<h2>ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค จัดใหญ่ร้อนนี้ เตรียมลงทุนกว่า 1,000 ล้านในรอบ 7 ปี ขยายไลน์ผลิตสินค้าที่โรงงานสระบุรี พร้อมรีแบรนด์น้ำสีมิรินด้าและเซเว่นอัพหาลูกค้าตัวจริง พร้อมแตกไลน์สินค้าเซกเมนต์ใหม่รับเทรนด์ตลาด เสริมแกร่งและรับการโตระยะยาว</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทานุจ ชาดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มภายใต้แบรนด์สินค้าของซันโทรี่และเป๊ปซี่โคในประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทได้ใช้เงินลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาทขยายไลน์การผลิตสินค้าเครื่องดื่มน้ำอัดลมและสินค้าไม่อัดลม ที่โรงงานในจังหวัดสระบุรี คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องได้ภายในสิ้นปีนี้ การลงทุนดังกล่าวจะทำให้กำลังการผลิตสินค้าทั้งหมดเพิ่มขึ้นอีก 50% นอกจากนี้ยังจะใช้เงินนี้ลงทุนเพื่อหา consumer insight และพัฒนาสินค้าให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นี่นับเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ในรอบ 7 ปีภายหลังจากบริษัท เป๊ปซี่ โค อิงค์ ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำจากสหรัฐอเมริกา ได้ร่วมทุนกับกลุ่มบริษัท ซันโทรี่ ผู้นำเครื่องดื่มระดับโลกจากประเทศญี่ปุ่น ขยายธุรกิจเครื่องดื่มน้ำอัดลมเป๊ปซี่ มิรินด้า และเซเว่นอัพ ในประเทศไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ยังคงลงทุนต่อเนื่องในเมืองไทย เพราะเชื่อมั่นว่าน้ำอัดลมยังจะเติบโตต่อไปเรื่อยๆ ไลน์การผลิตที่ติดตั้งใหม่จะมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด ผลิตทั้งสินค้าเดิมและสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ มาสร้างความตื่นเต้นให้ตลาดอย่างต่อเนื่อง” ทานุจกล่าว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/Votn1Fx3E4wKKm9sZafx.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="Votn1Fx3E4wKKm9sZafx.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,491" style="" data-index="0"><figcaption><div>ทานุจ ชาดา</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทานุจ ระบุอีกว่า ธุรกิจของซันโทรี่ เป๊ปซี่ ในประเทศไทยตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 8.2% เติบโตกว่าภาพรวมของตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ถึง 2 เท่า และสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มเครื่องดื่มน้ำอัดลมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มน้ำตาลน้อยและไม่มีน้ำตาล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปีนี้บริษัทจะเดินหน้าขยายพอร์ตสินค้าเครื่องดื่มด้วยนวัตกรรมใหม่ เพื่อตอบรับความต้องการผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เสริมความแข็งแกร่งด้านการขายและซัพพลายเชน เพิ่มขีดความสามารถการผลิต นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ และมุ่งสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยความสามารถของบุคลากร​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/CfUSTz1ijyDUxVFVHmZy.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="CfUSTz1ijyDUxVFVHmZy.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อนวัช สังขะทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าเติบโตธุรกิจมากกว่าการเติบโตของตลาดน้ำอัดลมโดยรวมอีกเท่าตัว ด้วย 4 กลยุทธ์คือ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กลยุทธ์แรก คือสร้างความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องให้กับแบรนด์เรือธงคือเป๊ปซี่ (Strengthen Pepsi) ด้วยการสร้างเติบโต brand equity ให้อยู่ในใจของกลุ่ม Gen Z มากขึ้น มีสินค้าใหม่ที่สร้างความตื่นเต้นให้ตลาด ล่าสุด ได้วางตลาด “Pepsi Ume” หรือเป๊ปซี่บ๊วยสู่ตลาด หลังจากได้ใช้เวลาพัฒนาและทดสอบรสชาติมาประมาณปีครึ่ง นอกจากนี้ยังจะสร้าง consumer engagement มากขึ้น เชื่อมต่อผู้บริโภคด้วยประสบการณ์อินเทอร์แอคทีฟและคอนเทนต์โดนใจผ่านโซเชียลมีเดีย หรือมีแพลตฟอร์มอาหารเพื่อให้ลูกค้ามาทำฟู้ดรีวิวได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กลยุทธ์ที่สอง คือสร้างการเติบโตให้ธุรกิจของน้ำสีซึ่งปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ประมาณ 9% ด้วยการรีแบรนดิ้งแบรนด์มิรินด้าและเซเว่นอัพครั้งแรกในรอบ 3 ปี หาแบรนด์ proposition ใหม่ ให้กับกลุ่มเป้าหมายที่มีอายุ 20-29 ปีจากเดิมที่เป็นกลุ่มอายุ 13 ปีขึ้นไป เพื่อสร้างความแตกต่างและหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดกับแบรนด์สินค้าประเภทเดียวกันกับในตลาด นอกจากนี้ยังมีสินค้าใหม่ๆ มาสร้างความตื่นเต้นให้กับตลาด อาทิ Mirinda Blueberry Orange และ 7Up Lemon Soda Pineapple Peach เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กลยุทธ์ที่สาม คือ Penetrate Energy &amp;Hydration ด้วยการส่งสินค้าใหม่คือ สติงค์ ที่มี Unique Proposition เป็นเครื่องดื่มให้พลังงานที่มีความสนุกและ flavorful สติงค์ถือเป็นแบรนด์ในพอร์ตที่มีโอกาสเติบโตมากเพราะประสบความสำเร็จตั้งแต่เปิดตัวสู่ตลาดในปีที่ผ่านมา จนครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 2 ในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังสมัยใหม่ด้วยส่วนแบ่งตลาด 11-12%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ล่าสุด บริษัทได้ปรับขนาดของสติงค์ที่ขายตามร้านสะดวกซื้อจาก 300 มิลลิลิตร เป็น 250 มิลลิลิตร เพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น และรองรับตลาดเครื่องดื่มให้พลังงานแบบใหม่ มีรสชาติซ่า บรรจุในบรรจุภัณฑ์แบบใหม่ทันสมัย ที่มีการเติบโต 5 เท่าในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาและจะเติบโตมากขึ้นในอนาคต ปัจจุบัน modern energy drink มีสัดส่วนตลาด 7% ที่เหลืออีก 93% เป็น traditional energy drink&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กลยุทธ์สุดท้าย คือ การเร่งการเติบโตของเครื่องดื่มชาพร้อมดื่มและกาแฟ ด้วยการออกสินค้าใหม่ๆ สู่ตลาด อาทิ Boss Yuzu Black ที่วางตลาดไปเมื่อเร็วๆ นี้ เป็นต้น​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/27LbRQTtJK5aVbZxhWq1.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="27LbRQTtJK5aVbZxhWq1.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="2"><figcaption><div>อนวัช สังขะทรัพย์</div></figcaption></figure></div>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ธุรกิจของซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เติบโตด้วย 2 สิ่ง คือ แบรนด์ และคน ก่อนที่จะวางกลยุทธ์ให้เราเติบโตต่อไปได้ในอนาคต สิ่งแรกเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า โลกในปัจจุบันเปลี่ยนไปยังไง คอนซูเมอร์เปลี่ยนแปลงไปยังไง” อนวัชกล่าว และว่า การออกสินค้าใหม่ของบริษัททั้งหมด จึงสอดคล้องกับเทรนด์ตลาดหลักๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อเนื่องในอีก 3-5 ปีข้างหน้าและเกิดเร็วขึ้น ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. เทรนด์การเปลี่ยนแปลงของไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย การดูแลตัวเองมากขึ้น คนใช้ชีวิตเร่งรีบมากขึ้น คนออกไปใช้ชีวิตข้างนอกมากขึ้น และอีกกลุ่มใช้ชีวิตอยู่บ้านมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. Joyfull Moments คนให้รางวัลกับตัวเองมากขึ้นด้วยการเดินทางไปต่างประเทศ ออกกำลังกายและปาร์ตี้กับเพื่อน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3. Health Conscious คนดูแลสุขภาพมากขึ้น เมื่อเลือกซื้อสินค้าจะคำนึงถึงสุขภาพมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4. Sustainability โดย Gen Z ให้ความสำคัญเรื่องความยั่งยืนค่อนข้างมาก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;5. ผู้บริโภคมองเรื่อง Value For Money มากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;6. Digitalization &amp; AI&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับเรื่องภาษีความหวาน (Sugar Tax) เฟส 4 ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายนนี้ จะมีผลกระตุ้นให้บริษัทผลิตสินค้ากลุ่มน้ำตาลน้อยและไม่มีน้ำตาลออกสู่ตลาดมากขึ้น โดยก่อนหน้านี้บริษัทได้ปรับสูตรสินค้าให้สอดคล้องกับมาตรการภาษีความหวาน และสร้างรสชาติที่คุ้นเคยให้กับผู้ดื่มมาระยะหนึ่งแล้ว แม้ต้นทุนจะสูงขึ้นสำหรับสินค้าบางกลุ่ม อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่มีแผนปรับราคาแต่ไปเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และปรับปรุงซัพพลายเชน เพื่อบริหารต้นทุน ทำให้ราคาเข้าถึงได้ง่ายขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันเป๊ปซี่ มีมาร์เก็ตแชร์ 39.1% ในตลาดน้ำดำ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 40 กว่าเปอร์เซ็นต์ในสิ้นปี สำหรับภาพรวมตลาดน้ำดำในปีนี้น่าจะกลับมาคึกคักมากขึ้น เพราะอากาศเริ่มร้อนขึ้น และทุกๆ แบรนด์น่าจะจัดกิจกรรมการตลาด สำหรับบริษัทตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนนี้จะมีสินค้าใหม่ออกวางตลาด 8 รายการ ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา ตลาดน้ำอัดลมโดยรวมเติบโต 4-5% ส่วนตลาดไม่มีน้ำตาล ตลาดเติบโต 7-8% ภาพ: ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/haadthip" alt="หาดทิพย์ เบอร์ 1 ผลิตโคคา-โคล่าภาคใต้ ปี 67 กวาดรายได้ 8,130 ล้านบาท ส่วนปีนี้ลุยคืนชีพการเติบโต ‘ขวดแก้ว’">หาดทิพย์ เบอร์ 1 ผลิตโคคา-โคล่าภาคใต้ ปี 67 กวาดรายได้ 8,130 ล้านบาท ส่วนปีนี้ลุยคืนชีพการเติบโต ‘ขวดแก้ว’</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค’ เตรียมทุ่ม 1,000 ล้าน ขยายไลน์ผลิตที่โรงงานสระบุรี เสริมแกร่งรับการเติบโตระยะยาว

หาดทิพย์ เบอร์ 1 ผลิตโคคา-โคล่าภาคใต้ ปี 67 กวาดรายได้ 8,130 ล้านบาท ส่วนปีนี้ลุยคืนชีพการเติบโต ‘ขวดแก้ว’

<h2>บิ๊กโคล่ากลับมาแล้วแบบ “บิ๊กๆ” คว้าสิทธิ์ Official Partner “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” แชมป์พรีเมียร์ลีก 4 สมัยซ้อนเดินหน้าทวงคืนผู้นำ Top 3 น้ำอัดลมไทย พร้อมขยายพอร์ตสินค้าลดความเสี่ยง ขายตั้งแต่กาแฟ ยันน้ำยาปรับผ้านุ่ม </h2> &nbsp; &nbsp;&nbsp;บิ๊กโคล่า เครื่องดื่มน้ำอัดลมสัญชาติเปรูที่เข้ามาทำตลาดในเมืองไทยตั้งแต่ปี 2006 ซึ่งเป็นการลงทุนนอกลาตินอเมริกาครั้งแรกของแบรนด์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การเปิดตัว “บิ๊กโคล่า” ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคคนไทยเป็นอย่างมาก จนสามารถมีส่วนแบ่งการตลาดน้ำอัดลมไทยได้สูงสุดถึง 12 เปอร์เซ็นต์ รองจากโคคา-โคล่าและเป๊ปซี่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังจากนั้นหยุดทำกิจกรรมการตลาดไป 13 ปี ส่วนแบ่งการตลาดของบิ๊กโคล่าเริ่มลดลงและล่าสุดอยู่ที่ 5% เพราะกลุ่มไทยเบฟ ได้เปิดตัวแบรนด์ใหม่ “est” สู่ตลาด ประกอบกับสถานการณ์การระบาดของโควิดในปี 2020 ทำให้สถานการณ์ของบิ๊กโคล่ายิ่งแย่ลง และเริ่มจะกลับมาฟื้นตัวเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้ยอดขายของบิ๊กโคล่าจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 4.5% ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา แต่ brand Top of mind ของคนไทยที่มีต่อบิ๊กโคล่าลดลงเหลือเพียง 8% จากเดิมที่มีอยู่มากกว่า 25%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“วันนี้เราพร้อมจะกลับมาทำตลาดเชิงรุกอีกครั้งทั้งในแง่การตลาดและการขยายพอร์ตฟอลิโอไปยังสินค้ากลุ่มใหม่ เป็นการบริหารความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้หลักจากน้ำอัดลมกว่า 90% ในอนาคตสินค้า non-CSD (carbonate soft drink) จะเพิ่มสัดส่วนรายได้เป็น 15-20%" ฮวน โฆเซ่ โลเปซ เวอการ่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาเจไทย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่ม “บิ๊กโคล่า” กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วันนี้ อาเจไทย ได้เซ็นสัญญาเป็น Official Regional Partner กับสโมสรฟุตบอล “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” สโมสรแรกที่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก 4 ฤดูกาลติดต่อกัน โดยมีระยะเวลาสัญญา 2 ปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภายใต้สัญญาดังกล่าว บิ๊กโคล่าจะนำตราสัญลักษณ์สโมสร (CREST) นักฟุตบอล และสิทธิประโยชน์อื่นๆ มาทำกิจกรรมการตลาดต่างๆ ภายใต้งบประมาณกว่า 100 ล้านบาท​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/CHKXHz4UvqxY2ECAGdjy.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="CHKXHz4UvqxY2ECAGdjy.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ฮวน กล่าวว่า บริษัทเลือกเป็นพาร์ทเนอร์กับ “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” เพราะมีฐานแฟนคลับที่แข็งแกร่งกว่า 5 ล้านคนในประเทศไทย ซึ่งจะทำให้สินค้าของบิ๊กโคล่าเข้าไป engage กับคนรุ่นใหม่กลุ่มนี้ได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“กีฬาฟุตบอลถือเป็นกีฬาที่คนไทยให้ความนิยมอันดับ 1 โดยเฉพาะฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นลีกระดับโลกที่คนไทยชื่นชอบเป็นอันดับ 1 เช่นกัน ทำให้เชื่อมั่นว่าจะช่วยตอกย้ำความเป็นโกลบอลแบรนด์ และทำให้แบรนด์บิ๊กโคล่ากลับมาแข็งแรง และสามารถขยายฐานลูกค้าคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายเดียวกับที่แมนฯ ซิตี้ ต้องการขยายมากขึ้นคนรุ่นใหม่ในอาเซียนให้มากขึ้นด้วย” ฮวน กล่าว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/HD4LkGBQoyFbtKtVuNUX.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="HD4LkGBQoyFbtKtVuNUX.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้ดูเหมือนว่ากิจกรรมของบิ๊กโคล่าจะเงียบกว่าที่เคยเป็นในทศวรรษก่อน แต่ผู้บริหารบริษัทบอกว่าบิ๊กโคล่า ได้เปลี่ยนไปทำกิจกรรมการตลาดแบบอื่น อาทิ การสนับสนุนทีมฟุตบอล ปารีส แซง แยแมง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และใน 5 ปีหลังนี้ บริษัทได้เน้นเรื่องปรับกระบวนการผลิต ลงทุนโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรม อมตะนคร จังหวัดชลบุรี เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต ขยายไลน์เพิ่มเป็น 12 ไลน์ จากเดิมมีเพียง 5 ไลน์ ผลิตเครื่องดื่มได้ทั้งร้อนและเย็น และขยายการผลิตสินค้าในบรรจุภัณฑ์แบบใหม่ๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ยังได้ดึง talent รวมทั้ง ชนินทร์ เทียนเจริญ ที่เคยสร้างความสำเร็จให้บิ๊กโคล่ามาเมื่อกว่า 10 ปี กลับมาร่วมงานกับบริษัทเพื่อปลุกชีพบิ๊กโคล่าอีกครั้งในปีนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพ และบริษัทแม่ อาเจ กรุ๊ป ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก และเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้" ฮวนกล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน ชนินทร์ เทียนเจริญ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท อาเจไทย จำกัด กล่าวว่า ในปีนี้บิ๊กโคล่าเตรียมใช้งบการตลาดกว่า 100 ล้านบาท สำหรับรุกทำตลาดภายใต้กลยุทธ์ Sponsorship Marketing โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์และกลับมาสร้างตลาดให้คึกคักขึ้น การเป็น Official Regional Partner กับ สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวย่างสำคัญในการกลับมาทวงส่วนแบ่งตลาดในตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมเมืองไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บิ๊กโคล่า เตรียมเปิดตัวกลยุทธ์การตลาดครบวงจร เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทั้งการเปิดตัวเครื่องดื่มใหม่ บรรจุภัณฑ์ใหม่ พร้อมกิจกรรมการตลาด อีเวนต์มาร์เก็ตติ้ง และโปรโมชั่นแบบครบวงจร รวมทั้งการขยายช่องทางการจำหน่ายทั้งในช่องทางโมเดิร์นเทรด และเทรดดิชั่นนอลเทรด การจัดกิจกรรมในทุกช่องทาง และปรับรูปแบบการสื่อสารใหม่เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่น Gen Y และ Gen Z มากขึ้น และยังครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันพฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดน้ำอัดลม ทำให้บริษัทต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว มีการสร้างทีมการตลาดดิจิทัลขึ้นใหม่ และปรับการผลิตสื่อโฆษณาในรูปแบบต่างๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ตลาดเครื่องดื่มในประเทศไทยยังมีโอกาสเติบโต และการกลับมารุกตลาดในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูแบรนด์และการสร้างความตื่นเต้นให้กับคนไทยได้อย่างแน่นอน” ชนินทร์กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมในไทย ในปีที่ผ่านมามีมูลค่ารวมกว่า 62,000 ล้านบาท เติบโต 3% การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดทำให้ทุกแบรนด์ต้องปรับตัว และรุกทำตลาดต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเรื่องของราคาและบรรจุภัณฑ์ มีการทำราคาที่ลดลง และมีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ขนาดเล็กเพื่อให้สามารถแข่งขันในราคาที่ต่ำลงได้ นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนารสชาติและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์เพื่อดึงดูดผู้บริโภคมากขึ้นด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันบิ๊กโคล่า มีส่วนแบ่งตลาดราว 5% หลังการกลับมารุกทำตลาดในครั้งนี้ บิ๊กโคล่า ตั้งเป้าหมายที่จะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 7% ในปีแรก และ 15% ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลให้เป็น 1 ใน 3 ผู้นำในตลาดน้ำอัดลมเมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/1VnQ7zn4yj77fLqg3G2Y.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="2" data-file-name="1VnQ7zn4yj77fLqg3G2Y.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""><figcaption><div>ฮวน โฆเซ่ โลเปซ เวอการ่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาเจไทย จำกัด</div></figcaption></figure></div>​ &nbsp; &nbsp; สำหรับบริษัท อาเจ กรุ๊ป เป็นบริษัทเครื่องดื่มใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทได้ขยายธุรกิจไปยังหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ ทั้งในหมวดของเครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยว และสินค้าอุปโภคบริโภคสำหรับใช้ในครัวเรือนเกือบทุกประเภท ผลิตภัณฑ์โฮมแคร์ และธุรกิจรีเทล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนในตลาดเมืองไทย บริษัทได้เริ่มวางตลาดกาแฟกระป๋องพร้อมดื่มสู่ตลาดในเดือนนี้ และก่อนหน้านี้ประมาณ 8 เดือนบริษัทได้ลงทุนโรงงานใหม่อีกแห่งใกล้กับโรงงานบิ๊กโคล่าที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร นับเป็นโรงงานแห่งที่ 3 ของโลก จากที่สองแห่งแรกอยู่ในเปรู และเอกวาดอร์ เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์โฮมแคร์ อาทิ น้ำยาปรับผ้านุ่ม ภายใต้ยี่ห้อ Dest ออกสู่ตลาดเมืองไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราขยายพอร์ตมายังผลิตภัณฑ์โฮมแคร์ เพราะกำไรดีกว่าน้ำอัดลม และตลาดผงซักฟอกและน้ำยาปรับผ้านุ่มมีขนาดใหญ่ถึง 800 ล้านเหรียญสหรัฐ” ฮวนกล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้วยแผนการตลาดทั้งหมดนี้ บริษัทคาดหมายว่ายอดขายของอาเจ กรุ๊ป ในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นเป็น 4,500 ล้านบาทในปีนี้จากยอดขาย 3,600 ล้านบาทในปี 2024 เติบโตจากปี 2023 ประมาณ 25% โดยสัดส่วนรายได้มากกว่า 90% จะมาจากน้ำอัดลม ที่เหลือเป็นน้ำดื่ม ชา เครื่องดื่มชูกำลัง และกาแฟ และสินค้าใหม่ๆ ที่จะทยอยนำมาทำตลาดมากขึ้นในปีนี้ ภาพ: อาเจไทย เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/specialty-thai-tea-is-so-hot-drink-on-line-man" alt="LINE MAN จับตาเทรนด์ “ชาไทย Specialty” ร้านเปิดใหม่โต 205% ใน 3 ปี">LINE MAN จับตาเทรนด์ “ชาไทย Specialty” ร้านเปิดใหม่โต 205% ใน 3 ปี</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘บิ๊กโคล่า’ กลับมาแล้วแบบบิ๊กๆ ควง ‘แมนฯ ซิตี้’ ตั้งเป้าสู่ Top 3 น้ำอัดลมไทย พร้อมขยายพอร์ต ขายกาแฟยันน้ำยาปรับผ้านุ่ม

<h2>ตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมสีดำในไทยมีน้องใหม่อย่าง est หรือ ‘เอส โคล่า’ เข้ามาร่วมชิงแชร์ปีนี้เป็นปีที่ 12 แล้ว เส้นทางของ ‘เอส’ ไม่ง่ายนัก เมื่อทั้งร้านค้าและผู้บริโภคส่วนใหญ่คุ้นเคยกับสองแบรนด์หลักที่เป็นผู้เล่นในตลาดมายาวนาน ทำให้เอสต้องปักหมุดหมายไปที่ผู้บริโภครุ่นใหม่อย่าง Gen Z แล้วเอสสำเร็จแค่ไหนในการพยายามเจาะลูกค้ากลุ่มนี้</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุภรณ์ เด่นไพศาล ผู้อำนวยการสำนักการตลาด สายธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ประเทศไทย บริษัท ไทยดริ้งค์ จำกัด เจ้าของแบรนด์เครื่องดื่มน้ำอัดลมอย่าง ‘เอส’ เปิดเผยว่า จากก่อนหน้านี้ที่เอสได้เปิดตัวแคมเปญการสื่อสารอย่าง “Born to be awesome!” ซึ่งปรากฏว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยเฉพาะจากกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์อย่างคนรุ่นใหม่ในกลุ่ม Gen Z&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เสียงตอบรับที่ดีดังกล่าวของเอส สะท้อนจากสถิติต่างๆ ดังต่อไปนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-คนพูดถึง est cola บนโลกออนไลน์มากขึ้น 65% YoY&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-ยอด Penetration หรือสามารถขยายกลุ่มคนดื่มทดลอง เพิ่มขึ้นเป็น 28% ในปี 2567 จากก่อนแคมเปญรีแบรนด์ในปี 2566 อยู่ที่ 26%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-ฐานผู้บริโภคกลุ่ม Gen Z เพิ่มขึ้นจนมีสัดส่วนเป็น 36% แล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-เมื่อถามกลุ่ม Gen Z ว่านึกถึงน้ำอัดลมแบรนด์ใดเป็นแบรนด์แรก 17% ตอบว่าเอส โคล่า จากเดิมที่ปีที่แล้วมีเพียง 9% เท่านั้น​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/TFFMWzHcigceuxxUmpnF.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="TFFMWzHcigceuxxUmpnF.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุภรณ์ยังเผยถึงความสำเร็จในแง่ของยอดขายที่เติบโตในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของทางจัดจำหน่าย ที่ยอดขายผ่านร้านค้าเติบโต 25% โมเดิร์นเทรดเติบโต 33% Traditional trade เติบโต 18.4%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ที่น่าสนใจคือในภาพรวมของตลาดเครื่องดื่มน้ำดำมูลค่า 66,000 ล้านบาทแล้ว ปีที่ผ่านมาเอสยังครองมาร์เก็ตแชร์ได้ถึง 8.9% จากปีก่อนหน้าที่อยู่ที่ 7% เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีการเติบโตมากถึง 15% สูงกว่ามูลค่าตลาดที่เติบโต 12% ด้วย ขณะที่แบรนด์โคคา-โคล่าครองมาร์เก็ตแชร์ 54% และเป๊ปซี่มาเป็นอันดับสองที่ 30%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ในโมเดิร์นเทรด ยอดขายเราสูงสุดตั้งแต่ที่เคยทำมา นอกจากนี้กิจกรรมเช็กอินซ่า ล่าเอสสูตรใหม่ ก็ยังหนุนให้ยอดขายเดือนมกราคม 2567 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือเติบโตถึง 40% เลยด้วย”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/53APLqABNQESEd7UUwik.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="53APLqABNQESEd7UUwik.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ หากแบ่งสัดส่วนยอดขายของเอส โคล่า ตามภูมิภาค จะมีดังต่อไปนี้ ภาคเหนือ 10%, ภาคกลาง 28%, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 19%, ภาคใต้ 5% และกรุงเทพฯ 37%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากความสำเร็จดังกล่าวทำให้ปีนี้เอสออกแคมเปญการสื่อสารชุดใหม่ คือ ‘est Cola Awaken Awesome Sense’ แค่ดื่มเอสก็เปิดทุกสัมผัส ให้ซ่ากล้าเป็นตัวเอง ตอกย้ำจุดยืนของแบรนด์ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Born to be Awesome เกิดมาซ่า...กล้าเป็นตัวเอง’ เพื่อเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์เข้าไปอยู่ในใจ Gen Z ทั้งในเรื่องรสชาติและความออซั่มที่แตกต่าง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เป้าหมายของเราปีนี้คืออยากเพิ่มฐานผู้บริโภคกลุ่ม Gen Z ขึ้นอีก ที่ผ่านมาเราพบว่าคนรุ่นใหม่ดื่มเอสมากขึ้น ขณะที่กลุ่มผู้ใหญ่และร้านค้าเป็นกลุ่มที่อาจต้องใช้เวลา เพราะเขาอาจยังไม่คุ้นชินกับเรา” สุภรณ์กล่าว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/eEVAqUqqLDRLKiz8icXj.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="2" data-file-name="eEVAqUqqLDRLKiz8icXj.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับแคมเปญดังกล่าว เอสได้ใช้พรีเซ็นเตอร์ที่ได้รับการยอมรับในระดับเอเชีย ทั้ง “เจฟ ซาเตอร์” ในฐานะนักร้อง นักแต่งเพลง และโปรดิวเซอร์ ที่ไปโชว์ความออซั่มและได้รับรางวัลในรายการ Call Me by Fire Season 3 ได้เป็นเมนเทอร์ในรายการ Chuang Asia Thailand 2024 จนสามารถตกแม่ๆ ชาวจีนเข้าด้อมมากมาย รวมทั้ง Collab กับศิลปินชาวเกาหลีใต้ Shaun ในเพลง Steal the Show และ “อิ้งค์ วรันธร” ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นเจ้าหญิงแห่งวงการเพลงป๊อปแห่งยุค ที่เก่งทั้งร้องและการแสดง มีผลงานเพลงที่ประเทศญี่ปุ่นมาแล้ว และขึ้นแสดงโชว์ในเทศกาลดนตรีระดับโลก Summer Sonic 2023 ที่ประเทศญี่ปุ่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“โดยพรีเซ็นเตอร์ทั้งสองคนจะมาคอนเนคและชวนคนรุ่นใหม่ให้ปลุกทุกประสาทสัมผัส รวมทั้งเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กไทยได้กล้าเป็นตัวเอง เช่นเดียวกับทั้ง 2 คนที่กล้าเป็นตัวของตัวเองและทำงานด้านดนตรีที่รักจนประสบความสำเร็จในระดับเอเชีย” สุภรณ์ระบุ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยความที่ Gen Z เป็นกลุ่มที่ชื่นชอบความแปลกใหม่ ซึ่งแคมเปญนี้เอสได้ท้าพิสูจน์ความซ่าของผู้บริโภคด้วยโทนเสียง ผ่านการ Co-Pilot กับ AI มาใช้ทั้งในงานโฆษณา ด้วยการให้ AI สร้างสรรค์มุมมองภาพใหม่ๆ ตามคอนเซปต์ของครีเอทีฟ ให้ออกมาเป็นมุมมองโฆษณาที่แปลกใหม่ สร้างความรู้สึกได้อย่างลงตัวร่วมกับพรีเซ็นเตอร์​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/e2i8eKrLLRjLRtpoYhSr.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="3" data-file-name="e2i8eKrLLRjLRtpoYhSr.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ยังสร้างสรรค์กิจกรรม “เอสเช็กฟีลซ่า” ลองเอสเซย์ดังๆ AI รู้ทันใน 3 วิ ชวนคน Gen Z เปิดใจลองดื่มเอส และแบ่งปันประสบการณ์ความออซั่มในทุกสัมผัส โดยเทคนิคใช้ AI เทคโนโลยี Speech Analysis and Voice Burst Analysis ซึ่งเป็นครั้งแรกของวงการโฆษณาเมืองไทย มาอ่านโทนเสียงความออซั่มหลังดื่มเอส โดยให้เซย์บอกความรู้สึก 1 คำ แล้ว AI จะอ่านผลความรู้สึกที่แท้จริงของคุณออกมา ผ่านการนำเทคโนโลยีมาผสมผสานกับหลักจิตวิทยาให้ออกมาเป็นความรู้สึกในการดื่มเอส&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยมีเป้าหมายในการแจกตัวอย่างผลิตภัณฑ์ถึง 1 ล้านชิ้นตลอดปี 2567 ในประเทศไทย รวมทั้งในเอเชียที่จะออกเดินสายพร้อมกับคอนเสิร์ตในทวีปเอเชียของเจฟ ซาเตอร์ “est Cola Presents JEFF SATUR: SPACE SHUTTLE NO.8 ASIA TOUR” ใน 5 เมืองใหญ่ทั่วเอเชีย อีกด้วย เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/haad-thip-business-plan-2024" alt="‘หาดทิพย์’ เบอร์ 1 ผลิตโคล่าภาคใต้ ยอดขายปี 66 ทุบสถิติรอบ 5 ปี หลังท่องเที่ยวบูม ปรับราคาขายบางขนาด">‘หาดทิพย์’ เบอร์ 1 ผลิตโคล่าภาคใต้ ยอดขายปี 66 ทุบสถิติรอบ 5 ปี หลังท่องเที่ยวบูม ปรับราคาขายบางขนาด</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

สำรวจความสำเร็จ ‘เอส โคล่า’ หลังพยายามหนักเจาะ Gen Z

<h2>โคคา-โคล่า เปิดตัว “อู-ฮ่า” เอาใจ Gen Z หลังปี 2565 ที่ผ่านมา เทรนด์เครื่องดื่มโซดากลิ่นน้ำผลไม้มาแรงส่งผลให้ตลาดธุรกิจดังกล่าวมียอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 2 หลัก และยังมีสัดส่วนในการครอง 4% ของตลาดน้ำอัดลมที่มีมูลค่า 56,000 ล้านบาท</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กลุ่มธุรกิจโคคา-โคล่า ในประเทศไทย เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “อู-ฮ่า” เครื่องดื่มโซดากลิ่นผลไม้ น้ำตาล 0% และ 0 แคลอรี เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Z &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ริชา ซิงห์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด โคคา-โคล่า ประจำประเทศไทย เมียนมาร์ และลาว กล่าวว่า “ปัจจุบัน ตลาดเครื่องดื่มมีการเติบโตเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เราจึงต้องศึกษาทำความเข้าใจตลาด เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของผู้บริโภคที่มีความหลากหลาย ซึ่งการการเปิดตัว “อู-ฮ่า” ในครั้งนี้ ถือเป็นการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ด้วยนวัตกรรมที่ผสานสองรสชาติที่แตกต่างเข้ากันได้อย่าลงตัว ทั้ง “อู-ฮ่า” โซดากลิ่นลิ้นจี่และโยเกิร์ต และ “อู-ฮ่า” โซดากลิ่นเลมอนผสมซีซอล์ท (เกลือสมุทร) เพื่อเป็นตัวเลือกที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเหล่า Gen Z” <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/dVdyfYgbDnNiGPMRMtwj.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="dVdyfYgbDnNiGPMRMtwj.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ผลการสำรวจและรวบรวมข้อมูลของบริษัทในช่วงที่ผ่านมา พบว่า กลุ่มผู้บริโภค Gen Z ต่างมองหาเครื่องดื่มโซดารสชาติแปลกใหม่และหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ประกอบกับเทรนด์ของเครื่องดื่มผสมโซดาที่เริ่มมาแรงตั้งแต่ปี 2565 จึงสร้างอานิสงส์ให้ภาพรวมตลาดเครื่องดื่มผสมโซดากลิ่นผลไม้เติบโตขึ้นเป็นตัวเลข 2 หลัก หรือคิดเป็นสัดส่วน 4% ของตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมที่มีมูลค่า 56,000 ล้านบาท โดยตลาดน้ำอัดลมก็มีการเติบโตขึ้น 7%​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/PqVBCPMVNZvah313PoJg.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="PqVBCPMVNZvah313PoJg.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp; &nbsp; ดังนั้นทาง Coca-Cola จึงมั่นใจว่าเครื่องดื่มอู-ฮ่า จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เพราะไม่มีน้ำตาลและแคลอรี พร้อมกันนี้จะทำการตลาดโดยเน้นสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ ควบคู่กับการจัดกิจกรรมตลอดทั้งปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่อีกด้านของผู้ประกอบการธุรกิจเครื่องดื่มก็ยังต้องเผชิญกับปัญหาต้นทุน ทั้งการขนส่งและเงินเฟ้อ ทำให้ต้นปีที่ผ่านมา Coca-Cola ได้มีการปรับราคากลุ่มสินค้าน้ำอัดลมเพิ่มขึ้น 1 บาทไปแล้วเพื่อให้สอดรับกับราคาต้นทุนที่เพิ่มขึ้น อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://www.forbesthailand.com/other/news/%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B9%84%E0%B8%AD-%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B9%8C-%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B9%8C-%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2-2023-%E0%B9%82%E0%B8%8A%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2" alt="&quot;ซีพีเอชไอ เซาธ์ อีสต์ เอเชีย 2023&quot; โชว์นวัตกรรมการผลิตยาในประเทศไทย">"ซีพีเอชไอ เซาธ์ อีสต์ เอเชีย 2023" โชว์นวัตกรรมการผลิตยาในประเทศไทย</a>​<hr class="__se__solid">​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

โคคา-โคล่า เปิดตัว “อู-ฮ่า” เอาใจ Gen Z หลังโซดากลิ่นน้ำผลไม้ครอง 4% มูลค่าตลาดน้ำอัดลม

อาเจไทย ดันแบรนด์ บิ๊ก เดินหน้าบุกตลาดเครื่องดื่มเสริมแกร่งสู่แบรนด์เดินหน้าสื่อสารการตลาดทุกรูปแบบภายใต้ชื่อของแบรนด์ บิ๊ก ในโลโก้ใหม่ พร้อมเปิด 2 รสชาติใหม่ บิ๊กมะพร้าว บิ๊กมะนาวโซดา และ บิ๊ก อาควา (BIG Aqua) ผลิตภัณฑ์กลุ่มน้ำดื่ม เพิ่มตัวแทนจัดจำหน่ายพร้อมโหมโปรโมชั่นไตรมาสสุดท้ายของปี

“เราเปลี่ยนฉลากใหม่ให้กับเครื่องดื่มทุกตัวที่อยู่ภายใต้แบรนด์ “บิ๊ก” โดยฉลากนั้นจะที่มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ พร้อมขนาดอักษรที่ใหญ่ขึ้น บนพื้นหลังสีเหลืองเด่นสะดุดตา และมีการปรับตำแหน่งตัวอักษรให้อยู่ในแนวนอนเพื่อให้อ่านง่ายขึ้น และมี “นกฮัมมิ่งเบิร์ด” เพื่อสื่อถึงลักษณะอันโดนเด่นของแบรนด์ “บิ๊ก” ที่เดินหน้าในตลาดน้ำอัดลมอย่างไม่เกรงกลัวแบรนด์ใหญ่ในตลาด ทั้งยังมีความยืดหยุ่นและสามารถเติบโตอย่างรวดเร็ว” ภานุวัตร แตงงาม ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท อาเจไทย จำกัด กล่าวถึงการปรับโฉมครั้งสำคัญด้วยงบลงทุนกว่า 10 ล้านบาท

ด้าน โซเรน เลาริดเซน ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชีย บริษัท อาเจ กรุ๊ป และกรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมนอกจากการปรับแบรนด์ใหม่และการทำการตลาดในการชิงโชค สิ่งที่เขาให้ความสนใจในครึ่งปีหลังคือการปรับกระบวนการกระจายสินค้าเพื่อให้กระจายได้ทั่วประเทศไทยโดยเฉพาะพื้นที่ กรุงเทพมหานครชั้นใน ภาคอีสาน และภาคใต้ ที่ยังขาดตัวแทนในการกระจายสินค้า

“ที่ผ่านมาของบิ๊ก เรายังเน้นการปรับกระบวนการกระจายสินค้าด้วย ให้กระจายได้อย่างทั่วถึงทุกพื้นที่ประเทศไทยมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพราะเรารู้ว่าแฟนบิ๊กมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง เราจึงเน้นชื่อ “บิ๊ก” แบบหนึ่งเดียว ให้เป็นหัวใจสำคัญของการสื่อสารผลิตภัณฑ์ทั้งหมดในครอบครัวบิ๊ก เพื่อสร้างความคุ้นเคยที่ง่ายขึ้น เร็วขึ้น และมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมกับแฟนบิ๊กของเรา” โซเรน กล่าวเพิ่มเติม

ขณะเดียว บริษัทอาเจไทย ยังได้คิดค้นละนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ 2 รส คือ บิ๊กมะพร้าวและบิ๊กมะนาวโซดา เพื่อเสริมทัพในกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำสีที่ อาเจไทยเป็นผู้นำในตลาดน้ำสีที่มียอดขายเป็นอันดับ 2  รวมถึงการปรับแบรนด์น้ำดื่มจากเดิมในชื่อ Ceilo ซึ่งออกเสียงยากเป็น Big Aqua ที่ออกเสียงง่ายกว่า

“จากการทดลองขายในเซเว่นอีเวฟเว่นที่ผ่านได้รับการตอบรับเป็นอย่างดียอดขายที่วางไว้ภายใน 3 เดือน ทำได้ภายใน 2 อาทิตย์ ทั้งนี้เรายังได้เปลี่ยนผลิตภัณฑ์น้ำดื่มจากเดิมที่ออกเสียงยากเพิ่อสร้างการรับรู้ในชื่อภายใต้ master brand เดียวกัน ซึ่งเป็นเปลี่ยนชื่อดังกล่าวเป็นการเปลี่ยนให้เหมาะกับในประเทศนั้นๆ อย่างประเทศอินโดนีเซีย เปลี่ยนเป็น Big Air (คำว่า Air เป็นภาษาท้องถิ่นที่แปลว่าน้ำ)” ภานุวัตร แตงงาม กล่าวเสริม

พร้อมกันในไตรมาสสุดท้ายของปี บริษัทอาเจไทย ปล่อยแคมเปญใหญ่อีกครั้งเพื่อเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ดันยอดขายตามเป้าการเติบโต 10 % ในปี 2016 นี้ ด้วยแคมแปมส่งรหัสใต้ฝา “BIG เที่ยวรัวๆ ทัวร์ยุโรป 4 ประเทศ” พร้อมลุ้นของรางวัลอื่นๆ ทั้งนี้จากการทำแคมเปมส่งรหัสใต้ฝาที่ผ่านมามียอดการส่งฝาจากแคมเปมที่ผ่านมาในปี 2559 มีจำนวนการส่งรหัสเข้ามามากถึง 6,681,249 ครั้ง เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมามากกว่าเท่าตัว

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events