<h2>‘เซ็นกรุ๊ป’ ทำถึง! เสิร์ฟส้มตำปลาร้า-ส้มตำไทยถึงบ้าน ใส่กล่องวางขายครั้งแรกที่แม็คโคร-โลตัสมากกว่า 1,500 สาขาต้นเดือนเมษายนนี้ พร้อมต่อยอดขยายแบรนด์อาหารไทยเน้นภูมิภาคเอเชีย ดันเป้าขาย 4,500 ล้านบาทปีนี้</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สรรคนนท์ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทจะลงทุนกว่า 100 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา เพื่อขยายสาขาร้านอาหารที่ลงทุนโดยบริษัทใหม่ 8 แห่งในประเทศ และปรับโฉมสาขาเก่าของแบรนด์ Zen, AKA และ On the Table ให้มีความทันสมัยมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะเดียวกันจะเน้นขยายธุรกิจในระบบแฟรนไชส์เพิ่มอีก 24 แห่ง แบ่งเป็น ในประเทศ 12 แห่ง และต่างประเทศ 12 แห่ง โดยจะเน้นแบรนด์อาหารไทยเป็นหลัก ได้แก่ เขียง ตำมั่ว และลาวญวน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/7Uxpq9amii2CNJEdyehG.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="7Uxpq9amii2CNJEdyehG.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""><figcaption><div>สรรคนนท์ จิราธิวัฒน์</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันเซ็นกรุ๊ปมีร้านอาหารในเครือ 10 แบรนด์ รวมกว่า 317 สาขา แบ่งเป็นตำมั่ว 76 สาขา ลาวญวน 36 สาขา เขียง 53 สาขา On the Table 36 สาขา และ AKA 50 สาขา ที่เหลือเป็นอื่นๆ การขยายสาขาที่บริษัทลงทุนเองมี 177 สาขา และสาขาแฟรนไชส์ 140 สาขา ครอบคลุมทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/zHx5zpr5i2ckJQCpduis.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="zHx5zpr5i2ckJQCpduis.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""><figcaption><div>ศิรุวัฒน์ ชัชวาลย์</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ปีนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดี เราจะเน้นขยายธุรกิจอาหารไทยในต่างประเทศมากกว่าในประเทศ การเร่งเครื่องเปิดร้านอาหารไทยเพราะเป็นหนึ่งใน soft power ที่รัฐบาลโปรโมต” ศิรุวัฒน์ ชัชวาลย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการตลาดของเซ็นกรุ๊ปกล่าว และว่า เซ็นกรุ๊ปผ่านเศรษฐกิจและความท้าทายมาทุกรูปแบบใน 30 ปีที่ผ่านมา ด้วยประสบการณ์ดังกล่าวพร้อมทีมบริหารรุ่นใหม่ และโครงสร้างธุรกิจอาหารที่หลากหลาย บริษัทจึงมี growth engine หลากหลายแบรนด์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ศิรุวัฒน์กล่าวถึงแผนธุรกิจในต่างประเทศว่า ปีนี้จะมีเปิดร้านเขียงสาขาใหม่เพิ่มขึ้นในเวียงจันทน์อีก 2 สาขา รวมเป็น 4 สาขาในสิ้นปี และจะเปิดในฟิลิปปินส์อีก 5 สาขา ส่วนร้านแฟรนไชส์ใหม่ในลาวและฟิลิปปินส์จะเปิดอย่างละสาขาในไตรมาสแรกของปีนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ยังเตรียมขยายแฟรนไชส์แบรนด์ ลาวญวน ร้านอาหารที่ผสมผสานวัฒนธรรมทางอาหารของ 3 เชื้อชาติลุ่มแม่น้ำโขง (ไทย-ลาว-เวียดนาม) เพื่อตอบโจทย์ให้กับกลุ่มคนวัยทำงาน และกลุ่มครอบครัวที่มองหาอาหารเพื่อสุขภาพ และ On The Table เป็นครั้งแรกในเวียงจันทน์ในไตรมาสสองปีนี้ด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การที่เราเข้าไปเปิดแบรนด์เขียงในลาวมา 13 ปี ทำให้เรารู้ว่าคนลาวชอบอาหารไทยรสชาติแบบไหน ส่วนในมาเลเซียมีเขียงเปิดแล้ว 3 สาขา ได้รับความนิยมมาก คนมาเลเซียคุ้นเคยกับอาหารไทยเป็นอย่างดี เพราะมาเลเซียเป็นประเทศที่เข้ามาเที่ยวเมืองไทยมากเป็นอันดับสองรองจากจีน” ศิรุวัฒน์บอก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับในเมืองไทย จอมขวัญ จิราธิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจร้านอาหาร กล่าวว่า บริษัทจะเปิดร้าน flagship store ของ Zen แห่งใหม่ในสไตล์โมเดิร์น ที่ Central Eastville และเปิดอีก 4 สาขาใหม่ของ AKA ร้านอาหารปิ้ง-ย่างสไตล์ญี่ปุ่น ในกรุงเทพฯ เพื่อสร้างประสบการณ์ปิ้ง-ย่างที่สนุกสนานให้กลุ่มลูกค้านักเรียน นักศึกษา คนรุ่นใหม่ วัยทำงาน และตอกย้ำความเป็นหนึ่งในตลาดยาคินิคุ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/vvx8byfDzs7QFETc88xf.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="2" data-file-name="vvx8byfDzs7QFETc88xf.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""><figcaption><div>จอมขวัญ จิราธิวัฒน์</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วน On the Table ร้านอาหารสไตล์คาเฟ่ Japanese with a Twist จะ up lift ดีไซน์ที่สดใส มีมุมมองในร้านที่ทันสมัยมากขึ้น พร้อมเมนูอาหารใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ตั้งแต่กลุ่มครอบครัว คนวัยทำงานที่ชอบ hang-out กับกลุ่มเพื่อนในบรรยากาศที่เป็นกันเอง ทั้งนี้ ปัจจุบัน On the Table มีสาขาทั้งสิ้น 36 สาขา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนแบรนด์ตำมั่ว ร้านอาหารไทย-อีสาน ได้ refresh brand ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา จึงพร้อมจะแข่งขันกับแบรนด์อาหารทุกแบรนด์ในศูนย์การค้า ปัจจุบันตำมั่วมีสาขาทั้งหมด 76 สาขา ลงทุนเอง 9 สาขา และแฟรนไชส์ในประเทศ 66 สาขาและต่างประเทศ 1 สาขา เน้นเจาะกลุ่มครอบครัว คนทำงาน ที่ชื่นชอบอาหารรสจัดจ้าน ส่วนแบรนด์ Sushi Cyu &amp; Carnival ร้านอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมียม ยังไม่มีรายละเอียดของการเปิดสาขาใหม่ปีนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากขายอาหารในร้านอาหารแล้ว บริษัทยังขยายช่องทางการทำธุรกิจรูปแบบใหม่ อาทิ การขายผ่านช่องทางขายปลีก โดยนำร่องส่งน้ำปลาร้าสูตรเด็ด แบรนด์ ‘ตำมั่ว’ เข้าไปขายคู่กับชุดผักส้มตำพร้อมปรุง โดยมี 2 ผลิตภัณฑ์ คือ “ชุดผักส้มตำปลาร้า” และ “ชุดผักส้มตำไทย” ซึ่งจะวางขายที่แม็คโครและโลตัสกว่า 1,500 สาขาทั่วประเทศ เริ่ม 1 เมษายนนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ยังตั้งเป้าว่าจะมีสินค้าใหม่ๆ ออกสู่ตลาดทุกเดือน และขยายช่องทางขายไปยังร้านสะดวกซื้อในอนาคต เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า และเข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้างและครอบคลุมมากที่สุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ศิรุวัฒน์ กล่าวว่าปัจจุบันธุรกิจของเซ็นกรุ๊ปมีอยู่ 3 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1.ธุรกิจร้านอาหาร มีแบรนด์ในเครือรวมทั้งหมด 10 แบรนด์ ประกอบด้วยแบรนด์อาหารญี่ปุ่น 6 แบรนด์ คือ Zen, AKA, On the Table, Din's, TETSU, Sushi Cyu &amp; Carnival และแบรนด์อาหารไทย 4 แบรนด์ คือ เขียง, ตำมั่ว, ลาวญวน, De Tummour ครอบคลุมทุกความต้องการของผู้บริโภค ตั้งแต่ร้านอาหารระดับ premium ไปถึงร้านอาหารแนว casual dining&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2.ธุรกิจแฟรนไชส์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3.ธุรกิจผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่าย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้นในปี 2567 กว่า 4,000 ล้านบาท มาจากธุรกิจร้านอาหาร 70% ที่เหลือเป็นแฟรนไชส์และผลิตวัตถุดิบและจัดจำหน่าย คาดการณ์ว่ารายได้รวมทุกธุรกิจในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 4,500 ล้านบาท และมีการเติบโตเฉลี่ย 10% ทุกปี ภาพ: เซ็นกรุ๊ป เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/sushi-trend-in-thai-social-media-march-2024" alt="ส่องเทรนด์ ‘ซูชิ’ อาหารญี่ปุ่นครองใจคนไทย โดยเฉพาะ ‘ร้านซูชิสายพาน’ มาแรงจนเป็นกระแสบนโลกโซเชียล">ส่องเทรนด์ ‘ซูชิ’ อาหารญี่ปุ่นครองใจคนไทย โดยเฉพาะ ‘ร้านซูชิสายพาน’ มาแรงจนเป็นกระแสบนโลกโซเชียล</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘เซ็นกรุ๊ป’ ขอเสิร์ฟ ชุดส้มตำใส่กล่อง วางขายที่แม็คโคร-โลตัส เม.ย.นี้

<h2>3 แบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มสัญชาติไทยแท้&nbsp;ตำมั่ว ลาวญวณ และชงดี ชูกลยุทธ์ Local Collaboration ผนึกกำลังยกระดับวัตถุดิบท้องถิ่นรังสรรค์สู่เมนูพิเศษที่ลงตัว มุ่งเป็นผู้นำตลาดร้านอาหารไทยแบบยั่งยืน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากไอเดียที่อยากดึงเสน่ห์ความเป็นโลคัล ชูรสชาติเอกลักษณ์ไทยให้โดดเด่น พร้อมกับการหนุนธุรกิจของคนไทยด้วยกันให้เติบโตไปพร้อมกัน ต่อยอดสู่กลยุทธ์การคอลแล็บที่เน้นเสน่ห์แบบท้องถิ่น จากความตั้งใจของทั้ง 3 แบรนด์ ได้แก่ ตำมั่ว ร้านอาหารอีสาน ต้นตำรับฉบับนครพนม, ลาวญวน ร้านอาหารสไตล์อินโดจีนที่ผสมผสานเสน่ห์วิถีชีวิตของไทย-ลาว-เวียดนาม และโรงชาชงดี (Chongdee Teahouse) ร้านชาใต้แท้ๆ จากหาดใหญ่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การมารวมตัวกันในครั้งนี้ เพื่อยกระดับวัตถุดิบท้องถิ่น และเพิ่มมูลค่าด้วยการรังสรรค์ 4 เมนูพิเศษที่มีความน่าสนใจ อีกทั้งยังสามารถขยายฐานกลุ่มลูกค้าให้กว้างมากยิ่งขึ้นด้วย รวมถึงการสร้าง Brand Love สู่ผู้นำตลาดร้านอาหารไทยแบบยั่งยืน​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/TCwCbsZsAZ2i1RyNP7Mi.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="TCwCbsZsAZ2i1RyNP7Mi.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="1494,996" style="width: 720px; height: auto;" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ศิรุวัฒน์ ชัชวาลย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจแบรนด์ไทย บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ความตั้งใจในการทำธุรกิจของแบรนด์ไทยในเครือ เซ็น กรุ๊ป ให้ความสำคัญกับการยกระดับวัตถุดิบท้องถิ่นให้มีมูลค่ามากยิ่งขึ้น สนับสนุนผลผลิตของเกษตรชุมชนในประเทศไทย แล้วยังสร้างความมั่นคงและยั่งยืนแก่ชุมชนนั้นๆ ด้วย”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และเพื่อเป็นการตอกย้ำจุดยืนในแนวคิดนี้ จึงได้มีการค้นหาแบรนด์ที่มีความเชื่อในแบบเดียวกัน จนได้มีโอกาสร่วมงานกับโรงชาชงดี ร้านชาใต้แท้ๆ ที่มีความเชื่อมั่นในพลังคุณค่าของวัตถุดิบ และพลังของชุมชนท้องถิ่นเช่นเดียวกัน สู่การคอลแล็บที่ดึงศักยภาพของวัตถุดิบท้องถิ่นชื่อดังจากจังหวัด ต่างๆ ออกมาอวดโฉมในรูปแบบใหม่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน สุรีย์พร พูนศักดิ์ไพศาล และชัชวาล ลิมปธนวรรษ ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ชงดีพูนผล จำกัด กล่าวว่า “โรงชาชงดี ร้านชาใต้แท้ๆ มีคาแรคเตอร์โดดเด่น มีความทันสมัย และปรับรสชาติให้มีความหลากหลาย เราเปิดสาขาแรกในกรุงเทพฯ จนเป็นกระแสบนโซเชียล และได้รับความนิยมจากกลุ่มคนที่ชื่นชอบการดื่มชาใต้ ตอกย้ำความเป็นโลคัลแบรนด์คุณภาพจากหาดใหญ่อย่างแท้จริง เพราะเราตั้งใจคัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพ ตั้งแต่การคัดใบชา และวัตถุดิบอื่นๆ ที่นำมาเป็นส่วนประกอบ”​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/SogGGfxPwKwWsDShvsYT.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="SogGGfxPwKwWsDShvsYT.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="1494,996" style="width: 720px; height: auto;" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งสองบอกด้วยว่าโรงชาชงดีให้ความใส่ใจพิถีพิถันในทุกกระบวนการของการรังสรรค์ในทุกเมนู ทั้งเมนูในร้าน และเมนูที่เรารังสรรค์ขึ้นใหม่ในแคมเปญคอลแล็บครั้งนี้ ภายใต้คอนเซ็ปต์เดียวกันคือ ‘The charms of Local taste’ simple, but timeless กลายเป็นเมนูที่เข้าถึงง่าย รสชาติคุ้นเคย นำมาผสมผสานกับวัตถุดิบพิเศษจากท้องถิ่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับเมนูจากความร่วมมือของทั้ง 3 แบรนด์ ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ชาชงดีกาแฟ ลาวญวน : เมนูที่ดึงเสน่ห์ของแบรนด์ลาวญวนนำเสนอผ่านกาแฟเวียดนาม มาผสมผสานกับชาชงดีอันเป็นซิกเนเจอร์ของโรงชาชงดีได้อย่างลงตัว มีกลิ่นหอมพิเศษของชาและรสชาติเข้มข้นของเมล็ดกาแฟ ทำให้เมนูนี้ออกมาสมบูรณ์แบบทั้งกลิ่นและรส&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บ๊วยส้มมะปี๊ด : ส้มมะปิ๊ด ผลไม้จากจันทบุรี มีรสเปรี้ยวคล้ายมะนาว แต่มีความหอมของกลิ่นส้ม ตัดกับรสเค็มหวานของบ๊วย ให้ความสดชื่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เก๊กฮวยลอนตาลมะพร้าวอ่อน : ลอนตาล ของดีจากเพชรบุรี คัดสรรส่วนที่ดีที่สุดมาทำเมนู เพราะหากอ่อนไปจะติดเปรี้ยว แต่แก่ไปจะไม่อร่อย นำมาผสมกับน้ำเก๊กฮวยและชามะลิที่มีความหอมอ่อนๆ เพิ่มเนื้อสัมผัสของมะพร้าวอ่อนเนื้อกรุบกรอบ เติมความอร่อยไปอีกขั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เฉาก๊วยหอมหมื่นลี้ - ชานม : เนื้อของเฉาก๊วยและวุ้นหอมหมื่นลี้แบบโฮมเมด เติมชาชงดีซิกเนเจอร์ที่ถูกปรับสูตรให้เข้ากับเมนูขนมหวาน มีความมันนัวขึ้น เสิร์ฟพร้อมถั่วแดง รากบัว เม็ดแปะก๊วยที่เชื่อมเอง​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/TmTvkjK4TzhYj7oDGkhj.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="TmTvkjK4TzhYj7oDGkhj.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="1494,996" style="width: 720px; height: auto;" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ทางโรงชาชงดี รู้สึกยินดีที่ได้ร่วมงานกับทาง ตำมั่ว และลาวญวน เพราะก่อนที่เราจะตัดสินใจคอลแล็บกับแบรนด์ไหน เราจะต้องชอบจุดยืนและแนวคิดการดำเนินธุรกิจของแบรนด์นั้นด้วย ซึ่งตำมั่ว - ลาวญวน ก็เป็นตัวจริงของวงการร้านอาหารไทย และมีความเชื่อและความตั้งใจในแบบเดียวกันกับเรา” สุรีย์พร พูนศักดิ์ไพศาล และคุณชัชวาล ลิมปธนวรรษ กล่าวเสริม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ในมุมความแข็งแรงของกลุ่มแบรนด์ไทยและความเป็นตัวจริงเรื่องอาหารไทยของทั้ง ตำมั่ว ลาวญวน มาคอลแล็บกับโรงชาชงดี ตัวจริงเรื่องชาใต้แท้ๆ มีคาแรคเตอร์โดดเด่น ตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ ถือเป็นการคอลแล็บสไคล์โลคัลที่ผลักดันกันและแลกเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย ทั้งในกลุ่มธุรกิจร้านอาหารไทย และธุรกิจเครื่องดื่มชาและกาแฟ ให้กว้างมากยิ่งขึ้น” ศิรุวัฒน์กล่าว พร้อมทิ้งท้ายว่า “หวังเป็นอย่างยิ่งว่าผลผลิตการคอลแลปทั้ง 4 เมนูนี้ จะสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้าของทั้ง 3 แบรนด์ได้เป็นอย่างดี” ​​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/or-open-2-stores-cafe-amazon-in-penang" alt="OR เปิดคาเฟ่ อเมซอน 2 สาขาที่ ‘ปีนัง’ เดินหน้าขยายอีก 11 สาขาในมาเลเซียปีนี้">OR เปิดคาเฟ่ อเมซอน 2 สาขาที่ ‘ปีนัง’ เดินหน้าขยายอีก 11 สาขาในมาเลเซียปีนี้</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ตำมั่ว - ลาวญวน - ชงดี ผนึกกำลังคอลแล็บความอร่อย ชูไฮไลต์วัตถุดิบท้องถิ่นไทย

<h2>ZEN ร้านอาหารญี่ปุ่นที่อยู่คู่บริโภคชาวไทยมายาวนาน ด้วยความใส่ใจผู้บริโภค ที่ไม่ได้หมายถึงแค่บริการหน้าร้าน แต่ยังศึกษาข้อมูลพฤติกรรม ความต้องการ นำมาวางกลยุทธ์ที่สามารถครองใจลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจับเทรนด์อาหารแบบ ‘บุฟเฟต์’ ที่ผู้ผู้บริโภคมองว่าคุ้มค่า เสริมแกร่งด้วยราคา คุณภาพ และเมนูอันหลากหลาย จนประสบความสำเร็จตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เซ็น เรสเตอร์รอง หนึ่งในธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น เครือ เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป เปิดดำเนินการครั้งแรก เมื่อปี 2534 ให้บริการในรูปแบบ A la carte โดยสามารถครองใจผู้บริโภคอย่างยาวนานมาตลอด 32 ปี ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มครอบครัว ปัจจุบันมีสาขารวมทั้งหมด 55 สาขา ครอบคลุมทั่วประเทศไทย เทรนด์ของผู้บริโภคเปลี่ยน - ธุรกิจปรับตัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จุดเริ่มต้นการให้บริการบุฟเฟต์ ของ เซ็น เรสเตอร์รอง เกิดขึ้นในปี 2564 ในช่วงหลังประกาศคลายล็อคดาวน์ ประกอบกับข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคที่โหยหาการทานบุฟเฟต์ มองหาความคุ้มค่า เน้นความหลากหลายของเมนูอาหาร ทำให้สถิติการค้นหาบน Google Search ในช่วงเวลานั้นเพิ่มขึ้นถึง 430% และด้วยกระแสการบริโภคแบบบุฟเฟต์ของคนไทยมีทิศทางเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ทาง เซ็น เรสเตอร์รอง ตัดสินใจเพิ่มอีกหนึ่งรูปแบบการให้บริการประเภทบุฟเฟต์​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/F4US5AC72sFpXAeP52XM.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="F4US5AC72sFpXAeP52XM.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;"></figure></div> การเติบโตของ ZEN Grand Premium Buffet ตลอดระยะเวลา 3 ปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปี 2564 ร้านอาหารญี่ปุ่นเซ็น เรสเตอร์รอง ปรับ 16 สาขาในขณะนั้น เพิ่มการให้บริการในรูปแบบบุฟเฟต์ รองรับความต้องการของลูกค้าที่ชื่นชอบการทานบุฟเฟต์ วัตถุดิบพรีเมียม มากกว่า 80 เมนู และการให้บริการที่มีคุณภาพ ภายใต้การวางกลยุทธ์ Value Promotion&nbsp;เริ่มต้น 599+ เสิร์ฟความคุ้มค่าระดับพรีเมียม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภายในปีแรกก็ได้รับกระแสการตอบรับเป็นอย่างดี เป็นอีกหนึ่งแบรนด์บุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่นที่หลายคนให้ความสนใจและนึกถึง โดยสามารถขยายฐานลูกค้าคนรุ่นใหม่ ช่วงอายุ 26 - 45 ปี ที่เข้ามาใช้บริการ ซึ่งเป็นวัยที่มีกำลังซื้อค่อนข้างสูง และแตกต่างจากกลุ่มลูกค้าเดิม จนสร้างรายได้เติบโตขึ้นกว่า 23%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปี 2565 ต่อมาในปีที่ 2 ทางแบรนด์ยังได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการใช้กลยุทธ์การทำการตลาดใหม่อีกครั้ง ผ่านการ Revamp Menu ปรับ Mood &amp; Tone เมนูใหม่ทั้งหมดให้มีความพรีเมียมกว่าเดิม พร้อมกับการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ จากเดิมที่มี 80 เมนู เพิ่มขึ้นเป็น 130 เมนู ในราคาเริ่มต้นเพียง 599+ ชูความคุ้มค่าของวัตถุดิบ คุณภาพอาหารระดับพรีเมียม เมนูหลากหลาย เปิดให้บริการในรูปแบบบุฟเฟต์ รวม 29 สาขา ซึ่งในปีดังกล่าว แบรนด์สามารถขยายฐานลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้นอีกกว่า 120% สร้างการเติบโตของรายได้ 41%&nbsp; &nbsp;&nbsp;ในปี 2566 เซ็น เรสเตอร์รอง เน้นกลยุทธ์การขยายสาขาเป็นหลัก เป็นไปตาม Growth Strategy ขององค์กร โดยการเปิดสาขาบนพื้นที่ใหม่ๆ มุ่งเน้นการขยายไปที่น่านน้ำใหม่ เช่น ในพื้นที่ต่างจังหวัด ทั้งเมืองหลัก และเมืองรอง เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงการกินบุฟเฟต์แบบพรีเมียมได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งมีการขยายสาขาอีก 7 สาขา รวมกว่า 55 สาขา ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยสาขาที่ให้บริการบุฟเฟต์มีทั้งหมด 37 สาขา​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/agXqF7u6XuXhf2ooBGrg.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="agXqF7u6XuXhf2ooBGrg.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp; &nbsp;&nbsp;มยุรี จิตรกร รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท เซ็น คอปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ความสำเร็จของ เซ็น เรสเตอร์รอง หลังจากเปิดให้บริการในรูปแบบบุฟเฟต์มาตลอดระยะเวลา 3 ปี ที่ผ่านมา สามารถขยายฐานลูกค้าในกลุ่ม GEN Y - GEN Z ที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้นกว่า 200% แสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงของแบรนด์ในตลาดบุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่น และการเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกปี ทั้งยอดขายและการเพิ่มจำนวนสาขาที่ให้บริการบุฟเฟต์ได้มากขึ้นในทุกปี แต่ทั้งนี้ทางแบรนด์ก็ยังคงรักษามาตรฐาน โดยไม่หยุดพัฒนาต่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเมนู วัตถุดิบ และการให้บริการที่มีคุณภาพระดับพรีเมียมในทุกองค์ประกอบ หวังสร้าง Brand Royalty การมีส่วนร่วมกับแบรนด์ และตัดสินใจกลับมาใช้บริการซ้ำแบบต่อเนื่อง คาดเติบโตกว่า 13% ภายในสิ้นปี”&nbsp; &nbsp;&nbsp;โดยเป้าหมายในปี 2567 คือการ Revamp Menu ใหม่อีกครั้ง ความตั้งใจที่จะสร้าง Product ที่ดึงดูดกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ ให้มากขึ้นอีก โดยทางแบรนด์ได้มีการใช้ Data Analytic วิเคราะห์พฤติกรรมและทำความเข้าใจผู้บริโภคในกลุ่มนี้ เพื่อนำมาวางแผนการตลาด รวมถึงการคัดสรรเมนูให้ตอบโจทย์มากที่สุด ซึ่งพบว่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กลุ่ม GEN Y ชอบทานเมนูเย็น เช่น ซาชิมิ ซูชิ โดยเมนูแซลมอนจะได้รับผลตอบรับที่ดีมากๆ ไม่ว่าจะเป็นเมนูไหน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กลุ่ม GEN Z มองหาความคุ้มค่ามากกว่ากลุ่มอื่น มีการสั่งเมนูซาชิมิแซลมอน ซูชิแซลมอน มากกว่ากลุ่มอื่น&nbsp; &nbsp; และลูกค้ากว่า 70% จบท้ายมื้อด้วยขนมหวาน ทำให้การ Revamp Menu ใหม่ในปีนี้ เกิดจากความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง สร้างการมีส่วนร่วมกับแบรนด์ และตอบโจทย์ความต้องการในการเลือกสรรเมนูอาหาร เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/bangkokcable-2024-strategy-expanding-asean-market" alt="บางกอกเคเบิ้ล ทุ่มงบฯ กว่า 500 ล้านบาทรุกตลาดสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ล ตั้งเป้าเบอร์ 1 อาเซียน">บางกอกเคเบิ้ล ทุ่มงบฯ กว่า 500 ล้านบาทรุกตลาดสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ล ตั้งเป้าเบอร์ 1 อาเซียน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เปิดกลยุทธ์ ‘เซ็น เรสเตอร์รอง’ ชนะใจผู้บริโภคต่อเนื่อง 3 ปี ด้วย ‘บุฟเฟต์’ ที่คุ้มค่าทั้งราคา คุณภาพ และเมนูหลากหลาย

<h2>อากะ ร้านอาหารในเครือ เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป หรือ เซ็น กรุ๊ป ตอกย้ำผู้นำยากินิกุบุฟเฟ่ต์อันดับหนึ่ง เดินหน้าภารกิจ Revamp Brand ครั้งใหญ่ กับการยกระดับความเข้มข้นผ่านประสบการณ์มื้อปิ้งย่างสุดพรีเมียม ด้วยการปรับแบรนด์คาแรคเตอร์ให้สนุกและมีสีสันในทุกมิติ พร้อมหนุนเป้าปี 66 โต 1,500 ล้านบาทภายในสิ้นปีได้อย่างแน่นอน</h2> <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/a1qEV2ppjPFsiLPJbeps.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="a1qEV2ppjPFsiLPJbeps.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="650,433"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp; มยุรี จิตรกร รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการตลาด บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “อากะ เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ในเครือ เซ็น กรุ๊ป ที่มีกลุ่มครอบคลุมหลากหลายวัย มีความเป็น Brand Loyalty ที่ยังคงให้ความเชื่อมั่นในคุณภาพของวัตถุดิบและบริการที่ดีของแบรนด์มาโดยตลอด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งร้านปิ้งย่าง ยากินิกุบุฟเฟ่ต์ ที่คนไทยคุ้นเคยมาอย่างยาวนาน ซึ่งในปีนี้ความท้าทายใหม่ของแบรนด์คือการขยายฐาน เน้นเจาะกลุ่มที่เป็นวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ ทำให้แบรนด์ต้องปรับลุคให้ทันสมัย ตอบรับทุกไลฟ์สไตล์ เพื่อให้มื้อปิ้งย่างสามารถเข้าไปอยู่ในทุกโหมดของชีวิตได้อย่างกลมกลืน” เจาะลึก New Experience &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ครั้งแรกกับประสบการณ์ใหม่ กับการคัดสรรวัตถุดิบ ทั้งสายหมู สายเนื้อ และสายซีฟู้ด รวมเมนูยอดฮิตตลอดกาลมาในรูปแบบถาดทองสุดพรีเมียม มีให้เลือก 2 แบบ คือ AKA Signature Meat Set มีพอร์คชอปซอสอากะ, หมูสันคอซอสอากะ, หมูติดมันซอสอากะ, เนื้อติดมัน และ AKA Signature Mix Set มีเนื้อสันคอ AUS, เนื้อฮิระนิกุ, พอร์คชอปซอสอากะ, หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ และกุ้งแม่น้ำ ความลงตัวที่ครีเอทออกมาได้อย่างสมบูรณ์​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/ftHMsyPouSi6uh2wJkoQ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="ftHMsyPouSi6uh2wJkoQ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="650,433"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;New Menu: อิ่มจุกได้แบบไม่อั้น กับ 19 เมนูใหม่ ครบรสยิ่งขึ้น มีทั้งซอสยูสุ และซอสเนยกระเทียม, เสี่ยวหลงเปาซุปต้มยำสุดพรีเมียม เมนูซีฟู้ดซอสมะนาว และอื่นๆ ที่เสิร์ฟแบบไม่อั้น พร้อมของหวานแบบใหม่ S mores (สมอร์ส) ปิดท้ายมื้อแบบจุกๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;New Price: ในส่วนของราคาได้มีการปรับราคาใหม่ 359++ เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถจับต้องได้ง่ายยิ่งขึ้น มาพร้อมความคุ้มค่ากับเมนูหลากหลาย ให้สั่งรวมกว่า 100 เมนู&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;New Uniform: การเปลี่ยนชุดยูนิฟอร์มพนักงานใหม่ ถูกดีไซน์ภายใต้คอนเซปต์ Japanese Gang ที่สนุก ใจกล้า เพื่อช่วยให้ถ่ายทอดแบรนด์คาแรคเตอร์ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยพนักงานต้อนรับที่คอยบริการหน้าร้านจะมีเสื้อคลุมที่มีสไตล์แบบญี่ปุ่นชัดเจน ส่วนพนักงานบริการจะมีเสื้อยืดสีแดง ดีไซน์ที่ดุดัน และมีความทะมัดทะแมง เพื่อการให้บริการที่คล่องตัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;New Store Decoration: ปรับบรรยากาศร้านใหม่ ด้วยภาพตกแต่งร้านที่ดูทันสมัยและสะท้อนตัวตนเข้าไปอยู่กับร้าน ไม่ว่าจะเป็นภาพบรรยากาศการทานที่สนุกสนานเฮฮา ภาพเมนูที่เป็นเอกลักษณ์ของร้าน เช่น พอร์คชอปซอสอากะ, อากะมะนาวชอต และ Signature Menu​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/uMQmZJLYMRk4rUuBShWL.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="uMQmZJLYMRk4rUuBShWL.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2" origin-size="650,433"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp; “ซึ่งในปี 2566 เราได้มีการครีเอทเมนูใหม่ กับปรับราคาใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้วในทุกสาขา และตั้งเป้าที่จะปรับบรรยากาศร้านใหม่ กับเปลี่ยนยูนิฟอร์มพนักงานใหม่ โดยแรกเริ่มจะปรับทั้งหมด 7 สาขา ได้แก่ เซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัลเวสท์เกต, เซ็นทรัลอีสต์วิลล์, ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต, เซ็นทรัลพระราม, เซ็นทรัลพัทยาบีช, เดอะมอลล์บางกะปิ ภายในสิ้นปี และจะทยอยปรับเปลี่ยนให้ครบทุกสาขาทั่วประเทศต่อไป” มยุรี กล่าวและเสริมว่า&nbsp;&nbsp;&nbsp; “เราเชื่อมั่นว่าการ Revamp Brand ในครั้งนี้ จะสามารถยกระดับความเข้มข้นในทุกประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้บริโภค พร้อมทั้งยังสามารถสะท้อนตัวตนของแบรนด์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และตอกย้ำจุดยืนของแบรนด์ในเรื่องคุณภาพของวัตถุดิบ ความหลากหลายของเมนู ความคุ้มค่าของราคา และความอร่อยของรสชาติ รวมถึงความใส่ใจในวิธีการปรุงรสอาหารตามแบบฉบับของอากะ เพื่อส่งมอบประสบการณ์ปิ้งย่างที่ดีที่สุด ควบคู่ไปกับการสื่อสารในรูปแบบใหม่ เพื่อสร้างการจดจำแบรนด์ในทุกช่องทางให้มากขึ้น และยังคงเป็น Top of Mind ของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง” คุณมยุรี กล่าวทิ้งท้าย อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99" alt="โค้งท้ายเลือกตั้ง ลุ้นนโยบายใหม่กระตุ้นลงทุน">โค้งท้ายเลือกตั้ง ลุ้นนโยบายใหม่กระตุ้นลงทุน</a>​<hr class="__se__solid">​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

“อากะ” กับภารกิจ Revamp Brand หนุนเป้าปี 66 โต 1,500 ล้านบาทในสิ้นปี

บุญยง ตันสกุล หาโอกาสในวิกฤต ชีวิตและธุรกิจที่ต้องเรียนรู้

<h2>เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป หรือ ZEN เผยรายได้รวม 1.48 พันล้านบาทใน 9 เดือนแรกจากเดลิเวอรี่และการขายแฟรนไชส์เขียงเติบโตอย่างต่อเนื่องควบคู่บริหารจัดการต้นทุนมีประสิทธิภาพ พร้อมเดินหน้ารุกโค้งสุดท้ายปลายปีรับตลาดฟื้นตัวหนุนบรรยากาศนั่งรับประทานภายในร้านกลับมาคึกคัก </h2>
บุญยง ตันสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ZEN ผู้ประกอบธุรกิจบริการอาหาร (Food Services) เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินงานในไตรมาสสุดท้ายมั่นใจว่าจะฟื้นตัวเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2564 (กรกฎาคม-กันยายน) ที่เป็นจุดต่ำสุดของปีนี้หลังการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในช่วงไตรมาส 3 ทำให้ภาครัฐประกาศล็อกดาวน์ ส่งผลให้ร้านอาหารภายในศูนย์การค้าต้องปิดการให้บริการกระทบต่อรายได้

อย่างไรก็ตาม จากการปรับกลยุทธ์มุ่งให้บริการเดลิเวอรี่และการขายแฟรนไชส์เขียงอย่างต่อเนื่อง ทำให้รายได้รวมในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม – กันยายน) ทำได้ 1.48 พันล้านบาท หรือลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ประกอบกับการบริหารจัดการต้นทุน ทั้งการปรับลดค่าใช้จ่ายร้านอาหารที่อยู่ภายในศูนย์การค้าให้สอดคล้องภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้สามารถลดผลกระทบต่อปัจจัยลบที่เกิดขึ้น ซึ่งขาดทุนสุทธิ 99 ล้านบาท

นอกจากนี้ บุญยงยังให้ความเห็นเกี่ยวกับบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยภายหลังเปิดประเทศเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมามีความคึกคักมากขึ้น โดยลูกค้าเข้ามาใช้บริการนั่งทานในร้านที่ให้บริการบุฟเฟ่ต์ ได้แก่ ร้านอาหารญี่ปุ่น ZEN ร้านอาหารปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่น AKA ตามศูนย์การค้าเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน  ประกอบกับกำลังเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นหรือเทศกาลเฉลิมฉลอง ซึ่งลูกค้าจะออกมาจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น ผลักดันให้ภาพรวมธุรกิจร้านอาหารฟื้นตัวอย่างโดดเด่น

ดังนั้น บริษัทได้เตรียมวางกลยุทธ์การตลาดในช่วงโค้งสุดท้ายอย่างครบครัน โดยเปิดตัว On the table โฉมใหม่เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ดูทันสมัยนำร่องที่สาขาสีลม และกำลังอยู่ระหว่างปรับโฉมที่สาขา เมกาบางนา ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการในเร็วๆ นี้ พร้อมทั้งเตรียมร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปลายปีและต้อนรับปีใหม่อย่างยิ่งใหญ่ โดยมุ่งตอบโจทย์พฤติกรรมของลูกค้าทั้งในรูปแบบนั่งทานในร้าน ซื้อกลับบ้าน (Take Home) และบริการเดลิเวอรี่ ซึ่งล่าสุดนำแบรนด์ในเครืออย่าง ZEN Grand Premium Buffet และ AKA Ultimate Buffet จัดโปรโมชั่นครั้งใหญ่ ด้วยความมั่นใจในผลการดำเนินงานที่จะสามารถเทิร์นอะราวด์ได้ตามเป้าหมายในไตรมาส 4

ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์การผ่อนคลายมาตรการของภาครัฐ เช่น การเปิดให้นั่งทานอาหารในร้าน การปรับลดพื้นที่เคอร์ฟิว และการเปิดให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยวจะส่งผลดีต่อกลุ่มธุรกิจร้านอาหารประเภท Full-Service Restaurants โดยทำให้ผู้บริโภคมีแนวโน้มออกไปทานอาหารและใช้เวลาในร้านอาหารมากขึ้นหรือถี่ขึ้น

นอกจากนี้ ในช่วง 2 เดือนสุดท้ายที่เหลือของปี 2564 ยังมีแนวโน้มขยายตัวจำนวนต่อครั้ง (โต๊ะ) เพิ่มขึ้น ร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วง 10 เดือนแรกของปีประกอบกับการเพิ่มขึ้นของยอดการใช้จ่ายจากระยะเวลาในการใช้บริการต่อครั้งที่นานขึ้น ทำให้อาจจะมีการสั่งอาหารรวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบน่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 2 พันล้านบาทจากคาดการณ์เดิม และมีมูลค่าทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 1.13 แสนล้านบาท หดตัวร้อยละ 28.5 จากปี 2563

อย่างไรก็ตาม โอกาสการกลับมาฟื้นตัวและมูลค่ายอดขายของธุรกิจดังกล่าวยังคงขึ้นอยู่กับปัจจัยรอบด้านต่างๆ ที่สำคัญ เช่น กำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เป็นต้น รวมทั้ง ปัจจัยเฉพาะที่มีผลต่อรูปแบบการฟื้นตัวของร้านอาหารในกลุ่มนี้ที่แตกต่างกัน โดยในปีข้างหน้าคาดว่าตลาดธุรกิจร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบจะกลับมามีสีสัน ด้วยแรงขับเคลื่อนจากแผนการลงทุนของผู้ให้บริการรายใหญ่ซึ่งถูกชะลอมาจากปี 2564 และการเร่งขยายพอร์ตอาหารให้ครอบคลุมประเภทอาหารมากยิ่งขึ้น ซึ่งในปี 2565 ผู้ประกอบการรายใหญ่ยังมีแนวโน้มลงทุนเพิ่มเติมในแพลตฟอร์มธุรกิจร้านอาหารให้สามารถรองรับการทำตลาดทั้งส่วนการขายในร้าน การขายแบบเดลิเวอรี่ และการขายสินค้าระหว่างแบรนด์ (Cross-selling) มากขึ้น

ดังนั้น แม้ทิศทางธุรกิจร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบจะกลับมาดีขึ้น แต่ผู้ประกอบการต้องเผชิญโจทย์ทางธุกิจที่สำคัญ เช่น แนวโน้มต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่สูงขึ้น ได้แก่ ราคาวัตถุดิบ อาหารปรับตัวสูงขึ้น ค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภค ค่าจ้างแรงงาน เป็นต้น รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานการรักษาความสะอาดและตรวจคัดกรองโรคที่อาจทำให้ต้นทุนธุรกิจเพิ่มประมาณ 2-5% (เมื่อเทียบกับก่อนโควิด) ได้แก่ ชุดตรวจ ATK ของพนักงาน น้ำยาทำความสะอาด ค่าเจลแอลกอฮอล์ ระบบฟอกอากาศและเครื่องอบค่าเชื้ออุปกรณ์

ขณะเดียวกันการรักษาระยะห่างและจำกัดจำนวนคนเข้าใช้บริการก็น่าจะส่งผลให้รายได้ต่อพื้นที่ (Sales per Square Foot) ของร้านอาหารยังไม่สามารถกลับมาอย่างเต็มที่ ซึ่งปัจจัยต่างๆ ดังกล่าว คาดว่าจะสร้างแรงกดดันต่อกำไรสุทธิ รายได้ สภาพคล่อง และสถานะทางการเงิน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการที่มีประเด็นสภาพคล่องและมีภาระทางการเงินด้านสินเชื่อ

สำหรับผู้ประกอบการร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบจำเป็นต้องปรับรูปแบบธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องกับเทรนด์ที่เปลี่ยนไป เช่น การเพิ่มสัดส่วนการทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ รวมถึงการมีแอดมินเพจหรือแชทบอทที่คอยดูแลตอบคำถาม และรับออร์เดอร์บนช่องทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งการผสมผสานระหว่างช่องทางการขายและการทำการตลาดผ่านทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการได้จากหลากหลายช่องทาง (Omni Channel) จะกลายเป็นสิ่งจำเป็น

นอกจากนี้ เทคโนโลยีที่ช่วยลดการสัมผัส (Contactless) เช่น หุ่นยนต์จัดส่งอาหาร Digital menus และ Mobile payment จะกลายมาเป็นมาตรฐานใหม่ที่ทุกร้านอาหารจำเป็นต้องมี เพื่อลดโอกาสการสัมผัสเชื้อ และเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้บริโภคที่จะเข้ามาใช้บริการในร้านอาหาร

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/world/female-invest-%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b9%80%e0%b8%87%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b8%b8%e0%b8%99-4-5-%e0%b8%a5%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2.html">Female Invest รับเงินหนุน 4.5 ล้านเหรียญฯ มุ่งผลักผู้หญิงเป็นนักลงทุน</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Zen มั่นใจร้านอาหารเทิร์นอะราวด์ขานรับเปิดประเทศ

<h2 class="p1">ธุรกิจร้านอาหาร 4 แสนล้านกระทบหนัก กลุ่ม "เซ็น" ปรับแผนธุรกิจร้านอาหารใหม่ หลังเจอวิกฤต COVID-19 ทุบยอดร่วง ลุยโมเดล Virtual Store รองรับบริการเดลิเวอรี่โตแรง คาดตลาดรวมพุ่งแสนล้านบาทปีนี้ พร้อมลดงบลงทุน ปรับทิศขยายธุรกิจแฟรนไชส์ หั่นเป้าเติบโตเหลือ 5%</h2>
 บุญยง ตันสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ZEN กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ หรือ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อธุรกิจร้านอาหารอย่างมากในปีนี้ โดยคาดว่าธุรกิจทั้งระบบมูลค่าราว 4.4 แสนล้านบาท จะหดตัวลง 5-10% เหลือประมาณ 4.1 แสนล้านบาท ถือเป็นอัตราการติดลบครั้งแรกในรอบ 10 ปี
ขณะที่ธุรกิจของ ZEN ซึ่งมีร้านอาหารรวม 15 แบรนด์ ก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน โดยช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาสาขาในแหล่งท่องเที่ยวยอดขายลดลงประมาณ 50% ส่วนสาขาในศูนย์การค้าลดลง 15-30% ขณะเดียวกันบริการเดลิเวอรี่เติบโตสูงมาก 2-3 เท่าตัว ทำให้ยอดขายโดยรวมเฉลี่ยลดลง 20% ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ในวิกฤตมีโอกาส เนื่องจากช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ธุรกิจบริการเดลิเวอรี่เติบโตสูงมาก 2-3 เท่าตัว โดยคาดว่าตลาดธุรกิจเดลิเวอรี่จะมีมูลค่าถึง 1 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นเท่าตัวจากปีที่ผ่านมาที่มีมูลค่าราว 5 หมื่นล้านบาท
&nbsp;
<h2 class="p1">หั่นเป้าเหลือเติบโต 5%</h2>
 บุญยง กล่าวว่า ช่วงต้นปี 2563 บริษัทได้ตั้งเป้าหมายอัตราการเติบโตที่ 15-20% จากการวางแผนขยายธุรกิจร้านอาหารในรูปแบบใหม่ รวมถึงบริการเดลิเวอรี่ แต่จากสถานการณ์ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ธุรกิจร้านอาหารได้รับผลกระทบอย่างมากจากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ทำให้ต้องปรับเป้าหมายใหม่ ซึ่งหากสถานการณ์คลี่คลายได้เร็วภายใน 6 เดือน เชื่อว่าบริษัทยังเติบโตได้ประมาณ 5% ทั้งรายได้และกำไร แต่หากสถานการณ์ยืดเยื้อ 1 ปี ขอประเมินสถานการณ์อีกครั้งก่อนปรับตัวเลขคาดการณ์
อย่างไรก็ตาม บุญยงเชื่อว่า ผลประกอบการของบริษัทน่าจะยังสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการทดลองปรับโมเดลธุรกิจร้านอาหารใหม่ เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคในช่วงนี้ โดยเฉพาะการให้บริการเดลิเวอรี่ที่เติบโตสูงมาก ซึ่งบริษัทได้ขยายบริการทั้งในส่วนเบอร์โทร 4 หลัก (1376) และบริการสั่งผ่านแอปพลิเคชัน แพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งบางพื้นที่ยอดสั่งผ่านเดลิเวอรี่สูงถึง 80% 
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ปรับหน้าร้านของ ZEN ในสาขาที่มีพื้นที่บริการอยู่ในศูนย์การค้าให้เป็น Virtual Store หรือ Cloud Kitchen หรือครัวกลางเพื่อรองรับบริการเดลิเวอรี่ของแบรนด์อื่นๆ ในเครือ ZEN โดยเฟสแรกจะดำเนินการ 5 สาขา ได้แก่ สาขาดองกิ มอลล์ ทองหล่อ, สยามสแควร์ วัน, เดอะมอลล์ บางกะปิ, เดอะแจ วังหิน และอาคารออล ซีซั่น เริ่มให้บริการ 18 มีนาคมนี้ และจะขยายบริการให้ครบ 20 สาขาใน 3 เดือน
 “ก่อนหน้านี้ บริษัทได้ทดลองปรับพื้นที่ของร้านตำมั่ว เพื่อรองรับบริการเดลิเวอรี่ของแบรนด์อาหารจานด่วน เช่น เขียง ปรากฏว่าได้รับการตอบรับดี เข้ามาชดเชยยอดขายของร้านตำมั่วในพื้นที่เสี่ยงได้ประมาณ 15-20% ซึ่งจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงนี้ ทำให้เกิดการพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ๆ หากไปได้ดีจะขยายต่อเนื่อง” บุญยงกล่าว
&nbsp;
<h2 class="p1">ลดงบลงทุน มุ่งขยายแฟรนไชส์</h2>
 ด้านแผนการลงทุนในปีนี้ บุญยงได้ปรับเป้าหมายการขยายสาขาจากเดิมที่วางงลงทุนไว้ 200 ล้านบาท สำหรับขยายสาขาร้านอาหารรวม 100 สาขา โดยส่วนใหญ่จะเน้นแบรนด์เขียง ซึ่งเป็นแบรนด์น้องใหม่สไตล์อาหารแบบสตรีทฟู้ด แต่ในปัจจุบันบริษัทได้ปรับแผนลงทุนใหม่ ลดงบลงทุนเหลือ 80 ล้านบาท และขยายสาขาใหม่ 40 สาขา เป็นแบรนด์เขียง 30 สาขา ที่เหลือเป็นแบรนด์ AKA ตำมั่ว หรือดินส์ ซึ่งจะทำให้ปีนี้ธุรกิจร้านอาหารในเครือเซ็นจะเปิดให้บริการรวม 390 สาขา เป็นสาขาของแฟรนไชส์ 100 สาขา

<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม <a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/zen-%e0%b9%81%e0%b8%95%e0%b8%81%e0%b9%84%e0%b8%a5%e0%b8%99%e0%b9%8c%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b9%88-%e0%b9%80.html">ZEN แตกไลน์ร้านอาหารใหม่ เปิดตัว “ดินส์” อาหารจีนจานด่วน ตั้งเป้า 30 สาขาใน 3 ปี</a></li>
</ul>
ขณะเดียวกันบริษัทจะมุ่งขยายแบรนด์เขียงในรูปแบบแฟรนไชส์ 100 สาขา โดยเฉพาะในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ ที่บริษัทได้ร่วมมือกับบริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มน้ำอัดลมรายใหญ่ภายใต้แบรนด์ “โคคา-โคลา” จัดตั้งบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อบริษัท กินดีอยู่ดี 2020 จำกัด โดย บมจ.หาดทิพย์ ถือหุ้น 75% และ บมจ.เซ็นฯ ถือหุ้น 25% เพื่อขยายธุรกิจดังกล่าว
 “ความร่วมมือดังกล่าวเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะขยายร้านเขียงในภูมิภาค โดยเฉพาะพันธมิตร บมจ.หาดทิพย์ เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการเลือกทำเล และรู้จักพฤติกรรมของผู้บริโภคในพื้นที่เป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการขยายสาขาในภาคใต้ได้อย่างรวดเร็ว ครอบคลุมทุกพื้นที่” บุญยงกล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพตั้งแต่ต้นทาง ได้แก่ ค่าเช่าพื้นที่ที่ได้เจรจากับศูนย์การค้าเพื่อผ่อนผันลดค่าเช่า และเจรจากับซัพพลายเออร์ในเรื่องต้นทุนวัตถุดิบ และแรงงาน ซึ่งมีการใช้พนักงานของแต่ละสาขามาให้บริการเดลิเวอรี่เพิ่มขึ้น ซึ่งหากสามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เชื่อว่าจะทำให้อัตรากำไรของบริษัทยังสามารถเติบโตได้จากปีก่อนที่มีกำไร 107 ล้านบาท และมีรายได้ 3.1 พันล้านบาท
&nbsp;

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

"เซ็น" ลุยโมเดลใหม่ พลิกวิกฤตโควิดเป็นโอกาส

<h2 class="p3">เทรนด์อาหารจีนในไทยขยายตัวต่อเนื่อง บมจ.เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป หรือ ZEN เร่งขยายพอร์ตเปิดตัวแบรนด์ใหม่ “ดินส์” (Din’s) อาหารจีนจานด่วน ตั้งเป้าหมายเปิด 30 สาขาภายใน 3 ปี สร้างรายได้กว่า 300 ล้านบาท </h2>
บุญยง ตันสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ZEN ผู้ประกอบธุรกิจบริการอาหาร (Food Services) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้วางนโยบายขยายธุรกิจร้านอาหารให้มีความหลากหลายยิ่งขึ้น จากปัจจุบันเปิดให้บริการรวมทั้งสิ้น 14 แบรนด์ ครอบคลุมอาหารสไตล์ญี่ปุ่น ไทย และเวียดนาม โดยประเมินภาพรวมตลาดอาหารจีนจานด่วนในประเทศไทยในปัจจุบันมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาท และคาดว่ามีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดจึงเปิดตัวร้านอาหารแบรนด์ใหม่ “ดินส์” (Din’s) อาหารจีนจานด่วน (สไตล์ Neo Taiwanese) สาขาแรกที่บริเวณชั้น G ศูนย์การค้าสามย่าน มิตรทาวน์
โดย ดินส์ (Din’s) เป็นร้านอาหารที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในประเทศญี่ปุ่น มีจุดเด่นด้านรสชาติและราคาที่ย่อมเยา ปัจจุบันมีสาขาเปิดให้บริการกว่า 10 สาขาในประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมีแผนขยายสาขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ จึงตัดสินใจซื้อสิทธิ์มาสเตอร์แฟรนไชส์กับทางดินส์ ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเปิดให้บริการในประเทศไทยเป็นครั้งแรก และยังได้รับสิทธิ์เปิดสาขาในกลุ่มประเทศ CLMV หรือ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม ซึ่งจะเพิ่มโอกาสการเติบโตของแบรนด์ดินส์ในอนาคต
ทั้งนี้ ประเมินว่าอาหารจีนมีรสชาติเป็นที่ชื่นชอบและถูกปากคนไทยส่วนใหญ่ ประกอบกับใช้เวลารับประทานไม่นาน และราคาที่ผู้บริโภคเข้าถึงได้ จึงมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดี โดยหลังจากเปิดให้บริการสาขาแรกเป็นที่เรียบร้อย วางเป้าหมายขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยภายใน 3 ปีจะเปิดร้านดินส์ 30 สาขา เน้นทำเลที่มีศักยภาพและมีประชากรหนาแน่น เช่น ภายในศูนย์การค้า ย่านใจกลางเมืองและชุมชน ฯลฯ คาดว่าจะสร้างรายได้รวมกว่า 300 ล้านบาท
<img class="alignnone size-full wp-image-26365" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/02/dins02.jpg" alt="" width="720" height="480" />
“เรามองว่าดินส์เป็นแบรนด์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ทุกระดับ จึงมีแผนขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ภายในช่วง 3 ปีนับจากนี้ และมีแผนเตรียมความพร้อมด้านทีมงานเพื่อขยายสาขาด้วยโมเดลแฟรนไชส์ในอนาคต คาดว่าจะได้รับความสนใจที่ดีจากผู้ที่ต้องการลงทุนเปิดร้านอาหาร” บุญยง กล่าว   
ด้าน สุจันท์ภา พลางกูร ผู้จัดการทั่วไปกลุ่มแบรนด์ปิ้งย่างและคาเฟ่ กล่าวว่า ได้เปิดบริการร้านดินส์สาขาแรกในศูนย์การค้าสามย่านมิตร ทาวน์เมื่อปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นย่านใจกลางเมืองที่มีศักยภาพ อยู่ใกล้แหล่งทำงาน และสามารถเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า MRT (สถานีสามย่าน) เพื่อนำเสนอเมนูอาหารจีนจานด่วน ที่ได้กลิ่นอายความเป็นจีนดั้งเดิมผสมผสานกับแรงบันดาลใจจากร้านอาหารในญี่ปุ่นในราคาที่ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่าย โดยมีอาหารให้เลือกหลากหลายกว่า 50 เมนู ทั้งติ่มซำ อาหารทานเล่น อาหารจานหลักและเซตเมนู เพื่อตอบสนองลูกค้าเป้าหมายทุกกลุ่มที่ชื่นชอบอาหารสไตล์ดังกล่าว
<img class="alignnone size-full wp-image-26366" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/02/dins03.jpg" alt="" width="720" height="480" />
ขณะที่รูปแบบร้านเน้นการตกแต่งสไตล์โมเดิร์นผสมผสานกลิ่นอายตะวันออก ให้ความรู้สึกทันสมัย เรียบง่าย แต่มีชีวิตชีวา เหมาะกับครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อนมารับประทานอาหารร่วมกัน และยังได้ออกแบบพื้นที่ส่วนหนึ่งภายในร้านเป็นครัวเปิด เพื่อให้ลูกค้าเห็นบรรยากาศการปรุงอาหารของเชฟแบบใกล้ชิด และมั่นใจว่าได้รับประทานอาหารที่มีคุณภาพและปรุงสดใหม่
&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b8%b4%e0%b8%94%e0%b9%81%e0%b8%9c%e0%b8%99%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%b6%e0%b9%88%e0%b8%87%e0%b8%9b%e0%b8%b5%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%b1%e0%b8%87-zen.html">“ไปใหญ่ไม่ได้ ก็ไปเล็ก” – “ZEN” ส่งแฟรนไชส์ “ร้านเขียง” เจาะปั๊ม ปตท.</a></li>
</ul>
&nbsp;

<hr />

<article id="post-8635" class="post-8635 post type-post status-publish format-standard has-post-thumbnail hentry category-marketing category-news tag-zen tag-2097 tag-2548 tag-2774 tag-2461 tag-2772">
<div class="body-content post-content-wrap post-detail">

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</article>

ZEN แตกไลน์ร้านอาหารใหม่ เปิดตัว "ดินส์" อาหารจีนจานด่วน ตั้งเป้า 30 สาขาใน 3 ปี

<h2 class="p1">ส้มตำพันล้าน “ตำมั่ว” จับมือ “วี คอร์น” ปั้นแฟรนไชส์ Crazy Corn ขายข้าวโพดปิ้ง-ข้าวโพดคลุกในปั๊ม ปตท. พร้อมพัฒนาเมนูตำข้าวโพดพร้อมทานจำหน่ายร้านสะดวกซื้อ</h2>
บุญยง ตันสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ZEN ผู้ให้บริการร้านอาหารไทย-อีสานแบรนด์ ตำมั่ว เปิดเผยว่า บริษัทได้ลงนามเป็นพันธมิตรกับบริษัท วี ฟู้ดส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้จัดหน่ายข้าวโพดพร้อมทานแบรนด์ วี คอร์น ในการนำข้าวโพดวี คอร์น มาเป็นวัตถุดิบทำตำข้าวโพดของร้านตำมั่ว ที่ลูกค้าสามารถสั่งทานได้ที่ร้าน สั่งกลับบ้าน หรือสั่งผ่านบริการเดลิเวอรี่ได้
“เราเป็นแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องวัตถุดิบที่มีคุณภาพ และข้าวโพดของวี คอร์นก็มีคุณภาพ เหมาะสมสำหรับนำมาใช้ โดยในระยะแรกเราจะใช้ในร้านตำมั่วบางสาขา และในอนาคตเมื่อการจัดส่งพร้อมก็จะส่งให้ร้านตำมั่วทุกสาขา โดยยังจำหน่ายในราคาเท่าเดิม ทั้งนี้ นอกจากข้าวโพดหวานสีเหลืองแล้ว เรายังนำข้าวโพดข้าวเหนียวม่วงวี คอร์น มาใช้ในสาขาที่จำหน่ายเมนูพรีเมี่ยมอย่างสาขาเกษรวิลเลจ เป็นต้น”


<figure><img class="size-full wp-image-9565" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/06/ตำมั่ว02.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> เมนูตำข้าวโพดในร้านตำมั่ว ได้รับความนิยมรองจากส้มตำ</figcaption></figure>

&nbsp;
<h2 class="p1">ปั้นแฟรนไชส์ข้าวโพดปิ้ง Crazy Corn</h2>
อภิรักษ์ โกษะโยธิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วี ฟู้ดส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า วี ฟู้ดส์เป็นผู้นำตลาดข้าวโพดฝักและข้าวโพดหั่นท่อนพร้อมทาน และน้ำนมข้าวโพด กลยุทธ์ของบริษัทต่อจากนี้คือการมองหาพันธมิตรเพื่อขยายธุรกิจข้าวโพดหวาน รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของบริษัท โดยนอกจากจะเป็นซัพพลายเออร์ส่งข้าวโพดหวานเป็นวัตถุดิบให้ร้านตำมั่ว ในอนาคตจะพัฒนาเมนูตำข้าวโพดวี คอร์น พร้อมทานสูตรตำมั่ววางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ ซึ่งคาดว่าจะวางขายภายในปีนี้
“ขณะเดียวกันยังมีแผนพัฒนาธุรกิจใหม่ร่วมกันในแบรนด์ Crazy Corn ซึ่งจะเป็นแฟรนไชส์จำหน่ายข้าวโพดปิ้ง และข้าวโพดถ้วยคลุกรสชาติต่างๆ เช่น เนย, สาหร่าย, ซาวครีม โดยรูปแบบของร้านเป็น Kiosk ตั้งตามหน้าร้านตำมั่ว ลาวญวณ และเขียง โดยในเฟสแรกจะใช้หน้าร้านตำมั่วและเขียงในปั๊มน้ำมัน ปตท.วาง Kiosk ก่อนที่ในเฟสถัดไปจะเข้ามาวาง Kiosk ในสาขาอื่นๆ รวมถึงในบริเวณที่มีประชาชนใช้บริการจำนวนมาก เช่น รถไฟฟ้า โรงภาพยนตร์ เป็นต้น”


<figure><img class="size-full wp-image-9566" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/06/ตำมั่ว03.jpg" alt="" width="720" height="540" /><figcaption> ต้นแบบร้าน Crazy Corn ซึ่งจำหน่ายข้าวโพดปิ้ง และข้าวโพดถ้วยคลุกรสชาติต่างๆ</figcaption></figure>
ด้านบุญยงกล่าวว่า ปัจจุบันร้านตำมั่วมีอยู่ทั้งหมด 180 สาขา เป็นสาขาในปั๊มน้ำมัน ปตท. 30 สาขา รวมแล้วสร้างรายได้ให้บริษัทฯ ราว 1,500 ล้านบาท หากคิดจากเมนูส้มตำยอดขายอยู่ที่ประมาณ 400-500 ล้านบาท ส่วนร้านเขียงปัจจุบันให้บริการแล้ว 17 สาขา และจะทยอยเปิดเพิ่มอีกในครึ่งปีหลัง

<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-zen.html">“ไปใหญ่ไม่ได้ ก็ไปเล็ก” – “ZEN” ส่งแฟรนไชส์ “ร้านเขียง” เจาะปั๊ม ปตท.</a></li>
</ul>
“ขณะที่ยอดขายตำมั่วผ่านบริการเดลิเวอรี่ที่เราเพิ่งเริ่มเมื่อต้นปีที่ผ่านมาเฉลี่ยอยู่ที่เดือนละ 10 ล้านบาท และมีการเติบโตแบบก้าวกระโดดทุกเดือน ทั้งนี้ ปัจจุบันร้านอาหารในเครือเซ็นจัดส่งผ่านผู้ให้บริการเดลิเวอรี่ต่างๆ เช่น Food Panda, Line Man, Grab Food ซึ่งบริษัทกำลังพัฒนาการจัดส่งเดลิเวอรี่ของตนเองด้วย หากแล้วเสร็จก็จะเพิ่มโซนจำหน่ายได้มากขึ้น และทำให้บริการเดลิเวอรี่ขยายตัวได้อีก"
“ประกอบกับวี ฟู้ดส์ก็มีช่องทางจำหน่ายเป็นร้านสะดวกซื้ออยู่แล้ว ดังนั้น การร่วมมือกันครั้งนี้เชื่อว่าจะทำให้ทั้ง 2 บริษัทมีช่องการขายใหม่ๆ เกิดประโยชน์ทั้งในแง่รายได้ของบริษัท และประโยชน์ต่อผู้บริโภคที่ได้เมนูใหม่ๆ ที่มีรสชาติอร่อย ทำจากวัตถุดิบที่มีคุณภาพ ทั้งนี้ ในอนาคตเรายังมีแผนที่จะนำข้าวโพดจากวี ฟู้ดส์มาใช้ในร้านอาหารอื่นๆ ของเครือ รวมถึงนำเมนูจาก Crazy Corn มาทดลองเป็นอาหารทานเล่นด้วย”
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่มีการกำหนดราคาแฟรนไชส์ รวมถึงราคาจำหน่ายข้าวโพดปิ้งและข้าวโพดคลุก แต่บุญยงประมาณการว่าเงินลงทุนสำหรับการวาง Kiosk น่าจะอยู่ราวหลักหมื่นบาท ทั้งนี้ คาดว่าจะเห็นรายละเอียดแฟรนไชส์ในการออกบูธงาน Thailand Franchise &amp; Business Opportunity 2019 ที่ไบเทค บางนา ในเดือนหน้า
<img class="alignnone size-full wp-image-9568" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/06/ตำมั่ว06.jpg" alt="" width="720" height="540" />

&nbsp;
<h2 class="p1">หวังช่องทางขายใหม่ปั๊มรายได้โตเร็วขึ้น</h2>
อภิรักษ์ เปิดเผยว่า วี ฟู้ดส์ ดำเนินธุรกิจมา 5 ปี ปัจจุบันมีสินค้าทั้งข้าวโพดฝักและข้าวโพดท่อนพร้อมทาน ข้าวโพดถ้วยพร้อมทาน น้ำนมข้าวโพด ผลไม้อบแห้งอื่นๆ และเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ โดยปีที่ผ่านมามีรายได้รวม 150 ล้านบาท สัดส่วน 95% มาจากกลุ่มข้าวโพด (ข้าวโพดฝักและข้าวโพดท่อน 50%, ข้าวโพดถ้วย 30% และน้ำนมข้าวโพด 20%) โดยวางจำหน่ายสินค้าในเซเว่นอีเลฟเว่น, ร้าน Squeez Shop by Tipco และร้าน Jones Salad
“ช่วง 3 ปีที่ผ่านมาบริษัทฯ เติบโตเฉลี่ยปีละ 5-10% แต่หลังจากการร่วมมือในครั้งนี้ซึ่งทำให้บริษัทมีรายได้ในช่องทางใหม่ที่เชื่อว่าจะทำให้บริษัทเติบโตได้เร็วขึ้น พร้อมกับแนวทางของบริษัทที่ส่งเสริมนวัตกรรมและมีการพัฒนาโปรดักต์ใหม่ๆ โดยภายในปีนี้จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างน้อย 4 ตัว ตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 20-25%”
&nbsp;

&nbsp;

รายงานโดย กนกวรรณ มากเมฆ / Online Content Creator

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

"ตำมั่ว" ผนึก "วี คอร์น" ส่งแฟรนไชส์ข้าวโพดปิ้ง "Crazy Corn" บุกปั๊ม ปตท.

"ไปใหญ่ไม่ได้ ก็ไปเล็ก" - "ZEN" ส่งแฟรนไชส์ "ร้านเขียง" เจาะปั๊ม ปตท.

บุญยง ตันสกุล ZEN ติดปีกสาขาหมื่นล้าน

<h2>เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป พ.ศ.2561 บริหาร 13 แบรนด์ ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม ชูกลุ่มร้านอาหารไทยเรือธงดันสัดส่วนรายได้โตระยะยาว พร้อมตั้งเป้าสู่ยอดขายหนึ่งหมื่นล้านบาทภายในปี 2565 ด้วย 4 กลยุทธ์หลัก</h2>
สรรคนนท์ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด เผยว่า ในปี 2560 ยอดรายได้เราโต 15% ซึ่งเป็นตัวเลขการเติบโตที่ยอมรับได้ เราโตจากแบรนด์ร้านอาหาร ZEN ราว 40% รองลงมาเป็นกลุ่มร้านอาหารไทยราว 30 %

สรรคนนท์ได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นของกลุ่มอาหารเซ็น ที่เปิดตัวร้านอาหารญี่ปุ่น ZEN ครั้งแรกเมื่อปี 2534 ที่เราโตต่อเนื่องด้วยบริการและคุณภาพของอาหารเป็นหัวใจสำคัญ กลุ่มร้านอาหารเซนได้ควบรวมร้านอาหารเข้ามาบริหารอย่างต่อเนื่อง ร้านปิ้งย่าง AKA ในปี 2550 ร้านอาหารสไตล์ on the table ในปี 2553 และล่าสุด ตำมั่ว ในปี 2559 ซึ่งเมื่อปีที่ผ่านมากลุ่มเซ็น คอร์ปอเรชั่นฯ ได้เปิดตัวแบรนด์ร้านอาหารญี่ปุ่นพรีเมี่ยม Sushi Cyu ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าระดับ Hi-End ในเขตย่านศูนย์กลางธุรกิจ หรือ CDB และแบรนด์ทั่วไป Musha อาหารญี่ปุ่นราคาเข้าถึงง่ายที่นครปฐมเป็นสาขาแรกเน้นกลยุทธ์ด้านราคาที่เริ่มต้นไม่ถึง 100 บาท และสามารถเติมข้าวได้ฟรี

<img style="width: 650px; height: 433px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/ec3babe3bbfc9223096dadf8233f22de.png" alt="" />
สรรคนนท์ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด

“ปัจจุบันเรามีแบรนด์ร้านอาหาร 13 แบรนด์ มีสาขารวมกัน 242 สาขาในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งแบรนด์อาหารญี่ปุ่นและอาหารไทย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น โดยเราตั้งเป้าหมายยอดขายหนึ่งหมื่นล้านบาทภายใน 5 ปี” สรรคนนท์ กล่าว

ด้าน ธันยเชษฐ์ เอกเวชวิท รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจแบรนด์ บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด กล่าวเสริม “การที่เราจะผลักดันให้รายได้โตไปถึงหลักหนึ่งหมื่นล้านบาทใน 5 ปี นั้นเฉลี่ยในทุกๆ ปีเราต้องโตราว 25% ต่อปี ถามว่าเป็นตัวเลขที่เป็นไปได้ไหม เป็นไปได้ เพราะในกลุ่มร้านอาหารไทยเรายังมีสัดส่วนให้เติบโต ในปัจจุบันสัดส่วนรายได้หลักมาจากกลุ่มร้านอาหารญี่ปุ่นกับกลุ่มร้านอาหารไทยอยู่ราว 80 ต่อ 20 ซึ่งในอนาคตภาพสัดส่วนของกลุ่มร้านอาหารไทยจะเป็นเรือธงของเราและสัดส่วนรายได้ราว 65 ต่อ 35 ซึ่งต่อไปเราจะโตเฉพาะในกรุงเทพฯ เพียงอย่างเดียว เรากระจายสาขาไปทั่วประเทศ”

<figure><img style="width: 650px; height: 406px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/76d92318bd66d8066c1a399d2c4ce72f.png" alt="" width="680" height="425" /><figcaption> ธันยเชษฐ์ เอกเวชวิท รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจแบรนด์ บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด</figcaption></figure>

ธันยเชษฐ์ ยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่าในระยะ 5 ปีนี้สัดส่วนสาขาแบรนด์กลุ่มกลาง-ล่าง อย่างร้านอาหารตำมั่ว หรือ Musha จะขยับมาที่ 40-50% ของสัดส่วนแบรนด์ร้านอาหาร เราคาดการณ์กันว่าในปี 2565 ทางกลุ่มจะมีสาขาราว 600 สาขา ในปีที่ผ่านมาเราเปิดสาขาไปแล้ว 40 สาขา และในปีนี้เราเปิดต่อเนื่อง 55 สาขา โดยงบลงทุนสาขาอยู่ที่ราว 250-300 ล้านบาทต่อปี อย่างกลุ่มร้านอาหารไทยสัดส่วนระหว่างระบบแฟรนด์ไชส์และการบริหารเชนเองจะอยู่ที่ราว 80 ต่อ 20

“การขยายสาขาอยู่ในกลยุทธ์ของแผนสร้างสรรค์การสร้างแบรนด์ใหม่ๆ ที่รวมไปถึงการหาช่องทางการจัดจำหน่ายอย่างช่องทางออนไลน์ การจัด Catering และแผนการโตตลาดต่างประเทศ โดยปัจจุบันเรามีสาขาในประเทศเพื่อนบ้าน 8 สาขา และเป็น 1 ใน 4 กลยุทธ์หลัก โดยกลยุทธ์ที่เหลือคือ กลยุทธ์ในการนำเสนอประสบการณ์ที่ดีต่อลูกค้าโดยเราพัฒนาระบบ GES ในการนำคอมเม้นต์ต่างที่ได้รับจากลูกค้าเพื่อมาปรับปรุงการบริการ กลยุทธ์ในการส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดซื้อและการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการ การสร้างครัวกลางใหม่ และ กลยุทธ์ในการพัฒนาคนโดยมุ่งพัฒนาขีดความสามารถของพนักงาน” ธันยเชษฐ์ กล่าว

<figure><img style="width: 650px; height: 433px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/0f7c44e50af8ff6ab952d613ba95d2a9.png" alt="" width="650" height="433" /><figcaption> กลุ่มผู้บริหารบริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด</figcaption></figure>

&nbsp;

เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป เผยแผนธุรกิจตั้งเป้ารายได้สู่หนึ่งหมื่นล้านใน 5 ปี

<h2>บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด ควบรวมแบรนด์ ‘ตำมั่ว’ ร้านอาหารไทยอีสานกว่า 123 สาขาในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เข้ามาเสริมทัพ หลังบริหารแบรนด์ร้านอาหารมากว่า 25 ปี อาทิ ZEN, AKA และ On the Table ที่มีมากกว่า 80 สาขา พร้อมรุกธุรกิจแฟรนไชส์ไปสู่ตลาดโลก</h2>
สรรคนนท์ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า "เราเชื่อมั่นว่าการควบรวมแบรนด์ตำมั่วเข้ามาอยู่ภายใต้การดูแลของเซ็นกรุ๊ปจะช่วยต่อยอดความแข็งแกร่งให้บริษัทมีความเชี่ยวชาญครอบคลุมทั้งธุรกิจอาหารญี่ปุ่นและอาหารไทย"

ด้าน ธันยเชษฐ์ เอกเวชวิท รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจแบรนด์ บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด กล่าวเพิ่มเติม ว่า “ด้วยเทรนด์การรับประทานอาหารนอกบ้าน การเติบโตของธุรกิจร้านอาหารทั้งในไทยและต่างประเทศ และกลยุทธ์ที่ทางเซ็นกรุ๊ปวางแผนไว้ โดยเริ่มมุ่งเน้นการต่อยอดธุรกิจแฟรนไชส์ทั้งในและต่างประเทศ บริษัทคาดหวังการเติบโตไว้ที่ร้อยละ 20 ในปี 2560 ด้วยจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้น 60 สาขา โดยจะเปิดสาขาในต่างประเทศ 4–5 สาขาภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะช่วยต่อยอดความสำเร็จของเซ็นกรุ๊ปให้ก้าวสู่ผู้นำธุรกิจร้านอาหารอย่างแข็งแกร่ง”

<figure><img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/3f6fc8ad0a7d6b7953f05d54f0c3dbb1.png" alt="" width="680" height="467" /><figcaption> ศิรุวัฒน์ ชัชวาลย์ และธันยเชษฐ์ เอกเวชวิท ณ งาน เซ็นกรุ๊ปดึงตำมั่วเสริมทัพ ต่อยอดปั้นธุรกิจแฟรนไชส์สู่ระดับนานาชาติ</figcaption></figure>

ศิรุวัฒน์ ชัชวาลย์ หัวหน้ากลุ่มบริหารธุรกิจอาหารไทย บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า “ตำมั่วเป็นหนึ่งในร้านอาหารอีสานที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศ จากรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ถูกปากคนไทย รวมถึงวัตถุดิบที่มีคุณภาพ สดสะอาด มีมาตรฐานรับรอง โดยในปีนี้ แบรนด์ตำมั่วได้เข้าร่วมงาน THAIFEX เป็นปีแรก จากความมุ่งมั่นขยายโอกาสทางธุรกิจและแสดงศักยภาพของแบรนด์ไทย ซึ่งเรายังมอบสิทธิพิเศษให้แก่ผู้ประกอบการที่ซื้อแฟรนไชส์ไปยังต่างประเทศ ได้สิทธิ์เป็นแฟรนไชส์หลัก หรือ Master Franchisee ในประเทศนั้นๆ ด้วย และเราคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ประกอบการและนักลงทุนภายในงาน ซึ่งจะช่วยสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างก้าวกระโดด พร้อมทั้งขยายฐานผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศอย่างเต็มที่”

นอกจากการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยโมเดลแฟรนไซส์อย่างเต็มสูบแล้ว ทางแบรนด์ตำมั่วยังเจาะกลุ่มลูกค้าที่รักการปรุงอาหารด้วยตัวเองและชอบทดลองสิ่งใหม่ๆ ด้วยการคิดค้นและผลิตเมนูเด็ดเป็นสินค้าเอาใจตลาด ไม่ว่าจะเป็นน้ำปลาร้าตำมั่ว น้ำจิ้มแจ่วบอง และผัดหมี่มั่ว ซึ่งสินค้าเหล่านี้วางขายในร้านตำมั่วทุกสาขาทั่วประเทศ ถือเป็นการขยายไลน์ธุรกิจ และจับกลุ่มลูกค้ารายใหม่ๆ อีกทางหนึ่ง

สำหรับปี 2560 ตำมั่วได้วางแผนเปิดตัวแคมเปญการตลาด ‘กินอยู่อย่างไทย’ เน้นสื่อสารตัวตนของแบรนด์ตำมั่วผ่านการนำเสนอเรื่องราวอาหารไทยอีสานต้นตำรับที่ถ่ายทอดลงบนวิถีชีวิตคนไทย เพื่อสร้างความผูกพันระหว่างแบรนด์กับลูกค้าให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เตรียมทุ่มงบการตลาดกว่า 20 ล้านบาท เพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ผู้บริโภคครอบคลุมทุกช่องทางทั้งสื่อออนไลน์และออฟไลน์

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events