<h2>PwC คาดการณ์ว่าปี 2567 นี้รายได้รวมกลุ่มอุตสาหกรรมความบันเทิงและสื่อของไทยจะอยู่ที่ 690,000 ล้านบาท เติบโตราว 4% จากปีก่อน โดย 3 กลุ่มย่อยที่โตมากที่สุด คือ บริการ over-the-top (เช่น Streaming Platform), โฆษณาออนไลน์ และ โฆษณานอกบ้าน และในอีก 5 ปี รายได้ภาพรวมอุตสาหกรรมนี้จะเพิ่มขึ้นไปถึง 800,000 ล้านบาท</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นางสาว ธิตินันท์ แว่นแก้ว หุ้นส่วนสายงานตรวจสอบบัญชี บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวว่า PwC เปิดเผยรายงาน Global Entertainment &amp; Media (E&amp;M) Outlook 2024-2028 ซึ่งสำรวจข้อมูลด้านรายได้และคาดการณ์ทิศทางการเติบโตของ 11 กลุ่มอุตสาหกรรมความบันเทิงและสื่อใน 53 ประเทศ โดยคาดการณ์ว่า รายได้รวมของอุตสาหกรรมความบันเทิงและสื่อของประเทศไทยในปี 2567 จะอยู่ที่ 691,375 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในภาพรวมมองว่าอุตสาหกรรมความบันเทิงและสื่อของไทยจะยังสามารถเติบโตได้ในปี 2567 แม้ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากแนวโน้มเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ชะลอตัว โดยยังมีบางกลุ่มที่ยังเติบโตสูงตามการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันไปใช้อินเทอร์เน็ตและแพลตฟอร์มดิจิทัลมากขึ้น<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/08/tX6PmKsH1xykTzuEbjrz.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="tX6PmKsH1xykTzuEbjrz.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ พบว่า ประเภทของธุรกิจความบันเทิงและสื่อของไทยที่มีอัตราการเติบโตสูงสุด 3 อันดับแรกในปี 2567 ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- บริการวิดีโอแบบ over-the-top หรือ OTT เช่น Streaming Platform ต่างๆ ที่นำภาพยนตร์มาให้ดูบนแพลตฟอร์มโดยต้องสมัครสมาชิก ฯลฯ กลุ่มนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 28,043 ล้านบาท เติบโต 27%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- โฆษณาออนไลน์ หรือโฆษณาทางอินเทอร์เน็ต คาดว่าจะอยู่ที่ 58,358 ล้านบาท เติบโต 13% จากปีก่อน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- โฆษณานอกบ้าน คาดว่าจะอยู่ที่ 17,286 ล้านบาท เติบโต 8% จากปีก่อน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ช่วงที่ผ่านเมื่อเกิดช่วง COVID-19 ผู้บริโภคชาวไทยหันมาใช้งานอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ทั้งวิดีโอสตรีมมิ่ง รวมไปถึงโฆษณาออนไลน์ เป็น 2 กลุ่มที่มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย แต่ในระยะต่อไปอัตราเร่งของการเติบโตน่าจะชะลอลง เพราะผู้ให้บริการเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ทั้งในมุม Content และการเข้ามาของผู้ให้บริการรายใหม่ๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้น ในระยะถัดไปสตรีมเมอร์คงจะต้องมีการปรับรูปแบบธุรกิจและแสวงหารายได้ใหม่ ๆ นอกเหนือจากการสมัครสมาชิก รวมถึงการเปิดตัวรูปแบบตามโฆษณา การลดค่าธรรมเนียมการสมัครสมาชิก และอื่น ๆ หรือแม้กระทั่งโอกาสในการควบรวมกิจการของผู้ให้บริการสมัครสมาชิกจากการแข่งขันที่จะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ PwC ยังคาดการณ์ว่าในปี 2571 รายได้รวมของอุตสาหกรรมความสื่อและบันเทิงของไทยจะสูงถึง 793,020 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 3.5% ยังมีแรงหนุนมาจาก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- รายได้รวมบริการสื่อประเภท over-the-top ในปี 2571 จะเพิ่มเป็น 42,122 ล้านบาท แต่อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอาจลดลงเหลือ 10.7% ในช่วงปี 2567-2571 (จากที่เติบโต 57% ในช่วงปี 2562-2566)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- รายได้โฆษณาออนไลน์ ในปี 2571 คาดจะเพิ่มเป็น 85,242 ล้านบาท ส่วนอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปียังอยู่ที่ 10% (ช่วงปี 2567-2571)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ในระยะกลางถึงยาว ประเทศไทยจะยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนของความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง รวมไปถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและเทคโนโลยีเกิดใหม่อย่าง GenAI ซึ่งผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมความบันเทิงและสื่อควรต้องมองหารูปแบบธุรกิจใหม่ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เหล่านี้ โดยการดึงเทคโนโลยีอย่าง GenAI เข้ามาใช้ในการสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านการผลิตคอนเทนต์ที่มีความหลากหลายและตรงกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นการผลิตคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย การสร้างสรรค์งานโฆษณา หรืองานดนตรี รวมถึงการวิเคราะห์โซลูชันใหม่ จะช่วยให้เกิดการเชื่อมต่อกับผู้บริโภคในทุกแพลตฟอร์มได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น” ธิตินันท์ กล่าว เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/cpram-bread-factory-in-chonburi" alt="‘ซีพีแรม’ ตั้งเป้าชิงแชร์ 1 ใน 5 ตลาดเบเกอรี่เมืองไทย 40,000 ล้าน ทุ่ม 2,000 ล้าน เปิดโรงงานขนมปังแผ่นที่ชลบุรี"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/paetongtarn-shinawatra-aug-2024" alt="เปิดพอร์ตหุ้นพันล้านของ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ ว่าที่นายกฯ คนที่ 31 ของไทย"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/property/origin-vertical-origin-affiliate-club" alt="‘ออริจิ้น เวอร์ติเคิล’ เปิดแคมเปญ ‘ช่วยขายบ้าน-คอนโดในเครือ’ รับค่าแนะนำสูงสุด 1 ล้านบาท">‘ออริจิ้น เวอร์ติเคิล’ เปิดแคมเปญ ‘ช่วยขายบ้าน-คอนโดในเครือ’ รับค่าแนะนำสูงสุด 1 ล้านบาท</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ปี 67 กลุ่มธุรกิจความบันเทิง-สื่อไทยรุ่ง PwC คาดปี 67 รายได้รวมแตะ 690,000 ล้านบาท

Twitter ไทย โตเร็วที่สุดในอาเซียน! รุกหนักจีบพันธมิตรสื่อเปิดช่องลงโฆษณา

กลยุทธ์ดึงยอดผู้ชม 3 เท่าของ Netflix “อัลกอริธึม” และความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์

30 under 30 สุดยอดหนุ่มสาวดาวรุ่งแห่งเอเชีย ปี 2018 (ตอน 2)

รูปแบบการรับสื่อกีฬาบนโทรทัศน์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาลในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผลลัพธ์คือ ESPN (Entertainment and Sports Programming Network) หนึ่งในสื่อด้านกีฬายักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งของโลกจำเป็นต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ธุรกิจ โดย ESPN มีการปลดพนักงานไปแล้วหนึ่งครั้งเมื่อเดือนตุลาคมปี 2015 ครั้งนั้นบริษัทเลย์ออฟพนักงานไปกว่า 300 คน แต่การปลดพนักงานในรอบแรกส่วนใหญ่แล้วเป็นการปลดคนทำงานเบื้องหลัง ซึ่งทำให้ไม่ส่งผลมากนักต่อประสบการณ์รับชมของผู้บริโภค

แต่ในช่วงเช้าของวันที่ 26 เมษายน 2017 ช่องเคเบิลทีวี ESPN ซึ่งมีพนักงานทั่วโลกกว่า 8,000 คน มีการปลดพนักงานเป็นครั้งที่สอง จากการรายงานของสำนักข่าว USA Today คาดว่ามีการปลดไปแล้วประมาณ 100 คนและครั้งนี้เป็นการเลย์ออฟคนทำงานเบื้องหน้าซึ่งเป็นที่รู้จักของผู้ชม

ก่อนหน้าที่ ESPN จะแจ้งปลดอย่างเป็นทางการ Forbes รายงานว่า การปลดพนักงานครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องคาดไม่ถึงแต่อย่างใด เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ESPN กำลังต่อสู้กับต้นทุนลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาที่ทะยานสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันอเมริกันฟุตบอล NFL (National Football League) หรือบาสเก็ตบอล NBA (National Basketball Association) ในขณะที่จำนวนสมาชิกกลับลดลงเรื่อยๆ ปัจจัยทั้งสองเมื่อรวมกันแล้วส่งผลให้รายได้ของ ESPN ดำดิ่งลงในช่วงที่ผ่านมา

<figure><img style="width: 680px; height: 383px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/ebc903ccea7fbcf431524ac5a9be7895.png" alt="" width="680" height="383" /><figcaption> ตัวอย่างรายการ NFL Live OT ในสถานีเคเบิลทีวี ESPN</figcaption></figure>

ESPN มีจำนวนสมาชิกสูงสุดที่ 100.1 ล้านรายเมื่อปี 2011 แต่หลังจากนั้นจำนวนสมาชิกกลับลดลงต่อเนื่องโดยเฉพาะในปีที่ผ่านมา ไตรมาสที่แล้ว ESPN รายงานว่าจำนวนสมาชิกของช่องลดเหลือเพียง 88 ล้านราย และมีรายได้จากค่าสมาชิกเฉลี่ย 7.21 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อคนต่อเดือน

รายได้ที่ลดลงของเคเบิลทีวีแห่งนี้ส่งผลให้รายได้โดยรวมของ Disney บริษัทแม่ ESPN ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญเช่นกัน แม้ว่าช่อง ESPN จะมีการปรับค่าสมาชิกขึ้นมาถึง 120% ตั้งแต่ปี 2007 (เฉลี่ย 12% ต่อปี) ซึ่งในขณะนั้นช่องคิดค่าสมาชิกเพียง 3.26 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อเดือน

ด้านสถานการณ์ภายในบริษัท ก่อนหน้านี้ มีการรายงานจาก Richard Deitsch ผู้สื่อข่าวนิตยสารกีฬา Sports Illustrated ว่าภายในบริษัทมีความปั่นป่วนโกลาหลอย่างมาก เนื่องจากพิธีกรและคนทำงานเบื้องหน้าของช่อง ESPN หลายรายพยายามที่จะเจรจาต่อรองกับสถานี โดยเจรจาขอลดอัตราเงินเดือนเพื่อทำงานในบริษัทต่อไป หรือขอให้ ESPN ชดเชยด้วยหุ้นของบริษัทแลกเปลี่ยนกับการยินยอมลาออกเพื่อแสวงหาโอกาสใหม่

ในขณะที่พนักงานบางรายของ ESPN และนักกีฬา ได้ทวีตข้อความใน Twitter เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ เช่น Paul Kuharsky ผู้สื่อข่าวของ ESPN ประจำทีมอเมริกันฟุตบอล Tennessee Titans ทวีตตั้งแต่วันที่ 24 เมษายนที่ผ่านมา โดยยืนยันข่าวว่าจะมีการเลย์ออฟพนักงาน และการทำงานกับช่องตลอด 9 ปีของเขากำลังจะสิ้นสุดในเดือนกรกฎาคมนี้

หรือนักกีฬาศิลปะการต่อสู้แบบผสม Jim Miller กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่า ESPN เป็นสถานที่แห่งความภาคภูมิใจ ความสำเร็จ และแหล่งรายได้มหาศาลสำหรับหลายต่อหลายคน แต่สัปดาห์แห่งการเลย์ออฟนี้จะกลายเป็นสัปดาห์ที่ยากลำบากที่สุดสำหรับทุกคน

<figure><img style="width: 680px; height: 408px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/4d7d0f54cfddabdef772e6c99468e653.png" alt="" width="680" height="408" /><figcaption> Jim Miller ​นักกีฬาศิลปะการต่อสู้แบบผสม (MMA) เขาเป็นผู้แต่งหนังสือ These Guys Have All The Fun ซึ่งรวบรวมเรื่องราวของช่อง ESPN ไว้อย่างครอบคลุม วางจำหน่ายเมื่อปี 2011 (Photo Credit: mmajunkie.com)</figcaption></figure>

เมื่อ ESPN มาถึงจุดที่ต้องเลย์ออฟพนักงานจำนวนมากเช่นนี้ ต้นเหตุสำคัญที่ถูกกล่าวถึงย่อมหนีไม่พ้นการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุครับชมสื่อกีฬาผ่านช่องทางดิจิทัล ซึ่งตอบสนองความต้องการของผู้ชมที่ต้องการเลือกรายการแบบเฉพาะบุคคลมากขึ้น เมื่อพวกเขาสามารถเลือกรายการที่จะรับชมด้วยตนเองได้ ต่างจากช่องโทรทัศน์สมัครสมาชิกที่มีรายการจำนวนมากซึ่งอาจมีรายการที่ไม่ได้ตรงกับความชื่นชอบ ทำให้ผู้บริโภคเปลี่ยนช่องทาง

ซ้ำร้าย การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของพฤติกรรมผู้บริโภคนั้นเกิดขึ้นทันทีหลังจากงานประมูลลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดกีฬามูลค่าสูงเพิ่งจบลงไป ซึ่ง ESPN เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมการประมูลได้รับสิทธิถ่ายทอดสด NBA คู่กับช่องกีฬา TNT โดยมูลค่าการประมูลครั้งนี้รวมกันของทั้งสองช่องสูงถึง 2,660 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี ในช่วงฤดูกาลปี 2024-25

แม้ ESPN จะถือเป็นธุรกิจเกี่ยวกับกีฬาที่มีมูลค่าแบรนด์สูงเป็นอันดับ 2 (รองจาก Nike) จากการจัดอันดับของ Forbes ในปี 2016 แต่เมื่อ ESPN คว้าสัญญาระยะยาวมูลค่าสูงดังกล่าว รวมกับการสูญเสียรายได้อย่างกะทันหัน ESPN จึงต้องขยับตัวเปลี่ยนกลยุทธ์และมองหาหนทางประหยัดต้นทุน

และการประกาศเลย์ออฟพนักงานครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เพราะบริษัทดิจิทัลอย่าง Twitter และ Amazon ได้รับลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดรายการแข่งขันอเมริกันฟุตบอล NFL ไปเรียบร้อยแล้ว รวมถึงกิจกรรมอีเวนท์ต่างๆ มีการถ่ายทอดสดผ่าน Facebook Live มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ช่องทางที่ผู้บริโภคใช้รับชมการถ่ายทอดสดกีฬาจึงเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และ ESPN ที่เป็นเหมือนผู้เฝ้าประตูสูงวัยจึงต้องปรับตัวอย่างฉับพลันเท่านั้นจึงจะรับมือได้ทันการณ์

&nbsp;
เรียบเรียงจาก ESPN’s Layoffs Reportedly Will Begin This Week And Could Be Larger Than Expected โดย Simon Ogus และขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก USA Today

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events