<h2>สงกรานต์เป็นช่วงเวลาสำคัญของการท่องเที่ยว แต่รู้หรือไม่? พฤติกรรมการเดินทางของแต่ละเจเนอเรชันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง จากฐานข้อมูลของ AirAsia MOVE พบว่ากลุ่ม Gen Z (เกิดปี 1997-2012) และ Baby Boomers (เกิดปี 1946-1964) มีแนวโน้มการเดินทางที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งเรื่อง วิธีจอง จุดหมายปลายทาง และไลฟ์สไตล์ในการท่องเที่ยว</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Gen Z นักเดินทางสายลุย คล่องตัว และรักอิสระ จากข้อมูลของ AirAsia MOVE พบว่า 80% ของผู้ใช้ Gen Z จองการเดินทางผ่านสมาร์ตโฟน และ 24% นิยมจองที่พักนาทีสุดท้าย (Last-Minute Booking)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ มากกว่า 20% ของนักเดินทางในกลุ่มนี้เลือกเดินทางคนเดียว (Solo Travel) หรือแบ็กแพ็กมากกว่าการใช้ทัวร์ และกลุ่ม Gen Z และ Millennials ซึ่งคิดเป็น 30% นิยมจองโรงแรมราคาประหยัดและโฮสเทล สะท้อนให้เห็นว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าและประสบการณ์มากกว่าความหรูหรา ลักษณะการท่องเที่ยวของ Gen Z&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. 20% ของนักท่องเที่ยว Gen Z ชอบ Backpacking และ Solo Travel – ต้องการอิสระในการเลือกที่เที่ยว ไม่อยากผูกมัดกับทัวร์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. 80% เน้นจองผ่านมือถือ – ทุกอย่างต้องสะดวก รวดเร็ว และสามารถจองผ่านแอปได้ทันที&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3. 30% เลือกที่พักราคาประหยัด – เช่น โฮสเทล บูติกโฮเทล หรือที่พักแปลกใหม่อย่างแคปซูลโฮเทล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4. 70% มองหาประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร – เช่น เที่ยวธรรมชาติ ลุยคาเฟ่ลับ หรือเข้าร่วมเวิร์กช็อปท้องถิ่น จุดหมายปลายทางยอดฮิตของ Gen Z ในช่วงสงกรานต์:&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. 30% จากเส้นทางในประเทศ เลือกไปท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อเทียบกับทุกจังหวัดในประเทศไทย – เน้นคอมมูนิตี้ Backpacker, โฮสเทลแนว Eco-friendly และกิจกรรมกลางแจ้ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. 8% จากเส้นทางต่างประเทศ เลือกไปท่องเที่ยวในเมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น – เมืองแห่งสตรีทฟู้ด วัฒนธรรมป๊อป และที่พักราคาย่อมเยา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3. 5% จากเส้นทางต่างประเทศ เลือกไปท่องเที่ยวในเมืองดานัง ประเทศเวียดนาม – จุดหมายปลายทางชายทะเลที่คุ้มค่า พร้อมกิจกรรม Adventure Baby Boomers ท่องเที่ยวแบบพรีเมียม สะดวกสบาย และเน้นประสบการณ์เหนือระดับ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในขณะที่ Gen Z ชอบความยืดหยุ่นและความท้าทาย กลุ่ม Baby Boomers กลับให้ความสำคัญกับ “ความสะดวกสบายและการบริการระดับพรีเมียม” โดยจากข้อมูลของ AirAsia MOVE พบว่า 40% ของนักเดินทางกลุ่มนี้จองแพ็กเกจทัวร์ล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือน และมากกว่า 40% เลือกพักโรงแรมระดับ 4-5 ดาว และรีสอร์ตหรู มุ่งเน้นไปที่ความสะดวกสบายและบริการระดับพรีเมียม ลักษณะการท่องเที่ยวของ Baby Boomers&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. 55% นิยมแพ็กเกจทัวร์หรือการเดินทางที่วางแผนไว้ล่วงหน้า – ต้องการความสะดวกและการเดินทางที่ไร้กังวล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. 35% ให้ความสำคัญกับความสะดวกสบาย – ที่พักต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน เช่น สปา ห้องอาหาร และบริการรถรับ-ส่ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3. 35% เลือกที่พักระดับพรีเมียม – โรงแรมหรู วิลล่าส่วนตัว หรือรีสอร์ตแบบ All-Inclusive&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4. 74% ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมและประสบการณ์เชิงลึก – ชอบการท่องเที่ยวเชิงศิลปะ ประวัติศาสตร์ และการรับประทานอาหารระดับ Fine Dining&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;5. 90% จองล่วงหน้าเสมอ – มากกว่า 50% ของ Baby Boomers จองที่พักล่วงหน้าก่อนเดินทางอย่างน้อย 3 สัปดาห์ ประเทศปลายทางยอดฮิตของ Baby Boomers ในช่วงสงกรานต์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. 14% นิยมเดินทางไป ประเทศญี่ปุ่น – จุดหมายยอดฮิต ได้แก่ เมืองเกียวโต เมืองเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยวัด สวนญี่ปุ่น และเรียวกังหรู&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. 12% นิยมเดินทางไป ประเทศเวียดนาม – จุดหมายยอดฮิต ได้แก่ เมืองฮอยอันเมืองมรดกโลกที่มีเสน่ห์แบบดั้งเดิม พร้อมโรงแรมระดับพรีเมียม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3. 49% นิยมเดินทางไป ประเทศไทย – จุดหมายยอดฮิต ได้แก่ กรุงเทพฯ ที่พักหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา ร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ และกิจกรรมล่องเรือดินเนอร์ ความแตกต่างของ 2 เจนเนอเรชั่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้ว่าทั้งสองกลุ่มจะมีเป้าหมายเดียวกันคือการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงวันหยุด แต่ลักษณะการจองที่พักกลับสะท้อนถึงสไตล์การท่องเที่ยวที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Gen Z มีแนวโน้มจองที่พักใกล้แหล่งท่องเที่ยวมากกว่า Baby Boomers ถึง 45% แสดงให้เห็นถึงความต้องการความสะดวกในการเข้าถึงสถานที่สำคัญ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ Baby Boomers ให้ความสำคัญกับการพักผ่อนในบรรยากาศเงียบสงบและบริการครบวงจร โดยมีอัตราการใช้บริการ Concierge หรือ Private Tour สูงกว่า Gen Z ถึง 95%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีกหนึ่งความแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือพฤติกรรมการจองที่พัก มากกว่า 50% ของ Baby Boomers จองล่วงหน้าอย่างน้อย 3 สัปดาห์ สะท้อนถึงความต้องการความมั่นใจและการวางแผนล่วงหน้า ในขณะที่ 24% ของ Gen Z เลือกจองที่พักแบบนาทีสุดท้าย ซึ่งบ่งบอกถึงความยืดหยุ่นและความพร้อมในการปรับเปลี่ยนแผนการเดินทางอย่างอิสระ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในขณะที่บางคนเลือกความสะดวกสบายและความมั่นใจล่วงหน้า อีกกลุ่มหนึ่งกลับมองหาความตื่นเต้นและความคล่องตัวในทุกการเดินทาง สงกรานต์นี้ไม่ว่าคุณจะเป็นสายลุยแบบ Gen Z หรือชอบความหรูหราแบบ Baby Boomers AirAsia MOVE พร้อมมอบข้อเสนอสุดคุ้มให้คุณได้จองที่พักในสไตล์ที่ใช่ <a href="https://www.freepik.com/free-photo/female-tourists-spread-their-arms-held-their-wings_3953430.htm#from_element=detail_alsolike">Image by jcomp on Freepik</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/travel/global/agoda-gen-z-travel-report-2025" alt="นาทีสุดท้าย ไม่สายเกินเที่ยว! Agoda เผย 20% ของคน Gen Z จองเที่ยวบินก่อนวันเดินทางไม่ถึง 1 สัปดาห์">นาทีสุดท้าย ไม่สายเกินเที่ยว! Agoda เผย 20% ของคน Gen Z จองเที่ยวบินก่อนวันเดินทางไม่ถึง 1 สัปดาห์</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Gen Z ชอบแบ็กแพ็ก-เที่ยวเอง ส่วน ‘บูมเมอร์’ เน้นสบาย ชอบไปกับทัวร์ อินไซต์นักท่องเที่ยวจาก AirAsia

<h2>The 1 Insight ชวนส่องเทรนด์วาเลนไทน์ พบ ‘Healthy Gifting’ ได้รับความนิยมอย่างมากในปีนี้ ผู้คนเน้นบอกรักกันด้วยสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพ ยอดพุ่งกว่า 2 เท่า โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Y ถึง Baby Boomer สะท้อนเมกะเทรนด์ Health &amp; Wellness มาแรงทั่วโลก</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;The 1 Insight เผยเทรนด์วาเลนไทน์ 2025 พบว่า ผู้บริโภคหันมานิยมเลือกซื้อของขวัญแนวสุขภาพ (Healthy Gifting) ให้กับคนรักมากขึ้น ในภาพรวมของขวัญแนวสุขภาพมีการเติบโตสูงขึ้นถึง 2 เท่า โดย 5 สินค้าขายดีสูงสุด ได้แก่ เครื่องออกกำลังกาย สมาร์ทวอทช์ รองเท้ากีฬา ชุดออกกำลังกาย และอุปกรณ์กีฬา สะท้อนถึงไลฟ์สไตล์ของคนในปัจจุบันที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น และมีแนวโน้มสูงขึ้นตามช่วงวัย โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Y, Gen X และ Baby Boomer สอดคล้องกับเมกะเทรนด์ Health &amp; Wellness ที่กำลังมีอิทธิพลทั่วโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในประเทศไทย การใช้จ่ายช่วงวาเลนไทน์ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ ยอดการใช้จ่ายภาพรวมเพิ่มขึ้นจากปีก่อนกว่า 20% แสดงให้เห็นว่าคนไทยยังคงให้ความสำคัญกับเทศกาลวาเลนไทน์ และถือเป็นโอกาสที่จะแสดงความรักต่อคนรอบข้าง โดยมีกิจกรรมสำคัญคือการมอบของขวัญต่อกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อวิเคราะห์ตามช่วงวัย The 1 Insight พบว่า ทัศนคติของคนแต่ละกล่มอายุส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายในช่วงวาเลนไทน์อย่างเห็นได้ชัด ดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Gen Z (13-28 ปี) เน้นสนุกเต็มที่กับวันแห่งความรัก นิยมซื้อเครื่องสำอางและน้ำหอม โดยเฉพาะลิปสติกและอายแชโดว์ รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากกว่ากลุ่มอายุอื่นๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Gen Y (29-44 ปี) เริ่มดูแลสุขภาพและความงามมากขึ้น มียอดการใช้จ่ายสูงขึ้นในกลุ่มสปอร์ตแวร์ จิวเวลรี่ และแอ็กเซสเซอรี่แฟชั่น เนื่องจากมองว่าของขวัญเหล่านี้สามารถเสริมสุขภาพและบุคลิกภาพตามช่วงวัย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Gen X (45-60 ปี) ไปจนถึง Baby Boomer (61-79 ปี) ยิ่งเน้นหนักการดูแลสุขภาพเพื่อเอาใจใส่กันอย่างลึกซึ้ง นิยมซื้อ อุปกรณ์กีฬา สกินแคร์ รวมถึงจับจ่ายวัตถุดิบสำหรับทำอาหารฉลองที่บ้าน ซึ่งสะท้อนถึงการให้คุณค่ากับการดูแลตัวเองและการใช้ชีวิตที่สมดุล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อมูลจาก The 1 Insight ยังเผย ลิสต์ 10 ของขวัญวาเลนไทน์มาแรงปี 2025 ที่มียอดขายเติบโตสูงสุด ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. ดอกไม้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. เครื่องออกกำลังกาย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3. สมาร์ทวอทช์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4. จิวเวลรี่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;5. ตุ๊กตา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;6. สปอร์ตแวร์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;7. ช็อกโกแลต/คุกกี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;8. นาฬิกา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;9. น้ำหอม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;10. รองเท้ากีฬา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้านผลสำรวจความคิดเห็นในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ 2025 โดย CRC VoiceShare เผย 80% คิดว่าวาเลนไทน์เป็น “วันสำหรับการแสดงออกความรักและความห่วงใย” มีเพียง 15% คิดว่าเป็น “เทศกาลหนึ่งสำหรับวัยรุ่น” และ 5% คิดว่าเป็น “การสร้างโอกาสทางธุรกิจ”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กิจกรรมยอดนิยม 5 อันดับแรกในวันวาเลนไทน์ ได้แก่ ออกไปทานอาหารนอกบ้าน ช้อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้า ชมภาพยนตร์ ทำอาหารทานที่บ้าน และออกกำลังกาย นอกจากนั้น ยังพบว่าคนไทยเลือกมอบของขวัญให้กับคนในครอบครัวเป็นอันดับ 1 ที่ 45% รองลงมาคือคนรัก 40% ตามด้วยเพื่อน 10% และตนเอง 5% โดย ส่วนใหญ่มีงบประมาณซื้อของขวัญอยู่ที่ 500 - 2,000 บาทต่อชิ้น และซื้อล่วงหน้า 1 สัปดาห์ก่อนถึงวันวาเลนไทน์ Photo by&nbsp;<a href="https://unsplash.com/photos/red-rose-on-brown-envelope-8qxdUJf346A" alt="Becca Tapert">Becca Tapert</a> on Unsplash เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/travel/bangkok-is-ranked-among-world-class-tourist-cities-couples-and-singles-search-for-accommodations-during-valentines-day-2025-on-airbnb-increased-by-190-percent" alt="กรุงเทพฯ ติดอันดับเมืองระดับโลก ‘คู่รัก-คนโสด’ ค้นหาที่พักช่วงวาเลนไทน์ 2025 บน Airbnb เพิ่มขึ้น 190%">กรุงเทพฯ ติดอันดับเมืองระดับโลก ‘คู่รัก-คนโสด’ ค้นหาที่พักช่วงวาเลนไทน์ 2025 บน Airbnb เพิ่มขึ้น 190%</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เปิดเทรนด์วาเลนไทน์ 2025 เมื่อ ‘ความรัก’ คือ ‘ความห่วงใย’ พายอดขายสินค้าสุขภาพโต 2 เท่า

<h2>Gen Z มักถูกตราหน้าว่าเป็นกลุ่มคนรุ่นที่ ‘ขี้เกียจ’ กว่าคนรุ่นก่อน อาจด้วยเทรนด์บน TikTok อย่าง ‘การถอนตัวจากการทำงานอย่างเงียบๆ’ (Quiet Quitting) ที่ไม่ได้หมายถึงการออกจริงๆ แต่เป็นสภาวะที่คนๆ หนึ่งไม่ได้ทุ่มเทกับการทำงานหนัก โดยจะทำแค่งานที่อยู่ใน Job Description เท่านั้น และ ‘งานของสาวขี้เกียจ’ (Lazy Girl Jobs) งานที่ทำจากที่ไหนก็ได้ ค่าตอบแทนดี ทั้งยังมี Work-Life Balance เรียกได้ว่าเป็นงานในฝัน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มุมมองความคิดและพฤติกรรมเหล่านี้ทำให้หลายคนมองชาว Gen Z (และอาจรวมถึงมิลเลนเนียลด้วย) ว่าไม่มีความพยายาม โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นอาวุโส ยกตัวอย่างเช่น Whoopi Goldberg นักแสดงสาววัย 69 ปีชาวอเมริกันผู้เคยออกมาวิจารณ์คนรุ่นใหม่ที่ไม่อยากทำงานหนักแบบแบบคนรุ่นเดียวกับเธอ และบอกว่านั่นคือสาเหตุที่คนหนุ่มสาวสมัยนี้ไม่สามารถซื้อบ้านได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ยังมี Rick Mercer นักแสดงตลกวัย 54 ปี ชาวแคนาเดียนที่ออกมาร่วมวิจารณ์คนทำงานอายุน้อยอย่างเปิดเผย เสมือนเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ชาว Gen Z บนโซเชียลลุกขึ้นชี้ถึงความสองมาตรฐานของบรรดาคนรุ่นเก่าก่อน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตัวตั้งตัวตีในการโต้กลับการล้อเลียนคนรุ่นใหม่ที่บ่นการทำงาน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ของ Mercer คือ Robbie Scott คอนเทนต์ครีเอเตอร์หนุ่มวัย 27 ปี ที่สวนไปว่า คนรุ่น Baby Boomer ไม่รู้หรอกว่าการทำงานหนัก แต่ไม่ได้รับอะไรกลับมาเลยเป็นอย่างไร ซึ่งวิดีโอของเขามีผู้เข้าชมกว่า 2 ล้านคนบน TikTok&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราต้องหยุดคาดหวังว่า คนที่ซื้อบ้านสี่ห้องนอนกับรถ Cadillac คันใหม่เอี่ยมด้วยรายได้ 30,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อปี จะมาเข้าใจชีวิตของคนจบปริญญาโทที่ทำงานมากกว่า 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่ยังไม่สามารถหาซื้ออะพาร์ตเมนต์ขนาด 400 ตารางฟุตแถวบ้านนอกอย่างไอโอวาได้” Scott กล่าวในวิดีโอ ชีวิตการทำงานของ Gen Z และมิลเลนเนียล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้ทั้ง Gen Z และมิลเลนเนียลมักถูกมองว่าเป็นคนอายุน้อยในออฟฟิศเหมือนกัน แต่ปัจจุบันชาวมิลเลนเนียลส่วนหนึ่งก็มีอายุระหว่าง 30 - 40 ปีกว่าๆ กันแล้ว ทั้งยังได้รับความไว้วางใจในที่ทำงาน ผลสำรวจจาก Resume Genius พบว่า ชาวมิลเลนเนียลเป็นตัวเลือกยอดนิยมในการสรรหาบุคลากรเข้าทำงาน และ 45% ของผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลก็คาดหวังว่าจะจ้างงานกลุ่มคนรุ่นดังกล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กระทั่งคนทำงานระดับผู้จัดการที่เป็นชาว Gen Z ยังยอมรับว่ากลุ่มคนรุ่นเดียวกันกับพวกเขานั้นทำงานด้วยยากที่สุด แต่ชาว Gen Z ก็อาจจะมีเหตุผลที่ทำให้พวกเขาขาดแรงใจในการทำงานมากกว่าคนรุ่นก่อนหน้า​<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/Xf2u1UYckzor4xFJrSK6.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="Xf2u1UYckzor4xFJrSK6.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div>​เบื้องหลังความโกรธเกี้ยวของชาว Gen Z&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Scott ยังเผยว่า เหตุผลที่คน Gen Z ดูโกรธเกรี้ยว หวงสิทธิของตัวเอง และบ่นเยอะ ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่เต็มใจทำงานเหมือนคนรุ่นเก่า แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมกลับมาเลย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ที่แย่คือ เราปฏิบัติตามบรรทัดฐานของสังคมมาโดยตลอด” Scott อธิบาย “เราไปโรงเรียน ไปมหาวิทยาลัย เรายังทำงานกันตั้งแต่อายุ 15-16 ทำทุกอย่างที่พวกคุณบอกให้เราทำ เพื่อที่จะอะไรล่ะ? ยังต้องอยู่บ้านพ่อแม่ทั้งที่อายุ 20 ปลายๆ แล้วอย่างนั้นหรือ?”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สิ่งที่เขาพูดมา นับว่ามีประเด็น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มิลเลนเนียลคือกลุ่มคนรุ่นที่ได้รับการศึกษาสูงสุดในปัจจุบัน และ Gen Z กำลังตามมาติดๆ แต่โอกาสทางการเงินและโอกาสในการได้รับการจ้างงานของพวกเขากลับริบหรี่กว่าคน Gen X เสียอีก ตลาดงานในปัจจุบันก็ยังโหดร้ายมาก รายงานจาก Career Group เผยว่าคนหางานราว 20% ต้องใช้เวลา 10-12 เดือน หรืออาจมากกว่า โดยไร้โชคใดๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซ้ำร้าย บัณฑิตจบใหม่ทั้งหลายยังต้องเผชิญคำพูดจากผู้บริหารธุรกิจต่างๆ ที่บอกว่า ใบปริญญาของพวกเขามีค่าเพียงน้อยนิด และรายงานจาก LinkedIn เผยว่า ในสหราชอาณาจักร มีประกาศรับสมัครงานที่ไม่จำเป็นต้องจบปริญญาเพิ่มขึ้นมากถึง 90% ระหว่างปี 2021-2022&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนฝั่งสหรัฐอเมริกาที่มีปัญหาเรื่องเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา ผลสำรวจจาก Bankrate ก็แสดงให้เห็นมุมมองอันน่าสะเทือนใจ โดย 24% ของชาวอเมริกันที่มีภาระหนี้จากการกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษามองว่า หนี้ดังกล่าวคือความเสียดายด้านการเงินครั้งใหญ่ในชีวิตของพวกเขา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับคนรุ่นใหม่ที่หางานได้ ก็ต้องพบความจริงที่ว่า เงินเดือนที่พวกเขาได้รับไม่ได้มีมูลค่าเทียบเท่าสมัยรุ่นพ่อรุ่นแม่ของพวกเขา เพื่อซื้อบ้านราคากลางๆ ที่ราคา 433,100 เหรียญ ชาวอเมริกันคนหนึ่งต้องมีรายได้ประมาณ 166,600 เหรียญต่อปี แต่รายงานของ Census ชี้ว่ารายได้เฉลี่ยของแต่ละครัวเรือนทุกวันนี้อยู่ที่ 78,538 เหรียญต่อปี แน่นอนว่าสำหรับตำแหน่งระดับเริ่มต้น รายได้ของพวกเขาก็น้อยกว่านั้นราวครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อมองให้ลึกลงไป จะพบว่าราคาบ้านเพิ่มขึ้นเร็วกว่ารายได้ถึง 2 เท่า นับตั้งแต่เข้าสู่ปี 2000 เป็นต้นมา กลายเป็นปัจจัยกดดันให้คนทำงานรุ่นใหม่ในปัจจุบันต้องทำงานถึง 3 งานหรือมากกว่า เพื่อไล่ตามค่าครองชีพที่พุ่งสูงให้ทัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ผมรู้จักคนอายุ 30 กลางๆ ที่ทำงานมา 20 ปีแล้ว พวกเขาใช้เวลายามตื่น 70% เพื่อทำงาน และตอนนี้ก็ยังไม่สามารถซื้อบ้านหลังแรกได้เลย” Scott เล่าและเสริมว่า “คนรุ่นมิลเลนเนียลและ Gen Z กำลังทำงานเยอะกว่าที่คนรุ่นอื่นเคยทำมา ในขณะที่เราได้รับผลตอบแทนน้อยกว่าคนรุ่นอื่นเอามากๆ และยังไม่สมน้ำสมเนื้อด้วย”​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/BoJgm5CBqfdSKsrsHGaw.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="720px,480px" data-align="center" data-file-name="BoJgm5CBqfdSKsrsHGaw.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,480" data-origin="720px,480px" style="width: 720px; height: 480px;" data-index="1"></figure></div> เหยื่อบรรทัดฐานอันหลอกลวง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การเปรียบเทียบสถานการณ์ระหว่างคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันกับคนรุ่นก่อนๆ อย่างชัดเจนของ Scott นั้น ถูกใจบรรดาคนอายุน้อยที่ต่างก็รู้สึกว่าพวกเขาถูกผลักดันให้ไล่ตามความฝันที่ไม่มีทางเป็นจริง ทำให้วิดีโอของเขากลายเป็นไวรัล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ฉันจะไม่มีวันหยุดเสียใจที่ไปเรียนมหาวิทยาลัย” ผู้ใช้งาน TikTok รายหนึ่งแสดงความคิดเห็นหนึ่งบนวิดีโอดังกล่าว “พวกเขาหลอกลวงเรา”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“งานแรกที่ฉันทำตอนอายุ 16 ได้เงิน 7.25 เหรียญต่อชั่วโมง สิบปีต่อมาฉันจบปริญญาตรีและทำงานได้เงิน 14 เหรียญต่อชั่วโมง” อีกความคิดเห็นหนึ่งร่วมแบ่งปันเรื่องราวของตัวเอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กระทั่งคน Gen X ที่มาดูวิดิโอของ Scott ยังเห็นด้วยว่าคนทำงานทุกวันนี้ลำบากกว่าสมัยก่อนมาก มีผู้ใช้งานรายหนึ่งเผยว่า “ฉันอายุ 44 แล้ว และจะบอกอะไรให้นะ เรา ‘ไม่ได้’ กำลังทำงาน 40 ชั่วโมงเหมือนที่ฉันเคยทำตอนอายุ 25 ตอนนี้เราทำงานในส่วนของ 2-3 คนเลยล่ะ”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม มีผู้ที่เห็นต่างด้วยเช่นกัน “พวกเธอไปเรียนสาขาที่ช่วยให้หางานรายได้ดีไม่ได้เอง แล้วก็มาคร่ำครวญว่าเป็นความผิดของทุกคน”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แล้วคุณล่ะ คิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้? แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a href="https://fortune.com/article/gen-z-work-ethic-vs-millennials-problem-habits-young-adults-workplace-employees/" alt="Gen Z are over having their work ethic questioned: ‘Most boomers don’t know what it’s like to work 40+ hours a week and still not be able to afford a house’">Gen Z are over having their work ethic questioned: ‘Most boomers don’t know what it’s like to work 40+ hours a week and still not be able to afford a house’</a>​ ภาพ:Photo by&nbsp;<a href="https://www.pexels.com/photo/a-woman-sitting-at-the-table-4959781/" alt="Kaboompics.com">Kaboompics.com</a>&nbsp;and&nbsp;<a href="https://www.pexels.com/photo/couple-people-laptop-working-6963048/" alt="Mikhail Nilov">Mikhail Nilov</a>&nbsp;on PexelsRobbie Scott via TikTok เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/global/other/baby-boomer-and-gen-x-plans-to-spend-money-for-themselves" alt="ดับฝันทายาทเศรษฐี! Boomer และ Gen X ขอเปย์ตัวเอง ดีกว่าส่งต่อเป็นมรดกให้ลูกหลาน">ดับฝันทายาทเศรษฐี! Boomer และ Gen X ขอเปย์ตัวเอง ดีกว่าส่งต่อเป็นมรดกให้ลูกหลาน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เปิดใจชาว Gen Z แท้จริงไม่ได้เรื่องมาก “แต่ชีวิตมันยากกว่าคนรุ่นก่อน”

<h2>ทายาทคนใดกำลังคาดหวังจะรับมรดกจากชาว Baby Boomer และ Gen X อาจต้องคิดใหม่ เมื่อรายงานเผยว่ากลุ่มคนอายุมากในสหรัฐอเมริกาเริ่มกลับมาใช้จ่ายอย่างหรูหราอีกครั้ง</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตลอดหลายปีมานี้ ภาคส่วนธุรกิจลักชัวรี่ต่างก็มียอดขายลดลงอันเป็นผลมาจากภาวะเงินเฟ้อ แต่ในสองไตรมาสล่าสุดที่ผ่านมา ธุรกิจลักชัวรี่กลับเริ่มเห็นแสงแห่งความหวังอีกครั้ง ส่วนใหญ่แล้วมาจากลูกค้าอายุมากที่มั่งคั่ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;งานวิจัยจาก Bank of America ซึ่งรวบรวมข้อมูลการใช้งานบัตรเครดิตและเดบิตพบว่า การใช้จ่ายในภาคส่วนธุรกิจลักชัวรี่ลดลงนับตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2022 ต่อเนื่องไปยังปี 2023 และ 2024 ก่อนที่ในไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา ยอดขายจะเริ่มฟื้นคืนมาอีกครั้ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Taylor Bowley นักเศรษฐศาสตร์จาก Bank of America ชี้ว่า แรงส่งในการฟื้นคืนของธุรกิจลักชัวรี่ครั้งนี้ มาจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ร่ำรวยและมีอายุมากอย่างมีนัยสำคัญ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปี 2024 ที่ผ่านมา Gen X คือกลุ่มคนที่ใช้จ่ายกับสินค้าและบริการลักชัวรี่ในอัตราส่วนสูงสุดราว 1 ใน 3 ของทั้งหมด ตามมาด้วยกลุ่ม ‘มิลเลนเนียลอายุมาก’ ซึ่งเกิดระหว่างปี 1978 - 1988 มีอัตราส่วนการใช้จ่ายต่ำกว่า Gen X เล็กน้อย และท้ายสุดคือ Baby Boomer ที่มีการใช้จ่ายในอัตราส่วน 1 ใน 4 ของทั้งหมด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม หากมองลึกลงไปในข้อมูลจะพบว่า ผู้บริโภคไม่ได้ใช้จ่ายกับสินค้าลักชัวรี่ แต่กลับใช้จ่ายเงินจำนวนมากเพื่อซื้อประสบการณ์ลักชัวรี่ เช่น การเข้าพักในโรงแรมระดับไฮเอนด์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำนักข่าว Fortune ยังอ้างถึงงานวิจัยในปี 2024 ที่แสดงให้เห็นว่าชาว Baby Boomer ใช้จ่ายเงินไปกับโรงแรมหรูเพิ่มขึ้น 2.5% จากปีก่อนหน้า แต่มีการซื้อสินค้าพรีเมียมเพิ่มขึ้นเพียง 0.5% เท่านั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้านชาว Gen X และมิลเลนเนียลอายุมากก็สนุกสนานกับการซื้อประสบการณ์ในโรงแรมระดับไฮเอนด์เช่นกัน พวกเขาใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อบริการประเภทดังกล่าวเพิ่มขึ้นราว 1.5% เทียบกับปี 2023&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;งานวิจัยยังเปิดเผยว่า เหล่าผู้มั่งคั่งที่มีทรัพย์สินมากไม่ได้ทุ่มเงินเพื่อเข้าพักโรงแรมหรูในต่างประเทศเท่านั้น แต่ยังไปช้อปปิ้งด้วย โดย 13% ของการซื้อสินค้าหรูเกิดขึ้นในต่างแดน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อันที่จริง กลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางและรายได้สูงต่างก็ใช้จ่ายนอกประเทศกันมากขึ้น ข้อมูลของ Bank of America ชี้ว่าครัวเรือนที่มีรายได้สูงใช้จ่ายในต่างประเทศในปี 2024 เพิ่มขึ้น 2.5% จากปี 2023 ในขณะที่ครัวเรือนรายได้ปานกลางใช้จ่ายเพิ่มขึ้นราว 1% ณ ช่วงเวลาเดียวกัน แล้วการส่งต่อความมั่งคั่งครั้งใหญ่จะเป็นอย่างไร?&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ก่อนหน้านี้มีการพูดถึง <a href="https://forbesthailand.com/news/global/millennials-to-become-richest-generation-in-history" alt="การส่งต่อความมั่งคั่งครั้งใหญ่ (The Great Wealth Transfer)">การส่งต่อความมั่งคั่งครั้งใหญ่ (The Great Wealth Transfer)</a> กันอย่างกว้างขวาง โดยคาดว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า จะมีการถ่ายโอนความมั่งคั่งของชาว Baby Boomer ไปสู่ทายาทซึ่งหลักๆ คือชาวมิลเลนเนียล ที่ลำพังแค่ในอเมริกาก็มีมูลค่าทรัพย์สินรวมถึง 90 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ แล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจของบริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุน Charles Schwab ที่เผยแพร่เมื่อเดือนธันวาคม 2024 กลับพบว่ามหาเศรษฐีรุ่น Baby Boomer กลับมีแผนการใช้จ่ายเงินที่พวกเขาเก็บสะสมมามากกว่าจะส่งต่อเป็นมรดก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากการพูดคุยกับมหาเศรษฐี 1,000 คน ทีมงาน Charles Schwab พบว่ามีชาวอเมริกันผู้มั่งคั่งเพียง 39% เท่านั้นที่ตั้งใจเก็บทรัพย์สมบัติไว้เป็นมรดกแก่ทายาท โดย Gen X คือกลุ่มที่พยายามสะสมเงินสดไว้ส่งต่อมากที่สุดที่ 45% ส่วนชาว Baby Boomer ที่มีเจตจำนงเดียวกันนั้นมีแค่ 34%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลสำรวจพบว่า 45% ของชาว Baby Boomer หรือผู้ที่มีอายุ 60-78 ปี เผยว่าพวกเขามีแผนจะซื้อความสุขให้ตัวเอง และไม่ต้องการอยู่ดูคนอื่นใช้เงินที่พวกเขาทุ่มเทแรงกายแรงใจหามาตลอดชีวิต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ครั้นเมื่อถามว่า อยากเฝ้ามองทายาทผู้รับมรดกใช้จ่ายเงินของพวกเขาขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ไหม มีเพียง 21% เท่านั้นที่ตอบว่า ‘อยาก’ แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a href="https://fortune.com/2025/01/29/gen-x-boomers-millennials-luxury-spending-retail-experiences-great-wealth-transfer/" alt="Forget the Great Wealth Transfer—Boomers and Gen X are saving the luxury market with fancy hotel stays and shopping sprees">Forget the Great Wealth Transfer—Boomers and Gen X are saving the luxury market with fancy hotel stays and shopping sprees</a>​ Photo by on&nbsp;<a href="https://www.pexels.com/photo/a-woman-lying-on-the-sofa-5705499/" alt="Anastasia Shuraeva">Anastasia Shuraeva</a>&nbsp;on Unsplash เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/customer-behaviour-chinese-new-year-2025" alt="มูไม่หยุดแม้วันตรุษจีน! ธุรกิจ ‘แก้ชงออนไลน์’ โตแรง สะท้อนวัฒนธรรมความเชื่อในยุคดิจิทัล">มูไม่หยุดแม้วันตรุษจีน! ธุรกิจ ‘แก้ชงออนไลน์’ โตแรง สะท้อนวัฒนธรรมความเชื่อในยุคดิจิทัล</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ดับฝันทายาทเศรษฐี! Boomer และ Gen X ขอเปย์ตัวเอง ดีกว่าส่งต่อเป็นมรดกให้ลูกหลาน

<h2>เบบี้บูมเมอร์ ไม่ได้เยอะแค่อายุ แต่มูลค่าทรัพย์สินก็สูงเช่นกัน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อวันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2023 ที่ผ่านมา Bloomberg รายงานว่า ชาวอเมริกันอายุ 70 ปีขึ้นไปครอบครองความมั่งคั่งราว 30% ของประเทศ อ้างอิงจากข้อมูลของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ที่เผยว่าชาวเบบี้บูมเมอร์มีมูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นจากปี 2019 ถึง 14 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตัวเลขเหล่านี้ยิ่งดูน่าตื่นตาตื่นใจ หากพิจารณาข้อเท็จจริงที่ว่าช่วงอายุดังกล่าวนั้นคิดเป็นเพียง 11% ของจำนวนประชากรทั้งหมด มูลค่าที่เพิ่มขึ้นนี้สืบเนื่องมาจาก 2 ปัจจัย ได้แก่&nbsp; &nbsp;&nbsp;1. ประชากรอเมริกากำลังมีอายุมากขึ้น ซึ่งหมายความว่าจำนวนผู้มีอายุ 70 ปีขึ้นไปในตอนนี้มีมากกว่าเมื่อสองสามปีที่แล้ว โดยชาวอเมริกันช่วงอายุดังกล่าวเพิ่มขึ้นถึง 2.3 ล้านคนเทียบกับปี 2019&nbsp; &nbsp;&nbsp;2. ผู้ที่อายุสูงขึ้นมีแนวโน้มครอบครองบ้านและหุ้นมากกว่า ซึ่งทรัพย์สินทั้งสองประเภทนี้เพิ่งมีมูลค่าเพิ่มในช่วงที่ผ่านมา มูลค่าบ้าน หุ้น และกองทุนรวมต่างมีแนวโน้มที่ดีหากเลือกเก็บเพื่อสะสมความมั่งคั่ง&nbsp; &nbsp;&nbsp;และแม้เศรษฐกิจจะตกต่ำในช่วงโควิด-19 แพร่ระบาด ชาวอเมริกันอายุมากก็ได้กำไรจากการสะสมทรัพย์สินเพิ่มขึ้นถึง 5 ล้านล้านเหรียญนับตั้งแต่ปี 2019 อ้างอิงจาก Bloomberg นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่เผยตัวเลขการถือครองทรัพย์สินเฉลี่ยของผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปเติบโต้ะเพิ่ม 1.8 ล้านล้านเหรียญในปี 2022 ต้องขอบคุณกลุ่ม Ultra Rich&nbsp; &nbsp;&nbsp;โดยรวมแล้ว ในไตรมาสสามของปีนี้ หุ้นบริษัทสหรัฐฯ และหุ้นกองทุนรวมเกือบ 38% ถูกถือครองโดยชาวบูมเมอร์อายุ 70 ปีขึ้นไป ถือเป็นตัวเลขสูงสุดในบันทึกที่ย้อนไปไกลถึงปี 1989&nbsp; &nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ในขณะเบบี้บูมเมอร์กำลังมีผลกำไรงดงาม กลุ่มช่วงอายุอื่นกลับไปได้ไม่สวยเท่าใดนัก กลุ่มคนอายุระหว่าง 40 ถึง 70 ปีซึ่งได้รับการประเมินว่าอยู่ในช่วงสร้างรายได้สูงสุด กลับมีมูลค่าความมั่งคั่งภาคครัวเรือนต่ำกว่าเมื่อปี 2019 ด้านกลุ่มคนอายุระหว่าง 55 ถึง 69 ปีต้องเผชิญมูลค่าหุ้นที่ตกจาก 45.2% เหลือเพียง 42.2% ส่วนชาวอเมริกันอายุ 40 ถึง 54 ปีต้องประสบหุ้นที่ตกจาก 23.4% เหลือ 20.5%&nbsp; &nbsp;&nbsp;หากมองในระยะยาว ความมั่งคั่งของผู้มีอายุต่ำกว่า 55 ปีนั้นเพิ่มขึ้นเพียง 2.5 เท่าตลอด 25 ปีที่ผ่านมา ต่างจากชาวอเมริกันอายุ 70 ปีขึ้นไปที่มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นถึงหกเท่า แปลและเรียบเรียงจาก <a href="https://robbreport.com/lifestyle/news/baby-boomer-wealth-gains-1235453953/" alt="Baby Boomers Now Hold More Than 30% of America’s Wealth">Baby Boomers Now Hold More Than 30% of America’s Wealth</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/3-techniques-to-know-bfore-reduce-tax-by-krungsri-consumer" alt="3 เทคนิคควรรู้ก่อนยื่นภาษี จากกรุงศรี คอนซูมเมอร์">3 เทคนิคควรรู้ก่อนยื่นภาษี จากกรุงศรี คอนซูมเมอร์</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

สูงวัยกำไรงาม เบบี้บูมเมอร์อเมริกันครองความมั่งคั่ง 30% ของประเทศ

<h2 class="p1">งานวิจัยจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ Coldwell Banker แสดงให้เห็นว่า คนกลุ่ม "มิลเลนเนียล" จะครองความมั่งคั่งมากกว่าในปัจจุบันถึง 5 เท่า เนื่องจากเป็นกลุ่มที่จะได้รับมรดกมากกว่า 68 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2030 จากพ่อแม่ที่เป็นคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่านี่เป็นการส่งต่อความมั่งคั่งครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในยุคปัจจุบัน</h2>
ทั้งนี้ เป็นที่รู้ดีว่าคนเจเนอเรชั่นหลังยุคเบบี้บูมเมอร์ต้องต่อสู้กับปัญหาต่างๆ ที่คนรุ่นพ่อแม่หรือคนรุ่นปู่ย่าตายายไม่ได้พานพบมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นหนี้การศึกษาที่เป็นภาระทางการเงิน, ราคาอสังหาริมทรัพย์, ค่าประกันที่สูง และความท้าทายในการหางานที่ได้ค่าตอบแทนดี ปัญหาเหล่านี้และปัญหาอื่นๆ ทำให้ชีวิตของคน มิลเลนเนียล ยากขึ้นกว่าคนรุ่นพ่อแม่ อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้าความมั่งคั่งของพวกเขาจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น และพวกเขาจะได้เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ร่ำรวยที่สุดตลอดกาล
ข้อมูลจาก WealthEngine ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยของ Coldwell Banker ระบุว่า ประมาณการว่าจะมีเศรษฐีมิลเลนเนียลราว 6.18 แสนคน โดยเศรษฐีมิลเลนเนียลเหล่านี้คิดเป็น 2% ของประชากรเศรษฐีสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ เศรษฐีมิลเลนเนียลส่วนใหญ่จะมีสินทรัพย์อยู่ระหว่าง 1-2.49 ล้านเหรียญ และมีอายุอยู่ในช่วง 34-37 ปี
เนื่องจากมรดกที่ได้มีทั้งกองทรัสต์และการวางแผนลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ชาวมิลเลนเนียลจะรวยขึ้นอย่างต่อเนื่อง และร่ำรวยมากในเร็วๆ นี้ และเนื่องจากคนเจเนอเรชั่น มิลเลนเนียล มีขนาดเล็กกว่าชาวเบเบี้บูมเมอร์ ทำให้ความมั่งคั่งของชาวมิลเลนเนียลจะกระจุกตัวมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่เท่าเทียมกันของความมั่งคั่ง
รุ่นพ่อแม่ซึ่งเป็นชาวเบบี้บูมเมอร์เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มที่มีทรัพย์สินมหาศาล หลายคนได้รับผลประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ทำให้ได้งานที่มั่นคงปลอดภัยและได้รับค่าตอบแทนดี นอกจากนี้ เบบี้บูมเมอร์ยังได้ประโยชน์จากตลาดหุ้นที่เพิ่มขึ้นและกำไรจากอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งทำให้บ้านของพวกเขามีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
<img class="alignnone size-full wp-image-23175" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/10/architecture-1867726_1920.jpg" alt="" width="720" height="480" />
“ความแตกต่างระหว่างเศรษฐีในช่วงยุคต้นทศวรรษที่ 1980 และเศรษฐีที่ถูกสร้างขึ้นในวันนี้ คือเศรษฐีหลายคนในยุคปัจจุบันได้รับทรัพย์สินเพิ่มเติมจากพ่อแม่ยุคเบบี้บูมเมอร์ ผู้ที่ถือเป็นรุ่นที่ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์” รายงานของ Coldwell Banker ระบุ
อย่างไรก็ตาม การส่งมอบมรดกอาจไม่ราบรื่นนักสำหรับคนทั้งสองรุ่น เพราะในหลายปีที่ผ่านมา มูลค่าหุ้น, พันธบัตร และอสังหาริมทรัพย์มีการเติบโตอย่างมาก ความปลอดภัยในการทำงานและความก้าวหน้าในอาชีพได้รับการยกระดับขึ้นเพื่อชาวเบบี้บูมเมอร์ แต่ไม่ได้หมายความว่าเทรนด์นี้จะคงอยู่ตลอดไป เนื่องจากมีแนวโน้มมากว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรตลาด ด้วยความวิตกกังวลถึงความยั่งยืนของความมั่งคั่งของพวกเขา ชาวเบบี้บูมเมอร์อาจเลือกอยู่กับงานของเขาให้นานขึ้น และครองทรัพย์สินไปเรื่อยๆ แทนที่จะมอบให้ทายาทในตอนที่ตนยังมีชีวิตอยู่
ขณะที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี, ปัญญาประดิษฐ์ (AI), หุ่นยนต์, การแข่งขันในระดับโลกที่รุนแรง และการย้ายตำแหน่งงานไปยังประเทศอื่นๆ อาจส่งผลกระทบทางลบต่อความมั่นคงของงานและความคล่องตัวในการทำงานของชาวเบบี้บูมเมอร์ ซึ่งทำให้มรดกที่ลูกหลานจะได้รับนั้นลดลง
ไม่เพียงเท่านั้น ค่าใช้จ่ายที่สูงมากในการดูแลสุขภาพช่วงบั้นปลายชีวิตยังสามารถลดทอนความมั่งคั่งที่ชาวเบบี้บูมเมอร์สะสมไว้ได้อีกด้วย นอกจากนี้ ภาษีที่ไม่เท่ากันในแต่ละรัฐยังอาจทำให้มรดกลดลงได้ ขณะที่ผู้รับมรดกอาจต้องกังวลกับการจัดการมรดกซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย แม้การมีเงินก้อนโตเข้ามาจะเป็นสิ่งดี แต่การจัดการให้ดีเป็นสิ่งที่ยาก ซับซ้อน และมีความเสี่ยง
ท้ายที่สุด การส่งต่อความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่นอันน่าทึ่งนี้จะเปลี่ยนชีวิตและความมั่งคั่งให้กับชาวมิลเลนเนียลจำนวนมาก และยังมีผลกระทบระลอกใหญ่ต่อเศรษฐกิจด้วย
&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/commentaries/insights/%e0%b8%97%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%9e%e0%b8%a2%e0%b9%8c%e0%b8%aa%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%ad%e0%b8%9a%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%a7-holding-company.html">บริหาร ‘ทรัพย์สินครอบครัว’ ส่งต่อความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน</a></li>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/commentaries/insights/%e0%b8%81%e0%b8%8e%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%a9%e0%b8%b5%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%a1%e0%b8%a3%e0%b8%94%e0%b8%81%e0%b8%95%e0%b8%ad.html">กฎหมายภาษีการรับมรดกตอบโจทย์ประเทศจริงหรือ?</a></li>
</ul>
&nbsp;

แปลและเรียบเรียงจาก <a href="https://www.forbes.com/sites/jackkelly/2019/10/26/millennials-will-become-richest-generation-in-american-history-as-baby-boomers-transfer-over-their-wealth/?utm_source=FBPAGE&amp;utm_medium=social&amp;utm_content=2772953547&amp;utm_campaign=sprinklrForbesMainFB#26b9e5be6c4b">Millennials Will Become Richest Generation In American History As Baby Boomers Transfer Over Their Wealth</a>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events