<h2>Starbucks ประกาศแผนปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ มูลค่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยจะปิดสาขาบางแห่งในอเมริกาเหนือและเลิกจ้างพนักงานเพิ่มเติม ภายใต้การดำเนินการตามกลยุทธ์ “Back to Starbucks” ที่นำโดย CEO Brian Niccol</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตามเอกสารที่ Starbucks ยื่นต่อ Securities and Exchange Commission (SEC) บริษัทระบุว่า จำนวนร้านที่บริษัทเป็นผู้ดำเนินการเองในอเมริกาเหนือจะลดลงประมาณ 1% ในปีงบประมาณ 2025 ซึ่งรวมถึงการเปิดและการปิดสาขา โดยนักวิเคราะห์จาก TD Cowen ประเมินว่าตัวเลขนี้หมายถึงการปิดสุทธิประมาณ 500 แห่ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ Starbucks จะเลิกจ้างพนักงานสายงานที่ไม่ใช่ร้านค้าปลีกประมาณ 900 คนในวันศุกร์นี้ บริษัทคาดว่า 90% ของค่าใช้จ่ายปรับโครงสร้าง 1 พันล้านเหรียญ จะเกิดขึ้นจากธุรกิจในอเมริกาเหนือ โดยรวมแล้วคาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายราว 150 ล้านเหรียญสำหรับการชดเชยพนักงาน และประมาณ 850 ล้านเหรียญสำหรับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการปิดสาขา ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ 2025&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Starbucks วางแผนปิดปีงบประมาณนี้ด้วยจำนวนสาขารวมในอเมริกาเหนือเกือบ 18,300 แห่ง ซึ่งประกอบไปด้วยร้านที่บริษัทดำเนินการเองและร้านที่เป็นแฟรนไชส์ และมีแผนจะกลับมาเติบโตต่อในปีงบประมาณ 2026&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในเอกสารที่ยื่นต่อ SEC Starbucks ระบุว่าบริษัทจะเน้นการลงทุน “ใกล้ชิดกับร้านและลูกค้ามากขึ้น” เพื่อพลิกฟื้นยอดขายในตลาดหลัก หลังจากยอดขายสาขาเดิมลดลงติดต่อกันถึงหกไตรมาส อันเป็นผลมาจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นและผู้บริโภคที่ระมัดระวังเรื่องการใช้จ่าย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นี่เป็นการเลิกจ้างรอบที่สองนับตั้งแต่ Brian Niccol เข้ารับตำแหน่ง โดยก่อนหน้านี้บริษัทปลดพนักงานสายงานองค์กรไปแล้ว 1,100 คนเมื่อต้นปี 2024 ซึ่ง Starbucks ปิดปี 2024 ด้วยจำนวนพนักงานนอกพื้นที่ร้านค้าประมาณ 16,000 คน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การปรับเปลี่ยนครั้งนี้เพื่อย้ำสิ่งที่เรามองว่าได้ผล และจัดสรรทรัพยากรไปยังส่วนที่สำคัญ” Niccol เขียนในจดหมายถึงพนักงาน “ผมเชื่อว่านี่เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อสร้าง Starbucks ที่แข็งแกร่ง ยืดหยุ่น และสร้างผลกระทบเชิงบวกให้แก่โลก รวมถึงสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับพาร์ทเนอร์ ซัพพลายเออร์ และชุมชนที่เราดำเนินงาน”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา Starbucks เพิ่งประกาศลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดในด้านแรงงานและมาตรฐานการดำเนินงาน ภายใต้โครงการ “Green Apron Service” ด้วยเม็ดเงินมากกว่า 500 ล้านเหรียญ เพื่อเพิ่มจำนวนชั่วโมงทำงานในร้านที่บริษัทเป็นเจ้าของตลอดหนึ่งปีข้างหน้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในการให้สัมภาษณ์กับ CNBC เมื่อต้นเดือนนี้ Niccol กล่าวว่า “ผมหวังอย่างยิ่งว่าเรากำลังก้าวไปสู่การเป็นบริษัทที่ให้บริการลูกค้าดีที่สุดในโลก และเป็นบริษัทที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลางที่สุดในโลก”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในจดหมายถึงพนักงานเมื่อวันพฤหัสบดี Niccol ยังระบุว่าบริษัทได้ทบทวนและระบุร้านที่ “ไม่สามารถสร้างบรรยากาศตามที่ลูกค้าและพนักงานคาดหวังได้ หรือร้านที่ไม่เห็นแนวโน้มการทำกำไร” ด้านนักวิเคราะห์จาก TD Cowen อย่าง Andrew Charles เขียนในบันทึกถึงลูกค้าว่าจำนวนสาขาที่ปิดนั้น “มากกว่าที่เราคาดไว้”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ก่อนหน้านี้ผู้บริหาร Starbucks กล่าวว่าบริษัทจะชะลอการเปิดสาขาใหม่ และหันไปปรับปรุงร้านเดิมแทน โดยร้านที่ได้รับการปรับปรุงมีเป้าหมายเพื่อดึงดูดลูกค้าให้นั่งพักผ่อน นำแบรนด์กลับสู่รากฐานการเป็น “ที่สาม” (third place) นอกเหนือจากบ้านและที่ทำงาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับบาริสต้าที่ได้รับผลกระทบจากการปิดร้าน Niccol ระบุว่าจะถูกโอนไปยังร้านใกล้เคียง หรือในบางกรณีจะได้รับแพ็กเกจชดเชย ขณะที่ Starbucks Workers United ซึ่งเป็นสหภาพแรงงานที่มีบาริสต้ากว่า 12,000 คนในกว่า 650 สาขา ระบุในแถลงการณ์กับ CNBC ว่าจะส่งคำร้องอย่างเป็นทางการต่อบริษัทเกี่ยวกับการปิดร้าน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราคาดว่าจะเข้าร่วมการเจรจาเกี่ยวกับผลกระทบในทุกสาขาที่เป็นสหภาพแรงงาน เพื่อให้พนักงานสามารถย้ายไปทำงานในสาขา Starbucks อื่นตามความต้องการ” สหภาพแรงงานกล่าวในแถลงการณ์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังการประกาศเมื่อวันพฤหัสบดี ราคาหุ้น Starbucks ลดลงไม่ถึง 1% ในการซื้อขายช่วงบ่าย และตลอดปีนี้หุ้นร่วงลงแล้วมากกว่า 8%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ นอกเหนือจากการเน้นย้ำประสบการณ์ลูกค้า Niccol ยังได้เปลี่ยนแปลงด้านการดำเนินงานเพิ่มเติม เช่น การบังคับให้พนักงานกลับเข้าออฟฟิศสี่วันต่อสัปดาห์ เริ่มตั้งแต่เดือนหน้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เขายังเสริมทีมผู้บริหารชุดใหม่ ได้แก่ CFO - Cathy Smith, Global Chief Brand Officer - Tressie Lieberman และ Chief Operating Officer - Mike Grams โดย Lieberman และ Grams เคยทำงานร่วมกับ Niccol ในตำแหน่งก่อนหน้าที่ Chipotle และ Yum Brands Photo by <a href="https://unsplash.com/@lennartspictures?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">Lennart Schulz</a> on <a href="https://unsplash.com/photos/a-sign-on-a-building-m5Zt4TnMjdY?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">Unsplash</a> แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a target="_blank" href="https://www.cnbc.com/2025/09/25/starbucks-restructuring-store-closures-layoffs.html" alt="Starbucks to close stores, lay off workers in $1 billion restructuring plan">Starbucks to close stores, lay off workers in $1 billion restructuring plan</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/nescafe-concentrate-ready-to-mix" alt="เพราะกาแฟเย็นขายดี! ยอดขายครอง 65% ของกาแฟนอกบ้าน เนสกาแฟรับเทรนด์ เปิดตัว ‘กาแฟเข้มข้นพร้อมชง’">เพราะกาแฟเย็นขายดี! ยอดขายครอง 65% ของกาแฟนอกบ้าน เนสกาแฟรับเทรนด์ เปิดตัว ‘กาแฟเข้มข้นพร้อมชง’</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Starbucks ประกาศแผนปรับโครงสร้าง มูลค่า 1 พันล้านเหรียญ ปิดสาขา-ปลดพนักงานกว่า 900 ชีวิต

<h2>เนตรนภา ศรีสมัย กรรมการผู้จัดการ สตาร์บัคส์ฯ ไทย เปิดตัวร้านสตาร์บัคส์ สาขาที่ 334 ด้วยพื้นที่ใหญ่สุดในประเทศ พร้อมส่งมอบนวัตกรรมเครื่องดืมเย็นผสานไนโตเจน 4 รสชาติแห่งแรกในเอเชีย ต่อยอดจากกาแฟไนโตร โคลด์ บรูว์ เผยยอดขายกาแฟ 3.5 ล้านแก้วต่อเดือน ตั้งเป้าปี 2561 ขยายสาขาทั่วประเทศ 30-40 สาขา</h2>
สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ (ประเทศไทย) เปิดตัวร้านสตาร์บัคส์ สาขาใหม่ ที่เซ็นทรัลเวิร์ดด้วยพื้นที่ 760 ตารางเมตร ด้วยไฮไลท์ สตาร์บัคส์ รีเสิร์ฟ บาร์ ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ เลือกกาแฟเด่นจากทั่วโลกเสิร์ฟคนรักกาแฟ ผ่านสุดยอดเครื่องชงกาแฟ Black Eagle และสามารถเลือกชงในรูปแบบอื่นๆ อย่าง Siphon, Chemex และ Pour-Over รวมเป็นเคาวน์เคอร์สตาร์บัคส์ ดราฟท์ ที่ผสานด้วยไนโตรเจน ซึ่งให้บริการที่แรกในเอเชีย มีให้เลือก 4 แบบจากหัวจ่าย โคลด์ บรูว์, ไนโตร โคลด์ บรูว์, ชา และ หัวจ่ายนม

<figure><img style="width: 638px; height: 425px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/995b418a0c215fe4b74fe3d84a1f4957.png" alt="" width="638" height="425" /><figcaption> หัวจ่าย สตาร์บัคส์ ดราฟท์ ทั้ง 4 แบบ</figcaption></figure>

D.Major Cohen คอฟฟี่ แอมบาสเดอร์ สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเปิดสาขาที่เซ็นทรัลเวิร์ดครั้งนี้ว่า “วันนี้เป็นวันแรกที่เราเปิดตัวกาแฟที่เราคัดสรรจากผลผลิตของเกษตรกรจากทั่วโลก วันนี้เราได้เลือกเปิดตัวเมล็ดกาแฟจาก 3 แบบคือ เอลซาวาดอร์, เคนย่า, ลาวันด้า เป็นครั้งแรกในประเทศไทย”

<figure><img style="width: 638px; height: 425px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/d1ff7afccfd40c2e135f12c7e0324398.png" alt="" width="638" height="425" /><figcaption> D.Major Cohen คอฟฟี่ แอมบาสเดอร์ สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ (กลาง) และบาริสต้า แชมป์เปี้ยนชิพปี 2016 และปีปัจจุบัน</figcaption></figure>

ด้าน เนตรนภา ศรีสมัย กรรมการผู้จัดการ สตาร์บัคส์ฯ ไทย เผยปัจจุบันสตาร์บัคส์ได้ขยายสาขาไปแล้ว 335 แห่ง ซึ่งภายในปีนี้ เราตั้งเป้าขยายสาขาราว 30-40 สาขา โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาเราได้เปิดสาขาแล้ว 23 แห่ง ซึ่งสาขา 334 เป็นสาขาซึ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ขณะที่ปี 2560 สตาร์บัคส์ได้ขยายสาขาเป็นจำนวน 39 สาขา

“สตาร์บัคส์เองยังคงเติบโตในตลาดกาแฟพรีเมียมที่แข่งขันในเรื่องการนำเสนอบริการ คุณภาพ และรสชาติที่ดีของกาแฟ จากการขยายสาขาทำให้เราได้กลุ่มลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น เราตั้งเป้าขยายสาขาให้ได้ราว 30-40 สาขา ต่อปีภายใน 5 ปีนี้” เนตรนภา ศรีสมัย กล่าวและเสริมว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของร้านสตาร์บัคส์ยังเน้นเปิดในห้างสรรพสินค้า และนอกจากร้านในรูปแบบปกติแล้ว สตาร์บัคส์ยังเสริมบริการอื่นๆ อย่างสาขา Drive-Thru ให้บริการ 24 สาขา, สาขาที่ให้บริการ สตาร์บัค รีเสิร์ฟ 21 สาขา และสาขาที่ให้บริการ 24 ชั่วโมง 15 สาขา ซึ่งการเสริมบริการดังกล่าวเป็นไปตามความต้องการของลูกค้า

<figure><img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/fa1addb4126c98db9326ae8e171b3562.png" alt="" width="638" height="416" /><figcaption> เนตรนภา ศรีสมัย กรรมการผู้จัดการ สตาร์บัคส์ฯ ไทย</figcaption></figure>

“ต่อเดือนสตาร์บัคส์จำหน่ายกาแฟราว 3.5 ล้านแก้วต่อเดือน หากคิดเฉลี่ยต่อหัวอยู่ที่ราว 220 บาทต่อครั้ง โดยใน 1 เดือนลูกค้าของเราซื้อเฉลี่ย 7 แก้วต่อเดือน ซึ่ง 80 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนแก้วที่ขายคือกาแฟ นอกจากนี้ ในโปรแกรม มายสตาร์บัคส์ รีวอร์ด มียอดสมาชิกเป็นจำนวน 1.3 ล้านคน ซึ่งโตราว 20 เปอร์เซ็นต์จากปีที่ผ่านมา ในขณะที่แอพพลิเคชั่นมียอดดาว์นโหลดแล้ว 430,000 ครั้ง ซึ่งจากการเติบโตการเกิดขึ้นทำให้ธุรกิจ สตาร์บัคส์ ประเทศไทย ติดใน 5 อันดับใน สตาร์บัคส์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค” เนตรนภา ศรีสมัย กล่าว

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events