<h2>กลุ่ม ‘สิริวัฒนภักดี’ เทคโอเวอร์ซื้อหุ้นเพิ่มจากผู้ก่อตั้งเดิมของ AMARIN ไว้หมดแล้ว พร้อมประกาศ Tender Offer เสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมดของกิจการในราคาหุ้นละ 5 บาท โดยคาดว่าจะยืนเสนอซื้ออย่างเป็นทางการได้ในวันที่ 14 มีนาคม 2567</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังจากเป็นกระแสข่าวดังในช่วงเดือนตุลาคมปี 2566 ที่ผ่านมา โดย บมจ.อมรินทร์ คอร์เปอเรชั่นส์ หรือ AMARIN ซึ่งถือเป็นเจ้าของธุรกิจสื่อในเครือหลายสำนัก ก่อตั้งโดย ชูเกียรติ อุทกะพันธุ์ นับตั้งแต่ปี 2519 เรียกได้ว่าเป็นธุรกิจที่ดำเนินการมานานราว 47 ปี ได้มีการซื้อขายหุ้นระดับ Big Lot จากผู้ถือหุ้นรายใหญ่และยังเป็นทายาทของผู้ก่อตั้งบริษัท ได้แก่ ระริน อุทกะพันธุ์ ปัญจรุ่งโรจน์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การตัดสินใจครั้งนั้นนับเป็นการเปลี่ยนแปลงภายในอย่างเห็นได้ชัด โดย ระริน ได้ทำการขายหุ้นในราคาเฉลี่ย 5.50 บาทต่อหุ้นจำนวน 138,387,052 หุ้น ให้แก่ บริษัท สิริภักดีธรรม จำกัด ภายใต้การดูแลของ ฐาปน สิริวัฒนภักดี ผู้บริหารไทยเบฟ และปณต สิริวัฒนภักดี ผู้บริหารเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ คิดเป็นสัดส่วน 13.86% ของหุ้นทั้งหมด ด้วยมูลค่า 761 ล้านบาท ขณะเดียวกันทางกลุ่มอุทกะพันธุ์ยังได้ตัดสินใจลาออกจากการเป็นผู้บริหารทั้งหมดในอมรินทร์ หลังจากนั้นผู้บริหารจากฝั่งไทยเบฟซึ่งกลายมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ก็ได้ขึ้นก้าวขึ้นแท่นมากุมบังเหียนบริหารงานทั้งหมดแทน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 มีนาคม ที่ผ่านมา ศิริ บุญพิทักษ์เกศ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อมรินทร์ คอร์เปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ AMARIN ได้ทำการแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า บริษัท สิริวัฒนภักดี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บริษัท อเดลฟอส จำกัด ที่ถือหุ้นในสัดส่วน 99.9998% ได้เข้าถือหุ้น AMARIN แล้ว จำนวนทั้งสิ้น 78,919,921 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 7.9056% ของหุ้นทั้งหมด จากการซื้อหุ้นที่เหลือจากกลุ่ม “อุทกะพันธ์” ผู้ก่อตั้งอมรินทร์ อีก 2 บุคคล ดังนี้1. นายระพี อุทกะพันธุ์ จำนวน 42,248,130 หุ้น หรือคิดเป็น 4.2321% ของหุ้นทั้งหมด2. นางเมตตา อุทกะพันธุ์ จำนวน 36,671,791 หุ้น หรือคิดเป็น 3.6735% ของหุ้นทั้งหมด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ การเข้าซื้อหุ้นเพิ่มดังกล่าวของกลุ่ม ‘สิริวัฒนภักดี’ ถือเป็นการซื้อขายหุ้นผ่านระบบของตลาดหลักทรัพย์ฯ บนกระดานรายใหญ่ (Big Lot Board) พร้อมกันนี้ ยังได้ประกาศ Tender Offer เพื่อยื่นเสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมดอย่างเป็นทางการในวันที่ 14 มีนาคม 2567 เป็นจำนวน 178,547,217 หุ้น มีราคาเสนอซื้ออยู่ที่ 5.00 บาท/หุ้น มูลค่ารวม 892,736,085.00 บาท&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/fN1B6awYCQNJD7atVDD3.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="fN1B6awYCQNJD7atVDD3.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/4k7pREPp7mjanuRQcweH.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="4k7pREPp7mjanuRQcweH.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/ptg-invests-35-millions-baht-hold-70-percent-shares-golak-subway-brand" alt="PTG ทุ่ม 35 ล้านบาท ผ่านบริษัทย่อย ถือหุ้น 70% ในบริษัทใหม่ “โกลัค” GL ดึงแบรนด์ Subway เก็บเข้าพอร์ต">PTG ทุ่ม 35 ล้านบาท ผ่านบริษัทย่อย ถือหุ้น 70% ในบริษัทใหม่ “โกลัค” GL ดึงแบรนด์ Subway เก็บเข้าพอร์ต</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ปิดฉากถาวร กลุ่ม ‘สิริวัฒนภักดี’ Take Over ซื้อหุ้น AMARIN จากผู้ก่อตั้งเดิมหมดแล้ว พร้อมประกาศ Tender Offer หุ้นละ 5 บาท 

"เที่ยวภูเก็ต" มุมมองใหม่หลังแซนด์บ็อกซ์ กับ “คอร์ทยาร์ด แมริออท ภูเก็ต ทาวน์”

เฟรเซอร์สฯ รวบซื้อ โกลเด้นแลนด์ ก้าวสู่องค์กรใหญ่มูลค่า "แสนล้าน"

<h2>หลังจากรวบรวมอสังหาฯ ทั้งหมดของ TCC Group มาไว้ในบริษัทเดียวที่ แอสเสทเวิรด์ฯ ล่าสุดได้ฤกษ์เดินหน้าโรดโชว์ ประกาศราคาขายหุ้นใหม่ (IPO) ที่ 6 บาทต่อหุ้น โดยมีนักลงทุนสถาบันประเภท Cornerstone ตกลงจองซื้อหุ้นก่อนแล้ว 50 %</h2>
บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC บริษัทพัฒนาและบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในเครือ TCC Group ของตระกูลสิริวัฒนภักดี ประกาศแผนขายหุ้นสามัญต่อประชาชนครั้งแรกหรือไอพีโอ จำนวนไม่เกิน 8,000 ล้านหุ้น ราคาไอพีโอหุ้นละ 6 บาท เตรียม เปิดขายวันที่ 25-27 กันยายนนี้ ผ่าน 12 บริษัทหลักทรัพย์ ซึ่งจะเป็นการเปิดขายหุ้นไอพีโอใหญ่ที่สุดในตลาดฯ โดยภายหลังเข้าจำหน่ายหุ้นแล้ว AWC จะมีสินทรัพย์รวมกว่า 1.1 แสนล้านบาท

วัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า AWC พร้อมเดินหน้าเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน และระดมทุนเดินหน้าขยายธุรกิจ ซึ่งภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ (ไม่รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) และอาจมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Over allotment Option หรือ Greenshoe) จำนวนไม่เกิน 1,043 ล้านหุ้น บริษัทจะนำเงินที่ได้รับจากการจัดสรรหุ้นส่วนเกินไปใช้ในกลไกการรักษาระดับราคาหุ้น (Stabilization) เสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนเกี่ยวกับเสถียรภาพของราคาหุ้นในช่วง 30 วันแรกหลังเข้าจดทะเบียนซื้อขาย และเป็นเงินทุนในการขยายธุรกิจ

<figure><img class="wp-image-16222 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/09/วัลลภา-ไตรโสรัส.jpg" alt="" width="800" height="533" /><figcaption> วัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน)</figcaption></figure>

ภายหลังการเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว AWC จะมีโครงการในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) รวมทั้งสิ้น 27 โครงการ จากปัจจุบันที่มีโครงการ 14 แห่ง (แบ่งเป็นโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 10 แห่ง และรวมโครงการอีก 4 แห่ง ตามสัญญาซื้อขายหุ้นปี 2562) และโรงแรมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาหรือมีแผนการพัฒนาจำนวน 13 แห่ง (เป็นโรงแรมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาหรือแผนในการพัฒนา 11 แห่ง และ โครงการอสังหาริมทรัพย์ Mixed-use อีก 2 แห่ง)
<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/people/cover-story/โสมพัฒน์-วัลลภา-พลิกเกมอ.html">โสมพัฒน์-วัลลภา พลิกเกมอสังหาฯ ทีซีซี แลนด์ แสนล้าน</a></li>
</ul>
ภายใน 5 ปีข้างหน้า AWC จะมีห้องพักโรงแรมรวม 8,506 ห้อง ส่วนกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้า (Retail และ Wholesale) บริษัทฯ จะมีพื้นที่เช่าสุทธิรวม 415,481 ตารางเมตร จากโครงการทั้งหมด 11 โครงการ โดยมีโครงการที่เปิดดำเนินการแล้ว 9 โครงการ (รวม 1 โครงการ ที่บริษัทฯ ได้ทำข้อบันทึกตกลงสัญญาว่าจ้างบริหาร เกทเวย์ เอกมัย และเพื่อพิจารณาเข้าลงทุนในโครงการเกทเวย์ เอกมัย ปี 2562) และอีก 2 โครงการซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาและปรับปรุง และที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและทดสอบความพร้อมต่าง ๆ (Test Run) พร้อมกับเป็นเจ้าของอาคารสำนักงานอีก 4 แห่ง ด้วยพื้นที่เช่าสุทธิรวม 270,594 ตารางเมตร

แอสเสทเวิรด์ฯ เปิดขายหุ้นไอพีโอใหญ่สุดระดมทุน 4.8 หมื่นล้าน

<h2>หลังปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เครือทีซีซี แผนรุกการพัฒนาโครงการใหญ่ของทุนน้ำเมารายนี้ก็ผงาดพรึบ 4 คอมเพล็กซ์ใหญ่ยึดทำเลถนนพระราม 4 โดยล่าสุดเปิดมาสเตอร์แพลน “วัน แบงค็อก” ด้วยโนฮาวน์เฟรเซอร์ฯ สิงคโปร์ พลิกโฉมการพัฒนาอสังหาฯโครงการ 1.2 แสนล้านบาท</h2>
เมื่อไม่นานมานี้กลุ่มทุน “สิริวัฒนภักดี” ซึ่งมีฐานธุรกิจมาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งสุราและเบียร์ รวมทั้งธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มระดับภูมิภาคอย่างเอ็ฟแอนด์เอ็นจากสิงคโปร์ ได้ปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหริมทรัพย์ของกลุ่ม

โดยปรับ บริษัท ทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์ จำกัด มาเป็น บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AWC นำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมี “วัลลภา ไตรโสรัส” บุตรสาวคนที่ 2 ของเจ้าสัวเจริญเป็นผู้บริหารหลัก
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/people/cover-story/%e0%b9%82%e0%b8%aa%e0%b8%a1%e0%b8%9e%e0%b8%b1%e0%b8%92%e0%b8%99%e0%b9%8c-%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%a5%e0%b8%a5%e0%b8%a0%e0%b8%b2-%e0%b8%9e%e0%b8%a5%e0%b8%b4%e0%b8%81%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%a1%e0%b8%ad.html">โสมพัฒน์-วัลลภา พลิกเกมอสังหาฯ ทีซีซี แลนด์ แสนล้าน</a></li>
</ul>
AWC เน้นลงทุนอสังหาฯใน 2 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) ซึ่งเป็นพันธมิตรเชนโรงแรมระดับโลก ได้แก่ แมริออท ฮิลตัน อินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ล กรุ๊ป มีเลีย บันยันทรี และโอกุระ โดยมีโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 10 แห่ง จำนวน 3,432 ห้อง โรงแรมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาหรือมีแผนพัฒนา 5 แห่ง จำนวน 1,528 ห้อง นอกจากนี้ได้เซ็นสัญญาซื้อโรงแรมอีก 12 แห่ง เพื่อพัฒนาในช่วง 5 ปี รวมจำนวนโรงแรมที่อยู่ในมือ 8,000 ห้อง

<figure><img class="wp-image-13275 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/ปณต-สิริวัฒนภักดี.jpg" alt="วัน แบงค็อก" width="638" height="454" /><figcaption> ปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด</figcaption></figure>

ล่าสุดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อีกฝั่งเจ้าสัวเจริญมอบหมายให้ “ปณต สิริวัฒนภักดี” บุตรชายคนเล็กเป็นผู้รับผิดชอบดูแลในตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด ที่มีฐานอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ ที่ได้มาจากการทุ่มเม็ดเงินมหาศาลซื้อหุ้นในบริษัทเอฟแอนด์เอ็นสิงคโปร์เมื่อหลายปีก่อน

โดยเอ็ฟแอนด์เอ็น หรือเฟรเซอร์แอนด์นีฟ นอกจากทำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มแล้ว ยังมีฝั่งของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์คือเฟรเซอร์ พร็อพเพอร์ตี้รวมอยู่ด้วย และมีประสบการณ์ลงทุนพัฒนาอสังหาฯ หลากหลายทั้งในสิงคโปร์และอีกหลายประเทศ

โครงการ “วัน แบงค็อก” (One Bangkok) ซึ่งเป็นแผนพัฒนาโครงการใหญ่ระดับ 1.2 แสนล้านบาท จึงมอบหมายให้เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของเฟรเซอร์ พร็อพเพอร์ตี้ฯ สิงคโปร์ เข้ามาพัฒนาร่วมกับบริษัท ทีซีซี แอสเซ็ทส์ (ประเทศไทย) ของตระกูลสิริวัฒนภักดีเช่นเดียวกัน ด้วยแผนพัฒนาที่เป็นโครงการขนาดใหญ่บนพื้นที่กว่า 104 ไร่ ริมถนนพระราม 4-ถนนวิทยุ (โรงเรียนเตรียมทหารเดิม) มูลค่าการลงทุนโครงการกว่า 1.2 แสนล้านบาท

<figure><img class="wp-image-13264 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/OneBangkok-01.jpg" alt="วัน แบงค็อก" width="638" height="425" /><figcaption> โมเดลจำลองโครงการ <a href="http://onebangkok.com">“วัน แบงค็อก” (One Bangkok)</a></figcaption></figure>

เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมาโครงการวัน แบงค็อก ได้จัดงานแถลงข่าวเปิดมาสเตอร์แพลนโครงการนำเสนอรายละเอียดแผนการพัฒนาอภิโปรเจกต์มูลค่ากว่าแสนล้าน ด้วยความยิ่งใหญ่ของการก่อสร้าง และคอนเซปท์ที่เป็นเมืองย่อมๆ แห่งใหม่ของกรุงเทพฯ

โครงการนี้ประกอบด้วย 5 อาคารสำนักงาน 5 โรงแรมชั้นนำ นำร่องด้วยโรงแรมแบรนด์หรู The Ritz-Carlton, Bangkok และเรสซิเดนซ์หรู 3 อาคาร พร้อมพื้นที่รีเทล 4 โซน ซึ่งทั้ง 10 อาคารสามารถเชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียว นับเป็นการพัฒนาโครงการใหญ่ที่สุดของภาคเอกชนในปัจจุบัน ด้วยพื้นที่ใช้สอยกว่า 1.8 ล้านตารางเมตร
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/the-bangkoks-8-megaprojects-%e0%b8%95%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88-1.html">THE BANGKOK’S 8 MEGAPROJECTS เมกะโปรเจกต์ของภาคเอกชน ตอนที่ 1</a></li>
</ul>
ทีมบริหารส่วนหนึ่งมาจากเฟรเซอร์ พร็อพเพอร์ตี้ที่สิงคโปร์นับเป็นการแลกเปลี่ยนโนว์ฮาวน์การพัฒนาอสังหาฯ ต่อเนื่องหลังจากทุนสิริวัฒนภักดีได้เข้าไปเทคโอเวอร์เอฟแอนด์เอ็นเมื่อหลายปีก่อน ที่เริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรม

<img class="alignnone wp-image-13263 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/Management-Team_OneBangkok-01.jpg" alt="วัน แบงค็อก" width="638" height="479" />

ผู้บริหารหลักของโครงการคือ Su Lin Soon ประธานเจ้าหน้าที่บริหารวัน แบงค็อก และเธอยังเป็นประธานกรรมการเจ้าหน้าที่บริหารโครงการ The PARQ คอมเพล็กซ์มูลค่า 2 หมื่นล้านบาท อีกโครงการของกลุ่มทุนสิริวัฒนภักดี ที่เพิ่งประกาศลงทุนไปไม่นานนี้ เป็นหนึ่งใน 4 คอมเพล็กซ์ใหญ่บนทำเลถนนพระราม 4 (ติดศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์)

“วัน แบงค็อกจะสร้างนิยามใหม่และพลิกโฉมพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ ให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ในฐานะโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทย" ปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด กล่าว

"ความมุ่งมั่นของเราคือการเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ยึดหลักความยั่งยืน พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนและผสานเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนอย่างสมบูรณ์ เราเชื่อมั่นว่า วัน แบงค็อกจะมอบสิ่งที่คู่ควรกับกรุงเทพฯ พร้อมชูให้ประเทศไทยโดดเด่นเป็นสง่าในเวทีโลก และเติบโตในฐานะศูนย์กลางของประเทศอาเซียนต่อไป”

ทั้งนี้ พื้นที่ก่อสร้างในโครงการวัน แบงค็อกเฟสแรกจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดบริการในปี 2566

&nbsp;
<h2>4 คอมเพล็กซ์ยึดทำเลทอง 3 จตุรัส</h2>
นอกจากวัน แบงค็อกแล้ว กลุ่มทุนสิริวัฒนภักดี ยังมีโครงการพัฒนาลักษณะคอมเพล็กซ์บนทำเลทองริมถนนพระราม 4 อีก 3 โครงการซึ่งหนึ่งในนั้นคือ โครงการสามย่านมิตรทาวน์ โครงการมิกซ์ยูส มูลค่า 8.5 พันล้านบาทที่พัฒนาโดย บมจ.แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ หรือ โกลเด้นแลนด์ บริษัทกลุ่มทุนสิริวัฒนภักดีอีกแห่ง เป็นโครงการขนาดใหญ่พัฒนาพื้นที่กว่า 13 ไร่บริเวณหัวมุมสามย่านถนนพระราม 4-ถนนพญาไท ซึ่งจะเปิดให้บริการในเดือนตุลาคมนี้

<figure><img class="wp-image-13262 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/FYI-Center-01.jpg" alt="" width="638" height="296" /><figcaption> โครงการ FYI CENTER</figcaption></figure>

ก่อนหน้านี้โครงการ FYI CENTER (For Your Inspiration Workplace) มูลค่า 5 พันล้านบาท พื้นที่ใช้สอย 100,000 ตารางเมตร พัฒนาโดยโกลเด้นแลนด์ เป็นอาคารสำนักงานคอนเซปท์ใหม่พร้อมพื้นที่รีเทล และบัดเจ็ดโฮเทล บนถนนพระราม 4 (ตรงข้ามตลาดคลองเตย) เปิดใช้มาตั้งแต่ปี 2559

<figure><img class="wp-image-13260 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/SamyanmitrTown8-01.jpg" alt="" width="638" height="335" /><figcaption> โครงการสามย่านมิตรทาวน์</figcaption></figure>

อีกโครงการขนาดใหญ่บนถนนพระราม 4 ของกลุ่มทุนสิริวัฒนภักดี ที่เพิ่งเปิดแผนไปเมื่อปี 2560 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างคือโครงการ “The PARQ” (เดอะ ปาร์ค) มูลค่า 2 หมื่นล้านบาท พัฒนาบนพื้นที่ 24 ไร่ ตั้งอยู่หัวมุมถนนพระราม 4 ตัดกับถนนรัชดาภิเษกฯ ต่อเนื่องกับศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และอยู่ฝั่งตรงข้ามกับอาคารสำนักงาน FYI Center

จะเห็นว่าทำเลทองที่ดินแปลงใหญ่หัวมุมจุดตัดถนน ทั้ง 3 เส้น ถนนพระราม 4-ถนนพญาไท, ถนนพระราม 4-ถนนวิทยุ, ถนนพระราม 4-ถนนรัชดาภิเษก ล้วนมีโครงการคอมเพล็กซ์ใหญ่ของทุนสิริวัฒนภักดีเข้าไปพัฒนาเป็นหลัก ยังไม่รวมพื้นที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ถนนรัชดาภิเษก ก็เป็นอีกหนึ่งโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ที่กลุ่มทุนสิริวัฒนภักดีอยู่ระหว่างการพัฒนาเช่นเดียวกัน

<figure><img class="wp-image-13261 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/The-PARQ-01.jpg" alt="" width="638" height="274" /><figcaption> ภาพร่างโครงการ The PARQ</figcaption></figure>

ทุนเจ้าสัวเจริญ ผุดพรึบพระราม 4 ชู “วัน แบงค็อก” โครงการแสนล้าน โนว์ฮาวน์สิงคโปร์

<h2>หลังความมั่งคั่งทะยานขึ้นเมื่อปีที่ผ่านมา กลุ่มบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของไทยเผชิญจุดสะดุดในปี 2562 เนื่องจากครึ่งหนึ่งของผู้ที่ติดทำเนียบ 50 บุคคลร่ำรวยที่สุดในประเทศไทยมีทรัพย์สินลดลง รวมถึงมหาเศรษฐี 4 อันดับแรก</h2>
ความไม่แน่นอนก่อนการเลือกตั้งเดือนมีนาคมของไทย มีส่วนบั่นทอนบรรยากาศความเชื่อมั่น ฉุดค่าเงินบาท และดึงดัชนีตลาดหุ้นไทยร่วงลง 7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิโดยรวมของมหาเศรษฐีในทำเนียบปรับตัวลงเล็กน้อยไปอยู่ที่ 1.605 แสนล้านเหรียญ (ประมาณ 5.14 ล้านล้านบาท) จากเมื่อปีที่แล้วที่ 1.62 แสนล้านเหรียญ

มหาเศรษฐีไทย 4 อันดับแรกต่างมูลค่าความมั่งคั่งลดลง โดย พี่น้องตระกูลเจียรวนนท์ แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ยังคงรั้งอันดับ 1 ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่ 2.95 หมื่นล้านเหรียญ (9.41 แสนล้านบาท) ลดลงเล็กน้อยจาก 3 หมื่นล้านเหรียญเมื่อปีที่แล้ว หลังดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จากัด (มหาชน) (ซีพีเอฟ) มานาน 25 ปี ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสแห่งซีพี ประกาศลงจากตำแหน่งซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทเรือธงของกลุ่มเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่ธนินท์ยังคงนั่งเก้าอี้ประธานกรรมการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินการเครือข่ายร้าน 7-Eleven ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ขณะที่อันดับ 2 เป็นของ ตระกูลจิราธิวัฒน์ แห่งกลุ่มเซ็นทรัล ที่มีทรัพย์สินสุทธิ 2.1 หมื่นล้านเหรียญ (6.70 แสนล้านบาท) แทบไม่เปลี่ยนแปลงจากปีที่แล้วที่ 2.12 หมื่นล้านเหรียญ ด้าน เฉลิม อยู่วิทยา แห่งกระทิงแดงยังคงอยู่ในอันดับที่ 3 แม้ความมั่งคั่งลดลงมาอยู่ที่ 1.99 หมื่นล้านเหรียญ (6.35 แสนล้านบาท) จาก 2.1 หมื่นล้านเหรียญในปีก่อนหน้า และ เจริญ สิริวัฒนภักดี แห่งกลุ่มไทยเบฟเวอเรจ ครองอันดับ 4 ด้วยทรัพย์สินมูลค่า 1.62 หมื่นล้านเหรียญ (5.17 แสนล้านบาท) ลดลง 1.2 พันล้านเหรียญ จาก 1.74 หมื่นล้านเหรียญ ในปี 2561

อย่างไรก็ตาม 1 ใน 3 ของมหาเศรษฐีที่มีรายชื่อปรากฏอยู่ในทำเนียบปีนี้ มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา โดยผู้ที่มั่งคั่งเพิ่มขึ้นมากที่สุดในปีนี้คือ สารัชถ์ รัตนาวะดี นักธุรกิจใหญ่ด้านพลังงาน ซึ่งทรัพย์สินทะยานขึ้น 1.8 พันล้านเหรียญ (5.74 หมื่นล้านบาท) ไปอยู่ที่ 5.2 พันล้านเหรียญ (1.66 แสนล้านบาท) ส่งผลให้เขาคว้าตาแหน่งท็อป 5 มาได้เป็นครั้งแรก หุ้นของเขาในบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จากัด (มหาชน) (GULF) พุ่งขึ้น 57% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากโครงการโรงไฟฟ้าใหม่เริ่มดำเนินการแล้ว และรายได้ของบริษัทเมื่อปี 2561 เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า ไปอยู่ที่ 628 ล้านเหรียญ (2.02 หมื่นล้านบาท)

มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยขึ้นมาอย่างโดดเด่นอีกรายคือ ตระกูลโอสถานุเคราะห์ (อันดับ 8, 3 พันล้านเหรียญ) มีทรัพย์สินสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 2.3 พันล้านเหรียญเมื่อปีที่แล้ว หลังจากได้นำเอาบริษัท โอสถสภา ผู้ผลิตเครื่องดื่มชูกำลังอายุ 128 ปี เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อเดือนตุลาคม 2561 ภายใต้การบริหารของ เพชร โอสถานุเคราะห์ นักสะสมงานศิลปะตัวยงและอดีตนักร้องเพลงป๊อป บริษัทโอสถสภาก่อตั้งขึ้นโดยปู่ทวดของเขา ที่เริ่มต้นจากร้านขายยาสมุนไพรเล็กๆ

<a href="http://forbesthailand.com/forbes-lists/thailand-richest"><img class="alignnone size-full wp-image-7302" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/ลิงก์-คลิก-อ่าน-01.jpg" alt="" width="638" height="314" /></a>

สำหรับในปีนี้ มีมหาเศรษฐีหน้าใหม่อีก 4 ราย ได้แก่ ชัยวัฒน์ แต้ไพสิฐพงษ์ (อันดับ 23, 1.8 พันล้านเหรียญ) ประธานเครือเบทาโกร บริษัทอาหารและอุตสาหกรรมเกษตร อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา (อันดับ 6, 4.7 พันล้านเหรียญ) วัย 33 ปี ซึ่งอายุน้อยที่สุดในทำเนียบ ได้สืบทอดตำแหน่งต่อจากบิดาผู้ล่วงลับ วิชัย ศรีวัฒนประภา ขึ้นเป็นซีอีโอ คิง เพาเวอร์ บริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ดาเนินธุรกิจร้านค้าปลอดอากร

ด้าน ชาติศิริ โสภณพนิช (อันดับ 29, 1.1 พันล้านเหรียญ) กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ ปรากฏชื่อในทำเนียบเป็นครั้งแรก หลังจากที่ ชาตรี โสภณพนิช ผู้เป็นพ่อเสียชีวิตในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ส่วนตระกูลมาลีนนท์ (อันดับ 47, 600 ล้านเหรียญ) แห่งบริษัทสื่อ บีอีซีเวิลด์ ก้าวเข้ามาเป็นหน้าใหม่ในทำเนียบเช่นกัน

ในบรรดา 4 มหาเศรษฐีที่กลับเข้าสู่ทำเนียบอีกครั้งรวมถึง ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ (อันดับ 45, 640 ล้านเหรียญ) หวนคืนตำแหน่งหลังหยุดชะงักไป 5 ปี ทีพีไอ โพลีน บริษัทผลิตซีเมนต์และคอนกรีตของเขา กลับมาทำกำไรได้ 45 ล้านเหรียญในปี 2561 ซึ่งช่วยดันให้หุ้นบริษัทปรับขึ้น 14% เมื่อปีที่แล้วมูลค่าทรัพย์สินขั้นต่ำในการจัดอันดับปีนี้อยู่ที่ 565 ล้านเหรียญ ลดลงจาก 600 ล้านเหรียญเมื่อปีที่แล้ว
<h2></h2>
<h2>รายชื่อตระกูลและอภิมหาเศรษฐี 10 อันดับแรกของไทย</h2>
<img class="alignnone size-full wp-image-7290" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/01-พี่น้องเจียรวนนท์.jpg" alt="" width="500" height="500" />
อันดับ1
พี่น้องเจียรวนนท์ (อันดับคงที่)
แหล่งที่มา: เครือเจริญโภคภัณฑ์
มูลค่าทรัพย์สิน: 2.95 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ / 9.41 แสนล้านบาท (มูลค่าทรัพย์สินลดลง)

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-7291" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/02-ตระกูลจิราธิวัฒน์.jpg" alt="" width="500" height="500" />
อันดับ2
ตระกูลจิราธิวัฒน์ (อันดับคงที่)
แหล่งที่มา: กลุ่มเซ็นทรัล
มูลค่าทรัพย์สิน: 2.1 หมื่นล้านเหรียญ / 6.70 แสนล้านบาท (มูลค่าทรัพย์สินลดลง)

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-7292" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/03-อยู่วิทยา.jpg" alt="" width="500" height="500" />
อันดับ3
เฉลิม อยู่วิทยา (อันดับคงที่)
อายุ: 68 ปี
แหล่งที่มา: กระทิงแดง
มูลค่าทรัพย์สิน: 1.99 หมื่นล้านเหรียญ / 6.35 แสนล้านบาท (มูลค่าทรัพย์สินลดลง)

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-7293" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/04-เจริญ-สิริวัฒนภักดี.jpg" alt="" width="500" height="500" />
อันดับ4
เจริญ สิริวัฒนภักดี (อันดับคงที่)
อายุ: 75 ปี
แหล่งที่มา: ไทยเบฟเวอเรจ
มูลค่าทรัพย์สิน: 1.62 หมื่นล้านเหรียญ / 5.17 แสนล้านบาท (มูลค่าทรัพย์สินลดลง)

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-7294" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/05-สารัชถ์-รัตนาวะดี.jpg" alt="" width="500" height="500" />
อันดับ5
สารัชถ์ รัตนาวะดี (ขึ้นจากอันดับ 7)
อายุ: 53 ปี
แหล่งที่มา: กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์
มูลค่าทรัพย์สิน: 5.2 พันล้านเหรียญ / 1.66 แสนล้านบาท (มูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้น)

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-7295" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/06-อัยยวัฒน์-ศรีวัฒนประภา.jpg" alt="" width="500" height="500" />
อันดับ6
อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา (ติดอันดับใหม่)
อายุ: 33 ปี
แหล่งที่มา: คิง เพาเวอร์
มูลค่าทรัพย์สิน: 4.7 พันล้านเหรียญ / 1.50 แสนล้านบาท (ติดอันดับใหม่)

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-7296" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/07-ปราเสริฐ-ปราสาททองโอสถ.jpg" alt="" width="500" height="500" />
อันดับ7
นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ (ขึ้นจากอันดับ 8)
อายุ: 86 ปี
แหล่งที่มา: กรุงเทพดุสิตเวชการ
มูลค่าทรัพย์สิน: 3.4 พันล้านเหรียญ / 1.08 แสนล้านบาท (มูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้น)

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-7297" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/08-เพชร-โอสถานุเคราะห์.jpg" alt="" width="500" height="500" />
อันดับ8
ตระกูลโอสถานุเคราะห์ (ขึ้นจากอันดับ 12)
แหล่งที่มา: โอสถสภา
มูลค่าทรัพย์สิน: 3 พันล้านเหรียญ / 9.57 หมื่นล้านบาท (มูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้น)

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-7298" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/09-วานิช-ไชยวรรณ.jpg" alt="" width="500" height="500" />
อันดับ9
วานิช ไชยวรรณ (ขึ้นจากอันดับ 10)
อายุ: 87
แหล่งที่มา: ไทยประกันชีวิต
มูลค่าทรัพย์สิน: 2.85 พันล้านเหรียญ / 9.09 หมื่นล้านบาท (มูลค่าทรัพย์สินลดลง)

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-7299" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/10-สมโภชน์-อาหุนัย.jpg" alt="" width="500" height="500" />
อันดับ10
สมโภชน์ อาหุนัย (ขึ้นจากอันดับ 18)
อายุ: 51 ปี
แหล่งที่มา: พลังงานบริสุทธิ์
มูลค่าทรัพย์สิน: 2.83 พันล้านเหรียญ / 9.03 หมื่นล้านบาท (มูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้น)

&nbsp;

การจัดอันดับนี้ใช้ข้อมูลทางการเงินและการถือครองหุ้น ที่ได้รับมาจากทางครอบครัวและปัจเจกบุคคล ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ นักวิเคราะห์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและหน่วยงานกากับดูแลหลายแห่ง รวมถึงทรัพย์สินของครอบครัวและทรัพย์สินที่ถือครองโดยสมาชิกครอบครัวในหลายรุ่น ทั้งนี้ มูลค่าทรัพย์สินในบริษัทมหาชนคำนวณจากราคาหุ้นและอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 26 เมษายน ส่วนทรัพย์สินในบริษัทที่ถือครองส่วนตัวประเมินค่าโดยเปรียบเทียบกับบริษัทที่ดาเนินธุรกิจเดียวกันที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

<img class="alignleft wp-image-7287 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/info-10-thailand-list-080519FF.jpg" alt="" width="1500" height="1512" />

การจัดอันดับ 50 มหาเศรษฐีไทย ประจำปี 2562

หนึ่งในรายได้หลักของเศรษฐกิจไทยมาจากภาคการท่องเที่ยว ซึ่งคิดเป็น 17% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) โดยธุรกิจเกี่ยวเนื่องครึ่งหนึ่งในการท่องเที่ยวคือกลุ่มโรงแรมและร้านอาหารซึ่งมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง

จากโอกาสทางธุรกิจนี้ทำให้ กลุ่มบริษัท ทีซีซี แอสเซ็ทส์ เลือกจับจุดที่จะสามารถสร้างตลาดได้ โดยมุมที่ทีซีซีฯ มองเห็นคือ ธุรกิจโฮเรก้า (HoReCa: Hotel Restaurant and Café) ต้นน้ำของโรงแรม ร้านอาหาร และคาเฟ่ทั่วไทยและยังมองไกลไปถึงระดับภูมิภาคอาเซียนที่ธุรกิจท่องเที่ยวเริ่มขยายตัว

<figure><img style="width: 680px; height: 488px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/0a0d544a8e8ab2dc4080fecfc95fd3c6.png" alt="" width="680" height="488" /><figcaption> ปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ทีซีซี แอสเซ็ทส์ กล่าวเปิดตัวโฮเรก้า สแควร์</figcaption></figure>

พงษ์ศักดิ์ นันตวรรณกุล กรรมการบริหาร บริษัท เอเชีย โฮเรก้า จำกัด ในเครือทีซีซี แอสเซ็ทส์ เปิดเผยว่า มูลค่ารายได้จากธุรกิจโรงแรมและที่พักของไทยเมื่อปี 2559 มีประมาณ 5.8 แสนล้านบาท และจากธุรกิจอาหาร-เครื่องดื่มประมาณ 4.48 แสนล้านบาท รวมเป็นมูลค่ารายได้ถึง 1.028 ล้านล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 10% ต่อปี จากจำนวนโรงแรม ร้านอาหาร และร้านกาแฟที่เปิดตัวใหม่มีเพิ่มขึ้นทุกปี รวมถึงกิจการเดิมที่ต้องมีการรีโนเวต จัดซื้ออุปกรณ์ต่างๆ ใหม่ทุกๆ 5 ปี

ดังนั้นบริษัทจึงเกิดแนวคิดที่จะตั้ง โฮเรก้า สแควร์ (HORECA SQUARE) เป็นศูนย์ค้าส่งอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจโฮเรก้าทั้งหมด อาทิ เครื่องนอน ชุดยูนิฟอร์ม เครื่องครัว เครื่องชงกาแฟ อุปกรณ์ทำความสะอาด ฯลฯ เน้นจับตลาดแบบ B2B สำหรับลูกค้าที่ต้องการสั่งสินค้าล็อตใหญ่ เป็นการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าทั้งเจ้าของธุรกิจทั่วประเทศไทยไปจนถึงประเทศอื่นๆ ในอาเซียน สามารถมาเลือกชมสินค้าในศูนย์เดียว

“เราเป็นศูนย์ค้าส่งที่เน้นลูกค้าระดับกลาง ถ้าเป็นโรงแรมก็ระดับ 2-4 ดาว เพราะโรงแรมระดับ 5 ดาวเรารู้ว่าเขามีฝ่ายจัดซื้อ มีคู่ค้าพันธมิตรอยู่แล้ว แต่ลูกค้าระดับกลาง เจ้าของคือคนที่จัดซื้อทุกอย่างเองและอาจไม่รู้จักซัพพลายเออร์มากนัก มองว่าเป็นการจับตลาดนิช มาร์เก็ต แต่เป็นตลาดขนาดเล็กที่มีปลาตัวใหญ่ ซึ่งถ้าเราสามารถจับตลาดนี้ได้ก่อน คนอื่นก็จะหาทางเข้ามาแข่งขันยาก” พงษ์ศักดิ์กล่าว

<img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/5c836e49d3225f1a13b42bf039e9babb.png" alt="" />

ด้าน ลัดดา มงคลชัยวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชีย โฮเรก้า จำกัด เปิดเผยว่า แผนระยะยาวของเอเชีย โฮเรก้า จะมีทั้งหมด 3 ส่วนธุรกิจ เริ่มต้นด้วย ส่วนแรกคือ โฮเรก้า สแควร์ พื้นที่ 1.2 หมื่นตร.ม. บนชั้น 3-5 ของตึกซีดับเบิลยู ทาวเวอร์ (อาคารไซเบอร์เวิลด์เดิม) บนถนนรัชดาภิเษก ศูนย์นี้จะรวบรวมร้านค้าที่ได้รับคัดเลือกในกลุ่มสินค้าประเภทต่างๆ ว่ามีคุณภาพ เชื่อถือได้ มาเปิดสาขาภายในศูนย์ฯ มีห้องเรียน-สัมมนาฝึกทฤษฎีและปฏิบัติเกี่ยวกับธุรกิจโฮเรก้าที่บริษัทจะเชิญวิทยากรหมุนเวียนกันมาให้ความรู้ รวมไปถึงมีเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาการเริ่มต้นธุรกิจโฮเรก้า คำนวณงบประมาณที่เหมาะสมเพื่อให้ธุรกิจไปได้ตลอดรอดฝั่ง

ส่วนที่สองที่เอเชีย โฮเรก้าจะทำคือ การจัดงานแสดงสินค้าและบริการ B2B สำหรับกลุ่มธุรกิจโฮเรก้า ทุกๆ 2 ปี โดยจัดครั้งแรกไปแล้วเมื่อเดือนกรกฎาคม 2560

ส่วนที่สาม เป็นส่วนสำคัญที่สุด คือธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ที่จะเปิดตัวได้ภายในปี 2561 ตั้งเป้าเริ่มต้นคัดเลือกร้านค้าเข้ามาบริการในแพลตฟอร์ม market place ของเอเชีย โฮเรก้า ปีแรกราว 200 ร้านค้า และระยะยาวจะเพิ่มให้มากกว่า 1 พันร้านค้า

<figure><img style="width: 680px; height: 515px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/a360b60648b4a2acc46f47f67e8e4980.png" alt="" width="680" height="515" /><figcaption> พงษ์ศักดิ์ นันตวรรณกุล กรรมการบริหาร บริษัท เอเชีย โฮเรก้า จำกัด และ ลัดดา มงคลชัยวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชีย โฮเรก้า จำกัด </figcaption></figure>

ลัดดากล่าวว่า น้ำหนักของธุรกิจจะเน้นที่อีคอมเมิร์ซเป็นหลักราว 60% รองลงมาคือการบริหารศูนย์ โฮเรก้า สแควร์ 30% และการจัดงานแสดงสินค้า 10%

“เราอยากให้เอเชีย โฮเรก้าถูกจดจำในฐานะกูรูด้านโฮเรก้า เป็นศูนย์ให้องค์ความรู้ และมีสินค้าครอบคลุมครบถ้วน เพื่อเป็นฮับของโฮเรก้าในอาเซียนภายใน 3-5 ปี” ลัดดากล่าว

พงษ์ศักดิ์ ปิดท้ายว่า บริษัทได้ลงทุนรีโนเวตตึกซีดับเบิลยู ทาวเวอร์ไป 350 ล้านบาท และตกแต่งส่วนโฮเรก้า สแควร์อีก 200 ล้านบาท ปัจจุบันมีร้านค้าเปิดขายแล้ว 14 ร้าน อัตราการเช่า 85% ของพื้นที่ แผนการช่วง 2 ปีแรกยังเป็นการปลุกปั้นคอนเซปท์ของศูนย์โฮเรก้าให้ติดตลาดก่อน ทำให้คิดอัตราค่าเช่าเพียง 600-700 บาท/ตร.ม. หรือคิดเป็นเปอร์เซนต์จากยอดขายจริงของแต่ละร้านเพื่อส่งเสริมให้ผู้เช่าเติบโตไปด้วยกัน ตั้งเป้าภายในปี 2565 จึงจะสามารถรับรายได้คุ้มต้นทุนโดยอาจปรับค่าเช่าพื้นที่เพิ่มเป็น 1 พันบาท/ตร.ม.

สำหรับการจะเป็นแหล่งขององค์ความรู้ก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใดสำหรับเอเชีย โฮเรก้า เพราะธุรกิจในมือตระกูลสิริวัฒนภักดีล้วนมีครบถ้วนในกลุ่มของโฮเรก้า อาทิ โออิชิกรุ๊ป ร้านเคเอฟซี โรงแรมหลายแห่ง ที่พร้อมจะเปิดประตูหลังบ้านให้เข้าชมการทำงาน

และอาจจะเป็นประตูบานสำคัญให้เหล่าซัพพลายเออร์เข้าถึงลูกค้ารายใหญ่คือเครือไทยเบฟเวอเรจก็เป็นได้!

<img style="width: 680px; height: 455px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/a1f2e26fcbf9e8ee072a15f21282917e.png" alt="" />

<img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/4917bd9dfab77cf0fd85360ffe414adf.png" alt="" />

&nbsp;

ตัวอย่างร้านค้าภายในโฮเรก้า สแควร์
<ul>
 	<li>คลีนเนติค เทคโนโลยีการทำความสะอาด</li>
 	<li>โมดาส ฮอสปิทอลลิตี้ อุปกรณ์ด้านการบริการ</li>
 	<li>เคลมอง ดีไซน์ ผู้ผลิตชุดยูนิฟอร์ม</li>
 	<li>โฮมแมท ผู้ผลิตที่นอนและเครื่องนอน</li>
</ul>

ความฝันใหม่ของทีซีซี: “โฮเรก้า สแควร์” ล่าปลาตัวใหญ่ในบลูโอเชียน

<h2>ทีซีซี กรุ๊ป ในเครือไทยเบฟเวอเรจ ทุ่มทุนสร้างโครงการยักษ์ One Bangkok บนที่ดิน 104 ไร่หัวมุมถนนพระราม 4-ถนนวิทยุ เทเม็ดเงิน 1.2 แสนล้านบาทพัฒนาโครงการอสังหาฯมิกซ์ยูส ออฟฟิศ-รีเทล-โรงแรม-ที่พักอาศัย เปิดมาสเตอร์แพลนสร้างตึกสูงที่สุดในไทย 90 ชั้น 380 เมตร หวังเป็นแลนด์มาร์กแห่งประเทศ</h2>
เจริญ สิริวัฒนภักดี ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท ทีซีซี และกลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส เซ็นเตอร์พอยท์ ลิมิเต็ด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมพัฒนาที่ดินบริเวณหัวมุมถนนพระราม 4-ถนนวิทยุ ขนาด 104 ไร่ ซึ่งบริษัทได้รับสิทธิเช่าจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ พัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูส One Bangkok แหล่งรวมพื้นที่ออฟฟิศบิลดิ้ง รีเทล โรงแรม และที่พักอาศัย

<figure><img style="width: 680px; height: 486px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/8f873b8888fa54a0fc49fea5814247ae.png" alt="" width="680" height="486" /><figcaption> โครงการ One Bangkok มุมมองจากถนนพระราม 4</figcaption></figure>

“บริษัทรู้สึกเป็นเกียรติที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อนุญาตให้ทีซีซี กรุ๊ปเป็นผู้พัฒนาที่ดินผืนสำคัญนี้ เราได้รวมบุคลากรจากทั้งทีซีซีและเฟรเซอร์สฯ จากทั่วโลกมาช่วยกันทำงานบนที่ดินผืนนี้ ซึ่งอยากจะให้เป็นแลนด์มาร์กของไทยและให้เป็นที่รู้จักของโลก” เจริญกล่าว

ปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส เซ็นเตอร์พอยท์ ลิมิเต็ด กล่าวต่อว่า คอนเซปท์การออกแบบ One Bangkok ต้องการให้เป็นแลนด์มาร์กของไทย เป็น City within the city เมืองที่ทุกคนอยากอาศัยอยู่ เป็นย่านธุรกิจชั้นนำดึงดูดบริษัทต่างๆ เข้ามาใช้เป็นสำนักงาน และช่วยยกระดับการวางผังเมืองจากการมีสิ่งแวดล้อมที่ร่มรื่นและสะดวกต่อคนเดินเท้าในโครงการ

โดยโครงการ One Bangkok เกิดจากความร่วมมือของผู้ถือหุ้น 2 บริษัท คือ บริษัท ทีซีซี แอสเซ็ท (ประเทศไทย) จำกัด ถือหุ้น 80.1% และบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ถือหุ้น 19.9% จัดตั้งเป็นบริษัท วัน แบ็งคอก โฮลดิ้งส์ จำกัด ทุนจดทะเบียน 3.58 หมื่นล้านบาท

<figure><img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/95063dcad6e42af2b3822864b0757d5c.png" alt="" width="680" height="453" /><figcaption> (จากซ้าย) เจริญ สิริวัฒนภักดี, คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี และปณต สิริวัฒนภักดี</figcaption></figure>

และเตรียมลงทุนในโครงการนี้มูลค่า 1.2 แสนล้านบาท บนพื้นที่พัฒนารวม 1.83 ล้านตารางเมตร โดยได้รับสัญญาเช่าจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ผ่าน บริษัท เกษมทรัพย์วัฒน จำกัด ในเครือทีซีซี เป็นเวลา 30+30 ปี โดยได้รับเวลาวางแผนและก่อสร้างอีก 9 ปี นับจากปี 2557 และบริษัทจะเริ่มการก่อสร้างภายในสิ้นปีนี้

สำหรับการบริหารโครงการหลังจากสร้างเสร็จ บริษัท วัน แบงค็อก โฮลดิ้งส์ จำกัด จะบริหารเอง แต่ยังไม่มีแผนที่ชัดเจนว่าจะเป็นเชนโรงแรมใดหรือศูนย์การค้าแบรนด์ใดเข้ามาบริหาร อย่างไรก็ตาม ทั้งทีซีซี กรุ๊ปและเฟรเซอร์สต่างมีศักยภาพที่จะบริหารส่วนโรงแรมและรีเทลได้

ด้าน ซู หลิน ซูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โครงการ One Bangkok เปิดเผยว่า โครงการดังกล่าวมีพื้นที่ทั้งหมด 1.83 ล้านตารางเมตร แบ่งพื้นที่พัฒนาหลักๆ ออกเป็น อาคารสำนักงานเกรดเอ 5 อาคาร พื้นที่เช่ารวม 5 แสนตร.ม., โรงแรมระดับ 5 ดาว 5 แห่ง รวมจำนวน 1 พันห้อง, คอนโดมิเนียมระดับ ultra luxury 3 อาคาร สูงประมาณ 20-30 ชั้น และพื้นที่รีเทลอีก 4 แห่ง นอกจากนี้จะมีบริเวณพลาซ่า 1 หมื่นตร.ม. ใช้จัดกิจกรรมหรือคอนเสิร์ตต่างๆ ได้

<figure><img style="width: 680px; height: 449px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/bf864744a3af18a9b9c5c18d555e06cd.png" alt="" width="680" height="449" /><figcaption> ซู หลิน ซูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โครงการ One Bangkok</figcaption></figure>

การออกแบบพื้นที่ภายในมีพื้นที่สีเขียว 50 ไร่และยังอยู่ใกล้สวนลุมพินี โดยการออกแบบตึกสูงทั้ง 5 อาคารของโครงการจะทำให้สามารถมองทิวทัศน์ของสวนลุมพินีให้ได้มากที่สุด มีถนนขนาดใหญ่ (boulevard) กว้าง 33 เมตรในพื้นที่ และออกแบบให้ทางเดินสามารถเชื่อมต่อสู่สถานีรถไฟฟ้า MRT ลุมพินีได้สะดวก คาดว่าเมื่อก่อสร้างเสร็จในปี 2568 จะมีคนเข้ามาทำงานและพักอาศัยในพื้นที่ 6 หมื่นคน

<img style="width: 680px; height: 486px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/4a5c81624eb0e7e5ef0bda451fb6e3a4.png" alt="" />

ซูกล่าวต่อว่า ในปี 2564 พื้นที่บางส่วนใน One Bangkok จะได้รับการพัฒนาและเปิดบริการได้ เช่น พื้นที่รีเทลส่วนใหญ่ โรงแรมและออฟฟิศบิลดิ้งบางส่วน ส่วนคอนโดฯ นั้นยังอยู่ระหว่างศึกษาราคาที่เหมาะสมและจังหวะเวลาเปิดขาย

นอกจากนี้ไฮไลต์ของอาคารใน One Bangkok อาคารหนึ่งเป็นตึกที่ออกแบบโดยได้รับแรงบันดาลใจจากดอกพิกุล สูง 90 ชั้น หรือ 380 เมตร ภายในประกอบด้วยออฟฟิศ รีเทล และจุดชมวิว

<figure><img style="width: 680px; height: 486px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/910b62c197f450c4eed6b78103832d97.png" alt="" width="680" height="486" /><figcaption> ซ้ายมือสุดของภาพคืออาคารพิกุล ตึกสูง 90 ชั้น</figcaption></figure>

ทั้งนี้  Forbes Thailand รายงานว่า ปัจจุบันตึกที่สูงที่สุดในไทยคือตึกมหานคร พัฒนาโดยบมจ.เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น สูง 77 ชั้น หรือ 314 เมตร โดยคาดว่าอนาคตจะถูกแทนที่ตำแหน่งแชมป์ด้วยตึกแมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟร้อนท์ เรสซิเดนเซส ในโครงการไอคอนสยาม ที่สูง 315 เมตร พัฒนาโดยบริษัทร่วมทุนระหว่างบมจ.แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเมนต์ คอร์ปอเรชั่น, สยามพิวรรธน์ และเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งคาดว่าจะสร้างเสร็จในปี 2561 อย่างไรก็ตามหากอาคารพิกุลใน The One Bangkok สร้างเสร็จจะทำให้ตำแหน่งแชมป์ตึกสูงที่สุดในไทยถูกเปลี่ยนมืออีกครั้ง

<figure><img style="width: 680px; height: 486px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/f495669e373f28d5f917f2cae10d85ea.png" alt="" width="680" height="486" /><figcaption> การออกแบบโครงการ One Bangkok</figcaption></figure>

<figure><img style="width: 680px; height: 340px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/492fd69d2ba5c5325867749ef7aec430.png" alt="" width="680" height="340" /><figcaption> บริเวณที่ดินแยกถนนพระราม 4-ถนนวิทยุ ที่ตั้งโครงการ One Bangkok ขนาด 104 ไร่</figcaption></figure>

&nbsp;

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events