<h2>สมาคมนักวางแผนการเงินไทย แนะคนไทยยุคข้าวยากหมากแพง กระชับพื้นที่ใช้จ่าย หารายได้เพิ่ม มีเงินสำรองฉุกเฉินเพียงพอ กระจายความเสี่ยงในหลายสินทรัพย์ เพิ่มเงินสดเพื่อหาโอกาสลงทุน สู้ศึกภาษี Trump เขย่าเศรษฐกิจ</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สมาคมนักวางแผนการเงินไทย ให้คำแนะนำประชาชนคนไทย วางแผนการเงินรับมือ หลังต้องเผชิญเหตุแผ่นดินไหว และผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกจากสงครามการค้าที่สหรัฐอเมริกา ในยุคประธานาธิบดี Donald Trump ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทุกประเทศทั่วโลกในอัตราสูงรวมทั้งไทย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศไทย ที่การเติบโตของเศรษฐกิจอยู่ในภาวะชะลอตัวอยู่แล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ การวางแผนการเงินส่วนบุคคล เป็นเรื่องที่ไม่ได้ไกลตัว หากพิจารณาในช่วงเกือบ 5-6 ปีที่ผ่านมา เราได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็น การแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้เราเห็นถึงความสำคัญของการสำรองเงินเผื่อฉุกเฉิน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยแนะนำว่า ตามหลักการแล้ว หากเป็นมนุษย์เงินเดือนควรมีการสำรองเงินเผื่อกรณีฉุกเฉินเป็นจำนวนเงิน 6 เดือนของเงินเดือน แต่หากเป็นกลุ่ม Freelance ก็ต้องสำรองเงินจำนวน 12 เดือนของค่าใช้จ่ายส่วนตัว และเมื่อกลับสู่ภาวะปกติการสำรองเงินฉุกเฉินก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/KzRyDejhhsZpfijoPVXD.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="KzRyDejhhsZpfijoPVXD.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,480"><figcaption><div>วิโรจน์ ตั้งเจริญ นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย</div></figcaption></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ล่าสุดกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ของประเทศไทยในวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ทำให้เราได้ตระหนักถึงความสำคัญของการทำประกันวินาศภัยกับที่อยู่อาศัยมากขึ้น ทั้งบ้านและคอนโดมิเนียม กรณีที่ผ่อนหมดแล้วและไม่ได้ทำประกันภัยไว้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่กรณีที่มีการผ่อนชำระกับสถาบันการเงิน ให้กลับไปตรวจสอบว่าได้มีการทำประกันภัยไว้หรือไม่ และได้ครอบคลุมการคุ้มครองเหตุจากภัยธรรมชาติแผ่นดินไหวหรือไม่ นอกจากนี้ ยังเห็นความจำเป็นมากขึ้นกับการทำประกันชีวิตโดยเฉพาะผู้มีรายได้หลักที่หาเลี้ยงครอบครัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ปัจจัยด้านมหภาค นโยบายภาษีนำเข้าสินค้าของประธานาธิบดี Donald Trump ที่สร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงประเทศไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยได้เกิดความผันผวนต่อภาวะการลงทุนทั้งตลาดหุ้น และตลาดตราสารหนี้ ซึ่งหากเรามีการจัดพอร์ตการลงทุนในแบบกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ (Asset Allocation) จะช่วยให้ลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยการจัดพอร์ตการลงทุนในภาวะแบบนี้ แนะนำให้ลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมลง ด้วยการเพิ่มน้ำหนักในสินทรัพย์ที่เสี่ยงต่ำ รวมถึงเงินสดให้มากขึ้น เพราะหากราคาสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวลงแรง หลังนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เริ่มเห็นผลกระทบที่ชัดเจน ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงกลางปีนี้ ย่อมเป็นโอกาสของการกลับไปเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ ภายใต้แนวทางการจัดพอร์ตโดยกระจายลงทุนในหลายสินทรัพย์ให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมของตัวเรา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สมาคมฯ มีความเห็นว่า ในยุคแห่งความไม่แน่นอนในขณะนี้ การวางแผนการเงินเป็นสิ่งที่ช่วยมองความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในชีวิต และพยายามป้องกันหรือลดความเสี่ยงเหล่านั้นในน้อยที่สุด เพื่อไม่ให้กระทบกับทรัพย์สินหรือรายได้ที่เราพยายามหามา คืออุดรูรั่วให้หมดก่อนเติมน้ำให้เต็มนั้นเอง <a href="https://www.freepik.com/free-photo/woman-employees-counting-money-white-desk_7365405.htm#fromView=search&amp;page=1&amp;position=17&amp;uuid=bfee8878-c01a-4351-ba5c-a23574a3d96a&amp;query=thai+money">Image by jcomp on Freepik</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/saving-account-compare-8-product-feb-2025" alt="เปรียบเทียบ 8 บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ 'ดอกเบี้ยสูง ฝาก-ถอนได้ตลอด' ในปี 2568">เปรียบเทียบ 8 บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ 'ดอกเบี้ยสูง ฝาก-ถอนได้ตลอด' ในปี 2568</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

วางแผนการเงินในยุคข้าวยากหมากแพง มนุษย์เงินเดือน ต้องมีสำรอง 6 เดือน ส่วนฟรีแลนซ์ ต้องมีสำรอง 12 เดือน

<h2>การเกษียณอายุในมุมมองของคนส่วนใหญ่เป็นเรื่องในระยะยาวทำให้มักจะละเลยการวางแผนเพื่อการเกษียณ แต่ในความเป็นจริงการวางแผนการเกษียณยิ่งเริ่มได้เร็วเท่าไรยิ่งดี</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การเริ่มออมเงินตั้งแต่เนิ่นๆ จะใช้เงินน้อยกว่า เพราะมีพลังของ “เวลา” เป็นตัวช่วยทำให้เงินงอกเงยได้มากกว่า สมมติว่าคนที่ต้องการมีเงินตอนเกษียณ 4 ล้านบาท ถ้าเริ่มออมตอนอายุ 25 ปี แค่ออมเดือนละ 3,000 บาทเท่านั้น แต่ถ้ามาเริ่มออมที่อายุ 45 ปี ต้องออมถึงเดือนละ 15,000 บาท เพื่อให้ได้จำนวนเงินที่เท่ากัน (บนสมมติฐานผลตอบแทน 6% ต่อปี) ตามคำกล่าวที่ว่า “พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาลคือ พลังแห่งดอกเบี้ยทบต้น”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จำนวนเงินต้นที่สูงขึ้นเปรียบเสมือนการกลิ้งลูกบอลบนหิมะ ยิ่งกลิ้งไปไกลก็ยิ่งใหญ่ขึ้น เงินที่ลงทุนไว้ยิ่งนานและออมอย่างต่อเนื่องเงินก็ยิ่งงอกเงยมากขึ้น แต่หากเริ่มออมเงินเมื่ออายุมากหรือใกล้เกษียณอาจไม่ทันการณ์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สมาคมนักวางแผนการเงินไทย (Thai Financial Planners Association: TFPA) เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร ก่อตั้งมากว่า 16 ปี และเป็นสมาชิกของคณะกรรมการมาตรฐานการวางแผนการเงินหรือ FPSB (Financial Planning Standards Board Ltd.) หน่วยงานที่กำหนดมาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพนักวางแผนการเงิน CFP ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล มีหน้าที่ส่งเสริมให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการวางแผนการเงินและเริ่มลงมือวางแผนการเงินอย่างจริงจัง เพื่อให้คนไทยมีชีวิตที่ดีขึ้นและมีความมั่นคงทางการเงิน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สมาคมมีคำแนะนำเพื่อวางแผนการเงินเพื่อการเกษียณที่ไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มอาชีพแบบใด พนักงานประจำ ข้าราชการ หรืออาชีพอิสระ สามารถทำตาม 7 ขั้นตอนนี้ได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขั้นตอนแรก เริ่มจากการทำบัญชีรายรับ รายจ่าย เพื่อให้เห็นข้อมูลการใช้จ่ายและตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปให้เกิดความสมดุลกัน หลังจากนั้นจึงตั้งเป้าหมายการออมและเก็บออมอย่างสม่ำเสมอให้เป็นนิสัย ถัดมาเป็นขั้นตอนการเก็บเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินอย่างน้อย 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน โดยขั้นตอนต่อมาเป็นการวางแผนประกันภัยเพื่อปกป้องความเสี่ยงจากค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนั้น การวางแผนการเงินที่ดีต้องไม่ก่อหนี้เกินตัว และหากมีหนี้เกินตัวต้องรีบแก้ไขและไม่ก่อหนี้เพิ่ม โดยต้องแยกหนี้ที่ดีซึ่งเป็นหนี้ที่มีโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่ม หรือหนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้ เช่น หนี้บ้าน ออกจากหนี้ที่ไม่ดี หนี้ที่ทำให้ฐานะทางการเงินอ่อนแอลง เช่น หนี้จากการซื้อสิ่งของที่ไม่จำเป็นหรือมีความจำเป็นน้อย พร้อมทั้งเริ่มต้นวางแผนเกษียณให้เร็วที่สุด โดยจัดพอร์ตการลงทุนที่เหมาะมและหมั่นหาความรู้ในการลงทุนอยู่เสมอๆ เพื่อที่จะได้ปรับรูปแบบการลงทุนให้สอดคล้องกับสภาวะการลงทุนและรูปแบบชีวิตที่เปลี่ยนไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่การลงทุนควรเริ่มต้นจาก “กองทุนที่ให้ประโยชน์ 2 ต่อ” คือ กองทุนที่มีเป้าหมายเพื่อการเกษียณและได้ลดหย่อนภาษีด้วย เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพสำหรับพนักงานประจำ ซึ่งเป็นสวัสดิการที่พนักงานประจำส่วนใหญ่ได้รับจากบริษัท โดยสามารถออมเงินได้ไม่เกิน 15% ของเงินเดือน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วน “ข้าราชการ” แน่นอนว่าต้องออมกับกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ก่อน ซึ่งลดหย่อนได้ไม่เกิน 30% ของเงินเดือน ส่วน “อาชีพอิสระ” ที่ไม่มีประกันสังคมสามารถออมในกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ซึ่งลดหย่อนสูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท ทั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กบข. และ กอช. ควรออมให้เต็มอัตราเท่าที่สามารถทำได้ สามารถทยอยแจ้งปรับการหักเงินเพิ่มขึ้นตามความสามารถการออมที่มากขึ้นได้ เพื่อสะสมเงินออมเพื่อการเกษียณให้เพียงพอตามหลักยิ่งออมมากยิ่งมีเงินมาก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ต่อมาควรออมเพิ่มด้วยกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) สามารถนำเงินลงทุนมาลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี และการซื้อประกันชีวิตแบบบำนาญ ช่วยลดหย่อนได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท ฯลฯ โดยทั้งหมดนี้นำมาลดหย่อนภาษีรวมกันได้ไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อลงทุนกองทุนที่ออมเพื่อการเกษียณแล้วยังมีเงินออมเหลือควรลงทุนในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) ซึ่งนำมาลดหย่อนได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ หรือไม่เกิน 300,000 บาทเพิ่มได้อีก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ยังมีคำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับกลุ่มอาชีพพนักงานประจำซึ่งมีความเชื่อว่า การทำงานแบบพนักงานบริษัทมีความมั่นคง เพราะมีเงินเดือนสม่ำเสมอ มีสวัสดิการ มีประกันสุขภาพ แต่อาจลืมนึกถึงความเสี่ยงจากความผันผวนทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นต่อธุรกิจ การมีโรคภัยไข้เจ็บที่ไม่คาดฝัน การเกิดอุบัติเหตุ หรือความเจ็บป่วยที่อาจทำให้ไม่สามารถทำงานต่อไปได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้น หากทำได้ควรหาช่องทางสร้างให้เกิดเป็นรายได้ทางที่ 2 โดยวางแผนการค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพทั้งจากสวัสดิการภาครัฐและจากการทำประกันสุขภาพ หรือมีประกันกรณีทุพพลภาพ เพื่อคนรอบข้างจะไม่ต้องเดือดร้อนจากการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน เช่นเดียวกับกลุ่มอาชีพข้าราชการซึ่งเชื่อว่ามีความมั่นคงสูงสุด มีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล และเมื่อเกษียณยังมีบำนาญกินรายเดือนตลอดชีวิต แต่ลืมนึกถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทาง ไม่ว่าจะเป็นค่าครองชีพที่สูงขึ้นมาก โดยเฉพาะค่ารักษาพยาบาล ยาบางรายการอาจไม่อยู่ในรายการที่เบิกได้ หรือเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น อุบัติเหตุที่อาจทำให้ทุพพลภาพไม่สามารถทำงานได้ หรือหากเสียชีวิตจะทำอย่างไรไม่ให้คนในครอบครัวได้รับผลกระทบจากการขาดรายได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะเดียวกันสิ่งที่ควรระวังของอาชีพข้าราชการคือ การค้ำประกันเงินกู้ให้กับผู้อื่น เพราะระบบข้าราชการจะใช้ตำแหน่งหน้าที่ค้ำประกันเงินกู้ยืมแบบพลัดกันยืมพลัดกันค้ำซึ่งอาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก่อนค้ำประกันเงินกู้ยืมให้ใครต้องอ่านสัญญาให้ละเอียดก่อนเซ็นค้ำประกัน และต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกัน การเซ็นสัญญาที่เขียนว่า “ให้ผู้ค้ำประกันยอมรับผิดร่วมกับลูกหนี้” เป็นสิ่งที่อันตรายมาก อาจทำให้ต้องไปร่วมรับผิดชอบในหนี้ที่คนอื่นก่อขึ้นมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระเป็นกลุ่มที่มีรายได้ไม่แน่นอน แต่มีรายจ่ายถาวร ยิ่งจำเป็นต้องวางแผนการเงิน โดยควรเริ่มต้นทำรายรับ รายจ่าย ล่วงหน้าอย่างน้อย 1 ปี และพยายามกำหนดเงินเดือนตนเองเสมือนพนักงานประจำเพื่อให้มีวินัยการเงินมากขึ้น รวมถึงการสร้างแผนสำรองเงินสดยามฉุกเฉินระยะเวลา 6 เดือนถึง 1 ปี และออมเงินให้ได้ 20-40% ของรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระที่มีอายุตั้งแต่ 15-60 ปี สามารถออมเงินได้ตามความสมัครใจกับกองทุนเงินออมแห่งชาติ ขั้นต่ำตั้งแต่ 50 บาทต่อปี สูงสุด 30,000 บาทต่อปี และรัฐสมทบสูงสุด 100% แต่ไม่เกิน 1,800 บาทต่อปี ไม่จำเป็นต้องออมเป็นประจำเท่ากันทุกเดือน และสามารถออมกับ กอช. ตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่อเข้าระบบการทำงานยังได้รับสิทธิออมเงินต่อเนื่อง จนถึงอายุ 60 ปีบริบูรณ์ และยังออมคู่ขนานได้ เป็นกองทุนที่มีความยืดหยุ่น ที่สำคัญรัฐบาลค้ำประกันผลตอบแทนในอัตราไม่น้อยกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน เฉลี่ย 7 ธนาคาร และยังสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30,000 บาทต่อปี นับว่าเป็นทางเลือกการออมที่คุ้มค่าสำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หากทำได้ตามนี้เชื่อว่าใครที่เป็นพนักงานประจำ ข้าราชการ และผู้ประกอบอาชีพอิสระ จะมีการวางแผนการเงินอย่างเป็นระบบ และมีความพร้อมด้านการเงินก่อนวันเกษียณได้อย่างแน่นอน เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/commentaries/thought-leaders/should-thailand-get-serious-about-its-semiconductor-industry" alt="ประเทศไทยควรจะจริงจังกับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์หรือไม่?">ประเทศไทยควรจะจริงจังกับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์หรือไม่?</a>​ ​<a href="https://www.mebmarket.com/ebook-341111-Forbes-Thailand-January-2025" alt="อ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมกราคม 2568 ในรูปแบบ e-magazine">อ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมกราคม 2568 ในรูปแบบ e-magazine</a><div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/TiSgitPhLCqbswRCCKqQ.jpg" alt="https://www.mebmarket.com/ebook-341111-Forbes-Thailand-January-2025" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="TiSgitPhLCqbswRCCKqQ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="300px,auto" data-rotate="" origin-size="549,720" style="width: 300px; height: auto;" data-index="0"></figure></div>

“เตรียมให้พร้อม…ก่อนวันเกษียณ” ด้วยพลังแห่งเวลาและดอกเบี้ยทบต้น

<h2>‘สมาคมนักวางแผนการเงินไทย’ หรือ TFPA จับมือ ‘ธนาคารแห่งประเทศไทย’ (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ ร่วมผลักดันสร้าง “ทักษะความรู้ทางการเงิน” หรือ Financial Literacy (FinLit) ให้ประชาชนตั้งแต่ระดับประถมศึกษาไปจนระดับมหาวิทยาลัย หลังพบว่าหนี้ครัวเรือนไทยปีนี้พุ่งแตะ 91.4% ต่อ GDP วัยเริ่มทำงานเป็นหนี้เร็ว</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วิโรจน์ ตั้งเจริญ นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย (Thai Financial Planners Association – TFPA) หรือ TFPA เปิดเผยว่า จากปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยที่มีแนวโน้มแตะระดับ 91.4% ต่อ GDP ภายในสิ้นปี 2567 โดยพบว่าหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล เติบโตเร็วสุดในรอบทศวรรษ และกว่า 50% ของกลุ่มคนที่เริ่มต้นทำงาน (อายุ 25-29 ปี) เป็นหนี้เร็ว และ 25% ของกลุ่มนี้เป็นหนี้เสีย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัญหานี้เป็นอุปสรรคต่อเนื่องไปถึงการที่คนไทยจะเกษียณอย่างมีความสุข เพราะในขณะนี้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีผู้สูงอายุเพิ่มอย่างรวดเร็วเป็นอันดับ 3 ของโลก แต่ปรากฏว่ามีคนไทยเพียง 15.7% เท่านั้นที่มีการเตรียมตัววางแผนเพื่อการเกษียณ ดังนั้น หากปัญหาหนี้ยังไม่ได้รับการแก้ไข จะเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยในระยะเวลาอันใกล้นี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แบงก์ชาติและสมาคมนักวางแผนการเงินไทย จึงได้หารือร่วมกันถึงแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาหนี้แก่ประชาชน โดยเสริมสร้างให้ประชาชนมีทักษะความรู้ด้านการเงิน หรือ Financial Literacy ตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนในชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษา ไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัย รวมทั้งสร้างความรู้ ความเข้าใจในการปกป้องตนเอง รู้เท่าทันกลโกงที่ล่อลวงให้ลงทุนอย่างไม่ถูกกฎหมาย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตลอดจนการสร้างตัวช่วยแก้หนี้หรือหมอหนี้ผ่านการอบรมหมอหนี้ฯ ให้กับนักวางแผนการเงิน CFP และที่ปรึกษาการเงิน AFPT เพื่อนำความเชี่ยวชาญด้านการวางแผนการเงิน ช่วยให้คำปรึกษาแก้ไขปัญหาหนี้แก่ประชาชน ซึ่งแบงก์ชาติเห็นว่านักวางแผนการเงิน CFP และที่ปรึกษาทางการเงิน AFPT เป็นผู้ที่มีความรู้ด้านการเงินในระดับที่จะต่อยอดเพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับการแก้ปัญหาหนี้ได้​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/EFepS2tQpKz7kqo88sxf.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="EFepS2tQpKz7kqo88sxf.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,480"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากความร่วมมือในครั้งนี้ แบงก์ชาติได้จัดอบรมโครงการหมอหนี้เพื่อประชาชน (ระดับกลาง) ซึ่งจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถด้านการเงินระดับสูง เช่น การอบรมความรู้เกี่ยวกับสินเชื่อรายย่อยและดอกเบี้ย, ข้อมูลเครดิตบูโร, กฎหมายเกี่ยวข้องกับหนี้, ขั้นตอนการแก้หนี้, การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และมาตรการและช่องทางการแก้หนี้ เป็นต้น เพื่อเสริมสร้างความรู้สำหรับการเป็นหมอหนี้ฯ ให้กับสมาชิกสมาคมฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยจัดอบรมรุ่นแรกเป็นเวลา 2 วัน ในวันที่ 16 และ 23 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งมีผู้ตอบรับเข้าอบรมเต็มจำนวนที่เปิดรับ 50 ราย และมีผู้ลงชื่อแสดงความสนใจอีกกว่า 300 ราย โดยผู้ร่วมอบรมที่ผ่านการอบรมดังกล่าวจะได้รับใบประกาศนียบัตรเข้าร่วมอบรมและผู้ผ่านการทดสอบจะมีโอกาสให้คำปรึกษาแก่ผู้ที่เป็นหนี้ผ่านโครงการแก้หนี้ของแบงก์ชาติต่อไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราหวังว่าความร่วมมือในครั้งนี้ จะสร้างความรู้ทางการเงินที่เป็นประโยชน์และเข้าถึงได้ง่าย ตลอดจนสร้างบุคลากรที่เป็นหมอหนี้ที่มีความรู้และให้คำแนะนำกับประชาชนได้มากขึ้น และเมื่อพ้นจากภาวะหนี้แล้ว การวางแผนการเงินเพื่อให้บรรลุเป้าหมายต่างๆ ในชีวิตสามารถทำให้สำเร็จได้ไม่ยากเลย” วิโรจน์กล่าว <a href="https://www.freepik.com/free-photo/descending-piles-coins-woman_8274805.htm#fromView=search&amp;page=1&amp;position=51&amp;uuid=c7728cb5-7843-443b-82e7-98f9d43f36fb">Image by freepik</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/hr/finance-and-investment/beware-of-financial-advices-on-social-media" alt="พึงระวัง! ก่อนเชื่อคนสอนลงทุนบนโซเชียล รายงานเผยคอนเทนต์ 71% ไม่น่าเชื่อถือ TikTok อาการหนักสุด">พึงระวัง! ก่อนเชื่อคนสอนลงทุนบนโซเชียล รายงานเผยคอนเทนต์ 71% ไม่น่าเชื่อถือ TikTok อาการหนักสุด</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

หนี้ครัวเรือนไทยพุ่ง 91.4% ต่อ GDP สมาคม TFPA จับมือ ‘แบงก์ชาติ’ สร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินให้ประชาชน

<h2>รายงานของ Forbes เมื่อเดือนมีนาคม 2023 เผยว่าชาวอเมริกันวัยมิลเลนเนียลและ Gen Z เกือบ 80% มองหาคำแนะนำทางการเงินจากโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะ TikTok, YouTube หรือ Instagram แต่ข้อมูลเหล่านี้สามารถเชื่อถือได้แค่ไหน?</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายงานล่าสุดโดย Social Capital Markets ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 พบว่า 71% ของคำแนะนำทางการเงินบนโซเชียลมีเดียที่ชาวมิลเลนเนียลและ Gen Z เสพนั้นขาดความน่าเชื่อถือ สร้างความเข้าใจผิด โดยในบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ที่ออกมาแบ่งปันข้อมูลด้านการเงิน มีเพียง 13% ที่มีคุณสมบัติและใบรับรองที่เกี่ยวข้องกับประเด็นดังกล่าว อันที่จริงช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมาในสหราชอาณาจักร มีอินฟลูเอนเซอร์จำนวนมากถูกปรับจากการหลอกลวงผู้ติดตามนับล้านบนโซเชียลมีเดียด้วยคอนเทนต์การเงินผิดๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Social Capital Markets ได้ทำการวิเคราะห์วิดีโอ 2,470 คลิปทั้งจาก TikTok, YouTube และ Instagram รวมถึงแฮชแท็กที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ #StockTok, #Investing และ #Stocktips เพื่อตรวจหาโพสต์ที่ชี้นำแบบผิดๆ พบว่ากว่า 85% ไม่มีคำเตือน (Disclaimer), 70% มีการเชิญชวนให้ผู้ชมลงทุนในทรัพย์สินบางอย่างโดยเฉพาะ และ 57% จูงใจผู้ชมว่าจะได้รับผลตอบแทนอย่างแน่นอน​​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/4XzSF5ALrb2R1r2BXtDt.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="4XzSF5ALrb2R1r2BXtDt.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="1536,1188" style="width: 720px; height: auto;" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในบรรดาแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทั้งหมด TikTok อาการหนักที่สุด โดยมีวิดีโอ 91% ที่ขาดคำเตือน, 70% เชิญชวนให้ซื้อหุ้น และ 65% การันตีว่าจะได้รับผลตอบแทนแน่นอน ซึ่งทั้งหมดนี้อันตรายต่อนักลงทุนหน้าใหม่โดยเฉพาะ Gen Z ชาวอเมริกันที่ยังมีภาระหนี้จากการกู้ยืมเพื่อการศึกษาและเงินเดือนยังต่ำอยู่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แพลตฟอร์มที่น่าเป็นห่วงรองลงมาคือ Instagram โดยมีวิดีโอเกี่ยวกับการเงิน 88% ที่ขาดคำเตือน และ 65% เชิญชวนให้ซื้อหุ้นบางตัวโดยเฉพาะ ตามมาด้วย YouTube ที่ีวิดีโอด้านการเงิน 76% ขาดคำเตือน, 75% มีการโปรโมตการลงทุนบางประเภทโดยเฉพาะ และ 55% การันตีว่าจะได้รับผลตอบแทนแน่นอน โดยหลายคอนเทนต์บน YouTube เลือกเชียร์หุ้นบางตัวเป็นพิเศษด้วย​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/XXS1XuAb77Hq1LD4ntHJ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="XXS1XuAb77Hq1LD4ntHJ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="1536,876" style="width: 720px; height: auto;" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หนึ่งในทรัพย์สินที่เหล่าอินฟลูเอนเซอร์เชิญชวนด้วยการพูดถึงบ่อยครั้งคือสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) จากการวิเคราะห์วิดีโอที่เกี่ยวข้อง 1,620 คลิป พบว่ามีการพูดถึง Memecoin หรือสกุลเงินดิจิทัลที่ได้แรงบันดาลใจจากมีมบนอินเทอร์เน็ต เช่น Dogecoin และ Shiba Inu บ่อยที่สุดถึง 51% บน TikTok, 44% บน Instagram และ 40% บน YouTube&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รองลงมาคือ AI Coin ที่มีการพูดถึง 22% บน Instagram, 20% บน YouTube และ 16% บน TikTok ตามด้วย Web3 Gaming Token หรือโทเคนที่ได้จากการเล่นเกมบนบล็อกเชน ที่มีการพูดถึง 30% บน YouTube, 18% บน TikTok และ 14% บน Instagram&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วน NFT ที่เคยได้รับความสนใจอย่างล้นหลามเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้คล้ายจะคลายความนิยมลง มีอินฟลูเอนเซอร์บน Instagram 17% ที่ยังพูดถึง NFT, 13% บน TikTok และเพียง 5% เท่านั้นบน YouTube แหล่งที่มา:​<a href="https://socialcapitalmarkets.net/social-media-financial-advice-misleads-gen-z-millennials/" alt="71% of Social Media Financial Advice Misleads Gen Z and Millennials">71% of Social Media Financial Advice Misleads Gen Z and Millennials</a>​ ​<a href="https://www.entrepreneur.com/business-news/riskiest-social-media-platform-for-financial-advice-report/482240" alt="Nearly 3 in 4 Posts on Social Media With Financial Advice Are 'Misleading,' According to a New Report">Nearly 3 in 4 Posts on Social Media With Financial Advice Are 'Misleading,' According to a New Report</a>​ ภาพ: <a href="https://www.pexels.com/photo/influencer-discussing-temporary-cryptocurrency-declines-8370811/" alt="Pexels.com">Pexels.com</a> และ&nbsp;Social Capital Markets เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/global-world/simple-and-basic-ways-billionaires-use-to-make-decisions" alt="‘เรียบง่ายแต่ทรงพลัง’ เบื้องหลังการตัดสินใจของมหาเศรษฐีผู้ประสบความสำเร็จ">‘เรียบง่ายแต่ทรงพลัง’ เบื้องหลังการตัดสินใจของมหาเศรษฐีผู้ประสบความสำเร็จ</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

พึงระวัง! ก่อนเชื่อคนสอนลงทุนบนโซเชียล รายงานเผยคอนเทนต์ 71% ไม่น่าเชื่อถือ TikTok อาการหนักสุด

<h2>K PLUS ตอกย้ำความเป็นผู้นำดิจิทัล แบงกิ้ง มุ่งสนับสนุนวินัยการเงินเพื่อสร้างสุขภาพการเงินที่ดีของคนไทย พัฒนาฟีเจอร์ด้านบริหารจัดการเงินครบวงจร ชู 3 ฟีเจอร์หลัก ‘ตั้งงบ-วางแผน-ลงทุน’ ช่วยจัดการการใช้จ่ายได้ดีขึ้น วางแผนและลงทุนอย่างเป็นระบบ เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนและพิชิตเป้าหมายการเงินผ่านการลงทุนที่สามารถซื้อกองทุนได้หลากหลายบลจ. ชั้นนำ และสามารถซื้อ-ขายทองคำกับแม่ทองสุก (MTS Gold) ได้อีกด้วย</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลสำรวจทักษะทางการเงินของไทย ในปี 2565 ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติสำรวจทุกๆ 2 ปี พบว่า คนไทยมีระดับทักษะทางการเงินที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 71.4% ดีขึ้นกว่าปี 2563 ที่ 67.4% และสูงกว่าค่าเฉลี่ยขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (The Organization for Economic Cooperation and Development: OECD) ที่ 60.5%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ถึงแม้ว่าระดับทักษะทางการเงินของคนไทยดีขึ้นต่อเนื่อง แต่สัดส่วนคนไทยที่เก็บออมลดลง การนำเงินไปลงทุนมีเพียง 2.6% เท่านั้น นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยออมเงินเพื่อรองรับเหตุฉุกเฉินและชีวิตหลังเกษียณ K PLUS จึงพัฒนาฟีเจอร์ที่ช่วยจัดการการเงินให้ง่ายขึ้น ส่งเสริมสุขภาพการเงินที่ดี และทำให้เข้าถึงการลงทุนที่มีประสิทธิภาพได้ง่ายขึ้น ภายใต้แนวคิด “จัดการเงินดี ชีวิตก็ดี” โดยมี 3 ฟีเจอร์หลัก ได้แก่​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/aZ7bKWyaRvjp3wTsHJxT.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="aZ7bKWyaRvjp3wTsHJxT.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,480"></figure></div> ฟีเจอร์: ตั้งงบรายจ่าย (My Budget)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สามารถตั้งงบค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันตามหมวดหมู่ต่างๆ ได้ตามที่ต้องการ เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ชอปปิ้ง หรือบันเทิง และสามารถตั้งชื่อหมวดหมู่ได้เองตามไลฟ์สไตล์ถึง 14 หมวดหมู่ ทำให้รู้ว่ามีการใช้จ่ายอะไรบ้างในแต่ละเดือน และสามารถอุดรอยรั่วทางการเงิน จัดการการใช้จ่ายได้ดีขึ้นและระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น สามารถลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ทำให้มีเงินเพียงพอในการใช้จ่ายและเก็บออมสำหรับอนาคต ฟีเจอร์: สินทรัพย์ของฉัน (My Asset)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เห็นภาพรวมสินทรัพย์และสินเชื่อทั้งหมดที่มีกับธนาคารกสิกรไทยได้ในที่เดียว โดยสามารถดูรายละเอียดได้ทั้งเงินฝาก กองทุนรวม ตราสารหนี้ หุ้นกู้ และหลักทรัพย์แบ่งสัดส่วนตามประเภทสินทรัพย์ ช่วยให้วางแผนการเงินระยะยาวได้อย่างเป็นระบบ เพิ่มโอกาสในการทำให้เป้าหมายทางการเงินที่ตั้งไว้ประสบความสำเร็จได้มากขึ้น​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/zb5SQSrZ3fGvcikuLYMz.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="zb5SQSrZ3fGvcikuLYMz.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="720,480"></figure></div> ฟีเจอร์: ลงทุน (Investment)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้ใช้งานสามารถลงทุนได้ง่ายขึ้น มีประสิทธิภาพ และมีทางเลือกในการลงทุนมากขึ้น โดยสามารถซื้อกองทุนจากหลากหลายบลจ. ชั้นนำ และสามารถซื้อ-ขายทองคำกับแม่ทองสุก (MTS Gold) ได้ นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์การลงทุนที่ครบครัน ทั้งการสรุปยอดซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีในแต่ละปี ที่ช่วยให้วางแผนภาษีได้ง่ายขึ้น การค้นหากองทุนรายกองหรือตามธีมแนะนำ การดูภาพรวมพอร์ตลงทุน และการตั้งเตือนราคาซื้อ-ขายกองทุน เพื่อช่วยต่อยอดการลงทุนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/6-jars-to-save-money" alt="รู้จักเทคนิค ‘โหล 6 ใบ’ วิธีแบ่งเงินง่ายๆ เก็บเงินได้แน่นอน">รู้จักเทคนิค ‘โหล 6 ใบ’ วิธีแบ่งเงินง่ายๆ เก็บเงินได้แน่นอน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

K PLUS พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ‘ตั้งงบ-วางแผน-ลงทุน’ หนุนคนไทยให้มีสุขภาพการเงินที่ดี

<h2>ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยฟรีแลนซ์ไทย แม้มีรายได้สูง แต่ไม่สม่ำเสมอ บางส่วนยังขาดความรู้ทางการเงิน เข้าถึงสินเชื่อได้ยาก ล่าสุดจึงเปิดตัวแคมเปญใหม่ เพิ่มคลาสเรียนออนไลน์พร้อม Workshop พิเศษ เพื่อกลุ่มอาชีพอิสระของไทยที่มีอยู่กว่า 20 ล้านคน เบื้องต้นคาดว่าปี 2567 จะมีกลุ่มเป้าหมายเข้าร่วมเรียนรู้ 3,000 คน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) หรือ SET กล่าวว่า ปัจจุบันในประเทศไทยมีผู้ทำอาชีพฟรีแลนซ์หรืออาชีพอิสระมากขึ้น มีทั้งรูปแบบการทำงานเต็มเวลา หรือ ทำหลายงานเพื่อสร้างรายได้หลายช่องทาง (Multi-Jobbers) ซึ่งรวมถึงการเป็น Influencer อีกด้วย จากข้อมูลกระทรวงแรงงานพบว่า ปี 2566 ประเทศไทยมีผู้ประกอบอาชีพอิสระ 20.46 ล้านคน คิดเป็น 52.19% ของผู้มีงานทำทั้งหมด<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/wGUDTGwmuFVGboeuCaq1.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="wGUDTGwmuFVGboeuCaq1.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,408"></figure></div> ​&nbsp; &nbsp; ขณะเดียวกัน กลุ่มฟรีแลนซ์ไทยยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ดังนั้นทาง ตลท. ได้สัมภาษณ์เชิงลึกในกลุ่มอาชีพ Multi-Jobbers และฟรีแลนซ์ พบว่า ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 20 - 45 ปี แต่มีหลากหลายอาชีพ โดยระบุถึง Pain Point (ปัญหา) หลักของกลุ่มนี้ ได้แก่&nbsp; &nbsp; - มีรายได้หลายช่องทาง รายได้สูง แต่ไม่แน่นอน และไม่สม่ำเสมอ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- เมื่อมีรายได้ ต้องเสียภาษีเพิ่มทุกปี &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- เมื่อเจอเหตุฉุกเฉิน ไม่มีสวัสดิการรองรับ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ไม่กล้าลงทุน เพราะเงินไม่เย็นพอ ขาดความรู้ทางการเงิน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะเดียวกัน เมื่อเจาะลึกด้านความรู้ทางเงินของกลุ่มฟรีแลนซ์ พบว่ามีส่วนที่ต้องเร่งเสริมความรู้ เช่น การสร้างหลักประกันในชีวิต (ประกันชีวิต) การจัดการภาษี เทคนิคการใช้บัตรเครดิต ดอกเบี้ยทบต้นซึ่งหากไม่มีความเข้าใจอาจส่งผลต่อการสร้างหนี้ การลงทุนในหุ้นทั้งด้านการวิเคราะห์ และค่าใช้จ่าย ฯลฯ<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/mikdFsvG6GCJXCB6V9sa.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="mikdFsvG6GCJXCB6V9sa.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="720,408"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ตลท. ได้เปิดตัวแคมเปญใหม่ “Happy Money, Happy Jobbers ชีวิตอิสระ งานโปรเงินปัง” มุ่งพัฒนาเนื้อหาตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ทำอาชีพอิสระ ซึ่งสามารถเรียนรู้ผ่านคลาสเรียนออนไลน์ และการอบรม (Workshop) ล่าสุดมีการพัฒนา 2 หลักสูตร ได้แก่ หลักสูตรวางแผนการเงิน สไตล์ Multi-Jobbers &amp; Freelancers และหลักสูตรวางแผนภาษีสไตล์ Multi-Jobbers &amp; Freelancers&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยปี 2567 คาดว่ากลุ่มเป้าหมายจะเข้าร่วมเรียนรู้ 3,000 คน ผ่านระบบ SET e-Learning และจะมีการจัด Workshop Wealth Studio “Life Hacks” The New Me for Fin Freedom ฝึกการใช้เครื่องมือจัดการเงิน บริหารความเสี่ยง วางแผนภาษี และวางแผนลงทุน และ Financial Mentor รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านวางแผนการเงิน ที่ตลาดหลักทรัพย์รวม 4 รุ่น รุ่นละ 50 คน (รวม 200 คนในปีนี้) <a href="https://www.freepik.com/free-ai-image/scene-with-diverse-young-people-being-digital-nomads-working-remotely-from-dreamy-locations_186038551.htm#fromView=search&amp;page=1&amp;position=6&amp;uuid=84b2a0c2-5bcf-4d76-b1ff-a799db07c200">Image by freepik</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/property/nuttaphong-kunakornwong-sc-asset-may-2024" alt="“ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” นำวิถียั่งยืน ดันรายได้ “SC Asset” 3 หมื่นล้าน"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/kerry-joins-betagro-push-kerry-cool-upgrade-refrigerated-transportation-service" alt="เคอรี่ฯ ผนึกกำลัง เบทาโกร ดัน 'KERRY COOL' ยกระดับบริการขนส่งเย็นครบวงจร">เคอรี่ฯ ผนึกกำลัง เบทาโกร ดัน 'KERRY COOL' ยกระดับบริการขนส่งเย็นครบวงจร</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

SET ชี้ฟรีแลนซ์ไทย ‘รายได้สูงแต่ไม่สม่ำเสมอ’ ต้องอัพความรู้ภาษี - สินเชื่อ - ลงทุน

<h2>ทิสโก้เตรียมรุกตลาด Wealth ออกผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพและการเกษียณอายุรูปแบบใหม่สู่ตลาดในปี 2562 ขณะที่ยังเน้นจุดแข็งของบริษัทในการให้คำแนะนำและช่วยวางแผนทางการเงินแก่ลูกค้า ตามแนวทางของการมุ่งหน้าเป็น “Top Advisory House”</h2>
ตลาดลูกค้า Wealth หรือผู้มีความมั่งคั่งมากกว่า 5 ล้านบาทขึ้นไป เริ่มมีความคึกคัก เข้มข้นมากขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาที่สถาบันการเงินแทบทุกแห่งหันมาบุกตลาดนี้มากขึ้น ทิสโก้ถือเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดนี้ซึ่งเตรียมผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดเพื่อสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้ รวมทั้งเพื่อสอดรับกับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของไทย

พิชา รัตนธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจธนบดี ธนาคารทิสโก้ กล่าวว่าในขณะที่การใช้บริการสถาบันการเงินของลูกค้าส่วนใหญ่มักจะนึกถึงการลงทุน แต่จริงๆ แล้วลูกค้าโดยเฉพาะในกลุ่ม Wealth ยังคงมองหาหนทางในการปกป้องความมั่งคั่งของตนเอง การวางแผนชีวิตเพื่อใช้เงินยามเกษียณ ไปจนถึงการส่งต่อความมั่งคั่งให้ลูกหลาน จึงทำให้ในปีนี้ทิสโก้จะไม่ได้มุ่งเน้นการให้คำาแนะนำาการลงทุนแก่ลูกค้าอย่างเดียว แต่จะปรับตัวเป็นผู้วางแผนทางการเงิน หรือ “Financial Planner” ให้กับลูกค้าด้วย

โดยในปีนี้ทิสโก้ จะรุกตลาดประกันสุขภาพโดยเฉพาะโรคร้ายแรง โดยมุ่งจับกลุ่มลูกค้าทั้งกลุ่ม Wealth และพนักงานออฟฟิศ ซึ่งหลายคนอาจยังใช้สวัสดิการของที่ทำงาน แต่ในอนาคตสวัสดิการที่มีอาจไม่เพียงพอกับการรักษา

“ความคุ้มครองที่คนไทยส่วนใหญ่มีคือการประกันชีวิต เนื่องจากในอดีตเทคโนโลยีการแพทย์ที่ยังไม่ก้าวหน้า ผู้ซื้อกรมธรรม์อาจคิดว่าถ้าเป็นอะไรไป อย่างน้อยคนที่อยู่ข้างหลังก็จะได้รับเงินทุนประกันนั้น แต่ในวันนี้เทคโนโลยีการรักษาก้าวหน้า ถ้าไม่มีประกันสุขภาพที่คุ้มครองเพียงพอความมั่งคั่งที่สะสมมาอาจจะหมดลงในชั่วพริบตา”

“มะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคสมอง เดี๋ยวนี้รักษาได้เพียงแต่ว่าคุณต้องมีเงิน เราคงไม่ปล่อยให้คนที่เรารักต้องตายไปต่อหน้า ทั้งๆ ที่รู้ว่าโอกาสการรักษายังมี แต่ถ้าเราไม่วางแผนจะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย ประกันสุขภาพที่มีอยู่ในท้องตลาดยังตอบโจทย์ไม่ได้หมด และคนก็ไม่รู้ว่ากรมธรรม์แบบไหนจะครอบคลุม” พิชากล่าว

<figure><img class="size-full wp-image-5141" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/ทิสโก้-พิชา-รัตนธรรม-.jpg" alt="" width="800" height="728" /><figcaption> พิชา รัตนธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจธนบดี ธนาคารทิสโก้</figcaption></figure>

เพื่ออุดช่องว่างของตลาดที่ยังไม่สามารถสนองตอบต่อความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง ทิสโก้จึงเตรียมออกผลิตภัณฑ์ประกันรูปแบบใหม่ๆ อาทิ แพ็กเกจประกันสุขภาพที่ให้ความคุ้มครองรักษาผู้ป่วยนอกแบบบุฟเฟต์ไม่จำกัดวงเงิน ไม่จำกัดจำนวนครั้ง และประกันเพื่อการเกษียณ หรือ Retirement Insurance ที่ครอบคลุมถึงอายุ 99 ปี เพื่อให้ผู้เอาประกันมั่นใจว่า ระหว่างทางจนถึงบั้นปลายชีวิตจะสามารถมีรายได้ใช้จ่ายอย่างต่อเนื่องราวกับเป็นเงินเดือน โดยไม่จำเป็นต้องนำเงินออมมาใช้ในชีวิตประจำวัน หากเริ่มวางแผนทางการเงินไว้ตั้งแต่อายุยังน้อย

“ก่อนหน้านี้เราคิดว่ามีเงินพอใช้ไปจนถึงอายุ 80 ก็น่าจะพอ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ วิทยาการทำให้คนมีอายุยืนขึ้น คนอายุเกิน 100 ปีมีมากขึ้น แล้วเราจะเอาเงินจากไหนมาใช้จ่าย ลูกหลานจะเลี้ยงหรือเปล่าก็ยังตอบไม่ได้ ที่สำคัญหลังเกษียณเราคงไม่อยากเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ อยากใช้ชีวิตแบบเดิม ไปกินข้าวร้านโปรด ไปเที่ยวบ้าง กินร้านมิชลินฯ บ้าง มันยังไม่มีผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ช่วยให้เราได้ใช้ชีวิตใกล้เคียงกับแบบเดิมในตลาด แต่เราจะทำ” พิชากล่าว

โดยในปีนี้ทิสโก้จะรุกจัดกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับประกันสุขภาพ และประกันเพื่อการเกษียณมากขึ้นจากเดิมที่มีแต่การให้ความรู้ด้านการลงทุน รวมไปถึงการผลิตภาพยนตร์ กิจกรรมประชาสัมพันธ์ เพื่อกระตุ้นให้คนสนใจวางแผนการเงินและวางแผนชีวิตของตนเองมากขึ้น

<figure><a href="http://Image by Donations_are_appreciated on Pixabay"><img class="wp-image-5142 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/ทิสโก้-เกษียณ.jpg" alt="" width="800" height="416" /><figcaption></a> ผลิตภัณฑ์ทางการเงินแบบใหม่ของทิสโก้ มุ่งตอบโจทย์ชีวิตคนหลังเกษียณในปัจจุบันที่มีชีวิตยืนยาวกว่าเดิม และต้องการมีไลฟ์สไตล์แบบที่เคยเป็นมา</figcaption></figure>

“ทิสโก้มั่นใจว่าสิ่งที่จะสามารถมัดใจลูกค้าได้ คือการให้บริการด้านคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงบทวิเคราะห์ที่ครอบคลุมหลากหลาย ทั้งหุ้น กองทุน และประกัน ที่เชื่อมั่นว่าจะสร้างความแตกต่างและความมั่นใจให้กับลูกค้าในฐานะเป็น Financial Planner ที่ครบวงจร” เขากล่าว

พิชากล่าวว่าขณะที่สถาบันการเงินหลายแห่งเน้นการให้สิทธิประโยชน์แก่ลูกค้า เช่น ส่วนลด และสิทธิพิเศษต่างๆ ทิสโก้เชื่อมั่นว่าการให้คำแนะนำที่ดีและมีคุณภาพแก่ลูกค้าซึ่งเป็นจุดแข็งของทิสโก้มาโดยตลอดจะเป็นสิ่งที่ช่วยผูกมัดใจลูกค้า Wealth ไว้กับธนาคารได้อย่างยั่งยืนมากกว่า

“บางรายมอบบัตร Priority Pass บางแห่งก็ให้สิทธิใช้ฟิตเนสตามโรงแรม แต่พอผ่านไปลูกค้าไม่ได้ตามเป้า เริ่มไม่ให้บัตร เริ่มจำกัดสิทธิการใช้ฟิตเนส ลูกค้าก็ตีจาก เท่ากับว่าลูกค้าอยู่เพราะสิทธิประโยชน์เท่านั้น ซึ่งมาร์เก็ตติ้งของทิสโก้ก็อยากมอบสิทธิประโยชน์แบบนั้นให้กับลูกค้าบ้าง ซึ่งจริงๆ ผมให้ก็ได้ แต่ถึงแม้ไม่ให้ลูกค้าก็ยังอยู่กับเรา ถ้าถามว่าเป็นเพราะอะไร คำตอบง่ายๆ คือ คำแนะนำ และผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เรามอบให้ ตรงนี้ต่างหากคือหัวใจสำคัญของธุรกิจ Wealth”

“จุดยืนเราชัดว่าเราต้องการเป็น Top Advisory House ก่อนหน้าที่เราจะเป็นแบงก์ เรามี บลจ. เรามีบริษัทหลักทรัพย์ ที่บทวิจัยได้รับการยอมรับ ทำให้เรามีพื้นฐานที่ดี เราจึงให้พนักงานที่ต้องเจอลูกค้า รวมทั้งให้พนักงานตามสาขาไปสอบไลเซ่นส์ รวมถึงอบรมการเป็นนักวางแผนการเงิน หรือ CFP ซึ่งเมื่อทำแบบนี้เท่ากับว่าคนทำงานสาขาจะไม่ใช่เพียงคนท่องคัมภีร์ขายของ แต่เขาจะมีความมั่นใจในการแนะนำด้านการเงิน แม้แต่เด็กที่จบมาจากเมืองนอกที่บางส่วนไม่อยากทำงานสาขา แต่พอเราวาง position ให้สาขาสามารถเป็นที่ให้คำแนะนำด้านการเงินได้ พวกเขาก็พร้อมที่จะเผชิญความท้าทาย” พิชากล่าว

นอกจากนี้เนื่องจากธนาคารทิสโก้เป็นองค์กรแบบ “Open Architecture” โดยเป็นธนาคารเดียวในไทยที่เป็นตัวแทนขายทั้งกองทุนและประกันให้กับหลากหลายสถาบัน ทำให้พนักงานทิสโก้ไม่จำเป็นต้องขายผลิตภัณฑ์ในเครือก่อน และสามารถให้คำแนะนำที่เป็นมืออาชีพและตอบโจทย์ทางการเงินลูกค้าแต่ละรายได้

“ในปีนี้ทิสโก้จะเริ่มออกบทวิเคราะห์กองทุน และประกัน เป็นเจ้าแรกในประเทศไทย ดังนั้นเมื่อพนักงานมีความรู้ ความสามารถ ผสานกับบทวิเคราะห์ที่จะผลิตออกมา จึงทำให้ลูกค้าสามารถเลือกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบโจทย์ตัวเองมากที่สุด” ผู้บริหารสูงสุดธุรกิจ Wealthของทิสโก้กล่าวในที่สุด

&nbsp;

เรื่อง: ธีรัตถ์ รัตนเสวี
ภาพ: จันทร์กลาง กันทอง

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events