<h2>มาดูกันว่า Bruce Springsteen เปลี่ยนดนตรีเพื่อผู้ใช้แรงงานให้กลายเป็นทรัพย์สินมูลค่า 10 หลักได้อย่างไร </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในวงการดนตรีร็อกแอนด์โรลก็เฉกเช่นเดียวกับในโลกธุรกิจ การเป็นผู้ควบคุมนั้นดีที่สุดตลอดระยะเวลา 5 ทศวรรษ Bruce Springsteen สุดยอดนักกีตาร์ต้นแบบจาก New Jersey ได้เก็บเล็กผสมน้อยจนมีทรัพย์สินจำนวนมากมาย ซึ่ง Forbes ประมาณการอย่างต่ำๆ ว่า น่าจะมีมูลค่า 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งได้มาจากการขับขานบทเพลงเกี่ยวกับบรรพบุรุษซึ่งเป็นชนชั้นแรงงานจนถึงตอนนี้ในวัย 74 ปี เขายังคงเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตและทำการแสดงดนตรี 3 ชั่วโมง Bruce ออกโรงและบรรเลงทุกโน้ตด้วยตัวเองดังเช่นคนงานผู้มากฝีมือมาโดยตลอด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากอัลบั้มเต็มหรือ LP แรกที่ทำกับค่ายเพลงดังซึ่งมีชื่อว่า Greetings from Asbury Park, N.J. (1973) บทเพลงของ Springsteen ได้บอกเล่าเรื่องราวของชนชั้นกรรมกรที่ตามหาความรักและหนทางหลีกหนีจากงานที่ “หนักหนาจนหลังแทบหัก” เขาน่าจะรู้ดี เพราะถือกำเนิดในเมือง Jersey Shore เป็นลูกของพ่อแม่ที่เป็นผู้ใช้แรงงาน รวมถึงอาศัยอยู่กับปู่ย่าในบ้านที่ครั้งหนึ่งตัวเขาเคยกล่าวถึงว่า “โทรมสุดๆ”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังจากที่ช่วยให้คลับ Stone Pony ใน Asbury Park เป็นที่รู้จักในช่วงทศวรรษ 1970 แล้ว Springsteen ยังเป็นศิลปินผู้มีเพลงฮิตติดชาร์ตมากมายจากอัลบั้มที่บันทึกเสียงในสตูดิโอ 21 อัลบั้ม อัลบั้มการแสดงสด 7 อัลบั้ม และอัลบั้มแบบสั้นหรือ EP อีก 5 อัลบั้ม โดยมียอดจำหน่ายแผ่นเสียงมากถึง 140 ล้านแผ่นทั่วโลก นอกจากนี้ เขายังได้บอกเล่าเรื่องราวของตัวเองผ่านชีวประวัติที่ติดอันดับ 1 หนังสือขายดีของ New York Times และละครเวที Broadway 236 รอบที่จำหน่ายบัตรเข้าชมหมดเกลี้ยง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ Springsteen ยังคว้ารางวัล Grammy ถึง 20 รางวัล รางวัล Oscar 1 รางวัล รางวัล Golden Globe 2 รางวัล และรางวัล Tony Award พิเศษ 1 รางวัล รวมถึงมีชื่อติดทำเนียบหอเกียรติยศทั้ง Rock and Roll Hall of Fame และ Songwriters Hall of Fame ชายผู้ขับขานบทเพลงเกี่ยวกับการถือกำเนิดบนแผ่นดินสหรัฐฯ ผู้นี้ยังได้รับรางวัลอันทรงเกียรติสูงสุดของประเทศนั่นก็คือ รางวัล Kennedy Center Honors ในปี 2009 และรางวัล Presidential Medal Freedom ในปี 2016&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปี 2021 หลังการแสดงรอบ 2 อย่าง Springsteen on Broadway จบลงไม่นานนัก เขาได้ขายแคตาล็อกเพลงของตนเองให้กับ Sony โดยคว้าเงินก้อนโตถึง 500 ล้านเหรียญแลกกับผลงานเพลงตลอดชีวิตการเป็นศิลปินของเขา ในตอนนั้นผู้จัดการที่ร่วมงานกันมายาวนานอย่าง Jon Landau กล่าวว่า ข้อตกลงธุรกิจที่สมน้ำสมเนื้อกับ Springsteen ผู้ใช้เวลาครึ่งศตวรรษไปกับการรังสรรค์บทเพลง Landau ให้สัมภาษณ์กับ Forbes ในปี 2022 ว่า “ทุกฝ่ายต่างสมประโยชน์”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นี่ยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดของวันชื่นคืนสุข Pollstar รายงานว่า ในปี 2023 คอนเสิร์ตซึ่งจัดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลกของ Springsteen จำหน่ายบัตรได้เกิน 1.6 ล้านใบ และทำเงินได้ถึง 380 ล้านเหรียญด้วยคอนเสิร์ตที่กำหนดไว้จนถึงช่วงกลางปี 2025 ประกอบกับการที่ไม่ได้วางแผนจะแตะเบรก รัฐบุรุษอาวุโสแห่งดนตรีฮาร์ตแลนด์ร็อกผู้นี้ยังคงเป็นอย่างที่เขาเรียกตัวเองว่ามือปืนรับจ้าง เรื่อง: NEW BILLIONAIRE, โดย: LISETTE VOYTKO-BEST, เรียบเรียง: ริศา&nbsp;ภาพ: SERGIONE INFUSO/CORBIS/GETTY IMAGES ​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/america/brooke-shields-from-presenter-to-entrepreneur" alt="Brooke Shields และบทบาทใหม่ในฐานะ ‘ผู้ประกอบการ’"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/global-demand-gold-surges-to-an-all-time-high-thailand-the-highest-demand-for-gold-in-asean-for-2-consecutive-quarters" alt="ดีมานด์ 'ทองคำ' ทั่วโลกพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ไทยต้องการทองมากสุดในอาเซียนติดต่อกัน 2 ไตรมาส"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/global/taylor-swift-becomes-worlds-richest-female-musician" alt="สวยและรวยมาก! Taylor Swift ขึ้นแท่นนักดนตรีหญิงมั่งคั่งที่สุดในโลก">สวยและรวยมาก! Taylor Swift ขึ้นแท่นนักดนตรีหญิงมั่งคั่งที่สุดในโลก</a>​ <a href="https://www.mebmarket.com/?action=book_details&amp;book_id=331408" alt="คลิกอ่านเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2567 ในรูปแบบ e-magazine">คลิกอ่านเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2567 ในรูปแบบ e-magazine</a><div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/VMfnDKuMNAYcV4WQx53V.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="VMfnDKuMNAYcV4WQx53V.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-percentage="auto,auto" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="312,409" style="" data-index="0"></figure></div>

Bruce Springsteen ผู้ปลุกปั้นวง E Street สู่วงจรเศรษฐี

<h2>ท่ามกลางความผันผวนและการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ส่งผลให้หลายอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบและถดถอย แต่ยังมีอีกหนึ่งอุตสาหกรรมเป็น hidden gem ที่กำลังเติบโต นั้นก็คือ อุตสาหกรรมเพลง</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หากมองในภาพรวมของตลาดจะเห็นได้ว่า ตั้งแต่ปี 2021 มีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 18% สืบเนื่องมาจากการเติบโตของดิจิทัลสตรีมมิ่ง (Digital Streaming) จากเดิมธุรกิจเพลงพึ่งพารายได้แบบ Physical คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 80% ของตลาด ในขณะที่ Digital Music มีสัดส่วนเพียง 20%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่หลังจากการเข้าสู่ยุคดิจิทัล ส่งผลให้ธุรกิจเพลงมีรายได้จากช่องทาง Digital Music กลับขยับขึ้นมากลายเป็น 80% และเมื่อกลับมาดูการเติบโตของ Music Steaming Platform จะเห็นว่า ปี 2023 อุตสาหกรรมเพลงทั่วโลกเติบโตขึ้น 10.2% ทำให้ตลาดมีมูลค่าถึง 28.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ถือเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/gtCGRyRu6hHPxbTJ77q9.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="gtCGRyRu6hHPxbTJ77q9.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,550"><figcaption><div>ที่มา : Global Music Report 2024 จาก สมาพันธ์ผู้ผลิตสิ่งบันทึกเสียงระหว่างประเทศ หรือ IFPI</div></figcaption></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากภาพรวมสะท้อนให้เห็นว่ารายได้ในส่วนดิจิทัลสตรีมมิ่ง (Digital Streaming) เป็นรายได้ส่วนใหญ่ของตลาด มีสัดส่วนถึง 67.3% คิดเป็นรายได้ 680,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 10.4% โดยมีบัญชีผู้ใช้งานดิจิทัลสตรีมมิ่งที่ยอมจ่ายเงิน Subscript บนแพลตฟอร์ม (Paid Subscription) 667 ล้านคนทั่วโลก เติบโตขึ้น 11.2% ซึ่งคิดเป็น 48.9% ของตลาดโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และหากรวมรายได้ของฝั่งผู้ผลิตที่เป็นค่ายเพลงต่างๆ มูลค่าจะเพิ่มขึ้นสูงถึง 1.7 ล้านล้านบาท ยิ่งไปกว่านั้น ทาง Goldman Sachs ได้มีการคาดการณ์ว่า ตลาดเพลงในปี 2030 จะสามารถเติบโตขึ้นได้อีก 3 เท่า ซึ่งมีโอกาสที่ตลาดจะมีมูลค่ามากถึง 4.6 ล้านล้านบาท <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/pToFtrRHKgXVwtrmw8UD.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="pToFtrRHKgXVwtrmw8UD.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="720,534"><figcaption><div>ที่มา : การวิจัย Music in the Air จาก Goldman Sachs</div></figcaption></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ดิจิทัลสตรีมมิ่งเป็นแพลตฟอร์มที่คนทั่วโลกนิยมใช้ฟังเพลงมากที่สุด ซึ่งในปัจจุบัน Streaming Platform ต่างๆ มียอดจำนวนผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก อาทิ Spotify มีจำนวนผู้ใช้งานสูงถึง 615 ล้านบัญชี ในขณะที่ YouTube นั้นมีผู้ใช้งาน 868 ล้านบัญชี ส่วน Apple Music มีผู้ใช้งาน 93 ล้านบัญชี รวมถึงฝั่ง TME เจ้าของ Platform ชื่อดังอย่าง QQ Music และ JOOX ก็มีผู้ใช้งานกว่า 900 ล้านบัญชี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่า ยอด Subscription ของ Platform ต่างๆ นั้นจะสามารถเติบโตได้อีกถึง 3 เท่าตัว โดยเฉพาะประเทศไทยที่มียอดการเติบโตของ Subscription ของ YouTube เร็วที่สุดในภูมิภาคเอเชีย​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/aqqc4pG7vZmzeAubmQcc.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="aqqc4pG7vZmzeAubmQcc.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2" origin-size="720,558"><figcaption><div>ที่มา : Global Music Report 2024 จาก สมาพันธ์ผู้ผลิตสิ่งบันทึกเสียงระหว่างประเทศ หรือ IFPI</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากตัวเลขการเติบโตเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงโอกาสสำคัญที่ค่ายเพลงและแพลตฟอร์ม มีโอกาสที่จะเติบโตไปกับกระแสดิจิทัลสตรีมมิ่ง ถือเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าอุตสาหกรรมเพลงกำลังเข้าสู่ยุค Music Second Wave Boom เพราะว่ายอดรายได้รวมของอุตสาหกรรมเพลงทั่วโลกได้ทะลุถึงจุดสูงสุดที่เคยทำได้มาแล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และจะเห็นได้ว่าธุรกิจค่ายเพลงและธุรกิจแพลตฟอร์มนั้น เป็นส่วนประกอบสำคัญที่เป็นหัวใจหลักที่ทำให้อุตสาหกรรมเพลงทั่วโลกนั้นสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สังเกตได้จากผลประกอบการของค่ายเพลงระดับโลกที่ผ่านมา อย่าง Universal Music Group ค่ายเพลงใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา มีรายได้ 429,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อน 7% YG Entertainment ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ของเกาหลี มีรายได้ 14,700 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 45%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และ GMM Music ค่ายเพลงส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดในไทย มีรายได้ 3,913 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อน 27% จากตัวเลขดังกล่าวได้แสดงถึงธุรกิจค่ายเพลงมีการเติบโต โดยค่ายเพลงในฝั่งเอเชียมีอัตราการเติบโตขึ้นประมาณ 2-3 เท่าตัว เมื่อเทียบกับปี 2015 ที่ธุรกิจดิจิทัลสตรีมมิ่งแพลตฟอร์ม (Digital Streaming)เริ่มเข้ามามีบทบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ค่ายเพลงเติบโตในยุคดิจิทัลมิวสิค (Digital Music) คือ ทรัพย์สินทางดนตรี (Music IP : Music Intellectual Property) คือ สิทธิ์ หรือ ลิขสิทธิ์ในคอนเทนต์เพลง โดยบริษัทที่จะมี Music IP คือ บริษัทที่โฟกัสในธุรกิจเพลงและมี Music IP จำนวนมาก หรือที่เรียกว่า Music Pure Play Business ซึ่ง Music IP เหล่านี้จะเกิดขึ้นจากการมีศิลปินและก็มีค่ายเพลงต่างๆ ในมือ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ยกตัวอย่าง GMM Music ในฐานะบริษัทฯ ที่มีความแข็งแรงด้านคลังทรัพย์สินทางดนตรีของไทยที่ได้สั่งสมและมีการพัฒนาต่อยอดมาอย่างยาวนานกว่า 40 ปี ผนวกกับการมี Music Infrastructure ครบวงจรที่สุดในไทย ซึ่งการวางจุดยืนของ GMM Music นั้น ไม่ใช่เพียงแค่การดูแลค่ายย่อย ผลิตเพลงป้อนงานให้กับศิลปิน แต่ยังนำเนื้อหาต่างๆ ที่ได้จากตัวศิลปินหรือทรัพย์สินทางดนตรี (Music IP : Music Intellectual Property) ต่างๆ มาบริหารจัดการหารายได้ผ่าน Video และ Audio Music Streaming&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งนี่เป็นจุดแข็งเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญที่ทำให้ค่ายเพลงมีรายได้เข้ามาแบบต่อเนื่อง (Recurring Income) และเป็นรายได้ที่สามารถเกิดขึ้นต่อเนื่องได้ยาวนานเป็นหลายสิบปีจากทรัพย์สินทางดนตรี (Music IP : Music Intellectual Property) โดยไม่ต้องลงทุนผลิตคอนเทนต์ใหม่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับข้อมูลการเติบโตของอุตสาหกรรมเพลงดังกล่าว ทำให้บริษัท เทนเซ็นต์ โฮลดิ้ง ลิมิเตท ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มจากประเทศจีน มีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 15 ล้านล้านบาท (15,000,000 ล้านบาท) ได้เล็งเห็นโอกาสโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย ที่ถือว่าเป็น Emerging Market ประกอบกับในประเทศไทยมีอุตสาหกรรมเพลงที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งเทนเซ็นต์ในปัจจุบันเป็นบริษัทโฮลดิ้งที่มีธุรกิจในเครือมากมาย รวมไปถึงแพลตฟอร์มฟังเพลงต่างๆ ที่มีผู้ใช้งานขนาดใหญ่มากกว่า 900 ล้านยูสเซอร์ อย่าง MAU (Monthly Active Users) และยังมีผู้ใช้งานที่ยอมจ่ายเงิน Subscript บนแพลตฟอร์ม (Paid Subscription) ราว 100 ล้านยูสเซอร์ โดยมีบริษัท เทนเซ็นต์ มิวสิค เอ็นเตอร์เทนเมนต์ กรุ๊ป หรือ TME ผู้นำธุรกิจดนตรีและความบันเทิงในเครือของเทนเซ็นต์ มีมูลค่าบริษัทปัจจุบันอยู่ที่ 780,000 ล้านบาท เป็นผู้บริหารจัดการแพลตฟอร์มดังกล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้วยจุดเด่นทางธุรกิจและการเติบโตของอุตสาหกรรมเพลงทำให้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทางเทนเซ็นต์ มิวสิค หรือ TME ได้เข้าไปลงทุนในบริษัทเพลงต่างๆ ที่มีศักยภาพทั่วโลก ยกตัวอย่างเช่น Universal Music Group ที่ เทนเซ็นต์เข้าไปซื้อหุ้นครั้งแรกในปี 2019 และล่าสุดในปี 2023 ได้มีการลงทุนเพิ่ม ปัจจุบัน เทนเซ็นต์ เข้าไปถือหุ้น Universal Music Group มากถึง 20%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และที่น่าสนใจก็คือ “เทนเซ็นต์ มิวสิค เอ็นเตอร์เทนเมนต์ กรุ๊ป” และ “เทนเซ็นต์ โฮลดิ้ง ลิมิเตท” เข้าร่วมลงทุนเชิงกลยุทธ์ในบริษัท จีเอ็มเอ็ม มิวสิค ในสัดส่วนหุ้น 10% คิดเป็นมูลค่าบริษัทรวม 25,700 ล้านบาท ถือเป็นการส่งเสริมการเติบโตของ New Music Economy ไทย ผ่านการขยายธุรกิจ การกระตุ้นการเติบโต การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับพันธมิตรระดับโลก และการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเพลงในรูปแบบใหม่ ตอบรับอนาคตของอุตสาหกรรมเพลงที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เนื่องจากธุรกิจเพลงได้เข้าสู่ ยุคใหม่แล้วเพราะสามารถฟังเพลงได้ทุกแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอนาคตข้างหน้าถ้ามีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่สามารถเชื่อมโยงหรือส่งข้อมูลถึงกันได้ด้วยอินเทอร์เน็ต (IoT : Internet of things) เกิดขึ้นจะส่งผลให้มีการฟังเพลงมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นั่นหมายความว่า อุตสาหกรรมเพลงนั้นสามารถเติบโตไปกับทั้งอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมดิจิทัลได้พร้อมๆ กัน จากปัจจัยสนับสนุนทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ประกอบกับการที่ตลาดมีศักยภาพและมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/rs-umg-sold-shares-to-universal-music-group" alt="RS ปิดดีลรับทรัพย์ 605 ล้านบาท หลังขายหุ้นให้ ‘ยูนิเวอร์แซล มิวสิค’ เตรียมต่อยอดธุรกิจเพลงและธุรกิจใหม่">RS ปิดดีลรับทรัพย์ 605 ล้านบาท หลังขายหุ้นให้ ‘ยูนิเวอร์แซล มิวสิค’ เตรียมต่อยอดธุรกิจเพลงและธุรกิจใหม่</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘ทรัพย์สินทางดนตรี’ คีย์สำคัญขับเคลื่อนมูลค่าอุตฯ ดนตรี และกลยุทธ์ที่ GMM Music ใช้สร้างรายได้ต่อเนื่อง

Spotify จัดคอนเสิร์ตดึงแฟนเพลง ประกาศฐานผู้ฟังทั่วโลกทะลุ 232 ล้านราย

<h2>แฟนคลับคงไม่ต้องสงสัยว่าทำไม Rihanna ถึงไม่มีเวลาทำเพลงในอัลบัมใหม่แต่ใช้ทุกนาทีไปกับการขายเครื่องสำอาง Fenty Beauty ของเธอ เพราะแค่เพียงข้ามปีจาก 2018 สู่ 2019 นักร้องผิวสีคนดังสร้างความร่ำรวยเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าตัว และแหล่งเงินหลักของเธอไม่ได้มาจากเพลงหรือทัวร์คอนเสิร์ตเหมือนกับศิลปินคนอื่น</h2>
Rihanna ขึ้นสู่อันดับที่ 37 บนทำเนียบ “สตรีที่สร้างความมั่งคั่งด้วยตนเองและรวยที่สุดในสหรัฐอเมริกา ปี 2019” โดยเธอมีสินทรัพย์สุทธิ 600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ณ วันที่ 3 มิถุนายน 2019)

มูลค่าทรัพย์สินของนักร้องวัย 31 ปีผู้นี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาเพียง 11 เดือน จากที่เธอเคยติดอันดับที่ 84 ของลิสท์เซเลปที่รวยที่สุดในโลกแห่งปี 2018 ซึ่ง ณ เดือนกรกฎาคม 2018 ที่มีการประเมินในลิสท์นี้ เธอยังมีทรัพย์สินเพียง 210 ล้านเหรียญเท่านั้น

ตัวเลข 600 ล้านเหรียญในกระเป๋าเงินของ Rihanna ยังส่งให้เธอเป็น นักร้องหญิงที่รวยที่สุดในสหรัฐอเมริกา แซงหน้าทั้ง Taylor Swift, Beyonce, Celine Dion หรือกระทั่ง Madonna

ความร่ำรวยของเธอพุ่งขึ้นหลังจากที่เธอเริ่มสร้างแบรนด์เครื่องสำอางของตนเองร่วมกับพาร์ทเนอร์ LVMH เครือธุรกิจแฟชั่นยักษ์ใหญ่ ภายใต้แบรนด์ Fenty Beauty ที่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายน 2017 และกวาดรายได้ไป 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตั้งแต่สัปดาห์แรกๆ ที่ออกวางจำหน่าย

<img class="alignnone size-full wp-image-8469" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/06/Fenty-Beauty-by-Rihanna-e1559667377427.png" alt="" width="800" height="440" />

ด้วยพลังความโด่งดังของตัวเธอที่มีผู้ติดตามบัญชี Instagram ถึง 71 ล้านคน การประชาสัมพันธ์แบรนด์ใหม่จึงไม่ใช่เรื่องยากและไม่ต้องเปลืองต้นทุนทางการตลาดอีกด้วย (คล้ายกับที่ Kylie Jenner ทำ เธอแปลงยอดผู้ติดตามเป็นทรัพย์สินในชั่วพริบตาจากการโปรโมตเครื่องสำอางของตัวเองทางโซเชียลมีเดีย)
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/world/%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%87%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%86-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%9F%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%86.html">หาเงินง่ายๆ การตลาดฟรีๆ แบบ Kylie Jenner ‘เน็ตไอดอล’ มหาเศรษฐี</a></li>
</ul>
อย่างไรก็ตาม การตลาดจากชื่อเสียงไม่ใช่สิ่งเดียวที่ Fenty Beauty มี เจ้าของเครื่องสำอางแบรนด์นี้ยังสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่ฮือฮา นั่นคือรองพื้นที่มีเฉดสีแตกต่างถึง 40 สีให้เลือก เมื่อผลิตภัณฑ์เป็นที่ยอมรับ Fenty Beauty จึงมีที่ทางในตลาด และส่งให้ชื่อ Fenty นำไปใช้ collaboration กับแบรนด์อื่นได้อีก เช่น ชุดชั้นในแบรนด์ Savage X Fenty หรือรองเท้า Fenty X Puma

หลังปิดบัญชี 15 เดือนแรกของ Fenty Beauty แบรนด์เครื่องสำอางนี้ทำรายได้ไปแล้ว 570 ล้านเหรียญ และได้รับการประเมินมูลค่าบริษัทสูงถึง 3 พันล้านเหรียญ โดย Forbes ประเมินว่า Rihanna ถือหุ้นในบริษัทนี้ 15% ทำให้ธุรกิจเครื่องสำอางกลายเป็นแหล่งเงินทองหลักของเธอมากยิ่งกว่าผลงานดนตรีไปแล้ว (ทั้งนี้ LVMH ถือหุ้นอยู่ 50%)

ล่าสุดในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เธอยังตัดสินใจออกจำหน่ายไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่กับ LVMH อีกครั้ง เป็นไลน์เสื้อผ้า รองเท้า และเครื่องประดับไฮเอนด์แบรนด์ Fenty ที่ทำให้ Rihanna เป็นผู้หญิงผิวสีคนแรกในสหรัฐฯ ที่ได้เป็นเจ้าของห้องเสื้อสุดหรูระดับสากล ฟาก LVMH เจ้าของแบรนด์ดังอย่าง Louis Vuitton, Dior, Givenchy การลงทุนครั้งนี้ถือเป็นการเปิดแบรนด์ใหม่เอี่ยมเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี

<figure><img class="size-full wp-image-8470" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/06/000_1GS6BK-e1559667923234.jpg" alt="" width="800" height="533" /><figcaption> Rihannaในงานอีเวนท์โปรโมต Fenty แบรนด์เสื้อผ้าของเธอใน Paris เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2019 (PHOTO CREDIT: Martin BUREAU / AFP)</figcaption></figure>

“(Fenty) จะดิสรัปวงการมากเท่าที่จะเป็นไปได้ แบรนด์นี้ไม่ใช่แบรนด์ดั้งเดิม จะไม่มีโชว์เดินแบบ มันจะเป็นวิถีทางใหม่ในการทำสิ่งต่างๆ เพราะฉันเชื่อว่านี่จะเป็นที่ที่แฟชั่นจะเดินทางไปในไม่ช้า”

Rihannaให้สัมภาษณ์ไว้กับ New York Times เกี่ยวกับห้องเสื้อของเธอ และเธอได้ดิสรัปมันจริงๆ โดยไม่มีการเปิดร้านออฟไลน์แม้แต่ร้านเดียว เธอจำหน่ายเสื้อผ้าไฮเอนด์ (ยกตัวอย่างมินิเดรสของแบรนด์จำหน่ายในราคา 25,110 บาท) ผ่านเว็บไซต์ออนไลน์<a href="http://fenty.com/"> Fenty.com</a> เท่านั้น

“ฉันเป็นคนยุคมิลเลนเนียล ฉันเกลียดการได้เห็นเสื้อผ้าบางชิ้นบนรันเวย์แล้วก็ต้องรอ (ที่จะซื้อ) ไปอีก 6 เดือน” เธอกล่าว

ถึงแม้นักร้องดังชาวบาร์บาโดสจะยุ่งอยู่กับการสร้างธุรกิจแค่ไหน แต่ในที่สุดเธอก็ยังไม่ทิ้งแฟนเพลง เพราะ RiRi เพิ่งโพสต์ Instagram Story เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2019 สื่อนัยว่าเธอเข้าห้องอัดแล้วจริงๆ (หลังปล่อยให้รอกันมามากกว่า 3 ปี)

น่าติดตามว่าอันดับความร่ำรวยของเธอจะพุ่งไปอีกแค่ไหนในปีหน้าเมื่อเธอมีทั้งธุรกิจแฟชั่น-เครื่องสำอางในมือ ผนวกกับอัลบัมใหม่ที่จะออกมาในเร็วๆ นี้

&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://www.forbes.com/profile/rihanna/?list=self-made-women#2c053e991400">2019 America's Self-Made Women Net Worth #37 Rihanna</a></li>
 	<li><a href="https://www.forbesafrica.com/woman/2019/06/04/how-rihanna-created-a-600-million-fortune-and-became-the-worlds-richest-female-musician/">How Rihanna Created A $600 Million Fortune — And Became The World’s Richest Female Musician </a></li>
 	<li><a href="https://www.theguardian.com/fashion/2019/may/21/rihanna-fenty-label-fashion-industry">Rihanna's Fenty label aims to rip up fashion industry rules</a></li>
</ul>
&nbsp;

อิทธิฤทธิ์ Fenty พา “Rihanna” รวยขึ้นเกือบ 2 เท่าตัวในปีเดียว

ดีเจ Marshmello ผู้ไร้ตัวตน กับความดังที่ได้มาด้วยพรสวรรค์

<h2>ดีเจบนทำเนียบของ Forbes ยังคงทำรายได้มากกว่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หลายอันดับสามารถเรียกค่าตัวได้ถึงหกหลักต่อคืน และดีเจ/โปรดิวเซอร์อีกหลายคนทำเงินเพิ่มเติมได้จากการรับเป็นพรีเซ็นเตอร์ช่วยโปรโมตสารพัดแบรนด์สินค้า</h2>
หมายเหตุ: ตัวเลขทั้งหมดเป็นรายได้ก่อนหักภาษีในช่วงระหว่างเดือนมิถุนายน 2017 ถึงเดือนมิถุนายน 2018 คำนวณจากความช่วยเหลือของ Nielsen SoundScan, Pollstar และการให้สัมภาษณ์ของผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมดนตรี

&nbsp;
<h2>อันดับ 1 Calvin Harris
48 ล้านเหรียญสหรัฐฯ</h2>
<figure><img class="wp-image-5233 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/01_Calvin-Harris-e1551637355320.jpg" alt="" width="800" height="533" /><figcaption> (PHOTO CREDIT: Taylor Hill)</figcaption></figure>

ราชาแห่งวงการดีเจยังคงทำเงินหกหลักได้อย่างต่อเนื่อง ผ่านการขึ้นแสดงเป็นประจำใน Las Vegas และบางงานยังเรียกราคาได้ถึงเจ็ดหลักในการทัวร์งานแสดงเทศกาลดนตรีตั้งแต่ญี่ปุ่นไปจนถึงโครเอเชีย เพลงใหม่ของเขา One Kiss ที่ร่วมงานกับ Dua Lipa สามารถขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ทเพลงในสหราชอาณาจักรและทั่วยุโรป

&nbsp;
<h2>อันดับ 2 The Chainsmokers
45.5 ล้านเหรียญ</h2>
<figure><img class="wp-image-5234 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/02_The-Chainsmokers.jpg" alt="" width="800" height="533" /><figcaption> (PHOTO CREDIT: xslasvegas.com)</figcaption></figure>

คู่หูดีเจและโปรดิวเซอร์ผู้ผลิตเพลงยอดฮิตอย่าง Closer และ Something Just Like This เข้าสู่ช่วงสุดท้ายในสัญญา 3 ปีเพื่อขึ้นแสดงในคลับ Wynn Nightlife พวกเขาทำเงินได้คืนละประมาณ 5 แสนเหรียญ และแสดงไปกว่า 100 ครั้งเมื่อปีก่อน

&nbsp;
<h2>อันดับ 3 Tiësto
33 ล้านเหรียญ</h2>
<figure><img class="wp-image-5235" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/03_Tiësto.jpg" alt="" width="800" height="533" /><figcaption> (PHOTO CREDIT: Jason Koerner)</figcaption></figure>

แม้อยู่ในวัย 49 ปีแล้ว แต่เขายังทำงานหนักยิ่งกว่าน้องๆ ร่วมวงการที่อายุน้อยกว่าเขาครึ่งหนึ่ง Tiësto ขึ้นแสดงไปกว่า 150 รายการในปีที่ผ่านมา เขายังออกเพลงใหม่ Jackie Chan ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับ Post Malone รวมถึงเซ็นสัญญาขึ้นแสดงในคลับ Hakkasan ใน Las Vegas ไปจนถึงปี 2020

&nbsp;
<h2>อันดับ 4 Steve Aoki
28 ล้านเหรียญ</h2>
<figure><img class="wp-image-5236 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/04_Steve-Aoki-e1551637547739.jpg" alt="" width="800" height="520" /><figcaption> (PHOTO CREDIT: John Parpa)</figcaption></figure>

ไม่มีใครในวงการดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ที่จะทำงานหนักเท่า Aoki อีกแล้ว เพราะเขาขึ้นเวทีไปถึง 200 งานในปีที่ผ่านมา! บางวันเขาขึ้นแสดงถึงสองงานในวันเดียว นอกจากนี้เขายังทำเงินจากการโปรโมตสินค้าให้กับ Dropbox, ฟิตเนส Zumba และสายการบิน ANA เมื่อเดือนพฤษภาคม 2018 Aoki ยังเซ็นสัญญาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับนาฬิกาข้อมือ Diesel ด้วย

&nbsp;
<h2>อันดับ 5 Marshmello
23 ล้านเหรียญ</h2>
<img class="alignnone size-full wp-image-5237" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/05_Marshmello-e1551637611638.jpg" alt="" width="800" height="534" />

แม้ไม่ใช่ดีเจค่าตัวแพงที่สุดของเรา แต่เขาเป็นหนึ่งในตัวท็อปบนทำเนียบนี้แน่นอน นอกจากรายได้ค่าเข้าชมการแสดงของเขาแล้ว เขายังโกยเงินจากการออกรายการ Cookings with Marshmello ทางช่อง YouTube และงาน collab ดนตรีร่วมกับ Selena Gomez และ Logic

&nbsp;
<h2>อันดับ 6 Zedd
22 ล้านเหรียญ</h2>
<figure><img class="wp-image-5238 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/06_Zedd-e1551637714972.jpg" alt="" width="800" height="533" /><figcaption> (PHOTO CREDIT: ig@Zedd)</figcaption></figure>

นักดนตรีผู้เกิดในรัสเซียและเติบโตในเยอรมนีไม่ได้นิยามตัวเขาเองว่าเป็น “ดีเจ” ... “ผมมองตัวเองว่าเป็นศิลปินผู้นำเสนอการแสดงมากกว่า” เขากล่าว ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนแต่ Zedd ทำกำไรได้มากแน่นอน เพราะค่าตัวของเขาสูงถึงหกหลักต่องานแสดงหนึ่งคืน และเขายังออกแสดงมากกว่า 100 ครั้งในรอบปีที่ผ่านมา
<ul>
 	<li>Zedd ติดอันดับหนึ่งในสามบนลิสท์ 30 Under 30 สุดยอดหนุ่มสาวผู้สร้างความเปลี่ยนแปลง <a href="http://forbesthailand.com/people/30-under-30/30-under-30-%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%87.html">อ่านเรื่องราวของเขาที่นี่</a></li>
</ul>
&nbsp;
<h2>อันดับ 7 Diplo
20 ล้านเหรียญ</h2>
<figure><img class="wp-image-5239 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/07_Diplo-e1551637765330.jpg" alt="" width="800" height="533" /><figcaption> (PHOTO CREDIT: Steven Ferdman)</figcaption></figure>

ผู้เชี่ยวชาญแห่งการทำอาชีพเสริม Diplo เป็นนักลงทุนในคาเฟ่ชาเขียว MatchaBar ใน New York ที่กำลังขยายไปผลิตเครื่องดื่มบรรจุขวดจำหน่ายด้วย และเขายังมีโครงการพันธมิตรกับ Bacardi ในการจัดงาน “Sound of Rum” งานดนตรีช่วงฤดูร้อน ไปจนถึงการเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับซีรีส์เสียดสี What Would Diplo Do? ของ Viceland

&nbsp;
<h2>อันดับ 8 David Guetta
15 ล้านเหรียญ</h2>
<img class="alignnone size-full wp-image-5240" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/08_David-Guetta-e1551637816239.jpg" alt="" width="800" height="533" />

ดีเจคนดังที่ยังคงเรียกผู้ชมมาที่คลับหลักของเขาทั้งสองแห่ง ได้แก่ Encore Beach Club ใน Las Vegas และ Pacha ใน Ibiza ประเทศสเปน เมื่อปี 2017 เพลง Dirty Sexy Money ที่เขาร่วมงานกับ Afrojack และ Charlie XCX ฮิตติดชาร์ทนับสิบประเทศทั่วโลก

&nbsp;
<h2>อันดับ 9 Kaskade
13.5 ล้านเหรียญ</h2>
<figure><img class="wp-image-5241 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/09_Kaskade-e1551637853687.jpg" alt="" width="800" height="524" /><figcaption> (PHOTO CREDIT: Adam Bettcher)</figcaption></figure>

หนึ่งในดีเจผู้โชกโชนสนามแห่งวงการ EDM Kaskade ยังคงทำรายได้สูงจากการทัวร์ออกงานจำนวนมาก รวมถึงงานที่เขาจัดขึ้นเองด้วย Kaskade เริ่มจัดงานปาร์ตี้ชายหาด Sun Soaked ของเขาเองตั้งแต่ปี 2017 ดึงดูดผู้ร่วมงานมากกว่า 30,000 คน และบัตรก็ขายหมดเกลี้ยง

&nbsp;
<h2>อันดับ 10 Martin Garrix
13 ล้านเหรียญ</h2>
<figure><img class="wp-image-5242 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/10_Martin_Garrix-e1551637895850.jpg" alt="" width="800" height="531" /><figcaption> (PHOTO CREDIT: Tim Mosenfelder)</figcaption></figure>

ด้วยวัยเพียง 22 ปี เขาคือดีเจชื่อดังที่เด็กที่สุดในวงการ เมื่อปี 2017 เขาได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ของ Armani Exchange ส่วนการงานในอาชีพดีเจก็กำลังเฟื่องฟูด้วยปริมาณงานไม่ต่ำกว่า 90 ครั้งในรอบปีที่ผ่านมา โดยมีงานช้างสร้างชื่อให้กับ Garrix มากที่สุดคืองานพิธีปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่เกาหลีใต้

&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/leaderboard/global-leaderboard/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B8%9B.html">สุดยอด "แร็ปเปอร์" ทำเงิน ประจำปี 2561</a></li>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/world/global-world/10-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87.html">เปิด 10 อันดับนักร้องหญิง ทำรายได้มากที่สุดในปี 2018</a></li>
</ul>
&nbsp;

<hr />

<a href="http://bit.ly/ForbesthailandFEB19">คลิกอ่านบทความที่น่าสนใจอื่นๆ ได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand Magazine ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<img class="alignnone wp-image-5124 size-medium" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/ชวัลวัฒน์-ทิพพาภรณ์-เนรมิตฝัน-MQDC-แสนล้าน-พลังจอเงินสู่โปรเจกต์พลิกโลก-228x300.jpg" alt="" width="228" height="300" />

10 อันดับดีเจ ที่ทำรายได้สูงสุดในโลก ปี 2018

<h2>JOOX ประเทศไทย โชว์การเติบโตปี 2561 สร้างรายได้เพิ่มขึ้น 100% ขึ้นแท่นเบอร์ 1 แอพฯ สตรีมมิ่งเพลงที่ผู้ใช้ไทยเลือก เดินหน้าปี 2562 ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนผู้ใช้เป็น 12 ล้านคน มุ่งเจาะตลาดต่างจังหวัด-ประเทศเมียนมา</h2>
JOOX แอพพลิเคชั่นมิวสิคสตรีมมิ่งภายใต้ร่มเงาของบริษัท Tencent ประเทศจีน ย่างเข้าสู่ปีที่ 4 หลังจากเข้ามาเปิดบริการในไทยเมื่อปี 2559 และยังคงยึดครองบัลลังก์เบอร์ 1 ในตลาด

กฤตธี มโนลีหกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทนเซ็นต์ (ประเทศไทย) ผู้บริหาร JOOX ประเทศไทย เปิดเผยตัวเลขการเติบโตของ JOOX ในปีที่ผ่านมา มีการดาวน์โหลดเพิ่มขึ้นเป็น 68 ล้านครั้ง (โต 35% เทียบปีก่อนหน้า) โดยมีจำนวนผู้ใช้ active user ทั้งหมด 10 ล้านคน และมีการสตรีมมิ่งทั้งหมด 3 พันล้านครั้งในปีที่ผ่านมา (โต 50% เทียบปีก่อนหน้า)

<img class="alignnone size-full wp-image-4419" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/JOOX-ประเทศไทย-อันดับ-1.jpg" alt="" width="800" height="401" />

ที่สำคัญคือ JOOX มีการสำรวจผ่านแบบสอบถามใน Facebook จากผู้ใช้ 1,667 คน พบว่า 72% ของผู้ตอบแบบสอบถามเลือก JOOX เป็นแอพฯ สตรีมมิ่งเพลงเมื่อต้องการฟังดนตรี โดยอันดับรองลงมาคือ Spotify สัดส่วน 25% และ Apple Music 11% ตัวเลขของ JOOX นี้เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ซึ่งมีผู้เลือกใช้ JOOX สัดส่วน 59%

สำหรับคอนเทนต์เพลงใน JOOX ผู้ฟังเลือกฟังเพลงไทยเกือบ 90% มากกว่าปีก่อนหน้าที่มีการฟังเพลงไทย 70-80% โดยหมวดดนตรีที่มีการฟังสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ 1.ป็อป 2.ร็อค 3.ฮิปฮอปและอาร์แอนด์บี 4.ลูกทุ่งและเพื่อชีวิต 5.อินดี้และอัลเทอร์เนทีฟ โดย 3 หมวดหลังนั้นมีสัดส่วนฐานผู้ฟังที่เติบโตขึ้นกว่าปีก่อน

<img class="alignnone size-full wp-image-4420" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/JOOX-ประเทศไทย-Genre-Music.jpg" alt="" width="800" height="683" />

ในแง่รายได้ กฤตธีกล่าวว่าบริษัทสร้างรายได้เพิ่มขึ้น 100% ในปี 2561 โดย 50% มาจากค่าโฆษณา อีก 50% เป็นรายได้จากสมาชิกที่สมัครบริการ JOOX VIP

"ตอนนี้มีผู้ใช้ VIP ไม่ถึง 10% ก็จริง แต่กลุ่มนี้ทำรายได้ให้เราครึ่งหนึ่ง และเป็นสัดส่วนที่เราค่อนข้างพอใจ เพราะเปรียบเทียบกับฮ่องกงซึ่งเป็นตลาดที่มีผู้สมัคร VIP มากที่สุดของ JOOX ถือว่าใกล้เคียงกัน" กฤตธีกล่าว

&nbsp;
<h2>ส่งเสริมศิลปิน-คาราโอเกะ-ถ่ายทอดสด แม่เหล็กดึงผู้ฟัง</h2>
กฤตธีสรุปการทำงานในปีที่ผ่านมาของ JOOX ที่ส่งผลให้มีการเติบโตดังกล่าวว่า เกิดจากกลยุทธ์ที่บริษัทวางไว้ตั้งแต่แรก มุ่งเป้าหมายเป็น "แพลตฟอร์มสื่อกลางที่เชื่อมต่อศิลปินเข้ากับผู้ฟัง" ทำให้ JOOX มีโปรแกรมเพื่อพัฒนาศิลปินและพัฒนาเพลง เช่น JOOX new faces ที่มีการค้นหาศิลปินหน้าใหม่เพื่อผลิตเพลง จนทำให้ศิลปินหลายคนสามารถแจ้งเกิดได้ อาทิ ACTART, LAXYLOXY, OG-ANIC หรือโปรแกรม collab ศิลปินอย่าง NEXTPLORER ที่นำศิลปินค่าย GMM Grammy มาทำงานกับศิลปินค่ายอื่น ไปจนถึงการช่วยโปรโมตศิลปิน Artist of the Month บนพื้นที่สื่อของ JOOX และการจัดงานอีเวนต์คอนเสิร์ตตลอดปี

<img class="alignnone size-full wp-image-4421" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/JOOX-ประเทศไทย-Head-Start.jpg" alt="" width="800" height="400" />

"โปรแกรมเหล่านี้ทำให้เรามีโอกาสได้เป็นแพลตฟอร์มเปิดตัวเพลงครั้งแรก 130 เพลงในปีที่ผ่านมา จากจำนวนเพลงเปิดตัวในไทย 500 เพลงต่อปี และทำให้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับค่ายเพลงต่างๆ ในประเทศไทย" กฤตธีกล่าว

นอกจากนี้ ปีก่อน JOOX ยังเปิดฟีเจอร์ใหม่ 'คาราโอเกะ' มีผู้ใช้บริการนี้แล้ว 5 ล้านครั้ง และมีการถ่ายทอดสดงานคอนเสิร์ตและงานประกาศรางวัลต่างๆ โดยเฉพาะงานประกาศรางวัลดนตรี K-POP เช่น MMA, Seoul Music Awards ซึ่งดึงดูดให้มีผู้ใช้เข้าสู่แพลตฟอร์มมากยิ่งขึ้น

&nbsp;
<h2>ปี'62 บุกต่างจังหวัด-เมียนมา-เอาใจแฟนคลับศิลปิน</h2>
ด้วยเป้าหมายเพิ่มผู้ใช้ active user เป็น 12 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 20% กฤตธีกล่าวว่า นอกจากการเดินหน้าเชื่อมศิลปินกับแฟนเพลงอย่างที่เคยทำมา JOOX ประเทศไทย จะมีแผนพัฒนา ได้แก่

1.บุกตลาดต่างจังหวัด จากสัดส่วนปัจจุบันมีผู้ใช้ กทม. 55% และต่างจังหวัด 45% ทั้งยังเห็นแนวโน้มการเติบโตในกลุ่มเพลงลูกทุ่ง ทำให้มองว่าปีนี้จะเน้นการทำตลาดต่างจังหวัดและเพลงลูกทุ่ง ผ่านการโปรโมตด้วยคอนเสิร์ตในต่างจังหวัด และการค้นหาศิลปินหน้าใหม่ในกลุ่มลูกทุ่งมาเชื่อมต่อสู่ผู้ฟัง

<img class="alignnone size-full wp-image-4422" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/JOOX-ประเทศไทย-Demographic.jpg" alt="" width="800" height="400" />

2.พัฒนาเว็บไซต์ JOOX.com เพื่อให้เข้าถึงฐานผู้ฟังบนคอมพิวเตอร์ได้ดีขึ้น โดยถือเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยบุกต่างจังหวัด เนื่องจากพบว่าผู้ฟังดนตรีแบบสตรีมมิ่งในต่างจังหวัด 50% ยังเป็นการฟังผ่านคอมพิวเตอร์

3.ตลาดมิวสิคสตรีมมิ่งในเมียนมา ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ JOOX ประเทศไทย เปิดตัวไปเมื่อเดือนมีนาคม 2561 ในปีนี้จะมีกิจกรรมกระตุ้นตลาด วางงบ 5 ล้านบาทเพื่อสร้างโปรเจ็กต์ Shake The World มีการ collab ศิลปินไทยกับศิลปินเมียนมา กลุ่มศิลปินไทย เช่น The Toys, ตู่ ภพธร, สแตมป์ อภิวัชร กลุ่มศิลปินเมียนมา เช่น Big Bag, Mi Sandi, X BOX  เป็นต้น วางแผน collab ทั้งหมด 10 เพลง เวอร์ชันภาษาพม่าเปิดตัวในเดือนมีนาคมนี้ และเวอร์ชันภาษาไทยเปิดตัวไตรมาส 2/62

“ประชากรเมียนมามีกว่า 50 ล้านคน แม้ว่าการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตยังไม่พัฒนาเท่าประเทศไทย แต่ผู้บริโภคพร้อมเปิดรับสิ่งใหม่ และแบรนด์ JOOX เป็นที่รู้จักอยู่แล้ว จึงเชื่อว่ามีศักยภาพในการเติบโต มุมมองของเราต่อเมียนมาคล้ายกับยุคแรกที่เข้ามาเปิดตลาดไทย คือมุ่งมั่นเข้าไปช่วยพัฒนาวงการเพลงก่อน” กฤตธีกล่าว

<figure><img class="size-full wp-image-4423" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/JOOX-ประเทศไทย-Shake-the-world.jpg" alt="" width="800" height="400" /><figcaption> โปรเจ็กต์ Shake The World ที่ JOOX ลงทุน 5 ล้านบาท สร้างสรรค์เพลงจากการ collab ระหว่างศิลปินไทยกับเมียนมา</figcaption></figure>

4.ฟีเจอร์คาราโอเกะ เพิ่งเปิดตัวฟังก์ชันใหม่คือ Duet Video ให้ผู้ใช้สามารถร้องคาราโอเกะไปพร้อมกับศิลปินคนโปรดในรูปแบบวิดีโอได้

5.ระบบ Coins เพื่อใช้ซื้อสติ๊กเกอร์ภายในแอพพลิเคชั่น ส่วนนี้ได้ทดลองตลาดไปแล้วระหว่างงานถ่ายทอดสด Seoul Music Awards ให้แฟนคลับสามารถซื้อสติ๊กเกอร์ส่งให้กับศิลปินที่ชอบได้ระหว่างถ่ายทอดสด เชื่อว่าจะกลายเป็นอีกแหล่งรายได้หนึ่งที่สำคัญ จากพฤติกรรมแฟนเพลงไทยที่พร้อมจ่ายค่าสินค้าและบริการให้กับศิลปิน
<ul>
 	<li><a href="http://www.forbesthailand.com/world-detail.php?did=1972">The Weeknd ดนตรีดีและฟรีมีในโลก</a></li>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/world/%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A-tencent.html">ลงทุนไร้ขีดจำกัดแบบ Tencent</a></li>
</ul>
ส่วนการเพิ่มจำนวนผู้ใช้ VIP หรือการปรับราคาแพ็กเกจ กฤตธีมองว่าปีนี้จะเป็นปีที่บริษัทมาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคเพื่อทำความเข้าใจการตัดสินใจซื้อแพ็กเกจ VIP และวางแผนการตลาดต่อไป เบื้องต้นปีนี้ยังไม่มีแผนการปรับราคาขึ้นหรือลง (ราคาปกติ 129 บาทต่อเดือน) นอกจากการจัดโปรโมชันเป็นระยะ และอาจมีการเพิ่มสิทธิพิเศษเพื่อจูงใจให้มีผู้สมัครสมาชิก VIP เพิ่มขึ้น

"ตลาดมิวสิคสตรีมมิ่งไทยยังเป็นบลูโอเชียน คนอีกมากที่ยังฟังเพลงจากซีดีหรือธัมป์ไดรฟ์ ยังมีพื้นที่ให้ไปและยังต้อง educate กันต่อไป" กฤตธีกล่าวปิดท้าย

&nbsp;

Forbes Facts
<ul>
 	<li>ปัจจุบัน JOOX ประเทศไทย ดูแลตลาดไทย เมียนมา และอินโดนีเซีย ส่วนมาเลเซียยังคงมีสำนักงานใหญ่เฉพาะประเทศอยู่ ทั้งนี้ ยังไม่มีแผนขยายตลาดเพิ่มในอาเซียน</li>
 	<li>สมาชิก JOOX VIP จะได้รับสิทธิเข้าถึงเพลงบางรายการที่สงวนเฉพาะ VIP (ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเพลงต่างประเทศ) ไม่มีโฆษณาคั่น สามารถดาวน์โหลดเพลงได้ไม่จำกัด สิทธิการฟังเพลงคุณภาพ HD และสามารถอัดเสียงร้องจากฟีเจอร์คาราโอเกะได้</li>
 	<li>ข้อมูลตลาดมิวสิคสตรีมมิ่งทั่วโลกจาก IFPI Global Music Report 2018 พบว่าตลาดนี้มีมูลค่ารายได้ 1.73 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ โตขึ้น 41.1% จากปีก่อนหน้า และกลายเป็นแหล่งรายได้อันดับ 1 ของวงการดนตรี คิดเป็น 38% แซงหน้าการขายแผ่นเสียง ซีดี และเทปที่มีสัดส่วน 30%</li>
</ul>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events