<h2>LHMH เผย รายได้ธุรกิจโรงแรมปี 67 เฉียด 6,000 ล้าน คาดหลังเปิดตัว ‘แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ลุมพินี’ 1 เม.ย.นี้ จะหนุนรายได้ปี 68 โตเพิ่ม 15% ได้ตามเป้าที่วางไว้ โดยช่วงปลายปีเตรียมปักหมุดย่านราชประสงค์ เปิดโรงแรมอีกแห่ง&nbsp;'แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ เพรสทีจ กรุงเทพฯ' พร้อมเจาะกลุ่มลูกค้าระดับ luxury ซึ่งถือเป็นแห่งที่ 2 ต่อจากลุมพินี&nbsp;</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุวรรณา พุทธประสาท&nbsp;ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล เอช มอลล์ แอนด์ โฮเทล จำกัด (LHMH) กล่าวว่า ในโอกาสครอบรอบ 17 ปีของกลุ่มโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ เราได้เติบโตและขยายพอร์ตโฟลิโอของโรงแรมมาอย่างต่อเนื่อง จากสาขาแรกที่ราชดำริ สู่เครือโรงแรมหรูในทำเลสำคัญของกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวสำคัญอย่างพัทยา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยปีนี้เป็นปีพิเศษ เพราะเรากำลังก้าวไปอีกขั้นด้วยการเปิดตัว แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ลุมพินี (แห่งที่ 8) ที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 เมษายน 2568 ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ Prestige Collection สำหรับเจาะกลุ่มผู้บริโภคระดับ Luxury แห่งแรกของแบรนด์ที่สะท้อนให้ถึงความหรูหราระดับเวิลด์คลาส&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ในปี 2567 ที่ผ่านมา ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่เราประสบความสำเร็จ โดยโรงแรมในเครือแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ทั้ง 7 แห่งในกรุงเทพฯ และพัทยา มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยสูงกว่า 85% สร้างรายได้สูงถึง 5,575 ล้านบาท โดยสาขาที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่ แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สเปซ พัทยา, แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ พัทยา และ แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ เทอร์มินอล 21&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เนื่องในโอกาสครอบรอบ 17 ปีของกลุ่มโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานการโรงแรมในประเทศไทยให้ทัดเทียมระดับสากล โดยหลังจากเปิดตัวสาขาแรกที่ราชดำริ ขยายการเติบโตต่อเนื่องสู่เครือโรงแรมหรูในทำเลสำคัญของกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวสำคัญอย่างพัทยา ซึ่งในปีนี้ เราคาดการณ์ว่า หลังจากทำการเปิดตัวโรงแรม แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ลุมพินี อย่างเป็นทางการแล้ว จะหนุนรายได้ธุรกิจโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 15%” <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/4AG5jUQqFfypHR53UYRg.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="4AG5jUQqFfypHR53UYRg.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน กิตติ วรบรรพต&nbsp;กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล เอช มอลล์ แอนด์ โฮเทล จำกัด (LHMH) เผยถึงแผนขยายธุรกิจในอนาคตว่า ปีนี้ LHMH เดินหน้าลงทุน 3 โรงแรมใหม่ เพิ่มห้องพักอีก 1,354 ห้อง พร้อมยกระดับมาตรฐานโรงแรมไทยสู่ระดับเวิลด์คลาส โดยโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ เพรสทีจ กรุงเทพฯ&nbsp;(สูง 45 ชั้น / 509 ห้อง) - ตั้งอยู่บนทำเลราชดำริซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์การค้าเพนนินซูล่า พลาซ่าเดิม คาดเปิดให้บริการปลายปี 2568​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/MUPW5P5XZo6ShPSmivYF.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="MUPW5P5XZo6ShPSmivYF.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ วอยาจ พัทยา&nbsp;(สูง 33 ชั้น / 494 ห้อง) - บนพื้นที่กว่า 22 ไร่ ใหญ่กว่าและติดกันกับ แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สเปซ พัทยา กว่าสองเท่า เน้นสวนน้ำดีไซน์ทะลุมิติสุดอลังการ คาดเปิด ไตรมาส 3 ปี 2569​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/GqWxNWghkY6dKdkmQw8p.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="GqWxNWghkY6dKdkmQw8p.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ไชน่าทาวน์ กรุงเทพฯ&nbsp;(สูง 11 ชั้น / 351 ห้อง) - บนที่ดินเช่าจาก สำนักงานทรัพย์สินฯ ย่านเยาวราช ออกแบบโดย Palmer &amp; Turner บริษัทผู้ออกแบบ The Bund, Shanghai คาดเปิด ไตรมาส 2 ปี 2571​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/XEVYYRChq9Qt5ZabKtQW.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="XEVYYRChq9Qt5ZabKtQW.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="3"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราใช้งบลงทุนโรงแรม แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ลุมพินี ที่จะเปิดตัวในวันที่ 1 เมษายนนี้ 4,800 ล้านบาท, แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ เพรสทีจ กรุงเทพฯ 4,500 ล้านบาท&nbsp;โดยทั้ง 2 แห่งนี้จะเน้นเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าระดับ Luxury, แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ วอยาจ พัทยา ลงทุน 4,500 ล้านบาท เน้นเจาะกลุ่ม Luxury ผ่าน Theme Hotel ที่โดดเด่นในเรื่องของสวนน้ำขนาดใหญ่ ดีไซน์ทะลุมิติสุดอลังการที่มีทั้งโซนของโลกดึกดำบรรพ์และโลกอนาคต และใช้งบ 3,600 ล้านบาท สำหรับแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ไชน่าทาวน์ กรุงเทพฯ ที่จะกลายเป็นโรงแรม 5ดาว แห่งแรกในย่านนี้ ในโดยเมื่อทุกโครงการสามารถเปิดให้บริการแล้วเสร็จในปี 2571 ก็จะหนุนรายได้แตะ 10,000 ล้านบาทได้อย่างแน่นอน”&nbsp;กรรมการผู้จัดการ ของ LHMH กล่าวทิ้งท้าย&nbsp; <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/g3onn9aWqmdvnAA5oTTE.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="g3onn9aWqmdvnAA5oTTE.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="4"></figure></div>​ ภาพ : LHMH&nbsp; เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/travel/new-grande-centre-point-lumphini-world-class-experience" alt="Grande Centre Point Lumphini โรงแรมหรูแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ จาก LHMH เตรียมเปิดทางการ 1 เม.ย. นี้">Grande Centre Point Lumphini โรงแรมหรูแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ จาก LHMH เตรียมเปิดทางการ 1 เม.ย. นี้</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

LHMH ตั้งเป้าปี 68 โตเพิ่ม 15% หลังปี 67 รายได้พุ่งเฉียด 6,000 ล้าน คาดปลายปีเปิดอีกแห่ง แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ เพรสทีจ ย่านราชประสงค์

<h2>สยามคูโบต้า เผยกลยุทธ์หลัก 'Sustainable Vibes' หนุนยอดขายในไทย 3 ไตรมาสแรกปี 67 โต 13% คิดเป็นมูลค่าราว 2.9 หมื่นล้านบาท มั่นใจรายได้รวมตลอดปีทั้งยอดขายในประเทศและส่งออกไปยังอาเซียนจะเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ราว 6 หมื่นล้านบาท </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พิษณุ มิลินทานุช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้จัดการทั่วไป สายงานขาย การตลาดและบริการ บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด&nbsp;กล่าวว่า สยามคูโบต้าเล็งเห็นความสำคัญของการทำการตลาดที่เน้นสร้างความยั่งยืนให้ลูกค้าและสังคม โดยในปีนี้ได้เน้นทำการตลาดด้วยกลยุทธ์ 'Sustainable Vibes หรือการตลาดใหม่ที่มุ่งสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ'&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อาทิ&nbsp;แคมเปญ 'No Farmer, No Us : ไม่มีเขา ไม่มีเรา'&nbsp;ที่มุ่งเน้นให้ทุกคนตระหนักถึงคุณค่าของเกษตรกร ผู้เป็นแรงสำคัญเบื้องหลังการผลิตอาหารที่ปลอดภัยและเป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แคมเปญ Turn waste to Agri-Wear&nbsp;โดยร่วมมือกับ GREYHOUND ORIGINAL ต่อยอด “ฟางข้าว” เศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร จุดประกายการ Upcycling เศษวัสดุเหลือใช้ให้เกิดประโยชน์กลายเป็นเครื่องแต่งกายสไตล์สตรีทแฟชั่น เพื่อลดผลกระทบจากการเผา พร้อมสนับสนุนงานวิจัยและงานฝีมือช่างทอผ้าไทย และทำให้แบรนด์คูโบต้าเข้าถึงกลุ่มคนเมืองและคนรุ่นใหม่มากยิ่งขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รวมทั้งล่าสุดเองยังมีการนำเอา Music Marketing มาเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการสื่อสารสินค้าแทรกเตอร์และรถเกี่ยวนวดข้าว สร้างการจดจำแก่กลุ่มเป้าหมายผ่านสื่อออนไลน์อีกด้วย&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/M3hrhyfFkvfoLfAkBrse.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="M3hrhyfFkvfoLfAkBrse.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับงานอะไหล่และบริการหลังการขายสร้างความมั่นใจแก่ลูกค้าด้วยช่างมืออาชีพกว่า 1,800 คน จากศูนย์บริการมาตรฐาน 162 แห่งทั่วประเทศ ในขณะเดียวกันสยามคูโบต้ายังมุ่งมั่นในการขยายฐานลูกค้าผ่านประสบการณ์จริง ด้วยแคมเปญยิ่งใหญ่ส่งท้ายปีกับกิจกรรม 'คันที่ใช่ พร้อมลุยทั่วไทย'&nbsp;ตลอด 8 จุดทั่วไทย ระหว่างเดือนกันยายน-พฤศจิกายน 2567&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ทางผู้บริหารของคูโบต้ายังกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ภาคการเกษตรยังคงมีความท้าทายอย่างต่อเนื่องจากปัญหาภัยแล้งที่ส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิต ทว่ายังได้รับปัจจัยบวกจากราคาผลผลิตที่เพิ่มขึ้นตามความต้องการของตลาดด้านการส่งออก โดยเฉพาะตลาดข้าวและอ้อยที่มีราคาเพิ่มขึ้น ทำให้เกษตรกรมีกำลังในการซื้อสร้างแรงหนุนให้ยอดขายสินค้าในกลุ่มรถเกี่ยวนวดข้าว รถขุดขนาดเล็ก และโดรนการเกษตร ส่งผลให้ช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมา ทางคูโบต้ายังรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดเครื่องจักรกลการเกษตรในทุกกลุ่มสินค้า และเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งครองใจเกษตรกรไทย ด้วยยอดขายสินค้าในประเทศที่เพิ่มขึ้น 13%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;"ยอดขายในช่วง 8 เดือนที่่ผ่านมา เราสามารถสร้างรายได้ในประเทศไทยแล้วราวๆ 29,000 ล้านบาท และมีรายได้จากการส่งออกเครื่องจักรไปยังประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในแถบเอเชียประมาณ 11,000 ล้านบาท แม้ว่าที่ผ่านมากลุ่มเกษตรกรจะต้องประสบกับปัญหาด้านภัยธรรมชาติที่ส่งผลกระทบต่อการเพาะปลูกต่างๆ แต่ทั้งนี้ก็มั่นใจได้ว่าตลอดระยะเวลาจนถึงสิ้นปี 67 นี้ เราจะสร้างรายได้รวมทั้งในไทยและการส่งออกสินค้าเครื่องจักรต่างๆ ไปยังกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในแถบเอเชียได้เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ราวๆ 60,000 ล้านบาท ถือเป็นยอดการเติบโตที่เพิ่มขึ้น 2-3% จากปีก่อนที่มีมูลค่า 58,000 ล้านบาท" พิษณุกล่าว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/zPMa8ikHsg7ysQemGkrQ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="zPMa8ikHsg7ysQemGkrQ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ทางคูโบต้ายังได้พัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์การใช้งานของเกษตรกรไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ สินค้าแทรกเตอร์ และรถเกี่ยวนวดข้าวรุ่นตู้แอร์ โดรนการเกษตรรุ่น T25 และ T50 และในปีนี้สยามคูโบต้าได้ประสบความสำเร็จจากการสร้างยอดขายเครื่องยนต์คูโบต้าได้ถึง 3.5 ล้านเครื่องนับจากตลอด ระยะเวลา 46 ปีที่ผ่านมา&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 498px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/9j58cPJtRkfa5kx3FMiM.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="498px,436px" data-align="center" data-file-name="9j58cPJtRkfa5kx3FMiM.jpg" data-file-size="0" origin-size="650,569" data-origin="498px,436px" style="width: 498px; height: 436px;" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับปลายปีนี้ สยามคูโบต้าเตรียมวางจำหน่ายแทรกเตอร์ที่ตอบโจทย์การทำงานของเกษตรกรผู้ปลูกพืชไร่รายใหญ่โดยเฉพาะ เน้นประสิทธิภาพการทำงานที่มาพร้อมฟังก์ชันและห้องโดยสารที่ติดเครื่องปรับอากาศทำให้สะดวกสบายในการทำงานมากกว่าเดิมซึ่งในส่วนของโดรนการเกษตรนั้น ถือว่าประสบความสำเร็จมากด้วยเช่นกันหลังจากทำการตลาดมาได้เพียงแค่ 3 ปี&nbsp; <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/cQyr3ihrNgvpXS1wo8bH.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="cQyr3ihrNgvpXS1wo8bH.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="3"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ทางสยามคูโบต้ายังพบข้อมูลที่น่าสนใจด้วยว่า&nbsp;ปัจจุบันบริษัทมีฐานลูกค้าเกษตรกรไทยแล้วกว่า 570,000 รายมีสัดส่วนของลูกค้าใหม่ที่เป็นกลุ่มคน Gen Y-Z หรือมีช่วงอายุ 20-43 ปี สูงถึง 65% ถือเป็นตัวสะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่เริ่มหันมาเปิดใจรับเทคโนโลยีการเกษตรมากขึ้น ดังนั้นนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาบริษัทจึงใช้กลยุทธ์หลักมุ่งไปที่การขยายฐานลูกค้าโดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรกรหน้าใหม่ การพัฒนาเครื่องจักรกลการเกษตรให้ทันสมัยมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้า IoT เพื่อดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้กลับมาเข้าภาคเกษตรเพิ่มมากขึ้น &nbsp; เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/crc-supersport-rev-edition" alt="หลังเครือเซ็นทรัลถือหุ้น 75% ‘เรฟ อีดิชั่น’ กางแผนลุยตลาดรองเท้าครั้งใหญ่ เล็งเปิดสาขาแรกปีหน้าที่สิงคโปร์">หลังเครือเซ็นทรัลถือหุ้น 75% ‘เรฟ อีดิชั่น’ กางแผนลุยตลาดรองเท้าครั้งใหญ่ เล็งเปิดสาขาแรกปีหน้าที่สิงคโปร์</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

สยามคูโบต้า มั่นใจรายได้ปี 67 แตะ 6 หมื่นล้านตามเป้า หลังยอดขาย 3 ไตรมาสโต 13% 

<h2>การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย คาดการณ์รายได้จากการท่องเที่ยวช่วงวันหยุดยาว 2 รอบในเดือน ก.ค. 67 จะสะพัดกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท จากจำนวนนักท่องเที่ยวภายในประเทศ 5 ล้านคน-ครั้ง พร้อมเปิดรายชื่อ 10 จังหวัดที่มีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยเดินทางเข้าพื้นที่มากที่สุดในเดือนนี้ </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ในเดือน ก.ค. ที่มีวันหยุดยาวต่อเนื่องถึง 2 ช่วง ได้แก่ วันหยุดยาวเนื่องในวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา (วันที่ 20-22 ก.ค. 2567) และวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 (วันที่ 27-29 ก.ค. 2567) คาดว่าจะมีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศมากกว่า 5 ล้านคน-ครั้ง และสร้างรายได้หมุนเวียนราว 18,360 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ พื้นที่ภาคกลางมีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนมากที่สุด (1,174,060 คน-ครั้ง) รองลงมาคือกรุงเทพฯ (947,810 คน-ครั้ง) และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (931,950 คน-ครั้ง) ส่วนภูมิภาคที่สร้างรายได้มากที่สุดคือ กรุงเทพฯ (4,781 ล้านบาท) รองลงมาคือภาคตะวันออก (4,061 ล้านบาท) และภาคใต้ (3,017 ล้านบาท) ตามลำดับ ซึ่งโดยภาพรวมคาดว่าบรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวทั้ง 2 ช่วงวันหยุดยังอยู่ในทิศทางที่ดี เนื่องจากเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ประชาชนส่วนใหญ่นิยมพาครอบครัวเดินทางไปไหว้พระ ทำบุญตักบาตรและถวายเทียนพรรษาตามศาสนสถานต่างๆ เพื่อความเป็นสิริมงคลทั้งแก่ตนเองและคนในครอบครัวตามความเชื่อและศรัทธาชองพุธศาสนิกชน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ประกอบกับเป็นเดือนมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนทุกภาคส่วนร่วมกันจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อาทิ จิตอาสาร่วมกันปลูกป่า 72 ล้านต้น พลิกฟื้นผืนป่าทั่วประเทศ, เปิดปราสาทพระเทพบิดร ภายในวัดพระศรีศาสดารามให้ประชาชนเข้าไปถวายบังคมสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช, พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กรุงเทพฯ เปิดให้เข้าชมเรือพระราชพิธีสาหรับใช้พระราชพิธีกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม การเดินทางท่องเที่ยวช่วงวันหยุดยาวเนื่องในวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษาคาดว่ามีความคึกคักมากกว่าวันเฉลิมพระชนมพรรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเฉพาะพื้นที่ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะเป็นภูมิภาคที่มีวัดเก่าแก่สำคัญ มีเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่ศรัทธาของประชาชน กอปรกับการจัดกิจกรรมและงานประเพณีทางศาสนาที่มีความเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะพื้นที่ อาทิ ประเพณีแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานี, ประเพณีตักบาตรดอกเข้าพรรษา จ.สระบุรี, ประเพณีแห่เทียนพรรษาทางน้าที่ลาดชะโด จ.พระนครศรีอยุธยา, งานประเพณีแห่เทียนพรรษาโคราช จ.นครราชสีมา เป็นต้น ส่งผลให้เกิดการเดินทางเข้าพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือในช่วงวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษารวมกันประมาณ 1.22 ล้านคน-ครั้ง <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/07/9xPEg3Ancxasy3gGgPB5.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="9xPEg3Ancxasy3gGgPB5.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/07/mNABEN6v7vkHw3a3uXkm.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="mNABEN6v7vkHw3a3uXkm.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ วันหยุดยาววันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คาดว่ากรุงเทพฯ มีความคึกคักมากกว่าพื้นที่อื่น ทำให้มีผู้เยี่ยมเยือนเดินทางเข้าพื้นที่มากเป็นอันดับหนึ่งโดยมีจำนวน 947,810 คน-ครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากประชาชนส่วนใหญ่เดินทางเข้าพื้นที่ เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในช่วงเวลาดังกล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมในช่วงวันหยุดยาวในเดือนกรกฎาคม 2567 พบว่า ชลบุรีมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยสูงเป็นอันดับ 1 อยู่ที่ 86% จากความได้เปรียบที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวระยะใกล้เดินทางสะดวก มีแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมหลากหลาย ประกอบกับได้รับแรงหนุนจากการจัดงาน AMAZING THAILAND PATTAYA MARATHON 2024 PRESENTED BY MAMA และงานวิจิตร 5 ภาค @ชลบุรี ในธีม “เกาะใต้น้ำมหัศจรรย์”&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/07/Muwviq8ic6g27aQpptzu.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="3" data-file-name="Muwviq8ic6g27aQpptzu.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รองลงมาคือ อุบลราชธานี พื้นที่ไฮไลท์ในช่วงเทศกาลงานเข้าพรรษา มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 84% ซึ่งในปีนี้การจัดงานประเพณีแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานี ภายใต้ชื่องาน "เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา เมืองเทียน เมืองธรรม งามล้าเมือง 4 แสง" ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนร่วมกันผลักดันให้เป็นเทศกาลระดับโลก หรือ World Festival ตามนโยบายรัฐบาล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ 10 จังหวัดที่มีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยเดินทางเข้าพื้นที่มากสุดในช่วงวันหยุดยาวของเดือนกรกฎาคมนี้ ส่วนใหญ่คือจังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมของคนไทย ทั้งพื้นที่ระยะใกล้และระยะไกล อาทิ กรุงเทพมหานคร กาญจนบุรี ชลบุรี นครราชสีมา ภูเก็ต ระยอง พระนครศรีอยุธยา ประจวบคีรีขันธ์ อุดรธานี และเพชรบุรี ตามลำดับ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/07/oo8tGY5LaaT9dUZHczt3.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="oo8tGY5LaaT9dUZHczt3.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div> ​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/travel/global/air-france-and-delta-sales-decline-during-olympic-paris-2024" alt="นักท่องเที่ยวเลี่ยงไปปารีสช่วง ‘โอลิมปิก 2024’ กระทบยอดขายตั๋วเครื่องบินร่วงกว่า 100 ล้านยูโร">นักท่องเที่ยวเลี่ยงไปปารีสช่วง ‘โอลิมปิก 2024’ กระทบยอดขายตั๋วเครื่องบินร่วงกว่า 100 ล้านยูโร</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ททท. คาดวันหยุดยาว 2 รอบในเดือนก.ค. 67 หนุนรายได้ไทยเที่ยวไทยสะพัด 1.8 หมื่นล้าน 

<h2>เนื่องในวันที่ 30 พฤษภาคม 2567 สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ หรือ UN ได้ประกาศให้เป็น ‘วันมันฝรั่งสากล’ ครั้งแรกของโลก บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด (เป๊ปซี่โค ประเทศไทย) ได้ส่งเสริมเกษตรกรผู้ปลูกพืชดังกล่าวให้มีรายได้ปีละไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าภายในปี 2573 เกษตรกรจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 15% </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติมีมติให้ วันที่ 30 พฤษภาคมของทุกปีเป็น 'วันมันฝรั่งสากล' โดยในปี 2567 นี้จะเป็นปีแรกของการประกาศ เพื่อสร้างความตระหนักในคุณค่าทางโภชนาการ พลังงาน สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ จากข้อมูลขององค์การสหประชาชาติ หรือ The United Nations* ระบุว่า มันฝรั่งซึ่งเป็น 1 ใน 5 ของพืชอาหารหลักที่บริโภคในโลก โดยประชากร 2 ใน 3 ของโลกบริโภคมันฝรั่ง และมีการปลูกอยู่ใน 159 ประเทศทั่วโลก และภายในปี 2573 คาดว่าปริมาณผลผลิตทั่วโลกจะมีมากถึง 750 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้น 112%​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/nErMYfJQNKBBGJs5ZEKe.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="720px,479px" data-align="center" data-index="2" data-file-name="nErMYfJQNKBBGJs5ZEKe.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,479" data-origin="720px,479px" style="width: 720px; height: 479px;"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน เป๊ปซี่โคประเทศไทย ผู้ผลิตเลย์ มันฝรั่งทอดกรอบได้ทำงานร่วมกับเกษตรกรผู้ปลูกมันฝรั่งมานานถึง 28 ปี โดยส่งเสริมห่วงโซ่การผลิตตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยในแต่ละปี “เลย์” ใช้มันฝรั่งประมาณ 1 แสนตันต่อปี ในการผลิตมันฝรั่งทอดกรอบที่จำหน่ายในไทย&nbsp; ถือเป็นผลผลิตในประเทศ 70% สร้างรายได้ให้เกษตรกรมากถึง 1,500 ล้านบาท ทั้งนี้ภายในปี 2573 เป๊ปซี่โคประเทศไทย ตั้งเป้าส่งเสริมผลผลิตในประเทศให้ได้ 85% และเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรอีก 15%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ณ ปัจจุบัน เป๊ปซี่โค ประเทศไทย ส่งเสริมการปลูกมันฝรั่งเพื่อใช้ในการผลิตเลย์ ใน 10 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน ตาก เพชรบูรณ์ สกลนคร และนครพนม บนเนื้อที่กว่า 38,000 ไร่ โดยส่งเสริมเกษตรกรไทยมากกว่า 5,800 คน ผ่านการจัดทำฟาร์มต้นแบบ (model farm) จำนวน 19 แห่ง และได้ร่วมมือกับพันธมิตรและภาครัฐในการส่งเสริมเกษตรกร​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/nnmKiaepTAL3dwnSdq2X.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="nnmKiaepTAL3dwnSdq2X.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> ​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/thai-watsadu-invests-500-million-baht-branch-81-aranyaprathet" alt="ไทวัสดุ ทุ่มงบ 500 ล้าน ปักหมุดสาขาที่ 81 ‘อรัญประเทศ’ รุกตลาดการค้าชายแดนและประเทศเพื่อนบ้าน">ไทวัสดุ ทุ่มงบ 500 ล้าน ปักหมุดสาขาที่ 81 ‘อรัญประเทศ’ รุกตลาดการค้าชายแดนและประเทศเพื่อนบ้าน</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

PepsiCo ตั้งเป้าหนุนรายได้เกษตรกรไทยโตเพิ่ม 15% ในปี 73 หลัง UN ประกาศ '30 พ.ค. 67' วันมันฝรั่งสากล ครั้งแรกของโลก 

เป็นประจำในทุกปีที่ Forbes ได้เผยการจัดอันดับ 100 คนดังทำเงินสูงสุดของโลก โดยการจัดอันดับในการครั้งนี้ ได้รวบรวมรายชื่อบรรดา บุคคลที่มีชื่อเสียง นักแสดง นักร้อง นักกีฬาทำเงิน ซึ่งการจัดอันดับประจำปี 2020 นี้ ในรายชื่อ 5 อันดับแรก มีกลุ่มคนดังทำเงินจากกลุ่มนักกีฬาติดเข้ามาถึง 3 อันดับ เลยทีเดียว

โดยในปีนี้ "100 คนดังทำเงินสูงสุดของโลก" ทำเงินได้ 6.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา 200 ล้านเหรียญ

&nbsp;

5 อันดับแรก จากการจัดอันดับคนดังทำเงินประจำปี 2020


<img class="alignnone size-full wp-image-35868" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/10/17-001.jpg" alt="" width="350" height="197" />
อันดับที่1
Kylie Jenner
มูลค่าทรัพย์สิน 590.0 ล้านเหรียญฯ
บุคคลที่มีชื่อเสียง

<img class="alignnone size-full wp-image-35873" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/10/17-006.jpg" alt="" width="350" height="436" />
อันดับที่2
Kanye West
มูลค่าทรัพย์สิน 170.0 ล้านเหรียญฯ
นักดนตรี

<img class="alignnone size-full wp-image-35875" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/10/17-02.jpg" alt="" width="416" height="416" />
อันดับที่3
Roger Federer
มูลค่าทรัพย์สิน 106.3 ล้านเหรียญ
นักกีฬา

<img class="alignnone size-full wp-image-35876" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/10/17-03.jpg" alt="" width="416" height="416" />
อันดับที่4
Cristiano Ronaldo
มูลค่าทรัพย์สิน 105.0 ล้านเหรียญ
นักกีฬา

<img class="alignnone size-full wp-image-35874" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/10/17-01.jpg" alt="" width="416" height="416" />
อันดับที่5
Lionel Messi
มูลค่าทรัพย์สิน 104.0 ล้านเหรียญ
นักกีฬา

&nbsp;

อ่าน ไฮไลท์ จากการจัดอันดับ  The Celebrity 100: The World's Highest-Paid Celebrities 2020

<img class="alignnone size-full wp-image-35868" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/10/17-001.jpg" alt="" width="350" height="197" />
Kylie Jenner

เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว Kylie Jenner ตกลงขายหุ้น 51% ใน Kylie Cosmetics ของตัวเองไปให้กับ Coty ยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมความงาม นับเป็นการขายหุ้นรายการใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในแวดวงคนดังเลยทีเดียว

Forbes ประเมินว่า เธอรับเงินเข้ากระเป๋าไป 540 ล้านเหรียญ สูงกว่าการประเมินมูลค่าของ Wall Street และยังทำให้เธอครองตำแหน่งคนดังที่ทำเงินสูงสุดประจำปีนี้ได้สบายๆ

โดยมีพี่เขย Kanye West ตามมาเป็นอันดับ 2 ทำกำไรก่อนหักภาษีโดยประมาณเอาไว้ที่ 170 ล้านเหรียญ ซึ่งราว 10 ล้านเหรียญมาจาก Yeezy แบรนด์รองเท้าผ้าใบที่จำหน่ายในกลุ่มตลาดบน


<img class="alignnone size-full wp-image-35871" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/10/17-004.jpg" alt="" width="350" height="197" />
Ryan Reynolds

นักแสดงหนุ่มผู้รับบทเศรษฐีพันล้านในเรื่อง 6 Underground ทาง Netflix และยังมีผลงานการแสดงในภาพยนตร์ Red Notice ออกฉายช่องทางเดียวกันนั้นโกยเงิน 48.5 ล้านเหรียญจากยักษ์ใหญ่แห่งธุรกิจสตรีมมิ่งแห่งนี้ในปีที่ผ่านมา นับว่ามากกว่าใครที่ติดโผ การจัดอันดับเลยทีเดียว เหล่าดาราทำเงินจาก Netflix รวมกันได้ 220 ล้านเหรียญ กระโดดจากปี 2019 ถึง 200% รวม 5 ปีคิดเป็น เงินเกือบ 600 ล้านเหรียญ

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-35869" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/10/17-002.jpg" alt="" width="350" height="356" />
Billie Eilish

เธอคือเจ้าของ 5 รางวัลแกรมมี่ประจำปีนี้ When We All Fall Asleep, Where Do We Go? ครองตำแหน่งอัลบั้มอันดับ 1 ประจำปี 2019 ขายได้ 3.9 ล้านชิ้น มีรายงานว่า เธอได้เงิน 25 ล้านเหรียญจาก Apple จากสารคดีชีวิตและอาชีพการงานของตัวเอง อันที่จริงถ้าไม่มีไวรัสโคโรนาจนทำให้เธอต้องยกเลิกการแสดงคอนเสิร์ตใหญ่ไปเสียก่อน เธอน่าจะติดท็อป 20 ด้วยซ้ำ

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-35872" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/10/17-005.jpg" alt="" width="350" height="233" />
Travis Scott

แม้จะแสดงในเวที Super Bowl แบบฟรีๆ แต่ทัวร์คอนเสิร์ต Astroworld ของเขาทำเงินได้ 53.5 ล้านเหรียญในปี 2019 ติดอันดับทัวร์คอนเสิร์ตฮิปฮอปหมายเลข 1 ประจำปี ต่อด้วยซีรี่ส์คอนเสิร์ต Fortnite ในช่วงโรคระบาด ซึ่งก็ฟรีอีก แต่ดึงดูดผู้ชมได้กว่า 27 ล้านคน สูงกว่าผู้ชม Astroworld มากๆ ทำให้ผลิตภัณฑ์ Cactus Jack ซึ่งมีทั้งรองเท้าผ้าใบ หุ่นแอ็กชั่น ฯลฯ ขายดีตามไปด้วย


<img class="alignnone size-full wp-image-35870" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/10/17-003.jpg" alt="" width="350" height="233" />
Naomi Osaka

สาวลูกผสมญี่ปุ่น-เฮติ (และแบ็กแฮนด์พิฆาต) วัย 22 ปี คือความฝันของนักการตลาด ไม่ว่าจะเป็น Nike, Nissan และอื่นๆ อีกมากที่เซ็นสัญญา เป็นผู้สนับสนุนให้เธอก่อนที่จะมีการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ Tokyo เธอคว้าแชมป์เทนนิสระดับแกรนด์สแลม 2 รายการติดต่อกัน ต่อด้วยรางวัลอีกมากมายในต่างประเทศ ทำให้ Osaka ขึ้นมาติดอันดับนักกีฬาหญิงที่ทำเงินสูงสุดได้เป็นครั้งแรก

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/world/america/10-%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94-%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87-%E0%B8%81%E0%B8%B9.html">10 สุดยอด “บริษัทนายจ้าง” กู้วิกฤตจากโควิด-19</a>

<hr />

ไม่พลาดบทความด้านกลยุทธ์องค์กรและธุรกิจ ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>
และ <a href="https://twitter.com/Forbes_TH">ทวิตเตอร์ Forbes Thailand</a>

&nbsp;

การจัดอันดับ 100 คนดังทำเงินสูงสุดของโลก ประจำปี 2020

<h2>สหพัฒน์ ตั้งธงบุกตลาดปี 2561 ด้วย 3 กลยุทธ์สำคัญ จับมือกับคู่ค้าเปิดตัวสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง เสริมความสัมพันธ์กับ Strategic Partners โดยตั้งเป้าหมายการขายร่วมกัน พร้อมบุกช่องทางจำหน่ายออนไลน์ ตั้งเป้าคว้ายอดขาย 34,240 ล้าน กำไร 2,000 ล้าน ในปี 2561</h2>
<div>

บุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สหพัฒน์คาดการณ์ว่าทิศทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2561 จะมีแนวโน้มดีขึ้น อีกทั้งนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลจะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายของประชาชน อาทิ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมทั้งช่องทางการซื้อสินค้าออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น ทำให้สหพัฒน์ตั้งเป้าหมายว่าปีนี้จะเติบโตจากปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะมียอดขาย 34,240 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% และมีกำไรอยู่ที่ 2,000 ล้านบาท

สำหรับกลยุทธ์การตลาดที่สหพัฒน์ให้ความสำคัญในปีนี้ คือ การจับมือกับคู่ค้า (Principal) ใหม่ในด้านการจำหน่ายสินค้า อาทิ วินามิลค์ (VINAMILK) แบรนด์โยเกิร์ตอันดับ 1 จากเวียดนาม ได้มอบหมายให้สหพัฒน์เป็นผู้จัดจำหน่ายรายเดียวในประเทศไทยในทุกช่องทางตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2561 พร้อมทั้งวางแผนที่จะขยายกำลังการผลิตโยเกิร์ต นมเปรี้ยว และนมข้นหวานในประเทศไทยในอนาคต และ ดอร์โก้ (DORCO) แบรนด์มีดโกนยักษ์ใหญ่จากเกาหลีที่มีการเติบโตในตลาดต่างประเทศและส่งออกไปมากกว่า 150 ประเทศทั่วโลก

และมีสินค้าใหม่จากคู่ค้า (Principal) เดิม อาทิ ริชเชส ผลิตภัณฑ์ประเภทนมเปรี้ยว โยเกิร์ต เยลลี่ ซึ่งปรับโฉมบรรจุภัณฑ์ใหม่ และคาดว่าจะออกวางตลาดในช่วงเดือนเมษายนปีนี้ ซื่อสัตย์ สึนามิ มิลค์ ซีฟู้ด บะหมี่แนวใหม่จากตระกูลซื่อสัตย์ ซิกเนเจอร์ที่มีจุดเด่นอยู่ที่น้ำซุปนม และน้ำมันเจียวที่ปลอดไขมันทรานส์ผลิตภัณฑ์หมวด Oral Care จาก ไลอ้อน ได้แก่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก ภายใต้แบรนด์ KODOMO, SYSTEMA, SALZ, GOOD AGE, ZACT, WISE ผ้าอนามัย เอลิส และทิชชู่เปียก เอลิแอล แบรนด์ใหม่ล่าสุดจากญี่ปุ่น ที่มุ่งเน้นคุณภาพและมาตรฐานการผลิตด้วยเทคโนโลยีระดับสูง และ มาม่าโอเค บะหมี่แห้งสไตล์เกาหลี โดยมีจุดเด่นที่รสชาติเผ็ดร้อน เส้นบะหมี่หนานุ่มแบบบะหมี่เกาหลีที่ได้รับความนิยมในกลุ่มวัยรุ่น

อีก 2 กลยุทธ์ที่สำคัญ คือ การเสริมความสัมพันธ์กับ Strategic Partners อย่างเข้มแข็งผ่านโครงการคู่ค้าพันธมิตร โดยมีการตั้งเป้าหมายการขายรายเดือนร่วมกับร้านค้าอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ และ การเน้นการจำหน่ายสินค้าออนไลน์ โดยให้ความสำคัญกับช่องทาง B2B และ B2C ของบริษัทมากขึ้น และให้ความสำคัญกับการจำหน่ายสินค้าของบริษัทผ่านช่องทางออนไลน์ของคู่ค้า

บุญชัยยังกล่าวถึงผลการดำเนินงานของสหพัฒน์ในปี 2560 ว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยมียอดขายอยู่ที่ 31,360 ล้านบาท เติบโตขึ้น 4% มีกำไร 1,444 ล้านบาท ซึ่งความสำเร็จที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการที่สหพัฒน์มีการบริหารระบบขนส่งสินค้าและคลังสินค้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่าย

ขณะเดียวกัน สินค้าหลายแบรนด์มีอัตราการเติบโตที่ดี อาทิ น้ำแร่มองต์เฟลอ น้ำตาลมิตรผล และผงซักฟอกเปา นอกจากนี้ ยังมี การเปิดตัวสินค้าใหม่ ออกสู่ตลาด ได้แก่ กะทิพร้าวหอม, Project Beyond ซึ่งเป็นร้าน Multi-brand ที่ได้แบรนด์ชั้นนำจากอเมริกาอย่าง Under Armour มาเป็นไฮไลต์ ร่วมด้วยแบรนด์ดังอื่นๆ ได้แก่ Converse, Mizuno และ Crocs ซึ่งล้วนได้รับการตอบรับที่ดีมากจากผู้บริโภค เป็นต้น

&nbsp;

</div>

สหพัฒน์ตั้งเป้ารายได้ปี’61 โต 9% จับมือจัดจำหน่ายแบรนด์โยเกิร์ต 'วินามิลค์' ยักษ์ใหญ่ จากเวียดนาม

ปี 2560 เป็นปีที่สาวกศิลปินฝั่งตะวันตกในประเทศไทยต้องกระเป๋าฉีก หลังจากทั้งศิลปินเดี่ยวและกลุ่มระดับโลกตบเท้าเข้ามาเปิดคอนเสิร์ตในกรุงเทพฯแบบอุ่นหนาฝาคั่ง ไล่เรียงมีศิลปินตะวันตก 8 รายแล้วที่ประกาศเปิดคอนเสิร์ตที่ประเทศไทยในปีนี้ ได้แก่ Britney Spears, Ariana Grande, Foo Fighters, The Chainsmokers, One Republic, Ed Sheeran, Shawn Mendes และ Harry Styles จากวง One Direction ซึ่งรายหลังสุดถึงกับเปิดขายบัตรข้ามปี ขายปีนี้ แต่มาจัดการแสดงปีหน้า ให้เหล่าแฟนๆ ถือบัตรรอกันไปก่อน

ชื่อเสียงระดับโลกทำให้พวกเขาหรือเธอทำรายได้ได้มหาศาล โดยมี 4 รายที่เข้าทำเนียบการจัดอันดับรายได้โดย Forbes และอีก 4 รายที่เป็นศิลปินน่าจับตามอง ดังนี้

(เรียงตามมูลค่ารายได้)

&nbsp;

1.Foo Fighters

<img style="width: 680px; height: 449px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/9e3d5358f7c4c5bf86f8edee371aa1d1.png" alt="" />

รายได้: 48.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (อันดับที่ 45 จาก 100 อันดับคนดังทำรายได้สูงสุดประจำปี 2016)
ค่าบัตรคอนเสิร์ตในไทย: 2,500-6,500 บาท
วันที่จัดการแสดง: 24 สิงหาคม 2560

วงร็อคในตำนานจากรัฐ Seattle สหรัฐอเมริกา ที่โลดแล่นในวงการมาถึง 2 ทศวรรษ ในปีที่ Foo Fighters ทำรายได้ติดอันดับโลกนั้น พวกเขาเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลก Sonic Highways World Tour ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2557 ถึงพฤศจิกายน 2558 คอนเสิร์ตครั้งนั้น Dave Grohl นักร้องนำได้รับบาดเจ็บขาหักระหว่างการแสดงจนเกือบต้องยกเลิกทัวร์ทั้งหมด แต่เขาก็ยังขึ้นแสดงโดยนั่งบนเก้าอี้ อย่างไรก็ตาม ทัวร์คอนเสิร์ตที่เหลือถูกยกเลิก เนื่องจาก Paris เมืองถัดไปที่วงกำลังจะจัดแสดงเกิดระเบิดโดยผู้ก่อการร้ายขึ้น

สำหรับปี 2560 วง Foo Fighters กลับมาทัวร์คอนเสิร์ตอีกครั้ง และจะจัดการแสดงในไทยเป็นครั้งแรกในรอบ 21 ปี หลังจากแฟนๆ รอคอยกันมาเนิ่นนาน

&nbsp;

2.The Chainsmokers

<figure><img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/04cf32f70bbc287097f30f9ef39c5a79.png" alt="" width="680" height="453" /><figcaption> (Photo Credit: Tyler Martin / Forbes)</figcaption></figure>

รายได้: 38 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (อันดับที่ 65 จาก 100 อันดับคนดังทำรายได้สูงสุดประจำปี 2017)
ค่าบัตรคอนเสิร์ตในไทย: เริ่มต้น 2,000 บาท
วันที่จัดการแสดง: 15 กันยายน 2560

ลิสต์ 100 อันดับคนดังทำรายได้สูงสุดของ Forbes ต้อนรับ The Chainsmokers เข้าสู่ลิสต์เป็นครั้งแรกในปีนี้ โดยคู่หู EDM Andrew Taggart และ Alex Pall อยู่ในอันดับที่ 65 พวกเขาพุ่งขึ้นสู่ลิสต์อย่างรวดเร็วหลังจากเปิดตัววงครั้งแรกเมื่อ 5 ปีก่อน โดยมีเพลง Closer และ Paris ที่ฮิตติดอันดับเพลงดังในหลายประเทศทั่วโลก

&nbsp;

3.Ed Sheeran

<figure><img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/a53826f8e6a1398af3d602c43315d298.png" alt="" width="680" height="382" /><figcaption> (Photo Credit: Ben Watts / Forbes)</figcaption></figure>

รายได้: 37 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (อันดับที่ 71 จาก 100 อันดับคนดังทำรายได้สูงสุดประจำปี 2017)
ค่าบัตรคอนเสิร์ตในไทย: 1,800-5,500 บาท
วันที่จัดการแสดง: 16 พฤศจิกายน 2560

Ed Sheeran นักร้อง-นักแต่งเพลงชื่อดังจากเกาะอังกฤษ ปี 2560 กลายเป็นปีทองของเขาหลังจากออกอัลบัม ÷ และปล่อยซิงเกิ้ล 2 เพลง คือ Shape Of You และ Castle On The Hill ที่ทำสถิติมีผู้ใช้งานเข้ามาสตรีมมิ่งฟัง 2 เพลงนี้บนแพลตฟอร์มฟังเพลงออนไลน์ Spotify รวมกัน 13 ล้านครั้งภายใน 24 ชั่วโมง

น่าจับตามองว่าปีหน้า Ed Sheeran จะทำรายได้ได้เท่าไหร่ หลังจากเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตระดับโลก รวมถึงในเอเชียและประเทศไทยด้วย

&nbsp;

4.Britney Spears

<figure><img style="width: 680px; height: 380px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/8d5950a89c077dbf04509b5f1d25b641.png" alt="" width="680" height="380" /><figcaption> (Photo Credit: theeckleblog.com)</figcaption></figure>

รายได้: 34 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (อันดับที่ 89 จาก 100 อันดับคนดังทำรายได้สูงสุดประจำปี 2017)
ค่าบัตรคอนเสิร์ตในไทย: 3,500-12,000 บาท
วันที่จัดการแสดง: 23-24 มิถุนายน 2560

เจ้าหญิงวงการเพลง Pop ที่คงไม่ต้องการคำอธิบายความโด่งดังให้มากมาย ปีนี้ครบรอบ 1 ทศวรรษนับจากห้วงเวลาแสนเลวร้ายของ Britney และดูเหมือนเธอจะกลับมาสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำอีกครั้ง เมื่อปี 2016 Britney ติดลิสต์อันดับคนดังทำรายได้สูงสุดในอันดับที่ 99 ขณะที่ปีนี้ เธอขยับอันดับขึ้นมาเป็นอันดับที่ 89 และกำลังทัวร์คอนเสิร์ตเป็นครั้งที่ 9 นับตั้งแต่เปิดตัวด้วยเพลงฮิตในตำนาน Baby, One More Time

สำหรับประเทศไทย บัตรคอนเสิร์ตรอบแรกในวันที่ 24 มิถุนายน ขายเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว ทำให้มีการประกาศเพิ่มรอบวันที่ 23 มิถุนายน ซึ่งยังพอมีที่นั่งเหลือให้จับจองอยู่บ้าง

&nbsp;

สำหรับอีก 4 ศิลปินที่จะมาเปิดคอนเสิร์ตในไทย Forbes Thailand มีเกร็ดที่น่าสนใจมาฝาก
<ul>
 	<li>Harry Styles สมาชิกหนุ่มจากวง One Direction
<img style="width: 680px; height: 382px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/d596ff5f69f5c17d5b826fafcedba24e.png" alt="" />
ที่จริงแล้ววง One Direction ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกเหลือ 4 คน สร้างสถิติรายได้ถล่มทลายในลิสต์ 100 อันดับคนดังทำรายได้สูงสุดประจำปี 2016 โดยเป็นอันดับที่ 2 ทำรายได้ 110 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นรองแค่เพียง Taylor Swift แต่ทั้งนี้ Harry Styles เพิ่งออกอัลบัมเดี่ยวของตนเองเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และกำลังจะเริ่มทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลกในเดือนกันยายน 2560 ดังนั้น รายได้เฉพาะบุคคลของเขาจะพุ่งขึ้นสู่ 100 อันดับแรกได้หรือไม่ต้องรอติดตามปีหน้า</li>
 	<li>Ariana Grande
<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/2e3f765a69eb8fba9236b844afd9ce8f.png" alt="" />
diva คนใหม่ของวงการเพลง pop เธอเพิ่งประสบเหตุการณ์สะเทือนขวัญระหว่างทัวร์คอนเสิร์ตในเมือง Manchester คอนเสิร์ตของ Ariana ถูกวางระเบิดโดยผู้ก่อการร้าย ซึ่งทำให้เธอตัดสินใจเปิดคอนเสิร์ตรอบการกุศล One Love Concert ระดมทุนให้กับผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บโดยได้รับเงินบริจาค 13 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในที่สุด Ariana ตัดสินใจเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลก Dangerous Woman Tour ต่อไป และเป็นที่จับตามองว่าเธออาจจะทำรายได้เป็นอันดับต้นๆ ในหมู่ศิลปินเพลง pop หญิงประจำปี 2018</li>
 	<li>Shawn Mendes
<img style="width: 340px; height: 340px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/ec2c82af09db6f482a5ce1afa947a49f.png" alt="" />
นักร้องนักแต่งเพลงวัยรุ่นจากแคนาดาซึ่งโด่งดังจากแอพพลิเคชัน Vine ตั้งแต่อายุเพียง 14 ปี และได้ขึ้นเวทีคอนเสิร์ตเดียวกับ Taylor Swift เมื่ออายุ 17 ปี ส่งให้ Mendes เข้าสู่ลิสต์ 30 Under 30 (ผู้นำนวัตกรรมหนุ่มสาวอายุต่ำกว่า 30 ปี) ของ Forbes เมื่อปี 2016 ภายใต้หมวดดนตรี ปีนี้จะเป็นครั้งที่ 2 ที่เขาเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกและเป็นครั้งแรกในไทย</li>
 	<li>OneRepublic
<img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/eb9f97fe2fe2f63b06a62596ad57e056.png" alt="" />
แม้จะยังไม่ติดอันดับด้านรายได้ แต่ OneRepublic ถือเป็นวงร็อคที่คนไทยหลายคนรอคอย ซึ่งปีนี้เป็นครั้งแรกที่พวกเขาจัดคอนเสิร์ตในไทย มีเพลงดังที่เป็นที่รู้จัก เช่น Apologize, Counting Stars ในขณะที่ Ryan Tedder นักร้องนำของวงคือโปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงเบื้องหลังศิลปินระดับโลกอีกหลายราย อาทิ Beyonce, Leona Lewis, Kelly Clarkson, Maroon5, Jennifer Lopez ฯลฯ</li>
</ul>

เปิดความมั่งคั่ง 8 ศิลปินตะวันตกบุกเปิดคอนเสิร์ตในไทยปี 2560

การสร้างชื่อเสียงโด่งดังคับฟ้าผ่านผลงานบันเทิงมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกีฬากอล์ฟ การร้องเพลงแร็พหรือแม้กระทั่งด้วยกลการ์ดมหัศจรรย์ และไม่มีใครจะสร้างผลงานบันเทิงได้ประสบความสำเร็จยิ่งไปกว่า 20 คนดังจากหลากหลายวงการในการจัดอันดับของเราซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการรวบรวมรายชื่อคนดังที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศเข้าไว้ด้วยกัน โดยเรามีเกณฑ์คุณสมบัติเพียงข้อเดียวเท่านั้น คือ บุคคลนั้นจะต้องร่ำรวยจากชื่อเสียง พบรายชื่อ 10 อันดับแรกจากการจัดอันดับ  "ท็อป 20 คนดังมหาเศรษฐีสหรัฐฯ"

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/bc350279d76fd1ee4a245602ba98dc8b.png" alt="" />
อันดับที่ 1: George Lucas

มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 4.6 พันล้านเหรียญ
แหล่งรายได้สำคัญ: ขาย Lucasfilm ไปให้กับ Disney ในราคา 4.1 พันล้านเหรียญในปี 2012
โอกาสเติบโตในอนาคต: ผู้สร้าง Star Wars วางมือจากงานผลิตภาพยนตร์แล้วและมีบทบาทในภาพยนตร์เรื่องนี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นนอกจากนี้ มูลค่าทรัพย์สินยังมีแนวโน้มลดลงจากการบริจาคเพื่อการกุศล
ทรัพย์สินระดับซูเปอร์สตาร์: รายงานระบุว่าเขามี Skywalker Ranch ขนาด 6 พันเอเคอร์อยู่ที่ Marin Country รัฐ California
<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/58597a60a4a4953e48315f1fe518c333.png" alt="" />
อันดับที่ 2: Steven Spielberg

มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 3.7 พันล้านเหรียญ
แหล่งรายได้สำคัญ: Dreamworks
โอกาสเติบโตในอนาคต: ลงทุน 325 ล้านเหรียญเพื่อเปิดตัวธุรกิจผลิตคอนเทนต์ขึ้นมาอีกครั้งในชื่อ Amblin Partners นอกจากนี้ยังเซ็นสัญญากับ Alibaba Pictures ของ Jack Ma เพื่อผลิตภาพยนตร์ร่วมกัน
ทรัพย์สินระดับซูเปอร์สตาร์: ส่วนแบ่งรายได้จากสวนสนุก Universal มาตั้งแต่ปี 1987

&nbsp;

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/b3d679c5ee7d67bc3b7cd5899bfc154a.png" alt="" />
อันดับที่ 3: Oprah Winfrey

มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 2.8 พันล้านเหรียญ
แหล่งรายได้สำคัญ: Harpo Productions
โอกาสเติบโตในอนาคต: ในที่สุด คะแนนความนิยมของสถานี OWN ของอดีตเจ้าแม่ทอล์คโชว์ก็ขยับตัวเพิ่มขึ้นเสียทีในปีนี้ แต่หุ้นของ Weight Watchers ซึ่งเธอถืออยู่ 10% นั้นยังวิกฤตหนัก
ทรัพย์สินระดับซูเปอร์สตาร์: อสังหาริมทรัพย์กว่า 565 เอเคอร์ในเทือกเขา Maui

&nbsp;

<img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/d80b79e72c2e5a2c24c51a148a6f2a0f.png" alt="" />
อันดับที่ 4: Michael Jordan

มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 1.2 พันล้านเหรียญ
แหล่งรายได้สำคัญ: แบรนด์ Jordan
โอกาสเติบโตในอนาคต: Nike ประเมินว่า รายได้ประจำปีของแบรนด์จะทะยาน 61% แตะ 4.5 พันล้านเหรียญไม่เกินปี 2020
ทรัพย์สินระดับซูเปอร์สตาร์: ทีม Charlotte Hornets ในศึกบาสเก็ตบอล NBA

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/3bf1bf84e1afd5ad76dac94f93f7adc9.png" alt="" />
อันดับที่ 5: David Copperfield

มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 850 ล้านเหรียญ
แหล่งรายได้สำคัญ: หลังจากที่โกยรายได้จากการแสดงมายากลมายาวนานหลายทศวรรษ เขาก็นำเงินมาลงทุนในพิพิธภัณฑ์มายากลซึ่งเป็นคอลเล็คชั่นอุปกรณ์มายากลขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
โอกาสเติบโตในอนาคต: งานแสดงที่ Las Vegas ยังคงทำเงินได้มหาศาล โดยปี 2016 ที่ผ่านมานับเป็นปีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาเลยทีเดียว
ทรัพย์สินระดับซูเปอร์สตาร์: หมู่เกาะส่วนตัวที่ The Bahamas ประกอบ ไปด้วยเกาะ 11 แห่ง

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/115b1c0b97c96891be02268ce1244551.png" alt="" />
อันดับที่ 6: Diddy

มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 750 ล้านเหรียญ
แหล่งรายได้สำคัญ: ต่อยอดชื่อเสียงในวงการเพลงฮิปฮอปช่วงยุค 1990 สู่การสร้างอาณาจักรที่ครอบคลุมหลายธุรกิจ เช่น จับมือเป็นพันธมิตรกับวอดก้า Ciroc ของ Diageo
โอกาสเติบโตในอนาคต: ตลาดวอดก้าเริ่มทรงตัวไปมากแล้ว แต่เตกีล่าDeleon ซึ่ง Diddy เป็นเจ้าของร่วมกับ Diageoน่าจะชดเชยกันได้
ทรัพย์สินระดับซูเปอร์สตาร์: ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Revolt TV
<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/c507356bafa372fa8f82052f9e6a00c9.png" alt="" />
อันดับที่ 7: Tiger Woods

มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 740 ล้านเหรียญ
แหล่งรายได้สำคัญ: กอล์ฟและสัญญาผู้สนับสนุน
โอกาสเติบโตในอนาคต: ดูท่าจะหมดหวังซ้ำรอยปีที่ทำรายได้สูงสุด (115ล้านเหรียญเมื่อปี 2008) เสียแล้ว แต่ก็ยังทำเงินได้มหาศาลอยู่ดี
ทรัพย์สินระดับซูเปอร์สตาร์: บ้านราคา 60 ล้านเหรียญที่ Jupiter Island รัฐ Florida
<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/3e4467de39f9fa9158e4967b858f749d.png" alt="" />
อันดับที่ 8: Dr. Dre

มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 710 ล้านเหรียญ
แหล่งรายได้สำคัญ: Apple ซื้อกิจการ Beats ในราคา 3 พันล้านเหรียญเมื่อปี 2014
โอกาสเติบโตในอนาคต: ส่วนที่เหลือจากการชำระค่าซื้อกิจการ Beats จ่ายเป็นหุ้นของ Apple ซึ่งน่าจะการันตีกำไรอีกมหาศาล
ทรัพย์สินระดับซูเปอร์สตาร์: ผลงานดนตรีฮิปฮอปสุดฮิต เช่น เพลง “Nuthin’ But a ‘G’ Thang”
<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/2267f927fb209a048dc84cf73adc872e.png" alt="" />
อันดับที่ 9: James Patterson

มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 700 ล้านเหรียญ
แหล่งรายได้สำคัญ: หนังสือ
โอกาสเติบโตในอนาคต: ผลงานอันเฟื่องฟูช่วยให้เขาทำรายได้สูงสุดในชีวิตนักเขียนที่ 95 ล้านเหรียญเมื่อปี 2016 เสียงเรียกร้องจากนักอ่านยังไม่มีทีท่าว่าจะแผ่วลงเลย
ทรัพย์สินระดับซูเปอร์สตาร์: บ้านราคา 23 ล้านเหรียญใน Palm Beach รัฐ Florida
<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/5da463da9023730849dfd8a758961ab9.png" alt="" />
อันดับที่ 10: Jerry Seinfeld

มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 670 ล้านเหรียญ
แหล่งรายได้สำคัญ: รายได้รวมจากละครซิทคอมที่มีชื่อเดียวกันกับเขา บวกกับรายได้จากการตระเวนทัวร์ทอล์คโชว์
โอกาสเติบโตในอนาคต: ทัวร์ทอล์คโชว์ยังคงทำเงินได้ดี แม้จำนวนผู้ชม Seinfeld ที่เหลืออยู่จะเริ่มลดลงไปทุกที
ทรัพย์สินระดับซูเปอร์สตาร์: รถยนต์สะสมจำนวนมาก

<hr />

<a href="http://goo.gl/kkiaJt">คลิกอ่านฉบับเต็ม "ท็อป 20 คนดังมหาเศรษฐีสหรัฐฯ" ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ เมษายน 2560 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="https://goo.gl/kkiaJt"><img style="width: 300px; height: 392px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/8b0b2b9aeabc084e54cf4ef4888dc65e.png" alt="" /></a>

10 อันดับ มหาเศรษฐีคนดังแห่งสหรัฐฯ

คลื่นวัฒนธรรมเกาหลีใต้ในคอนเซ็ปต์ “Creative Korea”

<h2>บริษัทที่ปรึกษาและวิจัยข้อมูลธุรกิจฯ สำรวจพบระดับเงินเดือนทั่วทั้งเอเชียแปซิฟิกในปี 2014 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6.9% โดยจีนมีอัตราเฉลี่ยรายได้สูงสุด ขณะที่ญี่ปุ่นอาจจะไม่เพิ่ม หลังเจอเงินเฟ้อเล่นงาน ส่วนไทยอยู่ที่ 5.4% แต่มีแนวโน้มลดลงจากปัญหาการเมือง</h2>
บริษัทที่ปรึกษาและวิจัยข้อมูลธุรกิจระดับโลก <a href="http://www.towerswatson.com/en-TH">Towers Watson</a> คาดว่าระดับเงินเดือนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกประจำปี 2014 จะเพิ่มสูงขึ้นในอัตราที่ใกล้เคียงกับปี 2013และลดลงจากการคาดการณ์ครั้งก่อนในเดือนกันยายน ปี 2013 ซึ่งคาดการณ์ไว้ที่อัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.1

จากรายงานการสำรวจแผนงบประมาณสำหรับระดับเงินเดือนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกประจำปี 2013 – 2014 โดย ทาวเวอร์ส วัทสัน  หรือ Towers Watson’s 2013-2014 Asia-Pacific Salary Budget Planning Report ซึ่งเก็บข้อมูลจากจำนวนประชากร  2,000 ตัวอย่าง ใน 18 ประเทศทั่วเอเชียแปซิฟิก จากบริษัท 400 แห่งที่มาจากกลุ่มธุรกิจที่แตกต่างกัน บางบริษัทส่งผลสำรวจจากหลายประเทศที่ตนตั้งสาขา ผลสรุปการวิจัยฉบับนี้สวนทางกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจของภูมิภาค ซึ่งมีอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2013 อยู่ที่ 4.1% ทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น และอัตราการว่างงานลดน้อยลง

ก่อนหน้านี้ได้คาดการณ์ว่าระดับเงินเดือนในประเทศจีนและกัมพูชาจะเพิ่มขึ้น 8% แต่หลังจากผนวกการประเมินอัตราเงินเฟ้อ ทำให้ต้องปรับระดับเงินเดือนของทั้งสองประเทศไว้ที่ร้อยละ 5.2 และร้อยละ 4.1 ตามลำดับ

สำหรับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม คาดว่าอัตราเงินเดือนจะเพิ่มขึ้น 11.5% และอินโดนีเซีย 9.6% ในขณะที่ฮ่องกงและสิงคโปร์อาจเพิ่มขึ้นเพียง 4.5% และ 4.3% ตามลำดับ ด้านปากีสถานและอินเดียพบแนวโน้มที่อัตราเงินเดือนจะปรับเพิ่มสูงขึ้นมากที่สุด คิดเป็น 13% และ 10% ตามลำดับ สำหรับนิวซีแลนด์คาดว่ามีอัตราปรับเพิ่มอยู่ที่ 3% และญี่ปุ่น 2% เป็นสองประเทศซึ่งถูกคาดการณ์ว่าจะมีอัตราการเพิ่มขึ้นของเงินเดือนในระดับต่ำสุด

คุณพิชญ์พจี สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทาวเวอร์ส วัทสัน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า สำหรับประเทศไทยน่าจะมีอัตราการเพิ่มขึ้นของเงินเดือนประจำปี 2014 อยู่ที่ 5.4%  โดยมีแนวโน้มว่าอาจจะปรับลดลง หากยังคงเผชิญกับปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองตลอดทั้งปี

“องค์กรต่างๆ จะต้องมีการจัดสรรงบประมาณที่มีอย่างจำกัดให้แก่พนักงานที่มีศักยภาพในการทำงานสูง หรือที่เรียกว่า High Performers เพื่อจะได้มั่นใจได้ว่าเม็ดเงินที่ลงทุนไปนั้นเป็นไปเพื่อรักษาบุคคลที่มีความสามารถไว้กับองค์กร จากผลการสำรวจองค์กรในประเทศไทย 9% ได้จัดสรรงบประมาณทั้งหมดให้แก่ High Performers ภายในองค์กร ซึ่งนับเป็นจำนวนที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" คุณพิชญ์พจีกล่าว

กรรมการผู้จัดการทาวเวอร์สวัทสัน ประจำประเทศไทย ย้ำว่า จากเหตุวิกฤตการณ์ที่ยืดเยื้อ ส่งผลให้องค์กรต่างๆ ระมัดระวังในการจ้างพนักงานมากยิ่งขึ้น  ซึ่งตอนนี้เราเห็นความต้องการจ้างงานที่ลดลงในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกแล้ว อาทิ กลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ รวมถึงกลุ่มธุรกิจค้าปลีกต่างๆ

ด้าน มร.แซมบาฟ ลัคคยาน ผู้อำนวยการฝ่ายให้บริการข้อมูลของ Towers Watson ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า เราได้ทำการปรับข้อมูลคาดการณ์ระดับเงินเดือนให้ลดลงเล็กน้อยจากการประเมินเมื่อเดือนตุลาคม 2013 ที่ผ่านมา เนื่องจากตอนนี้บริษัทต่างๆมีตัวเลขงบประมาณของปี 2014 ที่ชัดเจนมากขึ้น และอัตราเงินเฟ้อในปี 2014 นี้ มีแนวโน้มว่าจะต่ำกว่าที่คาดกันไว้

ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อในปี 2014 ถูกคาดการณ์ไว้ที่ 4.1%  ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากปี 2013 เพียงแต่ลดลงจากที่เคยคาดไว้ก่อนหน้านี้ที่ 4.2%

จากข้อมูลการสำรวจพบว่า การสรรหาและการเก็บรักษาบุคลากรที่มีทักษะและมีความเหมาะสมกับองค์กรนั้น ยังคงเป็นเรื่องที่ท้าทายขององค์กรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นอย่างยิ่ง

“การเพิ่มขึ้นของเงินเดือนในกลุ่มพนักงานภาคการผลิต หรือกลุ่มแรงงานที่ถูกคาดการณ์ไว้ในประเทศจีน ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ และไทย แสดงให้เห็นความกดดันที่เพิ่มขึ้นในการสรรหาพนักงาน ให้ตรงตามความต้องการ เรามักพบข้อมูลจากองค์กรขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตว่า การสรรหาและการเก็บรักษาบุคลากรเป็นปัญหาสำคัญ ที่องค์กรในภาคธุรกิจนี้ประสบมาอย่างต่อเนื่อง” มร.แซมบาฟกล่าวเพิ่มเติม

นอกจากนี้ในตลาดของกลุ่มประเทศอื่นๆ อาทิเช่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม  มีแนวโน้มของอัตราการเพิ่มเงินเดือนที่สูงกว่า สำหรับกลุ่มบุคลากรระดับกลาง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะในตลาดเหล่านั้น

Towers Watson (NYSE, NASDAQ: TW) เป็นบริษัทที่ปรึกษาทางธุรกิจชั้นนำระดับโลกที่ช่วยให้องค์กรต่างๆ ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานผ่านการจัดการบุคลากร การบริหารความเสี่ยง และการจัดการทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events