<h2>สื่อต่างประเทศรายงานว่า Carrefour เชนซูเปอร์มาร์เก็ตสัญชาติฝรั่งเศส ได้ประกาศหยุดขายสินค้าของ PepsiCo ในสาขาใน 4 ประเทศยุโรป โดยให้เหตุผลว่าบริษัทอาหารอย่าง PepsiCo นั้นขึ้นราคาสินค้ามากเกินไป</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม 2024 ที่ผ่านมา ชั้นวางสินค้าของ Carrefour ในฝรั่งเศส, อิตาลี, สเปน และเบลเยียม จะมีป้ายบอกว่าทางร้านจะไม่สต็อกผลิตภัณฑ์ของ PepsiCo เช่น น้ำอัดลม Pepsi, มันฝรั่งทอดกรอบของ Lay’s และ Doritos และซีเรียลแบรนด์ Quaker “เนื่องจากการขึ้นราคาที่ไม่อาจยอมรับได้”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ บางแบรนด์ในกลุ่ม PepsiCo เช่น Cheetos และ 7Up ไม่มีวางขายใน Carrefour ที่ชานเมืองปารีสแล้ว ส่วนแบรนด์อื่นๆ เช่น Pepsi ยังคงมีวางอยู่บนชั้น ถัดจากป้ายประกาศดังกล่าว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/MY1mgiRr1wJ2Abmyh4Ws.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="MY1mgiRr1wJ2Abmyh4Ws.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของ Carrefour ได้รับเสียงสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากผู้บริโภค โดยที่สาขาหนึ่งในปารีส ลูกค้าต่างส่งเสียงเชียร์การเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นจำนวนมาก Edith Carpentier กล่าวกับ Reuters ว่า “นี่ไม่ทำให้ฉันประหลาดใจเลย ฉันคิดว่าต่อไปสินค้าจะขายไม่ได้จนเหลืออยู่บนชั้นมากมายด้วยซ้ำ เพราะมันแพงเกินไป และเป็นสิ่งที่เราเลี่ยงที่จะไม่ซื้อได้”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่บริษัทสัญชาติอเมริกันอย่าง PepsiCo ระบุในเดือนตุลาคม 2023 ว่า บริษัทวางแผนที่จะขึ้นราคา “เล็กน้อย” ในปีนี้ เนื่องจากดีมานด์ยังคงเพิ่มขึ้นท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปีที่ผ่านมา ผู้ค้าปลีกในหลายประเทศ รวมถึงเยอรมนีและเบลเยียม ประกาศว่าได้หยุดคำสั่งซื้อจากบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคเนื่องจากราคาที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในการเจรจาที่สืบเนื่องมาจากปัญหาภาวะเงินเฟ้อ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Carrefour เป็นหนึ่งในผู้ค้าปลีกที่กระตือรือร้นที่สุดในการท้าทายบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคและบริษัทอาหารรายใหญ่ในเรื่องราคา โดยเมื่อปีที่แล้ว บริษัทข้ามชาติสัญชาติฝรั่งเศสเริ่มแคมเปญ "shrinkflation" โดยติดคำเตือนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดเล็กลง แต่ราคาเดิม หรือสรุปแล้วเป็นการขึ้นราครอีกวิธีหนึ่งนั่นเอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ถือเป็นเรื่องปกติในยุโรปที่ฝรั่งเศสจะออกมาควบคุมภาคการค้าปลีกอย่างเข้มงวด โดยบังคับให้ซูเปอร์มาร์เก็ตต้องเจรจาราคากับผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มปีละครั้ง เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมการเกษตร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่การเจรจารอบสุดท้ายเมื่อต้นปีที่แล้ว ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของวิกฤติเงินเฟ้อ และราคาสินค้าสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้บรรดาซูเปอร์มาร์เก็ตต้องเจรจาลดราคาสินค้ากับแบรนด์ต่างๆ ในครั้งนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;James Walton หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Institute of Grocery Distribution กล่าวว่า “ซูเปอร์มาร์เก็ตในฝรั่งเศสพร้อมมากที่จะบอกลาแบรนด์ต่างๆ หากพวกเขาไม่ชอบข้อตกลงที่พวกเขาได้รับ แน่นอนว่านั่นเป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะไม่มีใครชนะได้หากสินค้าที่ผู้คนต้องการไม่มีอยู่บนชั้นวาง”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ที่มา: <a target="_blank" href="https://www.theguardian.com/world/2024/jan/04/carrefour-pulls-pepsico-products-four-eu-countries-price-hikes" alt="https://www.theguardian.com/world/2024/jan/04/carrefour-pulls-pepsico-products-four-eu-countries-price-hikes">https://www.theguardian.com/world/2024/jan/04/carrefour-pulls-pepsico-products-four-eu-countries-price-hikes</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/world/global-world/why-starbucks-is-so-expensive" alt="เปิดแก้วกาแฟส่องดู Starbucks ทำไมถึงแพง?">เปิดแก้วกาแฟส่องดู Starbucks ทำไมถึงแพง?</a><a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/world/global-world/why-starbucks-is-so-expensive" alt="ปิดแก้วกาแฟส่องดู Starbucks ทำไมถึงแพง?"></a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Carrefour ประกาศหยุดขายสินค้าของ PepsiCo ใน 4 ประเทศยุโรป เหตุ PepsiCo ขึ้นราคาสินค้ามากเกินไป

<h2>งานวิจัยเผย เด็กและเยาวชนหันมาใส่ใจเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น กับคำถามที่ว่าครอบครัวของพวกเขามีเงินเพียงพอหรือไม่ สูงกว่าความกังวลเรื่องสิ่งแวดล้อมและอาชญากรรมเสียอีก</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หนึ่งในสิบของเยาวชนอายุระหว่าง 10-17 ปีต่างเป็นทุกข์กับชีวิต อ้างอิงจากรายงานผลการศึกษาโดยองค์กร Children,s Society&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากการประมาณในรายงาน พบว่าเด็กและเยาวชนกว่า 2 ล้านคนในสหราชอาณาจักรต่างวิตกกังวลกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเหนือปัญหาสิ่งแวดล้อ โดยเกือบ 3 ล้านคนปราศจากความรู้สึกเชิงบวกต่ออนาคตของประเทศหรือกระทั่งของโลกก็ตาม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความมั่นคงทางการเงินในอนาคตคือปัญหากวนใจเยาวชนรุ่นใหม่กันมากที่สุด กว่าหนึ่งในสามของเยาวชนกังวลว่าจะมีเงินพอใช้สำหรับภายภาคหน้าหรือเปล่า สี่ในห้าของพ่อแม่หรือผู้ปกครองเองก็คิดมากเรื่องผลกระทบของค่าครองชีพที่มีต่อครอบครัวเช่นกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายงานดังกล่าวยังเปิดว่าเด็กผู้หญิงมีความสุขน้อยกว่าเด็กผู้ชายเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ยกเว้นงานที่โรงเรียน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ชีวิตยากเกินไปสำหรับเด็กหลายคน” Mark Russell ซีอีโอของ Children,s Society กล่าว “กลายเป็นเรื่องฉาวระดับชาติเมื่อความสุขของเด็กๆ ถดถอยลงเรื่อยๆ น่าตกใจจริงๆ ที่เกือบครึ่งของเยาวชนรู้สึกเศร้ากับสถานการณ์โลกทุกวันนี้”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราต้องการผู้นำแท้จริงจากรัฐบาลเพื่อแก้ไข” เขาเสริม “ความจำเป็นในการยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีต้องเด็กๆ เร่งด่วนมาก”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Nil Gzelgun ผู้จัดการนโยบายและแคมเปญจากองค์กรด้านสุขภาพจิตเผยว่า “เยาวชนกำลังแบกรับผลกระทบจากวิกฤตค่าครองชีพอันเลวร้ายยิ่งในรุ่นนี้ เกือบหนึ่งในสามของเด็กๆ ชาวอังกฤษต้องเผชิญความยากจน จึงเป็นเรื่องไม่น่าแปลกใจที่น่าเศร้าเหลือเกินเมื่อเด็กหลายคนกำลังรับรู้ถึงผลกระทบต่อความเป็นอยู่ที่ดีของพวกเขา”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีกรายงานผลการศึกษาที่เผยแพร่ในวันเดียวกันโดยองค์กรการกุศล Trussell Trust พบว่าครึ่งหนึ่งของแรงงานครัวเรือนที่มีชื่อในประกันสังคมที่เรียกว่า Universal Credit ต่างขาดแคลนอาหารในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และไม่สามารถหาซื้อเพิ่มได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Universal Credit คือสิทธิประโยชน์หลักของชาวสหราชอาณาจักรสำหรับผู้มีรายได้น้อยหรือตกงาน มีประชาชนมาขอเบิกเงิน 6 ล้านคน อัตราปกติคืออย่างน้อย 140 ปอนด์ต่อเดือนซึ่งต่ำกว่าค่าอาหาร พลังงาน และปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลการศึกษาซึ่งคาดคะเนว่าผู้ได้รับสิทธิประโยชน์จาก Universal Credit ราว 700,000 คนต้องหันไปพึ่งพาอาหารจากการกุศลในเดือนสิงหาคม ทั้งยังพบว่าหลายครอบครัวต้องดิ้นรนประหยัดพลังงาน พวกเขามีแนวโน้มจะอดอาหารบางมื้อและไม่อาบน้ำ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Russell กล่าวว่าในกรณีนี้มีความน่าประหลาดใจอยู่นิดหน่อยตรงที่งานวิจัยของ Children,s Society ชี้ว่าความสุขโดยรวมของเยาวชนตกลงสู่จุดต่ำสุดนับตั้งแต่มีการสำรวจครั้งแรกเมื่อ 12 ปีก่อน โดยคนรุ่นใหม่มีความทุกข์เกี่ยวกับปัจจัยหลักทุกอย่างของชีวิตกว่าแต่ก่อน ยกเว้นแค่ครอบครัวของพวกเขาเท่านั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Jonathan Townsend ซีอีโอแห่งองค์กรการกุศล Prince,s Trust กล่าวว่าผลการศึกษาเหล่านี้เป็นดั่ง “แจ้งเตือนอันชัดเจนว่าค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นส่งผลลบต่อความเป็นอยู่ที่ดีของเยาวชนและความหวังในอนาคตของพวกเขา”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ก่อนหน้านี้ เราเผยแพร่ผลวิจัยซึ่งแสดงให้เห็นว่าความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและแรงกดดันทางการเงินที่มีมาอย่างต่อเนื่องนั้น กัดกินความทะเยอทะยานด้านการงานอาชีพและเป้าหมายในชีวิตของเยาวชน โดยส่วนใหญ่รู้สึกหวั่นวิตก ขาดความมั่นใจ และสิ้นหวังเกี่ยวกับแผนการในอนาคต” Townsend อธิบาย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Barry Fletcher ซีอีโอแห่งมูลนิธิ Youth Futures Foundation เผยว่าเยาวชนจำนวนมากกว่า 790,000 คนไม่มีงานทำและไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษาหรือฝึกฝนใดๆ คิดเป็น 23% เพิ่มขึ้นตลอดสองปที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราจำเป็นต้องหาทางออกระยะยาวซึ่งสนับสนุนเยาวชน ช่วยให้พวกเขาได้ทำงานที่มีคุณภาพ และมีอนาคตที่สดใส” Fletcher กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทาง Children,s Society กำลังเรียกร้องให้มีการเพิ่มสิทธิประโยชน์ต่างๆ สำหรับเด็ก ต้องมีตำแหน่งรัฐมนตรีระดับสูงรับผิดชอบเรื่องของเยาวชนทั้งในรัฐบาลสหราชอาณาจักรและเวลส์ เพื่อให้ทางรัฐบาลสามารถตรวจสอบความเป็นอยู่ที่ดีของเด็กๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรมประจำทุกปี โดยเฉพาะสำหรับเด็กผู้หญิง”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แปลและเรียบเรียงจาก Children worry more about rising prices than environment or crime, study finds ซึ่งเผยแพร่บน theguardian.com &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/preview/71364" alt="หรือเปียโนจะสูญสิ้น? เมื่อออสเตรเลียขาดแคลนช่างจูนเสียง">หรือเปียโนจะสูญสิ้น? เมื่อออสเตรเลียขาดแคลนช่างจูนเสียง</a> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

เยาวชนสหราชอาณาจักรหวั่น ค่าครองชีพพุ่งสูง กระทบความมั่งคงทางการเงิน

<h2 class="p1">ในงานแถลงข่าว Forbes Global CEO Conference ครั้งที่ 20 ที่จัดขึ้นที่ประเทศสิงคโปร์ Lawrence Wong รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสิงคโปร์เผยว่าประเทศมีแผนพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อเตรียมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เมื่อโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการค้า </h2>
เมื่อวันที่ 26 กันยายนที่ผ่านมา นิตยสาร Forbes ได้จัดงานอีเวนต์ Forbes Global CEO Conference ประจำปี 2022 ซึ่งมีเหล่าซีอีโอ ผู้ประกอบการรายใหญ่ นักลงทุน รวมถึงผู้นำทางความคิดกว่า 400 คนเข้าร่วมงาน โดยมี Lawrence Wong รองนายกฯ ของสิงคโปร์เป็นหนึ่งในวิทยากร 50 คนที่ได้รับเชิญ 

Wong ผู้คาดว่าจะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนถัดไปแทนที่ Lee Hsien Loong ซึ่งดำรงตำแหน่งในปัจจุบัน กล่าวในงานอีเวนต์ประจำปีของ Forbes ว่า “เราจะไม่ปล่อยโอกาสให้สูญเสียไปเปล่าๆ” ซึ่งเป็นการแสดงจุดยืนของประเทศท่ามกลางความผันผวนและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน 

Wong กล่าวว่า รัฐบาลสิงคโปร์กำลังวางแผนเดินหน้าขยายความจุของสนามบินและท่าเรือเพื่อรองรับปริมาณการขนส่งสินค้าที่เพิ่มมากขึ้น พร้อมทั้งส่งเสริมการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในอุตสาหกรรมการเงินเพื่อผลักดันให้ประเทศเป็นศูนย์กลางด้านการเงินแห่งเอเชีย 

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา สิงคโปร์ได้ประกาศลงทุนในโปรเจ็กต์มูลค่า 2 หมื่นล้านเหรียญสิงคโปร์ หรือราวๆ 1.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อสร้างท่ารองรับสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกให้เสร็จสิ้นภายในปี 2040 รวมถึงการสร้างอาคารผู้โดยสารอันดับที่ห้าของท่าอากาศยานนานาชาติ Changi ซึ่งคาดว่าจะให้บริการด้วยระบบอัตโนมัติและสามารถดูแลนักท่องเที่ยวได้ถึง 50 ล้านคนต่อปี 

“เราอยากทำให้มั่นใจว่าศักยภาพการรองรับปริมาณการขนส่งนั้นสอดคล้องกับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น” Wong กล่าวในงานแถลงการณ์

รองนายกฯ ของสิงคโปร์ยังกล่าวเพิ่มเติมว่าการลงทุนดังกล่าวจะช่วยให้ประเทศรักษาสถานะของการเป็นจุดเชื่อมต่อทางการค้าที่ทั่วโลกเชื่อถือในระบบซัพพลายเชน พร้อมให้เหตุผลว่า “ขณะนี้ เรากำลังเข้าสู่โลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน”  

นอกเหนือจากการดิสรัปต์โดยวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 และความบาดหมางระหว่างจีนและสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อซัพพลายเชนทั่วโลก ปัจจุบัน สภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นยังเป็นอีกปัจจัยที่ทั้งโลกยังคงต้องเผชิญ 

“ภูมิศาสตร์การเมืองโลกจะเป็นตัวกำหนดทิศทางการค้าและการลงทุนในอนาคต อีกทั้งจะนำพาเราเข้าสู่โลกที่มีแต่การแบ่งแยก” Wong กล่าว

ทั้งนี้ Wong ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าการเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนถ่ายของสิงคโปร์เพื่อเตรียมพร้อมสู่ยุคใหม่จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่เขากล่าวว่าขณะนี้รัฐบาลกำลังมุ่งเน้นไปที่การแก้ปัญหาที่อยู่ตรงหน้า อย่างการควบคุมสภาวะเงินเฟ้อและการเตรียมรับมือกับผลกระทบอันเกิดจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในปีหน้า

“เราจะเดินหน้าทันทีเมื่อเราพร้อม” รองนายกฯ ของสิงคโปร์กล่าวทิ้งท้าย

แปลและเรียบเรียงโดย สิรินนรี อ๋องสกุล จากบทความ Singapore Seeks To Transform Industries As World Enters New Era Of Global Trade: DPM Lawrence Wong เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม:
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/world/forbes-global-ceo-conference-%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b9%89%e0%b8%87%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88-19.html">Forbes Global CEO Conference ครั้งที่ 19 การรับมือกับข้อท้าทายและโอกาสจากการเปลี่ยนแปลง</a></li>
</ul>

<hr />
<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Lawrence Wong เผยสิงคโปร์เตรียมรับมือยุคใหม่การค้าโลก

ปัญหาเงินเฟ้อในปีนี้ทวีความรุนแรง กัดกินพอร์ตลงทุนของคุณจนแทบกระอักเลือดกันเลยทีเดียว นาทีนี้เราคงต้องพยายามนิ่งและหาแนวคิดดีๆ เข้ามาปลอบประโลมจิตใจกันในวันที่อ่อนล้า

และแน่นอนว่าคำพูดของผู้ที่ผ่านโลกมามาก ย่อมแฝงไว้ด้วยข้อคิดเสมอ ไม่แปลกที่นักลงทุน Value Investor (VI) สายดำจะคอยติดตามการประชุมผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway ทุกๆ ปี

เพราะแต่ละปีจะมีโอกาสอยู่ไม่กี่ครั้ง ที่ได้ฟังความคิดจากมันสมองของ 2 นักลงทุนรุ่นเก๋าที่อายุรวมกันเกือบ 200 ปี และเป็นผู้นำทางความคิดของนักลงทุน VI ทั่วโลกอย่าง Warren Buffett และ Charlie Munger

ในการประชุมผู้ถือหุ้นปี 2565 นี้ ก็มีไฮไลต์ที่น่าสนใจหลายอย่าง ขอเริ่มด้วยเรื่อง "เงินเฟ้อ" ซึ่งเป็นการทบทวนแนวคิดการลงทุนไปด้วยในช่วงตลาดหุ้นแดงเกือบทุกวันจนแทบจะถอดใจ อยากลบแอปพลิเคชั่นทิ้งไปให้รู้แล้วรู้รอด
<h3>ภาวะเงินเฟ้อร้อนแรงในมุมมองของรุ่นเก๋า</h3>
สถานการณ์เงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกา เริ่มทวีความร้อนแรงมาตั้งแต่เมษายน 2564 และไม่มีทีท่าว่าจะทุเลาลงจนทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ต้องขึ้นดอกเบี้ยแบบต่อเนื่องและในอัตราเร่งสูงถึง 0.75% ในการประชุมครั้งล่าสุด สูงสุดในรอบ 28 ปี และตลาดยังคาดว่าจะเห็นเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยได้อีกในปีนี้

เงินเฟ้อสหรัฐฯ ล่าสุดเดือนมิถุนายน 2565 อยู่ที่ +8.6% ทำสถิติสูงสุดในรอบ 40 ปี!

จริงๆ แล้วปู่ Buffett เห็นสัญญาณเงินเฟ้อเร่งตัวตั้งแต่การประชุมผู้ถือหุ้นปีที่แล้ว เพราะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และเฟอร์นิเจอร์ในพอร์ตของ Berkshire Hathaway ต้องซื้อเหล็กในราคาสูงขึ้น

ประชุมผู้ถือหุ้นปี 2565 นี้ ได้มีผู้ถือหุ้นถามปู่ Buffett เกี่ยวกับเรื่องเงินเฟ้อ โดยอ้างถึงสิ่งที่ปู่พูดในปีที่แล้วด้วยครับ

โดยคำถามคือ “อยากให้ปู่ Buffett ช่วยเปรียบเทียบเงินเฟ้อรอบนี้กับเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในอดีตว่าครั้งไหนน่ากลัวกว่ากัน”

ปู่ Buffett ตอบคำถามจากมุมมองส่วนตัวว่า เงินเฟ้อรอบนี้เกิดจากมาตรการเยียวยาโควิด-19 ในสหรัฐฯ รวมกันมากกว่า 6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ รวมถึงมาตรการ QE (Quantitative Easing) และสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่เข้ามาเติมเชื้อไฟ

ถึงแม้เฟดจะบอกว่าตอนนี้เงินเฟ้อใกล้แตะจุดสูงสุดแล้ว แต่ปู่กลับบอกว่า ‘สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเงินเฟ้อจะไปหยุดที่เท่าไร’ พร้อมชื่นชมการตัดสินใจของเฟดเพราะหากเฟดไม่ทำมาตรการ QE ชีวิตคนอเมริกันคงแย่กว่านี้เยอะ

ส่วนปู่ Munger ได้เสริมแบบตรงๆ ตามสไตล์ว่า "การที่รัฐบาลสหรัฐฯ พิมพ์เงินแจกบริษัทต่างๆ ทั่วประเทศ ตามมาตรการเยียวยาโควิด-19 ก็เหมือนทำให้ประเทศจมอยู่ใต้กองเงินไปช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ก็จำเป็นต้องทำ"

ปู่ Buffett ย้ำหลักการเดิมว่า ตัวเขาจะไม่คาดการณ์ตลาดหุ้นหรือตัวเลขทางเศรษฐกิจอะไรทั้งนั้น แต่จะคอยหาโอกาสลงทุนจากความผันผวนของตลาดหุ้นในระยะสั้นเป็นหลักมากกว่า

เพราะตั้งแต่ต้นปีที่ตลาดหุ้นผันผวนหนัก หลายคนตัดสินใจล้างพอร์ตลงทุนหนีตาย แต่ Berkshire Hathaway ของปู่กระหน่ำซื้อหุ้นไปแล้วประมาณ 5.1 หมื่นล้านเหรียญ และยังเหลือเงินในมืออยู่อีกประมาณ 1 แสนล้านเหรียญให้ช็อปปิ้งหุ้นถูกต่อครับ
<h3>วิธีรับมือเงินเฟ้อแบบคูลๆ โดย Warren Buffett</h3>
เวลามีคนถามเรื่องวิธีการลงทุนรับมือเงินเฟ้อ ปู่ Buffett จะตอบหลักการลงทุนที่เคยได้ยินมาตลอดว่า ต้องลงทุนในธุรกิจที่มีความได้เปรียบเหนือคู่แข่งสามารถขึ้นราคาได้โดยไม่กระทบยอดขาย

แต่ครั้งนี้ต่างออกไป เพราะคนถามคำถามนี้เป็นเด็กผู้หญิงอายุแค่ 12 ปีที่มาประชุมผู้ถือหุ้นของ Berkshire Hathaway แล้ว 5 ปี นั่นหมายความว่า เธอเริ่มลงทุนหุ้น Berkshire Hathaway ตั้งแต่ 7 ขวบ &#x1f605;

ปู่ Buffett จึงตอบแกมสอนไปว่า สิ่งที่ดีที่สุดในการรับมือเงินเฟ้อคือ ความเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจนโดดเด่น เพราะถ้าหนูเป็นหมอหรือทนายความที่เก่งที่สุดในเมือง ยังไงก็มีคนพร้อมจ่ายเงินเพื่อใช้บริการของหนู

พร้อมย้ำว่า เงินเฟ้อไม่สามารถกัดกินพรสวรรค์หรือความสามารถของหนูได้ ดังนั้นการลงทุนที่ดีที่สุดเพื่อสู้กับเงินเฟ้อคือ การพัฒนาตัวเอง และพูดถึงกฎ 10,000 ชั่วโมงอันโด่งดังของ Malcolm Gladwell

ปู่ Buffett ในวัย 91 ก็ตบท้ายด้วยการยิงมุกตลกว่า ถ้าหนูมาประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทแล้ว 5 ครั้ง ปู่คิดว่า หนูมีอนาคตที่สดใสรออยู่แน่นอน เล่นเอาผู้ถือหุ้นฮาแตกทั้งฮอลล์เลยครับ &#x1f600;

<img class="alignnone size-full wp-image-65102" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/outliers_กฎ-10000-ชั่วโมง.jpg" alt="" width="450" height="676" />
<h3>เงินสดหรือจะสู้เงินเฟ้อ</h3>
ปู่ Buffett อธิบายว่า เงินเฟ้อจะกัดกินมูลค่าเงิน โดยเฉพาะคนที่เก็บเงินสดไว้ไม่ยอมลงทุน (ปู่ใช้คำว่า คนที่ซุกเงินไว้ใต้เตียง) ส่วนคนที่ลงทุนในหุ้นหรือตราสารหนี้ก็ใช่ว่าจะหนีเงินเฟ้อพ้นร้อยเปอร์เซ็นต์

ในเชิงธุรกิจ ปู่อธิบายว่า เงินเฟ้อทำให้ธุรกิจต้องใช้เงินลงทุนมากขึ้นในการขยายธุรกิจ พร้อมยกตัวอย่างแบบสุดโต่งว่า ถ้าวันนี้เงินเฟ้อสูงร้อยละ 90 จนมูลค่าเงินเหลือแค่ 1 ใน 10 คุณก็ต้องใช้เงินมากขึ้น 10 เท่าเพื่อลงทุนและสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนให้ได้มากกว่า 10 เท่า

การขึ้นราคาสินค้าและบริการ เพื่อสู้กับเงินเฟ้อไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกบริษัท โดยตัวปู่ Buffett มักเลือกลงทุนในกิจการที่มั่นใจว่า มีอำนาจต่อรองในตลาดสูง ขึ้นราคาสินค้าและบริการได้ โดยที่ยอดขายไม่ลดลง ลูกค้ายินดีที่จะจ่าย
<h3>ชมประธานเฟดวางไทม์ไลน์ชัด</h3>
สุดท้าย ปู่ Buffett ผู้ผ่านวิกฤตมาหลายรอบ ชื่นชมประธานเฟดคนปัจจุบันอย่าง Jerome Powell ที่กล้าขึ้นดอกเบี้ยเพื่อคุมเงินเฟ้อว่า เขาคือฮีโร่ เพราะเขาทำในสิ่งที่ เฟดต้องทำ

และอธิบายเสริมว่า ถ้าเป็นประธานเฟดคนอื่นๆ อาจไม่กล้าทำแบบนี้ เพราะถ้าเกิดเงินเฟ้อสูงมากจนวิกฤต คนก็จะไม่โทษเฟดอยู่ดี แต่จะไปโทษโควิด-19 รัฐบาลจีน หรือเรื่องอื่นๆ

เมื่อเฟดขึ้นดอกเบี้ย ก็อาจทำให้เกิดเศรษฐกิจถดถอยหรืออาจจะไม่ก็ได้ แต่ยังไงทุกคนก็ต้องเจอเศรษฐกิจถดถอยอยู่แล้วสักวัน เพราะมันคือวัฏจักรทางเศรษฐกิจ หมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน มีขึ้นก็ต้องมีลง

ปู่ Buffett ผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาตลอดชีวิต เข้าใจดีว่า จะต้องมีช่วงที่เศรษฐกิจไม่เป็นใจ แต่ด้วยหลักการลงทุนในกิจการที่พื้นฐานแข็งแกร่งเป็นทุนเดิม บวกกับอารมณ์ที่นิ่งสงบ ทำให้ปู่มั่นใจในโอกาสลงทุนที่แฝงอยู่ในความผันผวนตลอดเวลา

เหมือนวลีอันโด่งดังของปู่ที่ว่า “ถ้าคุณไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ คุณก็จะไม่สามารถควบคุมการลงทุนของตัวเองได้เช่นกัน”

หากคุณอยากฟังคำตอบเต็มๆ ของ 2 ปู่รุ่นเก๋า จาก <a href="https://buffett.cnbc.com/2022-berkshire-hathaway-annual-meeting/">การประชุมผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway</a> ปีล่าสุด สามารถเข้าไปดูคลิปวิดีโอและคำบรรยายจากการถอดไฟล์เสียง

ฟังแล้วจะยึดหลักปรัชญาการลงทุนของ Buffett ที่ถูกพิสูจน์มาหลายรอบแล้วว่า ทำผลตอบแทนเฉลี่ยชนะดัชนีตลาดหุ้นได้ในระยะยาวมาใช้ ก็จะช่วยให้พอร์ตคุณมีแนวทางการลงทุนที่ชัดเจน

ส่วนตัวผมเองก็นำนำปรัชญาการลงทุนของ Buffett มาปรับใช้กับแผนการลงทุน Jitta Ranking และต่อยอดด้วยเทคโนโลยี AI เพื่อเพิ่มขุมกำลังในการวิเคราะห์หุ้นแบบ Quantitative Value Investing(QVI) ที่ถ้ามีโอกาสผมจะมาเล่าให้ฟังเพิ่มเติมนะครับ

<img class="alignnone size-full wp-image-55871" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/ตราวุทธิ์-เหลืองสมบูรณ์_1205.jpg" alt="" width="300" height="300" />
บทความโดย
ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์
CEO Jitta Wealth
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a style="color: #003300;" href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>

ทำไม Buffett ไม่กลัวขาดทุนช่วงเงินเฟ้อ?

อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกที่เพิ่มสูงขึ้นท่ามกลางปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) การระงับการส่งออกสินค้าอาหารทั่วโลก และสงครามระหว่างรัสเซีย - ยูเครนที่ยังยืดเยื้อ ประกอบกับความพยายามควบคุมเงินเฟ้อของธนาคารกลางในหลายประเทศ ด้วยการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่าปกติ

จากปัญหาข้างต้นทำให้ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวรุนแรงจนเข้าสู่ภาวะถดถอยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะยุโรปที่อาจเป็นกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงมากกว่าภูมิภาคอื่น จาก  3 ปัจจัยหลัก ได้แก่

1.ความไม่แน่นอนด้านพลังงาน จากแผน REPowerEU เพื่อลดการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซีย โดยตั้งเป้าลดการนำเข้าก๊าซจากรัสเซียลง 2 ใน 3 ในปีนี้ และยุติพลังงานฟอสซิลทั้งหมดจากรัสเซียภายในปี 2027 แต่ล่าสุดแผนดังกล่าวมีความเข้มงวดมากขึ้น หลังจาก EU ได้ประกาศต้องการระงับการนำเข้าจากรัสเซียในปีนี้ด้วย ซึ่งมติของสหภาพยุโรปที่คว่ำบาตรการนำเข้าพลังงานจากรัสเซียที่รุนแรงมากขึ้น

กลายเป็นปัจจัยเสี่ยงหลัก เนื่องจากที่ผ่านมาสหภาพยุโรปมีการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติที่สหภาพยุโรปนำเข้าจากรัสเซียวันละ 155 ล้านคิวบิกเมตร หรือคิดเป็น 40% ของความต้องการการใช้งาน รวมถึงน้ำมันที่นำเข้าจากรัสเซียกว่าวันละ 2.8 ล้านบาร์เรล หรือคิดเป็นกว่า 25% ของความต้องการการใช้งาน

โดยหากรัสเซียระงับการส่งออกพลังงานมาให้หรือเกิดการคว่ำบาตรการนำเข้าพลังงานจากรัสเซียทั้งหมด และหาพลังงานมาชดเชยส่วนของรัสเซียได้ไม่เพียงพอ ภาคการผลิตของยุโรปก็จะหยุดชะงัก โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานมาก (Energy-intensive) อาทิ เคมีภัณฑ์ เหล็ก กระดาษ อาหาร และรถยนต์

ซึ่งต่างกับสหรัฐฯ ที่เป็นผู้ผลิตน้ำมันใช้ในการบริโภคในประเทศกว่า 11 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือจีนที่มีความใกล้ชิดกับรัสเซียสามารถสั่งซื้อน้ำมันจากรัสเซียเพิ่มได้ ทำให้ 2 ประเทศมหาอำนาจไม่มีปัญหาในด้านอุปทานน้ำมันจากสงครามระหว่างรัสเซียยูเครนที่เป็นปัญหากับสหภาพยุโรปมากกว่า

2.ปัญหาด้านอัตราเงินเฟ้อสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคมของยุโรปพุ่งแตะระดับ 8.1%YoY จากปัญหาต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นกระจายไปหลายภาคส่วน นอกจากราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นแล้วราคาสินค้าอย่างอาหารและภาคบริการก็ปรับตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วเช่นกันเมื่อเทียบกับอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำโดยรวมของกลุ่มยูโรโซน (Gross Statutory Minimum Wage in Eurozone) ที่ปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียงประมาณ 3%YoY ทำให้การใช้จ่ายภาคครัวเรือนหดตัว

สะท้อนภาพความกังวลจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวตัวลดลง -21.1 จุด เป็นระดับต่ำใกล้เคียงกับช่วงเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ในปี 2020 และยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัว ส่งผลให้ทาง ECB ได้ปรับประมาณการ GDP ในปี 2022 - 2023 ลดลงมาจากเมื่อเดือน มี.ค. โดยคาดว่า GDP ปีนี้จะขยายตัว 2.8% (vs. เดิมคาด 3.7%) และคาดจะขยายตัว 2.1% (vs. เดิมคาด 2.8%) ในปี 2023

3.นโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรปเข้มงวดมากขึ้นจากยุติการเข้าซื้อสินทรัพย์แบบปกติหรือ  APP ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. และจะปรับขึ้นดอกเบี้ย Deposit Facility Rate ครั้งแรกในวันที่ 21 ก.ค. 0.25% และมีโอกาสที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.50% ในการประชุมเดือน ก.ย. และ  0.25% ในเดือน ต.ค. และ ธ.ค. ซึ่งจะทำให้ดอกเบี้ยกลับมาเป็นบวกที่ระดับ 0.75% ณ สิ้นปีนี้ เทียบกับปัจจุบันอยู่ที่ -0.50%

ซึ่งเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยุโรปที่มีความเปราะบาง มีหนี้เป็นจำนวนมาก และเศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตต่ำ อย่างเช่น ประเทศอิตาลีที่เป็นประเทศหนึ่งในกลุ่ม PIIGS (โปรตุเกส อิตาลี ไอร์แลนด์ กรีซ และสเปน) ที่มีปัญหาหนี้สาธารณะอยู่ระดับสูงถึง 150% จึงมีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้เพิ่มสูงขึ้น

3 ปัจจัยที่กล่าวมา ต่างก็เป็นแรงกดดันให้เศรษฐกิจของยุโรปอาจจะชะลอลงจนเข้าสู่ภาวะ Recession ในระยะข้างหน้า จึงแนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นยุโรป และเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นจีนเนื่องจากมองว่าราคาน่าจะลงมาใกล้จุดต่ำสุด เพราะรับรู้ประเด็นลบจากปัจจัยกดดันทั้งจากปัจจัยลบทั้งภายในและภายนอกประเทศไปหมดแล้ว

อีกทั้งเริ่มเห็นสัญญาณการผ่อนคลายนโยบายจากทางการจีนมากขึ้น เช่น การคลาย Lockdown เมืองเซี่ยงไฮ้ที่ปลดล็อกอย่างเต็มรูปแบบ และการผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านการกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศและผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อทำให้เศรษฐกิจจีนโตในระดับ 5.5% ในปี 2565

จึงมองว่า ในช่วงนี้เป็นจังหวะที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้น ‘เมกะเทรนด์ของจีน’ ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นในระยะยาว หลังจากราคาหุ้นกลุ่มนี้ย้อนหลัง 1 ปี ปรับตัวลงมาราว 40% และยังคงเป็นกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนเชิงนโยบายจากทางภาครัฐจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 14  ซึ่งบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2564 - 2568 โดยมี 4 ธีมเมกะเทรนด์ของหุ้นจีนที่น่าสนใจในการลงทุนระยะยาว ดังนี้ 1. กลุ่มการบริโภค (Consumption) 2. กลุ่มเทคโนโลยี (Technology) 3. กลุ่มเทคโนโลยีสะอาด (Clean Technology) และ 4. กลุ่มเฮลธ์แคร์ (Healthcare) เป็นต้น

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-41940 size-thumbnail" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/02/ณัฐกฤติ-เหล่าทวีทรัพย์-150x150.jpg" alt="" width="150" height="150" />
บทความโดย
ณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ CFP®
Head of Wealth Advisory ธนาคารทิสโก้
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>
&nbsp;

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events