<h2>บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ - ซีพี จำกัด และบริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์เอ็มจี (MG) ในประเทศไทย เผยยอดขายรวมของ เอ็มจี ภายใต้การดำเนินงานของ SAIC MOTOR CORPORATION ในตลาดยุโรป ปี 2024 โตแรง ขึ้นแท่น ขึ้นแท่นบริษัทรถยนต์จีนที่มียอดขายรถยนต์สูงสุดในสหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร และกลุ่มประเทศนอร์ดิก</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปี 2024 ที่ผ่านมา ในสหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร และกลุ่มประเทศนอร์ดิก มียอดขายรถยนต์รวมจำนวนทั้งสิ้น 12.964 ล้านคัน มีอัตราเพิ่มขึ้น 0.9% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยแค่เฉพาะรถยนต์ของเอ็มจี มียอดขายรวมอยู่ที่ 244,595 คัน เพิ่มขึ้น 5.1% เมื่อเทียบกับปีที่ก่อนหน้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เอ็มจีภายใต้การดำเนินงานของ SAIC MOTOR CORPORATION มีผลงานที่ดีใน 3 ตลาดยุโรป ได้แก่ เยอรมนี ฝรั่งเศส และอิตาลี โดยในฝรั่งเศส เอ็มจีครองส่วนแบ่งตลาด 4.2% ในเดือนธันวาคม 2024 ด้วยยอดขายรถยนต์ใหม่ 7,692 คัน ขณะที่ในอิตาลียอดขายตลอดปี 2024 ของเอ็มจีเพิ่มขึ้น 29.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/Vnr9KWApDv1i4PXqNJaB.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="Vnr9KWApDv1i4PXqNJaB.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ตลาดหลักอย่างสหราชอาณาจักรมียอดขายรวมในปี 2024 ที่ 81,536 คัน คิดเป็นสัดส่วน 4.18% ของตลาดรถยนต์ในสหราชอาณาจักร โดย MG HS ถือเป็นหนึ่งในรุ่นที่ขายดีที่สุดของเอ็มจีในสหราชอาณาจักร มีทั้งเครื่องยนต์เบนซินและระบบปลั๊กอินไฮบริด โดยมียอดขายอยู่ที่ 30,207 คัน รวมถึงรถยนต์รุ่นล่าสุดอย่าง ALL NEW MG3 HYBRID+ ที่เปิดตัวไปเมื่อไม่นาน มียอดขายรวมในปี 2024 กว่า 6,000 คัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้ในปีที่ผ่านมาสหภาพยุโรปมีการเพิ่มภาษีรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่มาจากจีนสูงขึ้น แต่ข้อจำกัดดังกล่าวไม่ได้ทำให้แบรนด์เอ็มจีลดความมุ่งมั่นและยังคงรักษาผลงานยอดขายโดยรวมได้ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่เอ็มจีเข้าสู่ตลาดยุโรปเร็วกว่าบริษัทอื่น ทำให้มีการรับรู้แบรนด์และเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายที่เติบโตอย่างมั่นคง​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/y6vrP4RF4SJiDH6NLNTf.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="y6vrP4RF4SJiDH6NLNTf.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; อีกทั้งแบรนด์เอ็มจีมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานเป็นที่รู้จักมามากกว่า 100 ปี อีกทั้ง SAIC MOTOR ได้มีการเพิ่มกลุ่มผลิตภัณฑ์ให้หลากหลาย ทั้งรถยนต์สันดาปและรถยนต์ไฮบริด รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่ช่วยสนับสนุนยอดขายของเอ็มจีในตลาดยุโรป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ของเอ็ม ที่วางจำหน่ายในยุโรป จะมีสเปกเดียวกันกับรุ่นที่จำหน่ายในประเทศไทย นับเป็นการสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างรากฐานที่แข็งแรงให้ลูกค้าชาวไทย ผ่านการนำเสนอโกลบอลโมเดลให้กับผู้บริโภค ที่ครอบคลุมทั้งคุณภาพและสเปคที่เทียบเท่ากับทุกประเทศทั่วโลก ภาพ:&nbsp;เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/global/other/china-additional-tariffs-and-investigate-google-to-counter-us" alt="แรงมาแรงกลับไม่โกง! จีนประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ 10-15% พร้อมสั่งสอบ Google ฐานละเมิดกฎหมายผูกขาด">แรงมาแรงกลับไม่โกง! จีนประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ 10-15% พร้อมสั่งสอบ Google ฐานละเมิดกฎหมายผูกขาด</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

MG อวดความสำเร็จในตลาดยุโรป ยอดขายปี 2024 รวม 244,595 คัน โตเพิ่ม 5.1% จากปีก่อนหน้า

<h2>จากปีที่ผ่านมาข่าวใหญ่ในธุรกิจยานยนต์คือ ดีลควบรวมกิจการระหว่าง Honda และ Nissan ที่เบื้องต้นเปิดเผยว่าอาจจะตั้งเป็น Holding Company ร่วมกันเพื่อสู้กับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ล่าสุดกลับมีกระแสข่าวว่าดีลนี้ไม่ราบรื่น สาเหตุเพราะหลังจาก Honda โยนหินถามทางไปว่า Nissan จะเข้ามาเป็นบริษัทย่อยในเครือแทนข้อเสนอเดิมได้ไหม สำนักข่าวญี่ปุ่นต่างอ้างถึงแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดออกมาบอกว่า Nissan อาจยกเลิกดีลควบรวมภายใต้ข้อเสนอล่าสุดนี้</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;KYODO NEWS รายงานว่า จากงานแถลงข่าวเมื่อเดือน ธ.ค. 2024 ทั้ง Honda และ Nissan แจ้งว่าอยู่ระหว่างการทำข้อตกลงในการควบรวมกิจการภายใต้ Holding Company ในปี 2026 โดยยังคงแบรนด์เดิมไว้ แต่ดีลนี้ส่อแววไม่ราบรื่นนัก เพราะ Nissan ยังไม่สามารถจูงใจให้ทาง Honda เชื่อมั่นในแผนงานการพลิกฟื้นธุรกิจขึ้นมาได้ แม้ว่าช่วงที่ผ่านมา (พ.ย. 2024) Nissan จะมีทั้งการสั่งลดตำแหน่งงานลงกว่า 9,000 ตำแหน่งทั่วโลก ตามกำไรสุทธิที่ลดลง รวมถึงกำลังวางแผนจะเสนอโปรแกรม Early Retirement ให้พนักงานในสหรัฐ และลดจำนวนพนักงานในไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่งผลให้ล่าสุด Honda และ Nissan ออกมาเลื่อนการประกาศรายละเอียดดีลควบรวมนี้ออกไปเป็นกลางเดือน ก.พ. 2025 แทนแผนเดิมที่ต้องเปิดเผยข้อมูลช่วงปลายเดือน ม.ค. 2025&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ฝั่งหนังสือพิมพ์ Asahi Shimbun ของญี่ปุ่นยังมีการรายงานว่าดีลนี้อาจถูกยกเลิกไป ส่วนข้อมูลจาก Reuters ยังอ้างอิงจากแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดว่า บอร์ดบริหารของ Nissan ได้เตรียมจัดการประชุมเร็วๆ นี้ เพื่อหารือเรื่องการยกเลิกดีลควบรวม ภายหลังจาก Honda ยื่นข้อเสนอการให้ Nissan เข้าเป็นบริษัทย่อยในเครือ ซึ่งแหล่งข่าวยังระบุว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขจากเจตนารมณ์เดิมที่เคยคุยกันไว้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมา Nissan เจอผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า และยังไม่ฟื้นตัวหลังจากเจอวิกฤตช่วงปี 2018 ที่มีข่าวการจับกุม และการปลดอดีตประธานกรรมการบริษัท Carlos Ghosn ออกจากตำแหน่ง ขณะที่ช่วงเกิดข่าวดีลควบรวมกับ Honda พบว่าราคาหุ้น Nissan&nbsp;ยังเพิ่มสูงขึ้น โดยนักลงทุนมองว่าเป็นแนวทางที่ดีที่จะพลิกฟื้นธุรกิจ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ฝั่ง Honda ซึ่งมีมูลค่าตลาดสูงกว่า Nissan เกือบ 5 เท่า ในช่วงแรกที่มีข่าวดีลควบรวมนี้พบว่าราคาหุ้นปรับตัวลงเล็กน้อย แต่นักวิเคราะห์ต่างมองว่า ดีลควบรวมเป็นอีกทางเลือกให้ Honda และ Nissan ในการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันท่ามกลางกระแส EV ที่เกิดขึ้น ซึ่งการควบรวมจะส่งผลให้ต้นทุนในการดำเนินการอาจลดลงได้ จากการใช้ทรัพยากรร่วมกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในส่วนของประเทศไทย ปี 2024 ที่ผ่านมา Nissan ได้ประกาศจะลดหรือโยกย้ายพนักงานราว 1,000 ตำแหน่ง โดย ณ ขณะนั้นมีโรงงานในไทย 2 แห่งตั้งอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ โรงงานแห่งที่ 1 มีกำลังการผลิตสูงสุดที่ 220,000 คัน ส่วนโรงงานแห่งที่ 2 มีกำลังการผลิตสูงสุดที่ 150,000 คัน ซึ่งถือว่าไทยเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดของ Nissan ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ฝั่ง Honda ในไทยปี 2024 ที่ผ่านมา มีการปรับแผนการผลิตโดยหยุดสายการผลิตรถยนต์ในโรงงานที่อยุธยา แต่จะย้ายฐานการผลิตไปรวมไว้ที่โรงงานในปราจีนบุรี ซึ่งสร้างไว้ตั้งแต่เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในไทยเมื่อปี 2011 แหล่งที่มา- <a href="https://www.reuters.com/markets/deals/nissan-honda-may-call-off-merger-talks-asahi-says-2025-02-04/?fbclid=IwY2xjawIPvfhleHRuA2FlbQIxMAABHereblMU4yr2gFVJLAbh7JZDIn7dml56L9zth6eSI1q2CXHXrGMAmQa0Lg_aem_BUcRPiWPhvWSVlor9OZjXg" alt="Nissan may call off merger talks with Honda, source says">Nissan may call off merger talks with Honda, source says</a>​- <a href="https://english.kyodonews.net/news/2025/02/643a872d10e7-urgent-honda-sounds-out-nissan-about-becoming-honda-unit.html" alt="Honda eyes making Nissan its unit amid slow progress in merger talks">Honda eyes making Nissan its unit amid slow progress in merger talks</a>​ -&nbsp;<a href="https://www.bangkokpost.com/business/motoring/2906772/nissan-to-cut-or-transfer-about-1-000-jobs-in-thailand-sources-say" alt="Nissan to cut or transfer about 1,000 jobs in Thailand, sources say">Nissan to cut or transfer about 1,000 jobs in Thailand, sources say</a>-&nbsp;<a href="https://www.bangkokpost.com/business/motoring/2825941/honda-to-end-vehicle-production-at-ayutthaya-auto-plant" alt="Honda to end vehicle production at Ayutthaya plant">Honda to end vehicle production at Ayutthaya plant</a>​ภาพ: Honda, Nissan,&nbsp;<a href="https://www.freepik.com/free-photo/low-angle-businessmen-shaking-hands_5617973.htm#fromView=search&amp;page=5&amp;position=29&amp;uuid=170221f4-b45f-4129-b253-f51c9021e66a&amp;query=partner%2C+greeting+Invest+in+stocks" style="font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">freepik</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/people/strategies/tgia-wasit-lamsam-jan-2025" alt="‘วาสิต ล่ำซำ’ เปิดมุมมอง TGIA ส่องเทรนด์เบี้ยประกันรถไฟฟ้าปี 68 ผ่าวิกฤตหั่นราคารถ EV - เคลมสูงเกิน 80%">‘วาสิต ล่ำซำ’ เปิดมุมมอง TGIA ส่องเทรนด์เบี้ยประกันรถไฟฟ้าปี 68 ผ่าวิกฤตหั่นราคารถ EV - เคลมสูงเกิน 80%</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ดีล Honda - Nissan ไม่ราบรื่น! สื่อญี่ปุ่นชี้ส่อล่มเหตุ Nissan ไม่รับเงื่อนไขเป็นบริษัทย่อย

<h2>Nissan Motor สั่งหั่นกะและชั่วโมงการทำงานใน 2 โรงงานในสหรัฐอเมริกาลง พร้อมทั้งเสนอให้พนักงานลาออกโดยจ่ายค่าตอบแทน เพื่อปรับลดการผลิต หลังยอดขายตลอดปีที่ผ่านมาไม่เป็นที่น่าพอใจ คาดสถานการณ์จะกลับมาปกติเร็วสุดปี 2027</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Nissan Motor เปิดเผยเมื่อวันพุธที่ 29 มกราคม 2025 ผ่านมาว่า จะปรับกะการทำงานของไลน์การผลิตใน 2 โรงงานที่ตั้งอยู่ในสหรัฐฯ ลงมีผลตั้งแต่กลางเดือนเมษายนเป็นต้นไป พร้อมทั้งมีการเสนอให้พนักงานสมัครใจลาออกหรือเกษียณก่อนกำหนดโดยจ่ายค่าตอบแทนให้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เรากำลังตอบสนองต่อความจำเป็นในตลาดจากจุดที่เราอยู่ ณ ตอนนี้” David Johnson รองประธานกรรมการอาวุโสของ Nissan ฝ่ายการผลิตและซัพพลายเชนประจำสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์ โดยปฏิเสธที่จะระบุว่าบริษัทฯ มีแผนจะลดการผลิตลงเท่าไร ทั้งยังไม่เปิดเผยตัวเลขต้นทุนที่ลดลงหลังปรับการทำงานในครั้งนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Nissan ประกาศว่าจะเลิกจ้างพนักงานจำนวน 9,000 คนทั่วโลก และปรับลดกำลังผลิตลง 20% อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากผลกำไรที่ตกต่ำ แม้หุ้นของ Nissan ในตลาดหลักทรัพย์โตเกียวจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 4.3% ในช่วงเช้าวันพุธ แต่ยังถือว่าตกลง 26% หากมองโดยภาพรวมตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การปรับลดกำลังการผลิตครั้งนี้จะกระทบรถยนต์ 2 รุ่น ที่ขายดีในสหรัฐฯ รุ่นแรกคือ Rogue ซึ่งเป็นรถ SUV ขนาดเล็ก ผลิตในโรงงานที่เมือง Smyrna รัฐเทนเนสซี และอีกรุ่นคือ Altima รถซีดานขนาดกลาง ผลิตในโรงงานที่เมือง Canton รัฐมิสซิสซิปปี สำหรับยอดขายในสหรัฐฯ ปีที่ผ่านมาโดยรวมเติบโตขึ้น 2.8% อยู่ที่ 924,008 คัน แต่ยอดขายรุ่น Rogue ตกลง 9.5% และรุ่น Altima ตกลง 11%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ยอดขายที่ตกต่ำส่งผลให้ Nissan ต้องปรับจำนวนวันทำงานในโรงงานลง 1 วันต่อสัปดาห์ ต่อเนื่องไปถึงการขยายวันหยุดยาวช่วงวันขอบคุณพระเจ้าและคริสต์มาสเพิ่มขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม นอกจากรถยนต์รุ่น Rogue และ Altima แล้ว ไลน์การผลิตรถยนต์รุ่นอื่นในทั้ง 2 โรงงานจะยังคงมี 2 กะเหมือนเดิม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การปรับลดกำลังคนจะมีผลต่อพนักงานในโรงงานเครื่องยนต์ที่เมือง Dechard รัฐเทนเนสซีด้วยเช่นกัน แต่บริษัทฯ เผยว่ายังไม่มีแผนปรับลดกะในโรงงานดังกล่าว ทั้งนี้ ณ เดือนธันวาคม 2024 โรงงาน Nissan ที่ Smyrna มีจำนวนพนักงานกว่า 5,700 คน โรงงานที่ Canton มีจำนวนพนักงานราว 4,300 คน และโรงงานที่ Decherd มีจำนวนหนักงานราว 1,700 คน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Nissan ได้ทำการแจ้งถึงการปรับลดกำลังคนแก่พนักงานรายชั่วโมงประจำโรงงานต่างๆ แล้วเมื่อวันพุธที่ผ่านมา และมีแผนจะสื่อสารเรื่องดังกล่าวไปยังบรรดาซัพพลายเออร์ภายใน 24 ชั่วโมงถัดไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เป็นที่ทราบกันดีว่า เมื่อไรก็ตามที่มีการปรับกะการทำงาน จะต้องมีผลกระทบต่อเนื่องแน่นอน” Johnson กล่าว “เราเคยเผชิญเรื่องแบบนี้มาแล้วตอนปรับลดจาก 3 กะเหลือแค่ 2 กะที่โรงงาน 2 แห่งเมื่อปี 2018 และปี 2019”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Nissan คาดว่าจะกลับมาดำเนินการผลิต 2 กะใน 2 โรงงานได้ดังเดิมเมื่อมีการเปิดตัวโมเดลรถยนต์รุ่นใหม่ในปี 2027 และ 2028 แปลและเรียบเรียงจาก:&nbsp;<a href="https://www.japantimes.co.jp/business/2025/01/30/companies/nissan-job-cuts-us/" alt="Nissan plans job and output cuts at U.S. vehicle assembly plants">Nissan plans job and output cuts at U.S. vehicle assembly plants</a>​ภาพ: Nissan Motor Corporation เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/global/other/baby-boomer-and-gen-x-plans-to-spend-money-for-themselves" alt="ดับฝันทายาทเศรษฐี! Boomer และ Gen X ขอเปย์ตัวเอง ดีกว่าส่งต่อเป็นมรดกให้ลูกหลาน">ดับฝันทายาทเศรษฐี! Boomer และ Gen X ขอเปย์ตัวเอง ดีกว่าส่งต่อเป็นมรดกให้ลูกหลาน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Nissan สุดยื้อ! หลังยอดขายดิ่ง ปรับลดกำลังการผลิตในสหรัฐฯ พร้อมเสนอเงินให้พนักงานลาออก

<h2>ผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์ และผู้จัด “Motor Expo” ระดับภูมิภาคเอเชียเล่าเรื่องราวการกระตุ้นยอดขายโค้งสุดท้าย ดัชนีชี้วัดภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ 4 ทศวรรษสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 1 ล้านล้านบาท</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;งานมหกรรมยานยนต์ หรือ Motor Expo งานใหญ่ส่งท้ายปี ตัววัดอุณหภูมิทางเศรษฐกิจ ยอดขาย กำลังซื้อ การปล่อยสินเชื่อ ที่ทุกคนเฝ้าคอยจัดต่อเนื่องยาวนานเป็นปีที่ 41 มีค่ายผู้ผลิตรถยนต์ 42 แบรนด์จาก 9 ประเทศ และรถจักรยานยนต์ 22 แบรนด์จาก 7 ประเทศ ร่วมชิงยอดขายดุเดือด ทั้งค่ายผู้ผลิตจีน ญี่ปุ่น และยุโรป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ท่ามกลางการแข่งขันของตลาดรถยนต์ปีนี้ดุเดือดเป็นประวัติการณ์หลังยอดจำหน่ายหล่นฮวบทั้งปี แต่ไม่ว่าสถานการณ์จะขึ้นหรือลง เศรษฐกิจจะหลุดโค้งไม่สดใส Motor Expo ยังคงเปิดพื้นที่ให้ค่ายผู้ผลิตรถยนต์ทำกิจกรรมการตลาดส่งเสริมการขายยิ่งใหญ่ทุกปี จากโชว์รถเป็นขายรถ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ย้อนไปเมื่อ 40 ปี แนวคิดการจัดงาน Motor Expo มาจากผู้บริหารของค่ายผู้ผลิตยานยนต์แนะนำให้ผมจัด Motor Expo ตอนนั้นมีผู้จัดงานอยู่แล้ว 1 ราย แต่เจ้าของค่ายรถยนต์บอกว่า อยากให้มีจัดอีก ตอนแรกก็ยังไม่ตัดสินใจ แต่พอคุยกันบ่อยก็เลยนับหนึ่งลองจัด” ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธาน บริษัท สื่อสากล จำกัด และประธานจัดงานมหกรรมยานยนต์ เล่าให้ Forbes Thailand ฟังถึงจุดแรกเริ่มของการจัดงานครั้งแรกที่ตื่นเต้น วัดดวง ลุ้นว่าจะมีค่ายรถยนต์สนใจขนาดไหน ใช้โลเกชั่นตรงอโศก แฟร์กราวน์ด (ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พระราม 9) เป็นพื้นที่เล็กๆ ขนาด 4,000 ตารางเมตร สรุปปีแรกมีบริษัทค่ายรถยนต์เข้าร่วมงาน 11 บริษัท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เริ่มจัดงานครั้งแรกเมื่อปี 2527 มี 11 บริษัทร่วมงาน ใช้พื้นที่ไม่มาก 4,000 ตร.ม. ซึ่งในช่วง 2 ปีแรกเป็นการจัดแสดงนวัตกรรมยานยนต์ใหม่ๆ ไม่มีการขายรถยนต์” จุดเปลี่ยนอยู่ในปีที่ 2 ครั้งนี้บริษัทย้ายสถานที่จัดงานจากอโศก แฟร์กราวน์ด มาที่มาบุญครอง​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/oLXD9B6zzMaWmZJRAejq.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="oLXD9B6zzMaWmZJRAejq.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตอนนั้นรถยนต์แบรนด์ Peugeot ได้นำรถต้นแบบมาจัดแสดง มีคนที่มาเดินดูงานเดินมาถามว่า ‘รถ Peugeot คันนี้ราคาเท่าไร?’ ผมบอกเป็นรถต้นแบบไม่น่าจะขาย ถ้าขายก็ต้องแพงมาก ผู้เข้าชมงานท่านนั้นบอกให้ผมกลับไปบอกเจ้าของรถ ถ้าเอารถมาแสดงก็ต้องขาย ถ้าไม่ขายก็ไม่ต้องมาแสดง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขวัญชัยจึงมาคุยและนำเสนอคอนเซ็ปต์และรูปแบบการจัดงาน Motor Expo กับบริษัทผู้ผลิตค่ายรถว่าจะมีทั้งการจัดแสดงนวัตกรรมใหม่ๆ และขายรถไปพร้อมๆ กัน ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของการยกระดับการจัดงานว่าในงานต้องขายรถด้วย 41 ปีแห่งการเปลี่ยนแปลง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อุตสาหกรรมยานยนต์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่รัฐบาลให้ความสำคัญและมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนโยบายผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ในภูมิภาคอาเซียนตั้งแต่ปี 2503 จนถึงปัจจุบัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตต่อเนื่องตามนโยบายสนับสนุนของภาครัฐ อย่าง 10 ปีก่อนรัฐบาลตั้งเป้าหมายการผลิตรถยนต์ในประเทศแตะ 2 ล้านคัน โดยวางเป้าหมาย 1 ล้านคันส่งออก อีก 1 ล้านคันสำหรับตลาดในประเทศ” ขวัญชัยกล่าวและอธิบายเพิ่มว่า ตอนนั้นไทยสนับสนุนให้นักลงทุนญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในประเทศทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดส่งออกที่เติบโตต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันมีจำนวนการส่งออกรถยนต์จากไทยไปต่างประเทศ 1.2 ล้านคัน ในขณะที่ตลาดภายในประเทศก็เคยแตะขึ้นไปถึง 900,000 คัน แต่ตอนนี้ลดลงต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ปี 2567 แตะ 500,000 คันก็ถือว่าเก่งแล้วเพราะเศรษฐกิจไม่ดี กำลังซื้อไม่มี และสถาบันการเงินก็ระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ ทำให้ยอดขายรถยนต์ในประเทศไทยช่วงครึ่งแรกของปีลดลงถึง 25%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เหตุผลสำคัญที่ทำให้ตลาดรถยนต์ในประเทศปี 2567 ลดลงเป็นผลมาจากสถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มากขึ้นเพราะกลัวหนี้เสีย เมื่อสถาบันการเงินไม่ปล่อยกู้ การซื้อรถยนต์ก็เป็นเรื่องยากขึ้น เพราะคนไทยไม่ค่อยซื้อรถยนต์เงินสด”​​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/haYq6Khv8EJk5HDggafL.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="720px,480px" data-align="center" data-file-name="haYq6Khv8EJk5HDggafL.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,480" data-origin="720px,480px" style="width: 720px; height: 480px;" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ประเด็นถัดมาคือ รัฐบาลชะลอแผนลงทุนทั้งการจัดซื้อจัดจ้าง เพราะรัฐบาลโยกงบลงทุนไปสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะการแจกเงิน 10,000 บาท ทำให้ธุรกิจที่รับงานประมูลจากภาครัฐมีโครงการลดลง การจ้างงานสะดุด ทำให้รายได้ลด มีปัญหาในการผ่อนชำระ และไม่มีความสามารถในการซื้อรถยนต์ใหม่​สันดาปสู่ไฟฟ้า ไฮโดรเจน และ E-fuels&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขวัญชัยเล่าว่า ถึงแม้รถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นนวัตกรรมใหม่ แต่ปัจจุบันได้มีแนวคิดในการพัฒนาแหล่งพลังงานใหม่ๆ ออกมา ล่าสุดได้มีการพูดถึงรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฮโดรเจนซึ่งใช้มากในยุโรป เนื่องจากยุโรปต่อต้านรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้าจากจีน ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วพลังงานไฮโดรเจนจะมีต้นทุนในการผลิตและการจัดเก็บที่แพงกว่ารถยนต์ไฟฟ้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่ยุโรปประกาศที่จะลดการใช้รถยนต์สันดาปในปี 2578 ทำให้ยุโรปมีการพัฒนาแหล่งพลังงานใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ล่าสุดเยอรมนีได้มีการพัฒนาแหล่งพลังงานที่เรียกว่า E-fuels ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสังเคราะห์จากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในยานยนต์ ซึ่งถ้าพลังงานนี้ใช้งานได้จริงรถยนต์สันดาปก็จะยังสามารถใช้ได้โดยเติม E-fuels เข้าไปในการกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;E-fuels เป็นเชื้อเพลิงสังเคราะห์ (synthetic fuel) ชนิดหนึ่งที่ผลิตจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกกักเก็บ และก๊าซไฮโดรเจรที่ได้จากพลังงานหมุนเวียน ซึ่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกใช้ในการผลิต E-fuels มีปริมาณเทียบเท่ากับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกปล่อยสู่อากาศเมื่อ E-fuels เกิดการเผาไหม้ทำให้เป็นเชื้อเพลิงที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนโดยรวมต่ำ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อดีของ E-fuels ไม่จำกัดอยู่ที่การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เท่านั้น แต่ยังสามารถใช้งานในเครื่องยนต์สันดาปที่มีอยู่ในปัจจุบันได้อีกด้วย อีกทั้งการจัดส่งยังสามารถใช้โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่แล้วได้เช่นเดียวกัน ฝ่ายผู้สนับสนุนแสดงความเห็นว่า E-fuels เป็นทางเลือกสำหรับผู้บริโภคแทนที่การเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากการพัฒนา E-fuels ทำให้สหภาพยุโรปมีแนวโน้มที่จะทบทวนนโยบายที่จะยุติการจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันในปี 2578 หลังจากที่รัฐบาลเยอรมนีได้ขอเปลี่ยนแปลงมาตรการก่อนการลงมติครั้งสุดท้าย เสนอให้ละเว้นการแบนรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปที่ใช้ E-fuels และกลายเป็นที่จับตาของรัฐบาลประเทศอื่นๆ และค่ายรถเป็นอย่างมากเมื่อต้นปี 2566 ภาพ: บจ. สื่อสากล เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/people/dine-with-the-boss/richard-maloney-ceo-uob-sustainable-growth" alt="Richard Maloney ซีอีโอใหม่นำ UOB ไทยเติบใหญ่ในวิถียั่งยืน">Richard Maloney ซีอีโอใหม่นำ UOB ไทยเติบใหญ่ในวิถียั่งยืน</a>​ ​<a href="https://www.mebmarket.com/ebook-341111-Forbes-Thailand-January-2025" alt="อ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมกราคม 2568 ในรูปแบบ e-magazine">อ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมกราคม 2568 ในรูปแบบ e-magazine</a>​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px; width: 300px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/TiSgitPhLCqbswRCCKqQ.jpg" alt="https://www.mebmarket.com/ebook-341111-Forbes-Thailand-January-2025" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="TiSgitPhLCqbswRCCKqQ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="300px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="549,720" style="width: 300px; height: auto;" data-index="2"></figure></div>

ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ 41 ปี Motor Expo 1 ล้านล้าน

<h2>BMW เซ็นสัญญาประเดิมการพาหุ่นยนต์ที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์ (Humanoid) เข้ามาใช้ในโรงงาน จักรกลเหล่านี้ถูกออกแบบมาให้ยืนหยุ่นต่อการทำงานต่างๆ มากกว่าหุ่นยนต์อุตสาหกรรมแบบเดิม ซึ่งคาดว่าพวกมันจะได้รับบทบาทที่หลากหลายในกระบวนการผลิตของบริษัทรถยนต์หรูรายนี้</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยหุ่นยนต์ดังกล่าวออกแบบและพัฒนาโดย Figure สตาร์ทอัพนักพัฒนาหุ่นยนต์จากแคลิฟอร์เนีย โดยพวกเขาระบุว่าหุ่นยนต์เหล่านี้ “ทำงานได้หลากหลาย” หรือหมายความว่าสามารถนำพวกมันไปใช้แรงงานได้หลายอย่าง&nbsp; &nbsp;&nbsp;หุ่นยนต์รูปร่างเลียนแบบมนุษย์ที่มีชื่อเรียกแสนเรียบง่ายว่า “Figure 01” สูง 5 ฟุต 6 นิ้ว น้ำหนัก 130 ปอนด์ มือแต่ละข้างประกอบด้วยนิ้วห้านิ้ว ซึ่งทางบริษัทเผยว่าสามารถใช้สร้างสรรค์ชิ้นงานที่มีความละเอียดได้ Figure ยังเผยวิดีโอหุ่นยนต์ชงกาแฟบน YouTube นอกจากนี้ยังมีวิดีโอที่แสดงให้เห็นว่าหุ่นยนต์สามารถเดินด้วยสองขาอย่างมั่นคง&nbsp; &nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ยังไม่ชัดเจนเสียทีเดียวว่าหุ่นยนต์เหล่านี้จะถูกนำมาใช้งานอย่างไรกันแน่ ข่าวประชาสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องบอกเพียงว่าจะมี “การนำหุ่นยนต์ลักษณะคล้ายมนุษย์มาใช้ในสภาพแวดล้อมของการผลิตยานยนต์” และชี้ว่าหุ่นยนต์จะ “ทำงานที่ยาก อันตราย และน่าเบื่อ” ซึ่งฟังดูคลุมเครืออย่างมาก&nbsp; &nbsp;&nbsp;นอกเหนือจากนั้นยังมีข่าวที่เผยแพร่อย่างเป็นทางการว่า ตามข้อตกลงเฟสแรก ทั้งสองบริษัทจะทำงานร่วมกันในการ “วินิจฉัยกรณีการใช้งานขั้นต้นเพื่อประยุกต์หุ่นยนต์ของ Figure ในการผลิตยานยนต์” ซึ่งก็ขาดความชัดเจนไม่ต่างกัน โดยภายหลังจากที่พวกเขาตกลงกันเสร็จสิ้นว่า Figure 01 สามารถทำอะไรได้บ้าง จักรกลรูปร่างคล้ายมนุษย์บางส่วนจะถูกนำไปใช้ที่โรงงานผลิตแห่งหนึ่งของ BMW ที่ตั้งอยู่ในเมืองสปาร์ตันเบิร์ก รัฐเซาท์แคโรไลนา​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/eemdPu9rwKvKfrBDB22N.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="eemdPu9rwKvKfrBDB22N.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="1174,1584" style="width: 720px; height: auto;" data-index="0"><figcaption><div>Figure เผยภาพ Figure 01 ผ่านแพลตฟอร์ม X</div></figcaption></figure></div> &nbsp; &nbsp;&nbsp;โรงงานผลิตในเซาท์แคโรไลนาเป็นโรงงานแห่งเดียวในสหรัฐอเมริกาของ BMW มีการประกอบรถยนต์ราว 1,500 คันต่อวัน พร้อมพนักงานราว 11,000 คน และเป็นผู้ส่งออกยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเมื่อวัดจากมูลค่า โดยตัวเลขมูลค่าการส่งออกคือ 9.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ดังนั้น การเข้ามาของหุ่นยนต์รุ่นใหม่นี้จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโรงงาน&nbsp; &nbsp;&nbsp;“หุ่นยนต์ที่ทำงานเฉพาะตัวเข้ามามีบทบาทในตลาดพาณิชย์มาหลายสิบปีแล้ว แต่ศักยภาพของหุ่นยนต์ที่ทำงานได้หลากหลายยังไม่ถูกนำมาใช้งานอย่างครบถ้วน” Brett Adcock ซีอีโอแห่ง Figure อธิบาย “หุ่นยนต์ของ Figure จะปลดขีดความสามารถในการผลิตของบริษัท ลดค่าใช้จ่าย และสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยมั่นคงกว่าเก่า”&nbsp; &nbsp;&nbsp;Figure ยังมีการเผยภาพและวิดีโออวดนวัตกรรมใหม่ล่าสุดนี้ออกมาอย่างต่อเนื่อง&nbsp; &nbsp;&nbsp;อันที่จริง บริษัทเทคโนโลยีมากมายทั่วโลกกำลังอยู่ในศึกแข่งขันเพื่อผลิตหุ่นยนต์ “ที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์” รุ่นแรกออกมา ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น เช่น Honda และ Hyundai ต่างก็พัฒนาหุ่นยนต์อย่างเปิดเผยมานานหลายปี แต่การจะนำพวกมันเข้ามาใช้จริงยังอยู่ระหว่างดำเนินการ ส่วนบริษัทเทคมาแรงอย่าง Tesla ก็เพิ่งเผยโฉมหุ่นยนต์รูปร่างคล้ายมนุษย์นาม Optimus รุ่นที่สองไปเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา&nbsp; &nbsp;&nbsp;แม้ว่าหุ่นยนต์จะคอยช่วยงานในโรงงานและโกดังต่างๆ มานานปี แต่หุ่นยนต์รุ่นใหม่ที่กำลังพัฒนากันเหล่านี้ถูกมองว่าจะช่วยเสริมข้อได้เปรียบในงานอุตสาหกรรมที่มีความซับซ้อนยิ่งขึ้นได้&nbsp; &nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าความกังวลที่ตามมาคือการตั้งคำถามว่าท้ายที่สุดแล้วหุ่นยนต์เหล่านี้จะมาแย่งงานของมนุษย์หรือเปล่า ซีอีโอของ Figure บอกว่าบริษัทของเขาไม่มีความสนใจจะแย่งชิงงานไปจากคนอื่นๆ เลย ซึ่งก็เป็นอะไรที่เดาได้ แต่สำหรับข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับหุ่นยนต์และทิศทางการทำงานที่จะเกิดขึ้นจริง คงต้องรอติดตามความคืบหน้ากันต่อไป แหล่งที่มา: ​<a href="https://gizmodo.com/first-bipedal-robots-with-hands-coming-to-bmw-factory-1851190054" alt="First Bipedal Robots With Hands Coming to BMW Factory">First Bipedal Robots With Hands Coming to BMW Factory</a>​ ​<a href="https://www.theverge.com/2024/1/18/24043065/bmw-figure-robotics-humanoid-robot-workers-deployment" alt="BMW’s South Carolina plant is testing humanoid robot workers">BMW’s South Carolina plant is testing humanoid robot workers</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/commentaries/insights/fintech-solve-thai-household-debt-problem" alt="เทคโนโลยี “ฟินเทค” ช่วยแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทย">เทคโนโลยี “ฟินเทค” ช่วยแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทย</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

จักรกลบุกโรงงาน! BMW เซ็นสัญญา เตรียมพาหุ่นยนต์ Humanoid ช่วยผลิตรถยนต์ 

<h2>อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยปี 2566 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของอุปสงค์และกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ โดยได้แบ่งการวิเคราะห์ออกเป็นประเด็นสำคัญ 4 ด้าน ดังนี้ </h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. ตลาดรถยนต์มีแนวโน้มเติบโตได้ทั้งในด้านการผลิตและยอดขาย โดยคาดการณ์ยอดการผลิตอยู่ที่ราว 1.96 ล้านคัน หรือขยายตัว 4.2% จากปีก่อน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามความเสี่ยงจากภาคส่งออกที่คาดว่าจะหดตัวเพราะอุปสงค์ของคู่ค้าหลักที่ปรับลดลง สำหรับยอดขายรถยนต์ในประเทศมีแนวโน้มเติบโตได้ที่ 3.4% โดยตลาดรถยนต์นั่งจะเป็นแรงส่งสำคัญเพราะได้รับอานิสงส์ของการฟื้นตัวของตลาดแรงงาน ทั้งในแง่การจ้างงานและรายได้ที่ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ยอดขายรถยนต์เชิงพาณิชย์มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงจากปีก่อน เนื่องจากต้องเผชิญแรงกดดันจากรายได้เกษตรกรที่ชะลอตัว &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. ตลาดรถบรรทุกและรถโดยสารขยายตัวได้สอดคล้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทยที่ทยอยกลับสู่ภาวะปกติมากขึ้น โดยคาดว่ายอดจดทะเบียนรถบรรทุกจะขยายตัว 2.7% ชะลอลงจากปีก่อนเล็กน้อย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากแนวโน้มความต้องการขนส่งสินค้าทางบกที่ปรับลดลงตามภาคการส่งออก อย่างไรก็ดี ยังมีแรงสนับสนุนจากการลงทุนก่อสร้าง กอปรกับการค้าชายแดนและผ่านแดนที่ปรับตัวดีขึ้น สำหรับยอดจดทะเบียนรถโดยสารมีแนวโน้มเติบโต 49.1% เร่งขึ้นต่อเนื่องสอดคล้องกับอุปสงค์ในกลุ่มรถบัสรับส่งนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว อีกทั้ง แรงส่งจากนโยบายเปลี่ยนผ่านรถโดยสารประจำทางไป สู่รถโดยสารพลังงานไฟฟ้า &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3. ตลาดรถจักรยานยนต์มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อนเช่นกัน โดยคาดว่ายอดผลิตรถจักรยานยนต์จะขยายตัวที่ราว 8.0% ขณะที่ยอดขายจะขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ 2.3% เป็นผลจาก&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;1) การชะลอตัวของรายได้ภาคเกษตรจากปัจจัยด้านราคา และ&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; 2) ยอดส่งออกที่ชะลอตัวเพราะแรงฉุดของตลาดยุโรปและสหรัฐฯ ขณะที่อุปสงค์ของตลาดเอเชียยังฟื้นตัวได้ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4. ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยยังคงสามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด โดยคาดว่ายอดจดทะเบียนรถ EVs ในปี 2566 จะอยู่ที่ราว 4.95 หมื่นคัน หรือเติบโตสูงถึง 430%YOY ซึ่งจะส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5.6% ของยอดขายรถยนต์นั่งทั้งหมด จาก 1.1% ในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ กำลังการผลิตรถยนต์ EVs ของไทยก็มีแนวโนมปรับเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน โดยคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ราว 3.5 แสนคันต่อปี ภายในปี 2568 อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามอานิสงส์จากการลงทุนของผู้ผลิตยานยนต์ EVs รายใหม่ ๆ ที่มีต่อเศรษฐกิจไทย ทั้งในด้านการจ้างงานและมูลค่าเพิ่มจากการพึ่งพาวัตถุดิบในประเทศ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับความท้าทายของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย คาดว่าในระยะสั้นจะเผชิญแรงกดดันจากวัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้นและหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งส่งผลให้ความต้องการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มีแนวโน้มชะลอตัว นอกจากนี้ มาตรฐานการให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ก็ยังคงความเข้มงวดเนื่องจากคุณภาพสินเชื่อเช่าซื้อในภาพรวมยังคงปรับแย่ลง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับในระยะปานกลาง-ระยะยาว ภาคธุรกิจยานยนต์ยังจำเป็นต้องปรับตัวให้เท่าทันกับกระแสยานยนต์ไฟฟ้าและเทรนด์ ESG ที่กำลังมาแรง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมถึงการที่ผู้บริโภคและนักลงทุนมีแนวโน้มให้ความสำคัญและตระหนักถึงการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบมากขึ้น ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องหันมาให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจที่สร้างผลกระทบทางบวกทั้งต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม &nbsp; &nbsp; บทวิเคราะห์โดย : ฐิตา เภกานนท์ นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/preview/70792" alt="“ดีพร้อม-เซเว่นฯ” ร่วมดันเอสเอ็มอีไทย บุกตลาดโมเดิร์นเทรด สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 81 ล้านบาท">“ดีพร้อม-เซเว่นฯ” ร่วมดันเอสเอ็มอีไทย บุกตลาดโมเดิร์นเทรด สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 81 ล้านบาท</a> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;

อุตสาหกรรมยานยนต์ปี 66 มีแนวโน้มฟื้นตัวสอดคล้องกับเศรษฐกิจไทย แต่ต้องจับตาความเสี่ยงจากกำลังซื้อและตลาดส่งออกที่อาจชะลอตัว

<h2>เชลล์ เผยเทรนด์การคมนาคมแห่งอนาคต 5 ประเทศยักษ์ใหญ่แห่งเอเชีย ชี้ประเทศไทยจะได้ประโยชน์อย่างมากจากการปรับตัวด้านการคมนาคม</h2>
บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด เปิดตัวรายงานที่สรุปเทรนด์ด้านการคมนาคมในอนาคตของภูมิภาคเอเชีย ภายใต้หัวข้อ “เมืองแห่งการสัญจร: ขับเคลื่อนการปฏิวัติการคมนาคมในเอเชีย” ซึ่งเป็นรายงานที่รวบรวมข้อมูลการวิจัย และบทสัมภาษณ์ต่างๆ เพื่อสรุปเป็นข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเทรนด์ด้านการคมนาคมของ 5 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ อินเดีย ฟิลิปปินส์ จีน และประเทศไทย

โดยรายงานได้กล่าวถึงความท้าทายที่แต่ละประเทศต้องประสบไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัล (Digitalisation) ความจำเป็นของทางเลือกในการเดินทางและการคมนาคมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งภาพรวมด้านการคมนาคมต่างๆ เช่น พฤติกรรมการเดินทางของผู้คนในแต่ละวัย ช่องทางการคมนาคม ไปจนถึงการพัฒนาด้านการขนส่ง และความท้าทายที่เกิดขึ้นจากโควิด-19

ไฮไลท์จากรายงานของเชลล์นี้ ได้กล่าวถึงสังคมเมืองที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว การเพิ่มขึ้นของประชากรชนชั้นกลาง การที่ผู้คนมีรายได้สูงขึ้น และมีความมุ่งหวังต่อสิ่งต่างๆ มากขึ้น ซึ่งปัจจัยทั้งหมดนี้กำลังส่งผลกระทบต่อความต้องการด้านการคมนาคมของผู้คนทั่วเอเชีย

&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-38352" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/12/Cities-on-the-Move-Thailand-TH.jpg" alt="" width="1500" height="844" />

นอกจากนี้ รายงานยังพูดถึงเทรนด์อื่นๆ ได้แก่ การที่ผู้คนมองหาความสะดวกสบายมากขึ้น ผลกระทบจากทางเลือกดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น และความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม รายงานได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการนำเสนอรูปแบบการคมนาคมเฉพาะที่เหมาะกับสถานการณ์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ

ยกตัวอย่าง สำหรับในประเทศไทยนั้น แม้ว่าที่ผ่านมาผู้คนจะใช้ยานพาหนะสองล้อเป็นส่วนใหญ่ แต่ปัจจุบันก็มีทางเลือกเพื่อการคมนาคมมากมาย เช่น รถไฟความเร็วสูง บริการเรียกรถตามความสะดวก นอกจากนี้ยังมีการใช้รถยนต์ส่วนตัวในปริมาณที่เพิ่มสูงขึ้น  ในขณะที่ระบบขนส่งสาธารณะก็มีการขยายตัว รวมถึงยังมีโครงการที่จะก่อสร้างสนามบินนานาชาติแห่งที่สามในกรุงเทพฯ ด้วย

“ประเทศไทยอยู่ในสถานะที่สามารถก้าวผ่านกับดักรายได้ปานกลาง และมีศักยภาพในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านการเดินทางและคมนาคมขนส่ง หากมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการวางแผนเพื่อรุดไปข้างหน้า อย่างไรก็ดี เส้นทางสู่การก้าวขึ้นเป็นผู้นำนั้น ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งจากรัฐบาล พันธมิตรในอุตสาหกรรม รวมถึงผู้บริโภคด้วย” ปนันท์ ประจวบเหมาะ ประธานกรรมการ บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด กล่าว

<img class="alignnone size-full wp-image-38354" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/12/Mr.-Panun-Prachuabmoh-Country-Chairman-the-Shell-Company-of-Thailand-Limited.jpg" alt="" width="1500" height="1000" />

รายงานยังได้พูดถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทยที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยประเทศไทยได้ตั้งเป้าว่าจะผลิตยานยนต์ไฟฟ้าให้ได้อย่างน้อย 750,000 คันต่อปี ภายในปี 2030 สอดคล้องกับแผนของรัฐบาลที่ผลักดันให้ไทยเป็นฐานแห่งยานยนต์ไฟฟ้าของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนภายในปี 2025 เชลล์ ได้มีการพัฒนาสถานีบริการสำหรับชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าผ่าน เชลล์ รีชาร์จ (Shell Recharge) ในประเทศสิงคโปร์ และจีน และเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการสถานีบริการสำหรับชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป

นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังให้ความสำคัญกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ โดยจะเห็นได้จากโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกที่ครอบคลุมพื้นที่สามจังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ซึ่งจะถูกพัฒนาเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษชั้นนำ โดยเป็นการเชื่อมต่อของระบบการคมนาคมที่แข็งแกร่ง ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ

“รัฐบาลไทยได้ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์พลังงานไฟฟ้า อีกทั้งกระทรวงพลังงานก็พยายามผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าเสรีระดับโลกของก๊าซธรรมชาติเหลว นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีโอกาสในการสนับสนุนพลังงานทางเลือก เช่น ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน รวมถึงโอกาสในการประเมินศักยภาพเพื่อก้าวไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจที่เกี่ยวกับไฮโดรเจน” ปนันท์ กล่าวเสริม

<img class="alignnone size-full wp-image-38355" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/12/Mr.-Ruengsak-Srithanawiboonchai-Acting-Executive-Director-of-Retail-Business-the-Shell-Company-of-Thailand-Limited.jpg" alt="" width="1500" height="1000" />

ด้าน เรืองศักดิ์ ศรีธนวิบุญชัย รักษาการกรรมการบริหารธุรกิจค้าปลีก บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “ประเทศไทยกำลังจะก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงด้านการคมนาคมขนส่ง ซึ่งจะส่งผลดีกับผู้คนในสังคมอย่างมาก โดย 70% ของแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทยระหว่างปี 2015-2022 ที่มีมูลค่ากว่า 75,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการคมนาคมและขนส่ง เชลล์มุ่งมั่นเดินหน้าตอบสนองความต้องการด้านพลังงานในอนาคตของลูกค้าเกี่ยวกับโซลูชั่นพลังงานสะอาด และพร้อมเดินเคียงข้างสังคมไทย ด้วยสถานีบริการแห่งอนาคตของเรา”

<img class="alignnone size-full wp-image-38353" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/12/Mr.-Amr-Adel-VP-Retail-East-Shell.jpg" alt="" width="1303" height="1031" />

ขณะที่ Amr Adel รองประธาน เชลล์ รีเทล อีสต์ กล่าวว่า “สิ่งที่ขับเคลื่อนความต้องการของผู้บริโภคในเอเชีย คือ เทคโนโลยีใหม่ๆ ความต้องการความสะดวกสบายมากขึ้น รวมถึงการที่ผู้คนหันมาใส่ใจถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การปล่อยคาร์บอน และภาวะความแออัด แต่ละประเทศต่างต้องมีทางออกที่เฉพาะเจาะจงสำหรับประเทศนั้นๆ เอง แต่ในทุกกรณี จำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาล ภาคอุตสาหกรรม และผู้บริโภคต้องร่วมมือกันเพื่อหาทางออกเหล่านั้น”

&nbsp;

กล่าวโดยสรุป แม้ว่าแต่ละประเทศในเอเชียจะต้องมีการพัฒนาด้านการคมนาคม ระบบนิเวศของพลังงานเชื้อเพลิง และการกำหนดนโยบายตลอดจนกฎระเบียบที่จะสามารถตอบความต้องการที่เฉพาะเจาะจงและเหมาะสมสำหรับแต่ละประเทศเอง แต่สิ่งที่ทุกประเทศต้องมีเหมือนกันคือ ความร่วมมือระหว่างรัฐบาล ภาคอุตสาหกรรม และผู้บริโภค เพื่อนำเสนอทางเลือกที่ตอบสนองต่อเทรนด์ใหม่ๆ และความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/property/4-%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%a3%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b9%8c%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%9f%e0%b8%9f%e0%b8%b4%e0%b8%a8-%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%9a-new-normal.html">4 เทรนด์ออฟฟิศ รับสถานการณ์ New Normal</a>

&nbsp;
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events