสซีบี ส่ง อัลฟา เอกซ์ ชิงตลาดสินเชื่อรถหรู 200,000 ล้าน เจาะไลฟ์สไตล์ลูกค้ามั่งคั่ง กำลังซื้อสูง พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์ครอบคลุมสินเชื่อเรือยอช์ต ริเวอร์โบ๊ท และบิ๊กไบค์ ตั้งเป้าสินเชือปีแรก 5,000 ล้านบาท ภายใน 2 ปีขยายพอร์ต 20,000 ล้านบาท ผลักดันบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์</h2>
<img class="alignnone wp-image-59515 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/03/ALPHA-X_0302.jpg" alt="ALPHA X" width="650" height="433" />

วศิน ไสยวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลฟา เอกซ์ จำกัด ผู้ให้บริการทางการเงินเพื่อยานพาหนะลักชัวรี่ ก่อตั้งจากการร่วมทุนของธนาคารไทยพาณิชย์ และกลุ่มธุรกิจ มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) เปิดเผยว่า ได้เปิดธุรกิจผู้ให้บริการทางการเงินเพื่อยานพาหนะลักชัวรี่ในนามบริษัท อัลฟา เอกซ์ ตั้งแต่เดือนม.ค.ที่ผ่านมา เพราะเห็นโอกาสการเติบโตในตลาดรถหรูที่มีระดับราคาตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป โดยข้อมูลจาก EIC คาดว่าตลาดรถหรูนี้จะขยายตัว 14 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ตลาดรถยนต์โดยรวมในช่วง 2 ที่ผ่านมา ส่วนทางหดตัวลงร้อยละ 28 เปอร์เซ็นต์

“โควิดกระทบกำลังซื้อของผู้ซื้อรถยนต์ ทำให้ยอดขายลดลง และจำนวนผู้ผลิตลดลง เป็นดับเบิล อิมแพค ที่ทำให้ 2 ปีที่ผ่านมา ยอดขายรถยนต์ลดลง 28% ส่วนกลุ่มรถหรูที่มีราคา 3 ล้านบาทขึ้นไป หดตัวในอัตราที่น้อยกว่ารถทั่วไป สะท้อนให้เห็นว่าเซกเมนต์ลักซัวรี่ยังขยายตัวอยู่ กำลังซื้อของตลาดรถหรูยังมีความต้องการซื้อ ต้องการใช้เงิน และมีรถโมเดลใหม่ๆ เปิดตัวต่อเนื่อง” วศินกล่าว

<hr />

ข้อมูลสำคัญ:
<ul>
 	<li>ประเทศไทยมีลูกค้ามั่งคั่งคิดเป็น 1 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมด หรือประมาณ 700,000 ราย</li>
 	<li>เจาะตลาดพรีเมียมไปจนถึงอัลตราลักชัวรี่ รถหรู เรือยอช์ต และริเวอร์โบ๊ท</li>
 	<li>ปี 2564 มีรถหรูจดทะเบียนรถใหม่ประมาณ 27,000 คัน หรือร้อยละ 5 ของจำนวนรถยนต์จดทะเบียนใหม่</li>
 	<li>อัลฟา เอกซ์ ตั้งเป้าหมายยอดสินเชื่อรวม 5,000 ล้านบาท คาดสร้างพอร์ตสินเชื่อรวมกว่า 20,000 ล้านบาท ภายในปี 2568 หรือราวร้อยละ 10</li>
</ul>

<hr />

ตลาดสินทรัพย์ลักชัวรี่ในประเทศไทยเป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche) ที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ตลาดรถยนต์ ปี 2564 มีรถหรูจดทะเบียนรถใหม่ประมาณ 27,000 คัน หรือร้อยละ 5 ของจำนวนรถยนต์จดทะเบียนใหม่ และคาดว่าปีนี้จะมีอัตราขยายตัวประมาณร้อยละ 14 ขณะที่ภาพรวมรถหรู ทั้งรถเก่าและรถใหม่อยู่ที่ประมาณปีละ 65,000–70,000 คัน และมีการใช้สินเชื่อโดยเฉลี่ยร้อยละ 70-80 ของยอดจำหน่ายทั้งหมด
<h2>รุกตลาดสินเชื่อรถยนต์2แสนล้าน</h2>
วศิน กล่าวว่า ขณะที่ลูกค้ามั่งคั่ง ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของเซ็กเมนต์นี้ มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นและมีแนวโน้มการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ปัจจุบันประเทศไทยมีลูกค้ามั่งคั่งคิดเป็น 1 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมด หรือประมาณ 700,000 ราย และมีไลฟ์สไตล์ในการเป็นเจ้าของยานพาหนะที่หลากหลาย เนื่องจากปัจจุบันยานพาหนะเป็นสินทรัพย์ไลฟ์สไตล์ และเป็นการลงทุนที่ได้รับความนิยมและเติบโตไปพร้อมกับเทรนด์การลงทุนตามความหลงใหล (Passion Investment)

“อัลฟา เอกซ์ มองว่าตลาดนี้เป็นตลาดที่มีศักยภาพ และมีโอกาสการเติบโตที่ดี ขณะเดียวกัน มีผู้เล่นน้อยรายในตลาดที่ให้ความสำคัญกับการทำสินเชื่อเพื่อสินทรัพย์ไลฟ์สไตล์ประเภทนี้โดยเฉพาะ”

ปัจจุบัน มูลค่าสินเชื่อรถยนต์จะอยู่ประมาณ 2 ล้านล้านบาท สินเชื่อรถหรูมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 10-15 หรือ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2 – 3 แสนล้านบาท โดยบริษัทฯคาดว่าจะมีการให้สินเชื่อ 5,000 ล้านบาท ในปี 2565 และภายใน 3 ปี จะมีการให้สินเชื่อรวม 20,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 10 จากการให้สินเชื่อรถยนต์โดยรวม

<img class="alignnone wp-image-59514 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/03/ALPHA-X_0301.jpg" alt="ALPHA X" width="650" height="433" />
<h2>ชูจุดขายสร้างบริการที่แตกต่าง</h2>
วศิน กล่าวว่า อัลฟา เอกซ์จะพัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อยานพาหนะสำหรับกลุ่มลูกค้ามั่งคั่ง เพื่อตอบไลฟ์สไตล์ลูกค้าที่ต้องการครอบครองพาหนะในฝัน ตั้งแต่ระดับพรีเมียมไปจนถึงอัลตราลักชัวรี่ ทั้งรถหรู เรือยอทช์ และริเวอร์โบ๊ท ให้เป็นไปได้ง่ายขึ้น โดยเน้นการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ลูกค้าที่มีความต้องการที่ต่างกัน ผ่านการนำเสนอทางเลือกด้านการเงินและบริการ  แบบเฉพาะตามไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ทั้งบริการสินเชื่อเช่าซื้อ ลีสซิ่ง รีไฟแนนซ์ หรือโปรแกรมเทรด-อิน

นอกจากนี้ มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในกระบวนการ KYC และอนุมัติสินเชื่อ ช่วยให้กระบวนการสินเชื่อกระชับและทราบผลได้รวดเร็ว พร้อมการดูแลจากที่ปรึกษาทางการเงิน (Relationship Manager) ที่มีความเชี่ยวชาญทั้งด้านการเงิน และความเข้าใจในแวดวงยานยนต์ นำเสนอข้อมูลและให้คำแนะนำ เพื่อให้ทุกการลงทุนเป็นไปอย่างคุ้มค่า รวมทั้งให้คำปรึกษา และดูแลหลังการขาย

สำหรับพฤติกรรมลูกค้ากลุ่มนี้ จะมีหลากหลายรูปแบบ อาทิ ชื่นชอบยนตรกรรม โดยเป็นการซื้อเพื่อสะสม กลุ่มนี้ต้องการวงเงินสินเชื่อสูง กลุ่มลูกค้าชอบลอง เปลี่ยนรถบ่อย จะมีโปรแกรมเทรด-อินให้บริการ หรือกลุ่มที่ซื้อเพื่อเป็นรางวัลให้ตัวเอง กลยุทธ์ของบริษัทจะเน้นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละคน มีบริการที่ปรึกษาการเงิน การพัฒนาเทคโนโลยีและดาต้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ

“ลูกค้ากลุ่มมั่งคั่ง แม้จะมีกำลังซื้อสูง แต่การให้สินเชื่อ เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการ การวางแผนทางการเงิน เราจึงเน้นการให้บริการเสมือนเป็นเพื่อนร่วมทางไปกับลูกค้า ตลอดอายุการใช้งานของยานพาหนะ และ อัลฟา เอกซ์ ก็พร้อมเดินหน้าขยายพันธมิตรทางธุรกิจ ทั้งผู้นำเข้ายานยนต์ และผู้ให้บริการด้านต่างๆ อย่างครบวงจร เพื่อเพิ่มบริการใหม่ๆ ที่ตอบสนองลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น” วศินกล่าว

ทั้งนี้ อัลฟา เอกซ์ มีเป้าหมายเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในอีก 4–5 ปีข้างหน้า โดยแผนการดำเนินงานในปีแรก เน้นการสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้า โดยมุ่งสร้างรายได้และผลตอบแทน สำหรับแผนดำเนินการระยะสอง มุ่งสร้างผลกำไรเพื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/other/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD-%E0%B8%82.html">โรงพยาบาลกระดูกและข้อ ข้อดีมีสุข เปิดตัวครั้งแรกในไทย</a>

<hr />
<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

อัลฟา เอกซ์ รุกสินเชือรถหรู 2 แสนล้าน

Stephan Winkelmann ขับเคลื่อนพลัง Lamborghini

<h2>ตลาดรถหรู ในสหรัฐฯ 9 เดือนแรกของปี 2020 หดตัวจากปี 2019 จากสถานการณ์โควิด-19 ส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดช่วงของการเดินเครื่องผลิต ด้าน Lexus ครองตำแหน่งเบอร์ 1 ยอดจำหน่ายในทั่วโลกไตรมาส 3 ปี 2020 </h2>
Stock Apps เผลผลวิจัยอุตสาหกรรมยานยนต์ในกลุ่มลักชัวรีคาร์ว่า Mercedes-Benz มียอดจำหน่ายสูงสุดจำนวน 196,838 คัน  ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2020 ยอดจำหน่ายหดตัวเมื่อเทียบแบบปีต่อปีร้อยละ 12.2 กับยอดจำหน่ายรถยนต์ Mercedes-Benz ใน 3 ไตรมาสแรกของปี 2019 ที่มียอดขายเป็นจำนวน 224,212 คัน โดยกลุ่มรถยนต์หรู 15 แบรนด์ของตลาดรถหรูสหรัฐฯ มีเพียงค่าย Tasla รายเดียวที่สามารถทำยอดขายได้ใน 3 ไตรมาสแรกเพิ่มขึ้นจากปี 2019 ที่ร้อยละ 21.4 โดยมียอดจำหน่ายในปี 2020 อยู่ที่ 196,000 คัน เมื่อเปรียบเทียบจากปีที่ผ่านมาที่จำนวน 161,400 คัน ทั้งนี่้ 3 อันดับแรกที่ทำยอดขายได้สูงสุดคือ Mercedes-Benz, Tasla และ Lexus

<img class="size-full wp-image-37735 aligncenter" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/11/ตลาดรถหรู-004.jpg" alt="" width="600" height="357" />

ทั้งนี้จากรายงานโดย Automotive News เผยให้เห็นภาพรวมของยอดจำหน่ายยานยนต์ทั่วโลกของไตรมาสที่ 3 ประจำปี 2020 โดยปกติแล้วในกลุ่มตลาดรถยนต์หรูในทั่วโลกจะมีค่ายรถยนต์ Mercedes-Benz และ BMW จะชิงแชมป์ยอดจำหน่ายในอันดับที่ 1 แต่เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 เข้ามากระทบกับกำลังผลิตของทั้งสองค่ายรถยนต์หรูจากเยอรมัน ทำให้ในไตรมาส 3 ของปีนี้เราได้เห็นแบรนด์ Lexus จากค่าย Toyota Corp. มียอดจำหน่ายเป็นอันดับ 1 ด้วยจำนวน 75,285 คัน  ขณะที่ Mercedes-Benz ตกลงมาเป็นอันดับ 2 ที่จำนวน 69,631 คัน และ BMW มียอดขายที่ 69,570 คัน

ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีที่ Lexus สามารถทำขายได้เหนือกว่า Mercedes-Benz และ BMW สำหรับ Lexus ที่สามารถบริหารจัดการกำลังการผลิตได้ดี เพียงเดือนกันยายนเดือนเดียวมีจำหน่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 31 จากรถยนต์รุ่น NX และ RX Crossovers, ES แบบซีดาน

<img class="size-full wp-image-37734 aligncenter" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/11/ตลาดรถหรู-003.jpg" alt="" width="600" height="366" />

และจากรายงานโดย Cox Automobile ได้เผยภาพรวมยอดจำหน่ายของอุตสาหกรรมรถยนต์หรูสหรัฐฯ ที่ติดลบร้อยละ 10 เมื่อเทียบกันไตรมาสที่ 3 ของปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามถือเป็นสถานการณ์ที่ดีขึ้นดูผลจำหน่ายในไตรมาสที่ 2 ทีหดตัวที่ติดลบร้อยละ 34.1  ด้าน Statista ยังได้เผยภาพรวมของยอดขายรถยนต์ในทั่วโลกตกลงร้อยละ 16.7 อยู่ที่ 26.29 ล้านล้านเหรียญฯ เป็นสัดส่วนยอดขายรถหรูจากสหรัฐฯ ที่ราว 8.61 ล้านล้านเหรียญฯ

แปลและเรียบเรียงจาก บทความ Luxury Cars Market Share in the US Surges to 44.3% ที่เผยแพร่บน stockapps.com


อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/world/huawei-%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a2-honor-%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b9%88%e0%b8%b3%e0%b8%9a%e0%b8%b2%e0%b8%95%e0%b8%a3-%e0%b8%aa%e0%b8%ab%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%90.html">‘Huawei’ ขาย ‘Honor’ หวังลดผลกระทบจากการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ</a>
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
&nbsp;

&nbsp;

"ตลาดรถหรู" ท่ามกลางโควิด-19 Mercedes-Benz ยังคงรั้งอันดับหนึ่ง

<h2 class="p1">Bentley ผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของโลกในเครือ Volkswagen Group พร้อมก้าวสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบภายในปี 2030 ในฐานะ “ผู้นำรถหรูที่ขับเคลื่อนด้วยความยั่งยืน”</h2>
ในปี 2021 ที่จะถึงนี้ ทางบริษัทพร้อมเดินหน้าจากการผลิตรถยนต์รูปแบบเดิมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงจากน้ำมัน สู่รถยนต์ไฟฟ้า และเตรียมเปิดตัวรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด 2 รุ่น เพิ่มขึ้นจาก Bentayga รถยนต์ SUV สุดหรูที่ผลิตอยู่ในขณะนี้
แผนการข้างต้นนี้ อยู่ภายใต้กลยุทธ์<a href="https://www.volkswagenag.com/en/news/2020/11/BENTLEY-MOTORSOUTLINES-BEYOND100-STRATEGY-TARGETING-SUSTAINABLE-LUXURY-MOBILITY-LEADERSHIP.html"> Beyond100</a> ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นแนวทางการดำเนินงานเปลี่ยนผ่านครั้งยิ่งใหญ่ของบริษัทในศตวรรษที่ 2 จากผู้ผลิตเครื่องยนต์ v12 รายใหญ่ที่สุดในโลกสู่ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า
ในขณะเดียวกัน แผนการนี้ก็มุ่งมั่นที่จะพัฒนาให้ Bentley กลายเป็นธุรกิจที่มีการดำเนินงานเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสภาพอากาศตลอดห่วงโซ่อุปทาน ภายในปี 2030 กล่าวคือ จะไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศสุทธิเพิ่มขึ้นจากการดำเนินธุรกิจหรือการให้บริการ


<figure><img class="wp-image-36940" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/11/bentley.jpg" alt="ยานยนต์ไฟฟ้า" width="720" height="480" /><figcaption> รถยนต์ไฟฟ้า Bentley ในอนาคตมีแนวโน้วว่าจะได้รับแรงบันดาลใจจากคอนเซ็ปต์ EXP 100 GT ในปี 2019</figcaption></figure>
ทั้งนี้ ทางค่ายได้เตรียมเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบรุ่นแรกในปี 2025 และคาดว่าในปีต่อมา จะมีสายพานการผลิตรถยนต์เพียงเครื่องยนต์ไฮบริดและเครื่องยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน อาทิเช่น Flying Spur V8 และ V12 ทั้งหมดจะถูกแทนที่ด้วยรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด
โดยส่วนหนึ่งของการประกาศเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2020 ที่ผ่านมา ทางค่ายได้ยืนยันว่า  “รถยนต์ไฮบริด คือ 'ก้าวสำคัญ' ในการขับเคลื่อนสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า” 
มากไปกว่านั้น กลุทธ์การเปลี่ยนผ่านในครั้งนี้ นับว่าเป็นแนวทางการดำเนินงานที่สมเหตุสมผล เพราะเครื่องยนต์ V8 และ V12 ที่ผลิตออกมาแล้ว ล้วนได้รับการติดตั้งระบบ Bentley Dynamic Ride ซึ่งเป็นครั้งแรกของโลกที่ใช้เทคโนโลยีโช๊คระบบ active anti-roll bar ควบคุมเสถียรภาพในการทรงตัว ส่งผลต่อความนุ่มนวล มั่นคง ที่รู้สึกได้ภายในห้องโดยสาร 
คุณสมบัติอันโดดเด่นที่กล่าวข้างต้นนี้ จึงเป็นสิ่งที่เครื่องยนต์ไฟฟ้าสามารถนำมาต่อยอด และทำให้มีประสิทธิภาพได้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งในส่วนของแบตเตอรี่ จะถูกปรับให้ตัวรถมีน้ำหนักลดลง แต่ยังคงไว้ซึ่งความหรูหรา


<figure><img class="wp-image-36941" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/11/adrian-hallmark.jpg" alt="ยานยนต์ไฟฟ้า" width="720" height="405" /><figcaption> Adrian Hallmark ประธานและประธานกรรมการบริหาร Bentley Motors</figcaption></figure>
“ตั้งแต่ปี 1919 เป็นต้นมา Bentley คือ นิยามของการเดินทางที่หรูหรา การเป็นผู้นำในพัฒนาการ เป็นสิ่งที่อยู่ในจิตวิญญาณของเราตั้งแต่ยุค Bentley Boys ที่เป็นรุ่นบุกเบิก ขณะที่ในปัจจุบัน เรายังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ภายใต้ Beyond100 เพื่อรักษามาตรฐานของธุรกิจรถหรูต่อไป” Adrian Hallmark ประธานและประธานกรรมการบริหารของ Bentley Motors กล่าว
แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ All New Bentley Cars To Be Fully Electric By 2030 เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/tuatara-%e0%b8%aa%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b8%aa%e0%b8%96%e0%b8%b4%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b9%84%e0%b8%ae%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b8%84%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%8c.html">Tuatara สร้างสถิติไฮเปอร์คาร์ที่เร็วที่สุดบนถนน</a>

Bentley ก้าวสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบในปี 2030

<h2>“รถยนต์ที่แรงที่สุดบนถนน” ประโยคที่ผู้ผลิตไฮเปอร์คาร์จากทั่วโลกล้วนปรารถนา และปัจจุบัน Tuatara จาก ค่าย SSC North America ได้สร้างสถิติความเร็วใหม่อย่างเป็นทางการที่ความเร็ว 316.11 ไมล์ต่อชั่วโมง</h2>
นับตั้งแต่ปี 2017 Koenigsegg Agera RS ที่ครองตำแหน่งรถยนต์ที่เร็วที่สุดบนถนน ด้วยความเร็วสถิติที่ 277.9 ไมล์ต่อชั่วโมง (ขณะที่แหล่งข่าวบางสำนักยกตำแหน่งนี้ให้กับ Bugatti Chiron ที่ปรับจูนเครื่องจนสามารถทำความเร็วสถิติที่ 304.77 ไมล์ต่อชั่วโมง เมื่อปี 2019 ที่ประเทศเยอรมนี) โดยสถิติของ Koenigsegg เมื่อปี 2017 เป็นการทำลายสถิติที่ Bugatti ค่ายผู้ผลิตไฮเปอร์คาร์ ทำเอาไว้จากรถยนต์รุ่น Bugatti Veyron Super Sport ด้วยสถิติความเร็วที่ 267.9 ไมล์ต่อชั่วโมง

<img class="alignnone size-full wp-image-36318" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/10/TUATARA_0003.jpg" alt="" width="600" height="400" />

เช้าวันที่ 10 ตุลาคม 2020 ตามเวลาสหรัฐฯ ค่ายรถยนต์ SSC North America ได้นำ Tuatara ลงถนนเพื่อเตรียมทำลายสถิติโลกในประเทศรถยนต์ที่สามารถใช้งานบนถนนสาธารณะ โดยการทดสอบความเร็วทำต่อเนื่องสองครั้ง บนเส้นทางตรงและเป็นการทดสอบภายในหนึ่งชั่วโมง โดยรอบไป Tuatara ทำความเร็วที่ 301.07 ไมล์ต่อชั่วโมง ขณะที่ขากลับทำความเร็วที่ 331.15 ไมล์ต่อชั่วโมง สำหรับเวลาอย่างเป็นทางการที่ความเร็วสูงสุด 316.11 ไมล์ต่อชั่วโมง

การบันทึกสถิติครั้งนี้เกิดขึ้นบนถนนเส้นตรงในระยะ 7 ไมล์ ของเส้นทางหลวง 160 ไม่ห่างจากเมือง Pahrump, Nevada สหรัฐฯ โดยได้ Oliver Webb นักขับรถสูตรมืออาชีพเป็นผู้ทดสอบ และได้สร้างสถิติใหม่ ดังนี้

- 313.12 ไมล์ต่อชั่วโมง - เร็วที่สุดในการคำนวนแบบไมล์บนถนนสาธารณะ
- 503.9 กิโลเมตรต่อชั่วโมง - เร็วที่สุดในการคำนวนแบบกิโลเมตรบนถนนสาธารณะ
- 331.15 ไมล์ต่อชั่วโมง - เร็วที่สุดบนถนนสาธารณะ

<img class="alignnone size-full wp-image-36319" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/10/TUATARA_0004.jpg" alt="" width="600" height="400" />

<img class="alignnone size-full wp-image-36320" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/10/TUATARA_0005.jpg" alt="" width="600" height="400" />

SSC North America ได้เตรียมวางแผนการผลิตไฮเปอร์คาร์คันนี้ จำนวน 100 คัน คาดว่าราคาขายอยู่ที่ราว 1.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ด้านขุมพลังความแรงมาจากเครื่องยนต์ 5.9 ลิตร V8 ติดตั้งพร้อมเทอร์โบ 2 ลูก 1,750 แรงม้า

“เราต้องการเห็นเราเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์และหวังว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นทลายสิ่งที่เราได้ทำไว้” Jerod Shelby ผู้ก่อตั้ง SSC North America แถลงผ่านสื่อ “มีเพียงสิ่งเดียวที่พาเราข้ามอดีต นั่นคือความสำเร็จของวิศวกรรมยนตรกรรมได้พาเราก้าวผ่านขีดจำกัดความเร็วของรถยนต์นำมาวิ่งบนถนนสาธารณะอย่างได้ถูกต้อง เป็นความสำเร็จครั้งสำคัญที่ทั้งตื่นเต้น เกินคาด แม้กระทั่งตัวผมเอง"

Tuatara ถูกออกแบบด้วยความร่วมมือกับ Jason Castriota แห่ง Castriota Design ออกแบบไฮเปอร์คาร์ให้มีค่าเสียดทานด้านพลศาสตร์เพียง 0.279 โครงสร้างของรถสร้างจาก คาร์บอน ไฟเบอร์ ที่มีน้ำหนักเบาและแข็งแรงเพื่อความปลอดภัยของผู้ขับ และลดชิ้นส่วนที่ไม่จำเป็นออกทั่วทั้งคัน

“เราจัดเต็มด้านวิศวกรรมยานยนต์โดยต้องการสร้างรถยนต์ที่ทำความเร็วไปถึง 330 ไมล์ต่อชั่วโมง” Shelby กล่าวและเสริมว่า “แลพเราต้องมั่นใจว่า Oliver จะต้องปลอดภัยที่สุดนี้คือความตั้งใจสูงสุดของการทดสอบในครั้งนี้”

<img class="alignnone size-full wp-image-36321" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/10/TUATARA_0006.jpg" alt="" width="600" height="400" />

Jerod Shelby ก่อตั้ง Shelby SuperCarsในปี 1998 โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมือง Richland, Washington สร้างชื่อไปทั่วโลกด้วยการเปิดตัวซูเปอร์คาร์ "Ultimate Aero" ที่ลบสถิติสูงสุดด้านรถยนต์ของ Bugatti Veyron เจ้าของสถิติความเร็วที่ 256.18 ไมล์ต่อชั่วโมง

เพื่อป้องกันความสับสน Shelby รีบเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น SSC North America เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนกับบริษัทรถยนต์ในตำนาน Carroll Shelby ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขาแต่อย่างใด ทั้งนี้ระหว่างการทดสอบ Tuatara ยังได้บันทึกการถ่ายทำสารคดีที่เกี่ยวข้องกับการผลิตรถยนต์ไฮเปอร์คาร์โดย Driven Studios

แปลและเรียบเรียงจากบทความ There’s A New Fastest Production Car – And It’s Not A Bugatti ที่แผยแพร่บน forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4-%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%9E%E0%B8%87%E0%B8%A9%E0%B9%8C-%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1.html">อภิชาติ ลีนุตพงษ์ เตรียมเปิดตัว “เคอนิกเส็กก์” ไฮเปอร์คาร์สัญชาติสวีเดน</a>

<hr />

ไม่พลาดบทความน่าสนใจจากทั่วโลก ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>
และ <a href="https://twitter.com/Forbes_TH">ทวิตเตอร์ Forbes Thailand</a>

&nbsp;

Tuatara สร้างสถิติไฮเปอร์คาร์ที่เร็วที่สุดบนถนน

<h2>ถ้าเปรียบ Elon Musk เป็น Tony Stark แล้วละก็ R.J. Scaringe ผู้ก่อตั้ง Rivian ก็คงเปรียบได้กับ Clark Kent วันนี้ Forbes จะพาท่านผู้อ่านไปทำความรู้จักผู้ประกอบการหนุ่มมาดนุ่ม ซึ่งรถ SUV และรถกระบะไฟฟ้าที่บริษัทของเขาผลิตออกมากำลังส่งผลสะเทือนอย่างมากต่อวงการยานยนต์โลก</h2>
บริษัทรถยนต์ที่ถูกพูดถึงกันให้แซ่ดในงาน Los Angeles Auto Show ที่จัดขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาไม่ใช่ค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Mercedes-Benz, Porsche, BMW หรือ ค่ายรถหรูซึ่งมักอยู่ในความสนใจของผู้ร่วมงานตามปกติ แต่เป็นค่ายรถไฟฟ้าหน้าใหม่ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักมากนักอย่าง Rivian ซึ่งมีฐานอยู่ที่ Plymouth ในรัฐ Michigan

หลังจากที่บริษัทใช้เวลาถึง 10 ปีซุ่มพัฒนารถยนต์ที่ใช้เทคโนโลยี EV ก็ได้เวลาเปิดตัวรถยนต์ที่ใช้แบตเตอรี่ 2 รุ่นแรกออกมาอวดโฉมได้แก่ รถ SUV 7 ที่นั่ง รุ่น R1S และรถกระบะรุ่น R1T

รถยนต์ Rivian ทั้งสองรุ่นถูกออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับคนที่มีวิถีชีวิตแบบไม่อยู่กับที่ เพื่อเป็นยานพาหนะสำหรับการผจญภัยที่มีกลิ่นอายของ Range Rover นั่นคือ มีทั้งความบึกบึน ทรงสมรรถนะ แต่ก็หรูหราอยู่ในที แถมยังพ่วงด้วยอุปกรณ์เสริมไฮเทค อย่างเช่น การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และฟังก์ชั่นแบบอัตโนมัติอีกเพียบเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการขับ

“การผจญภัยคือชีวิต” R.J. Scaringe หนุ่มอายุ 36 ปี ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Rivian บอก “(จุดหมายของคุณ) อาจจะเป็นการตกปลา อาจจะเป็นการตีกอล์ฟ หรืออาจจะเป็นการพาครอบครัวออกไปกินข้าวนอกบ้านก็ได้”

ความหมกมุ่นกับแนวคิดที่จะสร้างรถยนต์ภายใต้แบรนด์ของตัวเอง และพยายามหาความรู้ใส่ตัวเพื่อทำฝันให้เป็นจริงด้วยการมุ่งเรียนจนจบปริญญาเอกสาขาวิศวกรรมเครื่องกล จากสถาบันชั้นเลิศอย่าง Sloan Automotive Lab ของ MIT

ในช่วงที่เรียน MIT นั้น เขาเกิดความคิดขัดแย้งเกี่ยวกับความฝันที่จะเป็นผู้ผลิตรถยนต์ “มันเป็นเรื่องน่าอึดอัดที่รู้ว่าสิ่งที่เรารักนั้นมันเป็นสิ่งที่ทำให้อากาศสกปรกมากขึ้น และก่อปัญหาต่างๆ มากมาย ตั้งแต่เรื่องความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ไปจนถึงเรื่องของหมอกควันพิษ และโลกร้อน” Scaringe บอก ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจปรับแนวทางใหม่ โดยเปลี่ยนไปเน้นรถยนต์ใช้ไฟฟ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแทน

<figure><img class="wp-image-22218 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/10/Rivian-รถไฟฟ้า-04.jpg" alt="Rivian สร้างรถยนต์ไฟฟ้าให้เหนือชั้นกว่า Tesla" width="800" height="600" /><figcaption> รถรุ่น R1S ท่ามกลางธรรมชาติ</figcaption></figure>

Scaringe ก่อตั้ง Rivian ขึ้นในปี 2009 เป็นกิจการสตาร์อัพและค่อยๆ ขยายธุรกิจอย่างช้าๆ โดยเริ่มจากการพัฒนารถยนต์ใช้ไฟฟ้าแบบสปอร์ตคูเป้ ซึ่งเขายอมรับว่าคล้ายกับรถ Roadster ของ Tesla มาก แต่แค่ภายใน 2-3 ปีแรก เขาก็พับแผนนั้นเก็บเข้าตู้ไป โดยบอกว่า “(เราไม่ได้) สร้างสิ่งที่โลกต้องการจริงๆ สิ่งที่แตกต่างไปจากของที่มีอยู่แล้วในตลาด” เป็นอีกหนึ่งครั้งที่ผู้ประกอบการหนุ่มรายนี้เปลี่ยนทิศทางของบริษัท เขาได้ปรับนิยามพันธกิจของบริษัทเสียใหม่โดยยึดโยงอยู่กับการคมนาคมในอนาคต และมุ่งเน้นไปที่รถอเนกประสงค์ที่ตอบโจทย์ด้านความหรูหราด้วย

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมการจะผลิตรถขึ้นมาสักคันมันต้องใช้เวลานานนับ 10 ปีขนาดนี้เลยหรือ ซึ่งในเรื่องนี้ Sacringe ตอบว่า “(เราใช้เวลา) ในการเอาชิ้นส่วนทั้งหมดมาเรียงต่อกันจนครบทุกส่วน” ซึ่งมีทั้งเรื่องของการพัฒนาเทคโนโลยี การทำแผนธุรกิจที่รัดกุม การสร้างองค์กรมารองรับ และการตั้งเครือข่ายซัพพลายเชน รวมถึงการวางระบบการผลิต

การจะทำรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้อย่างที่ฝันนั้นต้องใช้เงินลงทุนก้อนโต ดังนั้น Scaringe จึงได้ระดมทุน 450 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากนักลงทุนรายใหญ่ 3 ราย ได้แก่ Abdul Latif Jameel ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทลงทุนจากซาอุดีอาระเบียที่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับ MIT, Sumitomo Corp จากญี่ปุ่น และธนาคาร Standard Chartered จากอังกฤษ

<figure><img class="wp-image-22221 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/10/Rivian-รถไฟฟ้า-03.jpg" alt="Rivian สร้างรถยนต์ไฟฟ้าให้เหนือชั้นกว่า Tesla" width="800" height="534" /><figcaption> สวยและบึกบึน: รถกระบะรุ่น R1T ของ Rivian สามารถลุยน้ำลึกได้ถึง 36 นิ้ว และลากของที่หนักได้ถึง 11,000 ปอนด์</figcaption></figure>

Rivian มีพนักงานประมาณ 700 คน ซึ่งประมาณครึ่งหนึ่งประจำการอยู่ที่ศูนย์พัฒนางานวิศวกรรมที่ Plymouth ขณะที่พนักงานที่เหลือส่วนใหญ่จะอยู่ที่ศูนย์พัฒนาเทคโนโลยีที่ San Jose และ Irvine ใน California และมีอีกจำนวนไม่มากประจำอยู่ที่ศูนย์พัฒนางานวิศวกรรมในอังกฤษ

นอกจากนี้ ยังบอกว่าระบบการบังคับรถมีเสถียรภาพอย่างเหนือชั้น แถมมีอัตราเร่งที่ตอบสนองได้รวดเร็วทันใจเหมือนรถสปอร์ต โดยทำความเร็วจาก 0- 60 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาแค่ 3 วินาทีเท่านั้น และที่เหนืออื่นใดก็คือ Rivian จะมอบประสบการณ์การขับรถแบบ off-road แท้ๆ ให้ ซึ่งจะแตกต่างอย่างชัดเจนกับการเอารถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Tesla ไปขับลุยเนินทรายบนชายหาด หรือขับขึ้นไปบนทางขรุขระของเนินภูเขาหิน

ทั้งนี้ ราคารถกระบะรุ่นพื้นฐานกำหนดไว้ที่ประมาณ 68,000 เหรียญ และราคารถ SUV อยู่ที่ 72,500 เหรียญ (ทั้งสองรุ่นมาพร้อมสิทธิประโยชน์ทางภาษี) แม้ว่า Rivian ไม่ได้เปิดเผยยอดจองล่วงหน้า แต่บริษัทก็คาดว่าจะส่งมอบรถได้มากถึง 20,000 คัน (ยอดรวมของทั้งรถกระบะ และ SUV) ในปี 2021 และเพิ่มเป็น 40,000 คันในปี 2022 ซึ่งคิดเป็นยอดขายได้ราว 1.4 พันล้านเหรียญ และ 2.8 พันล้านเหรียญ ตามลำดับ หากนำตัวเลขไปเทียบกับ Tesla จะเห็นว่าในปีแรกที่เปิดขาย Tesla ขายรถ Model S ได้ 22,000 คัน และตอนเปิดตัว Model X ก็ขายได้ 25,000 คัน

 “ผมสนุกกับการสร้างความเชื่อมโยง และคิดพัฒนาแพลตฟอร์มแบบสเก็ตบอร์ดของเรา” อย่างไรก็ตาม เราคงต้องคอยจับตาดูชายคนนี้เอาไว้ให้ดีๆ เพราะค่ายรถ Rivian ของ R.J. Scaringe นั้นเพิ่งจะเริ่มติดเครื่องเท่านั้นเอง
<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/motoring/%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%81%e0%b8%a4%e0%b8%95%e0%b8%82%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%aa%e0%b8%95%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%9b-%e0%b8%a3%e0%b8%96%e0%b8%a2%e0%b8%99%e0%b8%95.html">วิกฤตหนักของสตาร์ทอัพ “รถยนต์ไฟฟ้า” ผู้ได้ฉายาว่า “Elon Musk แห่งจีน”</a></li>
</ul>

<hr />

<a href="https://bit.ly/2kmIPNv">คลิกอ่านฉบับเต็ม "Rivian สร้างรถยนต์ไฟฟ้าให้เหนือชั้นกว่า Tesla" ได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกันยายน 2562 ได้ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="https://bit.ly/2kmIPNv"><img class="alignnone wp-image-15976" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/09/COVER-76-SEPTEMBER-.jpg" alt="" width="250" height="328" /> </a>

Rivian รถยนต์ไฟฟ้าที่มุ่งหมายให้เหนือชั้นกว่า Tesla

เมื่อใดก็ตามที่มีการนำ Ferrari 250 GTO ออกประมูล เมื่อนั้นการประมูล ครั้งนั้นจะกลายเป็นงานใหญ่ในทันที นับตั้งแต่ปี 1962 จนถึงปี 1964 มีการผลิตรถยนต์รุ่นนี้เพียง 36 คัน และเป็นที่น่าประหลาดใจว่าบรรดานักสะสมสามารถเสาะหา Ferrari 250 GTO มาครอบครองได้จนครบทั้ง 36 คัน (Ralph Lauren เป็นเจ้าของ Ferrari 250 GTO 1 คัน เช่นเดียวกับอภิมหาเศรษฐีในธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีอย่าง Craig McCaw) และ Ferrari 250 GTO ปี 1962 คันที่ 3 ก็เพิ่งนำออกมาประมูล เมื่อเดือนที่แล้วที่ RM Sotheby’s นอกจากประวัติในสนามแข่งอันเป็นตำนานแล้ว Ferrari 250 GTO ก็ยังมีที่มาสุดแสนพิเศษอีกด้วย
<h3>1962</h3>
Ferrari 250 GTO ซึ่งเป็นการนำรถรุ่น 250 มาผลิตซ้ำเป็นครั้งสุดท้ายได้รับการรังสรรค์ให้เป็นรถแข่ง แต่ก็สามารถเป็นรถใช้งานบนท้องถนนได้ด้วย คำว่า GTO ย่อมาจาก Gran Turismo Omologato หรือ Grand Touring Homologated รูปทรงของ Ferrari 250 GTO เป็นแบบเดียวกันกับ Testa Rossa 250 อย่างไม่ผิดเพี้ยน Ferrari 250 GTO มาพร้อมเครื่องยนต์ V12 ขนาด 3 ลิตร และสมรรถนะ 300 แรงม้า ราคาสำ.หรับความงดงาม ดังที่กล่าวมานั้นอยู่ที่ 18,000 เหรียญ (ประมาณ 150,000 เหรียญในปัจจุบัน) และผู้ครอบครองแต่ละคนจะต้องได้รับการอนุมัติจาก Enzo Ferrari เป็นรายบุคคลเสียก่อน

&nbsp;

<figure><img class="wp-image-1261 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/11.jpg" alt="" width="2292" height="898" /><figcaption> Photo credit : 1962: PATRICK ERNZEN/COURTESY OF RM SOTHEBY’S</figcaption></figure>
<h3>1969</h3>
ก่อนที่รุ่นปี 1962 จะถูกจัดให้เป็นรถคลาสสิก ก็ได้มีการตกลงซื้อขายอย่างไม่เป็นทางการในราคา 5,400 เหรียญซึ่งถูกกว่าที่ควรจะเป็นอย่างมาก
<h3>1986</h3>
หนึ่งปีหลังจากที่ Ralph Lauren ซื้อ Ferrari 250 GTO หมายเลขแชสซี 3987 ในราคา 650,000 เหรียญ ประกอบกับกระแสความนิยม Ferrari ที่พุ่งสูงขึ้น นักสะสมอย่าง Frank Gallogly ได้ซื้อ Ferrari 250 GTO ปี 1962 คันหนึ่งซึ่งถูกทิ้งให้ขึ้นสนิมอยู่นานถึง 15 ปีก่อนที่จะได้รับการซ่อมแซมใหม่ด้วยสนนราคา 1 ล้านเหรียญซึ่งเป็นราคาที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ในขณะนั้น สองปีต่อมาเขาขายต่อที่ราคา 4.2 ล้านเหรียญ
<h3><img class="alignnone wp-image-1262 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/44.jpg" alt="" width="4000" height="2392" />พฤษภาคม 2012</h3>
Craig McCaw ผู้บุกเบิกธุรกิจโทรศัพท์มือถือซื้อ Ferrari 250 GTO ปี 1962 ซึ่งก่อนหน้านี้ เคยครอบครองโดยนักแข่งรถ ผู้เป็นตำนานอย่าง Stirling Moss ในการซื้อขายเป็นการส่วนตัวไม่ผ่านนายหน้า ซึ่งมีรายงานว่ามีมูลค่า 35 ล้านเหรียญ

<img class="alignnone wp-image-1263 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/55.jpg" alt="" width="3008" height="2000" />
<h3>สิงหาคม 2014</h3>
ในการประมูลประจำปีของ Bonhams ที่ Quail Lodge รถ Ferrari 250 GTO ปี 1962 คันหนึ่ง ทำราคาประมูลได้สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ 38.1 ล้านเหรียญ โดยผู้ซื้อคือ Carlos Monteverde บุตรชายของอภิมหาเศรษฐีชาวบราซิลผู้ใจบุญอย่าง Lily Safra

<figure><img class="wp-image-1264 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/66.jpg" alt="" width="4256" height="2311" /><figcaption> Photo credit : AUGUST 2014: SWNS/ NEWSCOM</figcaption></figure>
<h3>มิถุนายน 2018</h3>
มีรายงานว่า David MacNeil ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ WeatherTech ได้ตกลงซื้อ Ferrari 250 GTO ปี 1963 ในการซื้อขายกันเองไม่ผ่านนายหน้าที่ราคา70 ล้านเหรียญ (เทียบเท่ากับพรมปูพื้นรถ 1 ล้านผืน)

&nbsp;
<h3>สิงหาคม 2018</h3>
หลังจากสั่งสมประสบการณ์ในสนามแข่งมาอย่างโชกโชนแล้ว Ferrari 250 GTO ปี 1962 หมายเลขแชสซี 3413 ได้ถูกขายให้กับทายาทธุรกิจอัญมณีอย่าง Gianni Bulgari ในปี 1963 หกปีต่อมา (และเปลี่ยนผู้ครอบครองอีกราว 2-3 คน) อภิมหาเศรษฐี Sir Anthony Bamford ได้ตกลงใจซื้อรถคันนี้ และหลังจากมีการเปลี่ยนมืออีก 2 ครั้ง Greg Whitten อดีตสถาปนิกซอฟต์แวร์ของ Microsoft ซื้อ Ferrari คันนี้มาในปี 2000 ด้วยสนนราคา 7 ล้านเหรียญปัจจุบัน Whitten ได้นำ.รถคันดังกล่าวออกขายผ่าน RM Sotheby’s เดือนที่แล้วเขากล่าวถึงการตัดสินใจขายรถคันนี้ว่า “ผมเป็นเจ้าของ GTO มานานแล้ว และมี
รถคันอื่นอีกที่ผมอยากจะซื้อ”

<figure><img class="wp-image-1260 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/2.jpg" alt="" width="5760" height="3840" /><figcaption> 1963 Ferrari 250 GTO Photo by Michael Cole/Corbis via Getty Images</figcaption></figure>

&nbsp;

เรื่อง: MICHAEL SOLOMON เรียบเรียง: ริศา

<hr />

<a href="http://bit.ly/FTSEP18">อ่านบทความทางด้านธุรกิจเพิ่มเติมได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับกันยายน 2561 ได้ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="http://bit.ly/FTSEP18"><img class="" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/b55862a3e62055d3887fdaad81a6685c.jpg" alt="" width="211" height="546" /></a>

&nbsp;

เปิดตำนานไม่ธรรมดา FERRARI 250 GTO

<h2>เสียงเครื่องยนต์ของซูเปอร์คาร์ ไฮเปอร์คาร์ไทยยังคงดังกระหึ่ม เฟอร์รารี่ (Ferrari) เลือกประกาศตำนาน 70 ปีในไทยเป็นประเทศแรกในอาเซียน พร้อมยลโฉม LaFerrari Aperta รุ่น Limited Edition คันเดียวในประเทศ</h2>
นอกจากประเทศไทยจะเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของอุตสาหกรรมรถยนต์ระดับโลก ดีมานด์รถหรูของเศรษฐีในประเทศยังทำให้ไทยได้รับการยกระดับเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่สำคัญของแบรนด์ซูเปอร์คาร์ทั่วโลกให้เข้ามาทำตลาดช่วงชิงส่วนแบ่งกันอย่างดุเดือด

การเติบโตในตลาดซูเปอร์คาร์แบบไม่เน้นปริมาณ แต่เน้นคุณภาพ สะท้อนชัดในยอดจำหน่ายรถแบรนด์เฟอร์รารี่ที่ประกาศตัวเลขอย่างเป็นทางการจำนวนมากกว่า 3,000 ล้านบาท จากการจำหน่ายรถมากกว่า 150 คันในช่วง 2 ปีของ บริษัท คาวาลลิโน มอเตอร์ จำกัด ตัวแทนจำหน่ายและซ่อมบำรุงรถยนต์เฟอร์รารี่อย่างเป็นทางการเพียงผู้เดียวในไทย โดยยังไม่ได้นับแบรนด์อื่น ทั้งที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ

<figure><img style="width: 680px; height: 536px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/1e105e1abc5e344657717181bf7d1afe.png" alt="" width="680" height="536" /><figcaption> วรวุฒิ ภิรมย์ภักดี รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท คาวาลลิโน มอเตอร์ จำกัด</figcaption></figure>

“คาวาลลิโนก่อตั้งครบ 7 ปี และเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ยอดขายของเราเพิ่มขึ้น 60% ด้วยยอดจองรถมากกว่า 150 คัน มูลค่ารวมมากกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งเป้าหมายภายใน 2 ปีข้างหน้า เราต้องมียอดจองรถเพิ่มมากกว่า 200 คัน และการเปิดศูนย์บริการครบวงจร รวมถึงพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับลูกค้าใหม่” วรวุฒิ ภิรมย์ภักดี รองประธานกรรมการบริหารบริษัทกล่าวถึงการเติบโตอันโดดเด่นไม่เพียงตัวเลขยอดขาย แต่ยังได้รับรางวัลการันตี ได้แก่ Southeast Asian Dealer of the Year 2014 และ 2015 รวมถึง Top Showroom 2015 และ Top SEA Sales Award 2016

จากผลงานในพอร์ตหลายพันล้านบาท ทำให้ชื่อของไทยแลนด์ติดลิสท์อันดับต้นๆในโลกที่ได้ยลโฉมรถ LaFerrari Aperta รุ่นพิเศษ Limited Edition มูลค่ากว่า 200 ล้านบาท ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 209 คัน ในโอกาสครบรอบ 70 ปี พร้อมทั้งจัดงาน Ferrari 70th Anniversary Celebration in Thailand รวมพลเจ้าของรถเฟอร์รารี่ 70 คัน ขับเคลื่อนขบวนคาราวานจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าอุทยานประวัติศาสตร์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประกาศความยิ่งใหญ่ครั้งแรกในอาเซียน

<figure><img style="width: 680px; height: 540px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/11a4ad51bb47474d82b5c92259f45a71.png" alt="" width="680" height="540" /><figcaption> นันทมาลี ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท คาวาลลิโน มอเตอร์ จำกัด</figcaption></figure>

“ลูกค้าไม่ใช่แค่ซื้อรถ แต่ภูมิใจในแบรนด์ Ferrari และซื้อเพราะเห็นคุณค่าในการสะสม เราสามารถสร้าง loyalty ให้ลูกค้าบอกต่อและชักชวนกัน โดยปัจจุบันเรามีชมรมเฟอร์รารี่คลับ (Ferrari owners Club Thailand หรือ FOCT) ที่ได้รับการรับรองจากทางโรงงานเฟอร์รารี่ ประเทศอิตาลีโดยตรง ซึ่งมีสมาชิกในชมรมกว่า 100 คัน” กล่าวถึงกระแสความนิยมในแบรนด์รถหรูที่มีคุณค่าทางจิตใจ และกลายเป็นหนึ่งในของสะสมที่สามารถเพิ่มมูลค่าได้ในอนาคต ทั้งยังทำให้เกิดสังคมย่อมๆของแฟนม้าลำพอง นำโดย พ.ต.ท.อภิเนสภ์ พรพิบูลย์ ประธานชมรม ซึ่งเป็นผู้ครอบครอง LaFerrari Aperta คันเดียวในประเทศ

เหนือสิ่งอื่นใดความสำเร็จสูงสุดของรถหรูในมุมมองของคาวาลลิโนไม่ใช่แค่ยอดขายที่เติบโต แต่เป็นความไว้วางใจของผู้ใช้ซูเปอร์คาร์ที่กลับมาซื้อซ้ำหรือบอกต่อ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนยอดขายจากลูกค้าเก่าที่แนะนำลูกค้าใหม่ราว 60% อันเป็นกลยุทธ์หลักที่ผู้ประกอบการในธุรกิจรถหรูให้ความสำคัญใช้เป็นอาวุธการแข่งขันในอนาคต

<img style="width: 680px; height: 506px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/01c10c958df4c1b99b54a4cb69d14aea.png" alt="" />

<img style="width: 680px; height: 511px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/775ade571998d56232498b2019d5a342.png" alt="" />

ตลาดรถหรูไทยแรงแซงโค้ง ม้าลำพองฉลอง 7 ทศวรรษ

<h2>ตลาดรถยนต์ระดับหรูเตรียมรับมือกับอุณหภูมิการแข่งขันที่เดือดระอุได้แล้ว เพราะล่าสุด บริษัท เยอรมัน มอเตอร์ เวอร์ค จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์ Audi อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เตรียมเปิดตัวรถยนต์ Audi รุ่นใหม่ 5 รุ่นพร้อมกัน ในวันที่ 20 สิงหาคมนี้ ขณะที่ Mercedes Benz ประเทศไทยก็วางแผนจะเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่อีก 4 รุ่นในวันที่ 21 สิงหาคมเช่นกัน</h2>
ธันยนันท์ ลีนุตพงษ์ กรรมการบริหาร บริษัท เยอรมัน มอเตอร์ เวิร์ค จำกัด เปิดเผยว่า จะเปิดตัวรถยนต์ Audi รุ่นใหม่ 5 รุ่น ในประเทศไทย ประกอบด้วย รุ่นโมเดลเชนจ์ ได้แก่ Audi A4 และ Audi Q7 และรุ่นไมเนอร์เชนจ์ ได้แก่ Audi A3 Sportsback Audi A6 และ Audi Q3 ซึ่งเชื่อมั่นว่าการเปิดตัวรถรุ่นใหม่นี้จะช่วยขยายฐานกลุ่มลูกค้าใหม่ โดยเฉพาะในเซ็กเมนต์ซีดานระดับหรูของบริษัทให้มากยิ่งขึ้น

ทางบริษัทฯ ต้องการตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่แตกต่างกัน และเพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น เราจึงได้เปิดตัวยนตรกรรมพรีเมียมแบรนด์ออดี้ใหม่อีก 5 รุ่น ในประเทศไทย ประกอบด้วย รุ่นโมเดลเชนจ์ ได้แก่ Audi A4 และ Audi Q7 และรุ่นไมเนอร์เชนจ์ ได้แก่ Audi A3 Sportsback Audi A6 และ Audi Q3 เพื่อช่วยขยายฐานกลุ่มลูกค้าใหม่ โดยเฉพาะในเซ็กเมนต์ซีดานให้มากยิ่งขึ้น

สำหรับ Audi A4 ใหม่ นี้มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ แถวเรียง พร้อมระบบ Direct Fuel Injection Turbocharging และ Indirect Intercooling  ที่ให้กำลังสูงสุดถึง 190 แรงม้า ที่ 4,200 – 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร ที่ 1,450 – 4,200 รอบต่อนาที มาพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ S-Tronic 7 สปีด โดดเด่นด้วยไฟหน้าแบบ LED Headlights พร้อมติดตั้งชุดแต่งภายนอก S Line  พร้อมติดตั้งเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบาย และความบันเทิงระหว่างการขับขี่ อาทิ ระบบ Audi music interface เชื่อมต่อกับเครื่องเล่นแบบพกพาผ่าน USB interface ระบบ Handfree ระบบรักษาความเร็วคงที่ Programmable speed limiter และระบบช่วยจอด Parking aid plus มีให้เลือก 4 สี ในราคา 2,499,000 บาท (รุ่น standard) และ 2,699,000 บาท (รุ่น sport)

<img style="width: 680px; height: 432px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/6b96d2909b564b45c0f6a36d47974466.png" alt="" />
ขณะที่ Audi Q7 ใหม่ ใช้เครื่องยนต์ดีเซล V6 พร้อมระบบ Commom Rail Injection System and Turbocharging ที่ให้กำลังสูงสุด 249 แรงม้า ที่ 2,910 – 4,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร ที่ 1,500 – 3,000 รอบต่อนาที ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา พร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ Tiptronic 8 สปีด  ไฟหน้า Matrix LED ส่องสว่างอัตโนมัติและเรืองแสงตามสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็น องศาการเลี้ยวของพวงมาลัยและอุณหภูมิของแสง และไฟท้ายแบบ LED พร้อม Dynamic Indicator ภายในหรูหราด้วยการตกแต่งแบบ Diamond Finish

พร้อมเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกสบายในการขับขี่ อาทิ Audi Virtual Cockpit จอแสดงผล LED ที่แสดงมาตรวัดและข้อมูลสำคัญของรถในรูปแบบดิจิตอล แบบสามมิติ เอกสิทธิ์พิเศษของออดี้ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น หุ้มหนัง 4 ก้าน พร้อม Shift Paddles เพื่อการขับขี่ที่สนุกสนานยิ่งขึ้น  และระบบช่วยขับขี่ Audi Drive Select  ที่ทำงานร่วมกับ MMI® Navigation Plus เป็นต้น มีให้เลือก 4 สี ในราคา 4,999,000 บาท

<img style="width: 680px; height: 432px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/e3701013ddff3c8135821a64b7962d84.png" alt="" />
ขณะที่ Audi A3 ใหม่ ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ แถวเรียง พร้อมระบบ Direct Fuel Injection Turbocharging ที่ให้กำลังสูงสุดถึง 150 แรงม้า ที่ 3,500 – 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 340 นิวตันเมตร ที่ 1,750 – 3,000 รอบต่อนาที และระบบเกียร์อัตโนมัติ S-Tronic 6 สปีด ภายนอกมาพร้อมชุดแต่ง S Line ได้แก่ กันชนหน้า-หลังแบบสปอร์ต หลังคาสปอยเลอร์ พร้อมประตูตัดขอบ และล้ออัลลอยอลูมิเนียมแบบ 5 Paralleel ขนาด 18 นิ้ว  เบาะหนังคู่หน้าแบบสปอร์ต  มีให้เลือก 6 สี ในราคา 2,199,000 บาท

ส่วน Audi A6 1.8 TFSI ใหม่ ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ แถวเรียง พร้อมระบบ Direct Fuel Injection Turbocharging และ Indirect Intercooling ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 4,200 – 6,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร ที่ 1,400 – 4,100 รอบต่อนาที และระบบเกียร์อัตโนมัติ S-Tronic 7 สปีด ไฟหน้าแบบ Xenon Plus พร้อมไฟหน้าปรับอัตโนมัติตามการขับขี่ และไฟ Daytime Running Lights สำหรับเวลากลางวัน ส่วนไฟท้ายเป็นแบบ LED ภายในตกแต่งด้วย Walnut Dark Brown และเบาะนั่งหุ้มด้วยหนังแท้ Milano มีให้เลือก 3 สี ในราคา 3,499,000 บาท

ด้านครอสโอเวอร์ Audi Q3 ใหม่ มาพร้อมเครื่องยนต์ 2 ทางเลือก คือ เครื่องยนต์ 2.0 TFSI Quattro® เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ แถวเรียง พร้อมระบบ Direct Fuel Injection Turbocharging และ Indirect Intercooling ให้กำลังสูงสุดถึง 180 แรงม้า ที่ 4,000 – 6,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร ที่ 1,400 – 3,900 รอบต่อนาที ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา พร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ S-Tronic 7 สปีด และเครื่องยนต์ 2.0 TDI Quattro® เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ แถวเรียง พร้อมระบบ Direct Fuel Injection Turbocharging ให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 3,500 – 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร ที่ 1,800 – 3,250 รอบต่อนาที ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา พร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ S-Tronic 7 สปีด โดดเด่นด้วยไฟหน้าแบบ LED พร้อม Rear Indicator Running Light ปรับอัตโนมัติตามสภาพการขับขี่ ไฟ Daytime Running Lights สำหรับขับขี่ในเวลากลางวัน และไฟท้ายแบบ LED  สปอร์ตยิ่งขึ้นด้วย Roof Spoiler ภายในตกแต่งในสไตล์หรูหราด้วย Aluminium Satellite และเบาะนั่งหุ้มด้วยหนังแท้ Milano มีให้เลือก 4 สี ในราคา 2,549,000 บาท (เบนซิน) และ ราคา 2,749,000 บาท (ดีเซล)

ขณะที่ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เตรียมเปิดตัว รถยนต์รุ่นใหม่ 4 รุ่นในกลุ่ม Dream Car ในวันที่ 22 สิงหาคมนี้ เช่นเดียวกัน โดยจะเปิดตัว  The new SLC 300 AMG Dynamic ในราคา 3,990,000 บาท , Mercedes-AMG SLC 43  ที่เป็นรุ่น top ในตระกูล SLC หรือรถสปอร์ตคูเป้ 2 ที่นั่ง ,The new generation SL 400 ที่ให้แรงม้าสูงถึง 367 แรงม้า (เพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิม 35 แรงม้า) และแรงบิดสูงสุดที่ 500 นิวตันเมตร  (เพิ่มขึ้น 20 นิวตันเมตร)

ส่วนรุ่นสุดท้ายคือ The new S 500 Cabriolet เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าระดับบนที่ต้องการรถยนต์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะไม่เหมือนใคร
<img style="width: 680px; height: 375px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/b0c8c8c1021a8c16333bdfcfcc8c3b1b.png" alt="" />

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events