<h2>SENA เปิดแผนธุรกิจปี 2568 ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน (Sustainable Living Leader) มุ่งเน้นการพัฒนาและยกระดับการอยู่อาศัยอย่างมีคุณภาพ ตอบโจทย์ทุกมิติของผู้บริโภค ภายใต้กลยุทธ์ "Refined Focus" ต่อยอดจุดแข็งของธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจหลัก พร้อมเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ในทำเลคุณภาพ ทั้งคอนโดมิเนียมและแนวราบ รวม 12 โครงการ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 15,500 ล้านบาท และยอดโอนกรรมสิทธิ์ 10,000 ล้านบาท</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้จะยังคงเผชิญกับปัจจัยท้าทาย ทั้งปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือน การปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดของสถาบันการเงิน อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น และโครงสร้างเศรษฐกิจที่ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว แต่บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ให้ทันกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ส่งผลให้ 9 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทมียอด Pre-Sales สูงถึง 12,500 ล้านบาท โดยเฉพาะโครงการ LivNex เช่าออมบ้าน ที่มียอดขาย 1,900 ล้านบาท จาก 976 ยูนิต และมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ สิ้นไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ 6,515 ล้านบาท พร้อมกำไรที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง สะท้อนความสามารถและศักยภาพของเสนาในการดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับปี 2568 บริษัทเตรียมเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ 12 โครงการ แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 11 โครงการ และโครงการแนวราบ 1 โครงการ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท โดยยังคงเน้นตลาด Affordable Segment ซึ่งเป็นกลุ่มที่เสนาครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดถึง 20% หรือมากกว่า 20,000 ยูนิต ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขาย 15,500 ล้านบาท และยอดโอน 10,000 ล้านบาท ซึ่งได้รวมสัดส่วนรายได้จากโครงการ LivNex เช่าออมบ้าน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/fDJdB3WzLx4LNCecj7ys.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="720px,402px" data-align="center" data-file-name="fDJdB3WzLx4LNCecj7ys.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,402" data-origin="720px,402px" style="width: 720px; height: 402px;" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เสนาพร้อมขับเคลื่อนธุรกิจในปี 2568 เพื่อก้าวข้ามทุกความท้าท้ายและยกระดับมาตรฐานของการเป็น ผู้นำด้านการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน (Sustainable Living Leader) ผ่านกลยุทธ์ "Refined Focus" ที่ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่การพัฒนา แต่คือการยกระดับโครงการและบริการที่มีอยู่ให้ดีที่สุด โดยแบ่งออกเป็น 4 แกนหลัก ดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. No.1 in Affordable Market: เสนามุ่งเน้นตลาด Affordable ปัจจุบันมีบ้านและคอนโดรวม 12,600 ยูนิต มูลค่ารวม 30,600 ล้านบาท ตอบโจทย์กลุ่มเรียลดีมานด์ ซึ่งมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อเดือน คิดเป็น 54% ของครัวเรือนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/p411B2opcFdXepVjKZFq.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="p411B2opcFdXepVjKZFq.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="720,402"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. Strong Partnership: ความร่วมมือกับ ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป พันธมิตรทางธุรกิจที่ยาวนานกว่า 9 ปี พัฒนาโครงการรวม 66 โครงการ มูลค่ากว่า 83,000 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3. SENA Eco System to Make Us Stronger: การขับเคลื่อนธุรกิจที่เสริมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนของกลุ่มธุรกิจหลัก เช่น SenX ศูนย์ข้อมูลที่ร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ, ขยาย SENA Green Automotive สู่การเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า 3 แบรนด์ NETA, LEAP และ DEEPAL ฯลฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4. Sustainable Living Leadership มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมเพื่อที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน เช่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- แนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์ (Zero Energy House concept) พัฒนา 42 โครงการ รวมจำนวน 4,290 ยูนิต ลดการปล่อยคาร์บอนได้ไม่ต่ำกว่า 6,993 ตันคาร์บอนต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- การพัฒนาที่อยู่อาศัยแห่งอนาคต บ้าน ZEH (Zero Energy House ) New Model บ้านเดี่ยวติดโซลาร์รูฟพร้อมแบตเตอรี่ กับ Segment High Class “Grand Serie” และ เตรียมเปิดตัวครั้งแรก ที่โครงการ เสนา พาร์ค แกรนด์ กม. 9 (SENA Park Grand Ramindra KM.9)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- SENA Low Carbon เปิดตัวครั้งแรก แฟล็กชิป คอนโดโลว์คาร์บอน พร้อมเข้าอยู่ 2 โครงการ คือ เฟล็กซี่ เมกะ สเปซ บางนา (Flexi Mega Space Bangna) และ นิช โมโน บางโพ (Niche Mono Bangpo)​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/eG8tL7zNqnfKT5ygNuia.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="eG8tL7zNqnfKT5ygNuia.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2" origin-size="720,401"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เสนาตั้งเป้าเพิ่มโอกาสให้ผู้ที่มีข้อจำกัดทางการเงินสามารถเป็นเจ้าของบ้านคุณภาพได้ง่ายขึ้น จำนวน 1,000 ยูนิต ภายใต้โครงการ ‘LivNex เช่าออมบ้าน’ ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงที่อยู่อาศัยสร้างความมั่นคงในชีวิต เสนาเชื่อว่าความยั่งยืนและการเติบโตทางธุรกิจต้องไปด้วยกัน รายได้สำคัญ การดูแลโลกก็สำคัญไม่แพ้กัน และเราจะเดินหน้าต่อไป ในฐานะ Sustainable Living Leader ที่สร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม” ดร.ยุ้ย-เกษรา กล่าวทิ้งท้าย ภาพ:&nbsp;บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/kresearch-telecom-internet-thailand-feb-2025" alt="กสิกรฯ ชี้ธุรกิจอินเตอร์เน็ตไทยปี 68 รายได้โตช้าลง เหตุต่างชาติโตชะลอ เร่งเสนอแพกเกจพ่วง-บริการเสริม"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/property/landy-home-house-construction-innovation-to-prevent-pm-2-5-dust-expected-sales-2025-of-2700-million-baht" alt="'แลนดี้ โฮม' ปฏิวัติวงการ 'รับสร้างบ้าน' ผ่านนวัตกรรมป้องกันฝุ่น PM 2.5 คาดยอดขายปี 68 แตะ 2,700 ล้าน">'แลนดี้ โฮม' ปฏิวัติวงการ 'รับสร้างบ้าน' ผ่านนวัตกรรมป้องกันฝุ่น PM 2.5 คาดยอดขายปี 68 แตะ 2,700 ล้าน</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เสนา เผยแผนธุรกิจปี 2568 ลุยเจ้าตลาดบ้านราคา 1-3 ล้าน เปิด 12 โครงการใหม่ มูลค่า 13,000 ล้าน

<h2>'เสนาดีเวลลอปเม้นท์' รุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “LivNex เช่าออมบ้าน” แค่ทำสัญญา เช่าออม ก็ย้ายเข้าอยู่ได้เลย และยังสามารถโอนสิทธิ์เปลี่ยนมือได้ ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.8 % คงที่ ลดต้น ลดดอก นาน 36 งวด นำร่อง 19 โครงการพร้อมเข้าอยู่ทุกทำเล </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ท่ามกลางภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ชะลอตัว บวกกับปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง และอัตราเงินเฟ้อ ทำให้ราคาที่อยู่อาศัยสูงขึ้นไม่สอดคล้องกับการปรับตัวของรายได้ รวมถึงนโยบายการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินที่มีความเข้มงวด ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะกลุ่ม New Gen และกลุ่มผู้มีกำลังซื้อระดับปานกลาง -ล่าง มักจะถูกปฏิเสธสินเชื่อ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เสนาฯ จึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านการเงินที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัย ผ่านนวัตกรรมทางการเงินใหม่ที่ครบวงจร “LivNex เช่าออมบ้าน” (Pay like rent, Own like savings) ฉีกทุกกฎการอยู่อาศัย ช่วยให้ลูกค้าเป็นเจ้าของบ้านแบบใหม่ได้ง่ายๆ เพียงจ่ายค่าเช่า เท่ากับมีเงินออม ไว้หักเงินต้นเมื่อพร้อมกู้สินเชื่อบ้าน ไม่ต้องชำระเงินดาวน์ ไม่ต้องรออนุมัติสินเชื่อจากธนาคาร ก็สามารถเลือกโครงการ SENA ที่ต้องการได้ เพียงทำสัญญาเช่าออมก็ย้ายเข้าอยู่ได้เลย และยังสามารถโอนสิทธิ์เปลี่ยนมือได้อีกตามราคาที่ตกลงกับผู้เช่าออม หรือ ผู้ซื้อคนใหม่ นับเป็นการอำนวยความสะดวกกับลูกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย แต่ยังไม่พร้อมกู้ และยังสามารถผ่อนได้สูงสุด 36 เดือน ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.8 % คงที่ ลดต้น ลดดอก ตลอดสัญญา&nbsp; &nbsp;	​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/LHhV3NFcjM75QSiVWYT9.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="720px,480px" data-align="center" data-file-name="LHhV3NFcjM75QSiVWYT9.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,480" data-origin="720px,480px" style="width: 720px; height: 480px;" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รูปแบบของ LivNex จะเป็นการทำสัญญา “เช่าออมบ้าน” โดยเงินค่าเช่าที่ลูกบ้านจ่ายจะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ เงินเช่าออมสะสม และเงินดอกเบี้ย ซึ่งทางเสนาคิดอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับในตลาดที่ 1.8% เท่านั้น สัญญามีระยะเวลา 3 ปี ค่าเช่ารายเดือนทุกเดือนจะถูกหักดอกเบี้ยและสะสมไว้ให้ลูกบ้านจนครบสัญญา หรือเมื่อพร้อมกู้เงินสินเชื่อ ลูกค้าจะสามารถซื้อบ้านได้ในราคาบ้านที่หักเงินเช่าออมสะสม&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ยกตัวอย่าง คอนโดราคา 1 ล้านบาท ลูกบ้านจ่ายค่าแรกเข้า 3 เดือน 12,300 บาท จากนั้นผ่อนเช่าออมบ้านต่อ เดือนละ 4,100 บาท ซึ่งเมื่อหักดอกเบี้ยแล้วจะเหลือส่วนที่เป็นเงินเช่าออมบ้านสะสมเดือนแรก 2,618 บาท โดยจะสะสมเพิ่มขึ้นไปทุกเดือน (คิดดอกเบี้ยลดต้นลดดอก) เมื่อครบสัญญา 3 ปี ลูกค้าจะมีเงินสะสมรวมค่าแรกเข้าที่ 106,322 บาท และจะสามารถทำเรื่องซื้อคอนโดได้ที่ราคา 893,678 บาท จากราคาเดิม 1 ล้านบาท เห็นได้ว่าราคาบ้านที่ลูกบ้านจะทำการซื้อเมื่อครบสัญญานั้นถูกลง ลูกบ้านมีระยะเวลา 3 ปี ในการบริหารจัดการเครดิตส่วนบุคคล มีเวลาในการสร้างรายได้ประจำเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มวงเงินในการกู้ขณะที่ยอดที่กู้ก็จะลดลงจากการนำเงินเช่าออมสะสมมาหักลบ ซึ่งตลอดระยะเวลาสัญญาทางเสนาจะมีทีมผู้เชี่ยวชาญทางการเงินคอยให้คำปรึกษาตลอด หรือถ้าลูกบ้านมีเหตุให้ไม่สามารถเช่าออมบ้านต่อได้ระหว่างสัญญา ก็สามารถโอนสิทธิ์ซึ่งมีเงินเช่าออมสะสมอยู่นี้ต่อให้คนอื่นได้ด้วย (อยู่ในการพิจารณาของบริษัท) LivNex จึงเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เสนาภูมิใจในการนำเสนอ เพื่อช่วยแก้ปัญหาการเข้าถึงการเป็นเจ้าของที่พักอาศัยได้อย่างแท้จริง” &nbsp; <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/CbueN4y2kNCS65mPCHSL.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="720px,480px" data-align="center" data-file-name="CbueN4y2kNCS65mPCHSL.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,480" data-origin="720px,480px" style="width: 720px; height: 480px;" data-index="1"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ผู้บริหารของเสนายังกล่าวด้วยว่า “LivNex เช่าออมบ้าน” จะเป็นตัวช่วยสำคัญให้กับลูกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยสำหรับบุคคลทั่วไป และโดยเฉพาะกลุ่มที่ยังมีความพร้อมด้านการเงินไม่เพียงพอที่ต้องเช่าบ้านอยู่ กลุ่ม First Jobber, กลุ่มอาชีพอิสระที่ขาดเอกสารทางการเงินที่ครบถ้วน ที่มาพร้อมกับที่ปรึกษาด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งช่วยวางแผนปรับปรุงเครดิตระหว่างการเช่าออมบ้าน เพื่อให้ลูกค้าสามารถกู้สินเชื่อที่เหมาะสมกับตนเองในเวลาที่เหมาะสม โดยปัจจุบัน LivNex มีโครงการที่พักอาศัยของเสนาฯให้เลือกเป็นเจ้าของทั้งหมด 19 โครงการ กระจายอยู่หลายทำเลที่มีศักยภาพ อาทิ สุขุมวิท รามคำแหง บางนา แจ้งวัฒนะ รังสิต เป็นต้น โดยครอบคลุมทุกระดับราคาตั้งแต่ต่ำกว่าล้านจนถึงระดับราคาสูงกว่า 5 ล้านบาท&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงที่อยู่อาศัยให้กับผู้บริโภค ถือว่าเป็นหนึ่งใน Mission หลักของเสนาฯ เรามีความเข้าใจและมุ่งมั่นสร้างโอกาสให้ทุกคน ได้เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยคุณภาพที่พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการได้อย่างแท้จริง ในราคาที่จับต้องได้ ควบคู่ไปกับการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ตามแนวคิดของเสนาฯ ที่พร้อม “เคียงข้างสร้างสรรค์ชีวิตยั่งยืน”&nbsp;ผศ.ดร.เกษรา&nbsp;กล่าวทิ้งท้าย เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbes-admin-v2.vercel.app/cms-post-new/เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ปักหมุดกลางพญาไท ดันคอนโดหรู ‘MARQUIS’ ตอบโจทย์คนเลี้ยงสัตว์" alt="เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ปักหมุดกลางพญาไท ดันคอนโดหรู ‘MARQUIS’ ตอบโจทย์คนเลี้ยงสัตว์">เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ปักหมุดกลางพญาไท ดันคอนโดหรู ‘MARQUIS’ ตอบโจทย์คนเลี้ยงสัตว์</a> ​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

'SENA' เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 'LivNex เช่าออมบ้าน' เปลี่ยนค่าเช่าเป็นเงินออม สร้างโอกาสการมีบ้านได้ง่ายขึ้น 

เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ สร้างบ้านเสนาโซลาร์เพื่อความยั่งยืน

<h2>เสนา-ฮันคิววางกลยุทธ์ใหม่เร่งดันโครงการ ปีติ เอกมัย หลังพรีเซล 11 เดือน ยังทำยอดขาย 30-40% เซ็นสัญญา ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป เจ้าของเชน "อมารี" เข้าบริการคอนโดฯ แบบโรงแรม 5 ดาว “ดร.ยุ้ย” ชี้ เป็นครั้งแรกที่คอนโดฯ ตารางเมตรละ 1.5-1.9 แสนบาทจัดเซอร์วิสหรูเข้าโครงการ</h2>
เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการ บริษัทร่วมทุนระหว่าง เสนา ฮันคิว ฮันชิน ร่วมกับ Kazumasa Ohchi ผู้จัดการทั่วไปอาวุโส Hankyu Hanchin Properties Corp. ร่วมลงนามในสัญญาเป็นพาร์ทเนอร์กับ ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป บริษัทผู้บริหารเชนโรงแรม เช่น อมารี, ชามา, โอโซ่ ฯลฯ

สัญญานี้เป็นการดีลให้ออนิกซ์เข้ามาเป็นผู้บริการในโครงการอาคารชุด ปีติ เอกมัย ให้บริการเทียบเท่าโรงแรมระดับ 5 ดาว รวมถึงถ่ายทอดองค์ความรู้งานบริการโรงแรมแบบมืออาชีพให้กับพนักงานของ บริษัท อีลีท เรสซิเดนซ์ จำกัด ของ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์

โดยเกษรากล่าวว่า โครงการนี้เป็นโครงการแรกในไทยที่คอนโดมิเนียมระดับพรีเมียมราคาตารางเมตรละ 1.5-1.9 แสนบาทจะมีบริการระดับโรงแรม 5 ดาว เช่น  พนักงานเปิดประตู (Doorman), กงเซียจและรีเซปชั่น 24 ชั่วโมง, พนักงานยกสัมภาระ (Bellboy) และสามารถเรียกบริการอื่นๆ ได้เพิ่มเติม เช่น เรียกรถลีมูซีน จองสปา เชฟส่วนตัว เป็นต้น

“คอนโดฯ ที่มีบริการระดับโรงแรมในไทยมักจะพบเฉพาะในกลุ่มคอนโดฯ ตารางเมตรละ 3 แสนบาทขึ้นไปซึ่งเป็นกลุ่มซูเปอร์ลักชัวรี แต่คอนโดฯ ของเราซึ่งเป็นกลุ่มพรีเมียมก็สามารถให้บริการแบบ 5 ดาวได้ เชื่อว่าจะช่วยดึงผู้ซื้อทั้งกลุ่มที่ซื้อเป็นสินทรัพย์และอยู่อาศัยจริง เพราะการมีผู้บริหารอาคารที่ดีจะทำให้สะดวกสบายและอาคารไม่เสื่อมมูลค่า” เกษรากล่าว

<figure><img class="wp-image-15439 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/เสนา-ฮันคิว-ออนิกซ์.jpg" alt="ปีติ เอกมัย เซ็นสัญญา ออนิกซ์" width="800" height="524" /><figcaption> (จากซ้าย) เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการ บริษัทร่วมทุนระหว่าง เสนา ฮันคิว ฮันชิน, Kazumasa Ohchi ผู้จัดการทั่วไปอาวุโส Hankyu Hanchin Properties Corp. และ Douglas Martell ประธานกรรมการและซีอีโอ ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป</figcaption></figure>

โดยสัญญาบริหารโครงการครั้งนี้เซ็นสัญญายาวไม่ต่ำกว่า 3 ปี และเกษรายืนยันว่า บริษัทยังเก็บค่าส่วนกลางตามปกติ 70 บาทต่อตารางเมตร ไม่ได้มีการปรับเพิ่มแต่อย่างใด เนื่องจากจุดประสงค์ของการเสริมบริการไม่ใช่การทำรายได้เพิ่ม แต่เป็นการสร้างแบรนด์ให้กับ “ปีติ” ส่วนจะมีการเซ็นสัญญาบริหารโครงการปีติในทำเลอื่นอีกหรือไม่ ยังไม่ได้มีการตกลงกัน

ด้าน Douglas Martell ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป กล่าวว่า ออนิกซ์เป็นเชนโรงแรมขนาดกลางที่เติบโตอย่างรวดเร็วในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยปัจจุบันมีพอร์ตบริหารโรงแรมอยู่ 50 แห่ง ใน 8 ประเทศ

สำหรับการบริหารโครงการปีติ เอกมัย จะใช้ประสบการณ์จากการบริหารเซอร์วิส อะพาร์ตเมนต์แบรนด์ “ชามา” เนื่องจากการทำเซอร์วิส อะพาร์ตเมนต์จะมีแขกเข้าพักแบบระยะยาว (long-stay) อยู่แล้ว ซึ่งคล้ายคลึงกับผู้พักอาศัยในคอนโดฯ ที่ต้องการ ‘Settle’ เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน

<figure><img class="wp-image-15438 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/ปีติ-เอกมัย.jpg" alt="ปีติ เอกมัย" width="800" height="542" /><figcaption> โครงการ ปีติ เอกมัย</figcaption></figure>

ทั้งนี้ โครงการปีติ เอกมัย เป็นคอนโดฯ ไฮไรส์ 37 ชั้น จำนวน 879 ยูนิต ที่ดินขนาด 4 ไร่ ทำเลในซอยเอกมัย (สุขุมวิท 63) ห่างจาก BTS เอกมัย 2 กิโลเมตร เปิดราคาเริ่มต้นที่ 4.45 – 12 ล้านบาทต่อยูนิต มีกำหนดสร้างเสร็จพร้อมโอนในไตรมาส 2/64

อย่างไรก็ตาม หลังเปิดขายเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน 2561 เกษรากล่าวว่าปัจจุบันโครงการยังทำยอดขายได้ 30-40% เท่านั้น 

จึงเป็นไปได้ว่าการดึงแบรนด์ “ออนิกซ์” เข้ามาจะช่วยดึงความสนใจแทนการใช้บริการ in-house อย่าง บริษัท อีลีท เรสซิเดนซ์ จำกัด ที่เสนาฯ เพิ่งเริ่มตั้งบริษัทเมื่อต้นปีที่ผ่านมาและยังอยู่ระหว่างการฝึกฝนพนักงานบริการ
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/property/%e0%b9%80%e0%b8%aa%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%af-%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b8%b4%e0%b8%94%e0%b9%81%e0%b8%9c%e0%b8%99%e0%b8%9b%e0%b8%b5-2562-%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b8%b2%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5.html">เสนาฯ เปิดแผนปี 2562 เจาะเรียลดีมานด์-ร่วมทุนบุกต่างจังหวัด สกรีนลูกค้าดาวน์เพิ่มก่อนถึงวันโอน</a></li>
</ul>
กลยุทธ์การบุกเจาะตลาดคอนโดฯ กลุ่มพรีเมียมของเสนาฯ ตารางเมตรละ 1.5 แสนบาทขึ้นไปเริ่มขึ้นเมื่อปี 2558 เมื่อบริษัทเปิดตัวเดอะ นิช ไพรด์ ทองหล่อ-เพชรบุรี จากก่อนหน้านี้ที่เสนาฯ จะพัฒนาโครงการระดับกลางถึงล่างเป็นหลัก และพอร์ตพรีเมียมนี้เริ่มมีความสำคัญมากขึ้น โดยดร.เกษรากล่าวว่ารายได้จากคอนโดฯ พรีเมียมจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 10-20% ของรายได้รวมบริษัท

&nbsp;

Forbes Facts
<ul>
 	<li>ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป เป็นธุรกิจกลุ่มไลฟ์สไตล์ใน<a href="https://forbesthailand.com/people/cover-story/%e0%b8%a2%e0%b8%b8%e0%b8%97%e0%b8%98%e0%b8%8a%e0%b8%b1%e0%b8%a2-%e0%b8%88%e0%b8%a3%e0%b8%93%e0%b8%b0%e0%b8%88%e0%b8%b4%e0%b8%95%e0%b8%95%e0%b9%8c.html">กลุ่มบริษัท อิตัลไทย จำกัด</a> โดยขยายไปใน 8 ประเทศ ได้แก่ ไทย สปป.ลาว มาเลเซีย จีน บังคลาเทศ มัลดีฟส์ ศรีลังกา และกาตาร์</li>
 	<li>บริษัท อีลีท เรสซิเดนซ์ จำกัด เป็นการลงทุนของ บมจ.เสนาฯ 100% ทุนจดทะเบียนราว 1-2 ล้านบาท</li>
 	<li>เกษรากล่าวว่า เสนาฯ ยังคงไม่ปรับเป้ารายได้ปี 2562 ยังยืนยันเป้าหมายที่ 8.2 พันล้านบาท แม้ว่ารายได้ช่วงครึ่งปีแรกจะอยู่ที่ 2.3 พันล้านบาท เนื่องจากโครงการส่วนใหญ่จะโอนกรรมสิทธิ์ช่วงไตรมาส 4 โดยมีแบ็กล็อกสะสมกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท</li>
</ul>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เสนา-ฮันคิวดึงเชนโรงแรม 5 ดาว “ออนิกซ์” บริหาร “ปีติ เอกมัย” หวังช่วยดันยอดขาย

เสนาฯ เปิดแผนปี 2562 เจาะเรียลดีมานด์-ร่วมทุนบุกต่างจังหวัด สกรีนลูกค้าดาวน์เพิ่มก่อนถึงวันโอน

<h2>ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่คือมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกยุคใหม่ การเติบโตทางเศรษฐกิจทำให้ชาวจีน “รวยเร็ว” และจำนวนคนรวยก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทว่า เนื่องจากรัฐบาลจีนไม่อนุญาตให้บุคคลธรรมดาครอบครองกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินอย่างถาวร ทำให้คนจีนที่ต้องการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มองหาจุดหมายปลายทางที่ประเทศอื่นทดแทน</h2>
Bain&amp;Company และ China Merchants Bank ร่วมกันจัดทำรายงานความมั่งคั่งของชาวจีน ซึ่งคาดการณ์ว่า ณ สิ้นปี 2560 จะมีชาวจีนที่มีความมั่งคั่งมากกว่า 10 ล้านหยวน (หรือราว 50 ล้านบาท) กว่า 1.87 ล้านคน และมีทรัพย์สินรวมกันราว 188 ล้านล้านหยวน (หรือราว 940 ล้านล้านบาท)

กลุ่มคนรวยยอดพีรามิดของจีนเหล่านี้มีแนวทางการบริหารจัดการความมั่งคั่ง โดยการโยกย้ายทรัพย์สิน 56% ไปยังต่างประเทศ และนั่นคือโอกาสของประเทศไทย เพราะ 11% ของคนรวยแดนมังกรสนใจการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เหนือสิ่งอื่นอย่าง วิสกี้ กระเป๋าแบรนด์เนม หรือชิ้นงานศิลปะ โดยที่ประเทศไทยคือตลาดอันดับ 3 ของโลกที่คนจีนสนใจลงทุนอสังหาฯ รองจากประเทศสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย

ส่งผลให้กระแส “ทุนจีนบุกซื้อคอนโดมิเนียมไทย” ฟีเวอร์มากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะปี 2560 ที่อสังหาฯ แต่ละบริษัทต่างจับจ้องมองกระแสผู้ซื้อชาวจีนเหล่านี้อย่างใกล้ชิด

อย่างไรก็ตาม แนวความคิดการเจาะกลุ่มผู้ซื้อจากจีนแผ่นดินใหญ่ของแต่ละค่ายอสังหาฯ ย่อมแตกต่างกันไป มีทั้งที่เปิดกว้างและต้องการคว้าเงินในกระเป๋าเศรษฐีใหม่เหล่านี้ให้อยู่มือ ไปจนถึงกลุ่มที่ต้องการรอดูท่าทีทิศทางลมให้ชัดเจนก่อน

<img style="width: 680px; height: 400px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/f4eb2eb0ddb128be9d3e101b978f8bb9.png" alt="" />

เปิดฉากด้วยซีอีโอดาวรุ่ง พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ บริษัทที่กำลังขยายตลาดจากคอนโดมิเนียมระดับกลางล่างสู่ตลาดบน พีระพงศ์กล่าวว่า ณ สิ้นปี 2560 ออริจิ้นมีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติเพิ่มเป็น 15% และเชื่อว่าปีนี้จะขยับขึ้นเป็น 17-18% จากกำลังซื้อชาวจีนที่สนใจตลาดไทยสูง

พีระพงศ์อธิบายว่า อสังหาฯ ในประเทศจีนเป็นลีสโฮลด์หรือกรรมสิทธิ์การเช่าทั้งหมด ไม่มีการขายขาด แต่แม้จะเป็นลีสโฮลด์อสังหาฯ จีนก็มีราคาสูง ในเมืองหลวงอย่าง Beijing บริเวณโซน 1 ใจกลางเมือง ราคาคอนโดฯ จะอยู่ที่ 5 แสน-1 ล้านบาท/ตร.ม. ถึงจะขยับมาที่โซน 5 ซึ่งห่างกลางเมืองออกมาราคายังสูงถึง 4 แสนบาท/ตร.ม. และจะได้อัตราผลตอบแทนการเช่า (rental yield) เฉลี่ยเพียง 1.5%

เทียบกับประเทศไทยแล้ว ชาวต่างชาติสามารถซื้อห้องชุดโดยได้กรรมสิทธิ์ถาวรและอัตราผลตอบแทนการเช่าเฉลี่ยที่ 4-5% ไม่นับส่วนต่างกำไร (capital gain) หากขายเปลี่ยนมือที่อาจจะสูงถึง 10%

“ถามว่าคนจีนซื้อไปทำอะไร? จริงๆ คำตอบคือเป็นความนิยมในอสังหาฯ ของเขาเอง บวกกับผลตอบแทนที่ไทยนั้นน่าซื้อมาก ห้องชุดที่ราคาต่ำกว่า 1 ล้านหยวนเขาซื้อได้ แต่ที่นิยมมากคือราคาต่ำกว่า 5 แสนหยวน เขาซื้อโดยไม่ต้องคิดเลย

ออริจิ้นเราขายคนจีนและฮ่องกงเมื่อปีก่อนรวมกว่า 5 พันล้านบาทแล้ว โอนกรรมสิทธิ์ได้ง่าย โดยเราเลือกขายผ่านเอเย่นต์จีนซึ่งต้องเลือกเอเย่นต์ที่ดี คัดลูกค้าที่มีกำลังซื้อจริงเข้ามา ไม่ใช่เอเย่นต์ที่พานักเก็งกำไรมาซื้อซึ่งจะทำให้เกิดปัญหา” พีระพงศ์กล่าว

<img style="width: 680px; height: 400px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/e797a592384be1d5d3672599cd9af919.png" alt="" />

มาที่ เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ ซึ่งกำลังมุ่งเน้นขยายตลาดบนเช่นกัน เกษราตอบสั้นๆ ว่าปัจจุบันบริษัทมีกลุ่มลูกค้าต่างชาติซึ่งรวมถึงคนจีนมีประมาณ 10-20% ของยอดขายรวม ส่วนใหญ่จะเลือกซื้อห้องชุดแบรนด์นิช ไพรด์ ราคามากกว่า 3 ล้านบาทต่อยูนิต และนิช โมโน ราคา 2-3 ล้านบาทต่อยูนิต แต่บริษัทมีนโยบายควบคุมสัดส่วนลูกค้าต่างชาตินี้ไม่ให้เกิน 25%

“เพราะต้องป้องกันความเสี่ยง ต้องยอมรับว่ากลุ่มนี้นักเก็งกำไรก็เยอะ เพราะฉะนั้นเราก็ไม่อยากให้มีเข้ามามากเกิน” เกษรากล่าว

<img style="width: 680px; height: 400px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/ea342f902f8dcdee6218ef338e5eb368.png" alt="" />

สำหรับ ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น มองในทางบวกกับลูกค้าชาวจีน โดยซีอีโอเอสซีฯ เปิดเผยว่า บริษัทมีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติราว 20% มีทั้งชาวจีน ฮ่องกง และสิงคโปร์ ซึ่งส่วนใหญ่จะสนใจคอนโดฯ ระดับลักชัวรีและคอนโดฯ ตากอากาศ สัดส่วนดังกล่าวปรับเพิ่มขึ้นจากในอดีตเพราะช่วงที่ผ่านมาบริษัทเปิดตัวคอนโดฯ หรูจำนวนมากขึ้น

“เป้าหมายของกลุ่มคอนโดฯ ลักชัวรี 70% เรายังมองคนไทย การออกแบบก็มุ่งเน้นที่คนไทย แต่อีก 30% ที่เหลือเราเชื่อว่าจะได้ลูกค้าต่างชาติ และที่สนใจจริงๆ คือกลุ่มคนจีน เพราะพลเมืองเขามีเป็นพันล้านคน ยังมีคนอีกมากมายที่มีโอกาสมาซื้อสินค้าของเรา” ณัฐพงศ์กล่าว

<img style="width: 680px; height: 400px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/3857903638bd6a28893b31edf92101a4.png" alt="" />

ปิดท้ายที่ ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ยังมีมุมมองระแวดระวังกับลูกค้าชาวจีน เขามองว่าลูกค้ากลุ่มนี้มีทั้งโอกาสและความเสี่ยง ปัจจุบันเฉพาะกลุ่มสินค้าคอนโดฯ ศุภาลัยมีลูกค้าต่างชาติราว 2% เท่านั้น เนื่องจากมีการคัดเลือกคอนโดฯ ทำตลาดต่างประเทศตามความเหมาะสมและความจำเป็นที่ต้องอาศัยดีมานด์ต่างชาติช่วยผลักดันยอดขาย

“ถ้าเป็นชาวต่างชาติที่เป็น expat ในไทยถือว่าเป็นกลุ่มที่ดีที่สุดและเป็นเรียลดีมานด์ ส่วนกลุ่มที่แค่หาที่พักเงินกลุ่มนี้จะมีความเสี่ยง เราจึงค่อนข้างคัดเลือกลูกค้า เพราะถึงจะเก็บเงินดาวน์สูงแต่ถ้าเขามีความจำเป็นต้องทิ้งดาวน์เขาก็ทิ้ง ซึ่งเราจะเป็นฝ่ายแย่ ดังนั้นช่วง 1-2 ปีนี้ผมขอรอดูการโอนกรรมสิทธิ์ของผู้ซื้อจีนในตลาดก่อน” ไตรเตชะทิ้งท้าย

พายุหรือแค่ลมพัด? หลากทัศนะผู้บริหารค่ายอสังหาฯ เมื่อคนจีนแห่ซื้อคอนโดฯ ไทย

<h2>เสนาฯ โหมเปิดตัวปี 2561 เพิ่มขึ้น 152% เป็น 23,000 ล้านบาท ตอบรับเทรนด์การอยู่อาศัยยุคใหม่ปรับพอร์ตใหญ่จากแนวราบเป็นคอนโดมิเนียมระดับกลาง 2-3 ล้านบาท ลงทุนเสริมนวัตกรรมบริการหลังการขาย ผนึกสตาร์ทอัพ Liluna พัฒนาแอพพลิเคชั่นร่วมโดยสาร (Ride Sharing) ติด GPS ใน Shuttle Bus ของโครงการ</h2>
<a href="http://www.forbesthailand.com/people-detail.php?did=1981">เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ </a>รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยมุมมองสภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2561 มองว่าจะเติบโตได้ดี เฉลี่ยทั้งตลาดโต 7% ตามการคาดการณ์การเติบโตผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) หลายสำนักมองว่าจะโตได้ 3-5% ซึ่งจะทำให้ธุรกิจอสังหาฯ เติบโตตามไปด้วย

ทั้งนี้ กลุ่มสินค้าที่มองว่าจะโตมากกว่าค่าเฉลี่ยตลาดคือคอนโดมิเนียม ซึ่งคาดว่าปีนี้จะเติบโต 11% เป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2551 และจะเป็นตลาดที่แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ จากลักษณะประชากรและพฤติกรรมผู้บริโภคที่อาศัยอยู่คนเดียวมากขึ้นโดยมีจำนวนสมาชิกเฉลี่ยเพียง 1.9 คนต่อหนึ่งครอบครัว และถึงแม้ว่าจำนวนประชากรทั้งประเทศไทยจะลดลง แต่มีการอพยพเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ สูงขึ้น (Urbanization) นำไปสู่ความนิยมในที่อยู่อาศัยแบบคอนโดฯ

&nbsp;
<h2>ฮันคิวฯ ดันศักยภาพ เสนาฯ เปิดโครงการเพิ่มเท่าตัว</h2>
จากแนวโน้มเหล่านี้ เสนาฯ จึงวางแผนธุรกิจปี 2561 โดยให้น้ำหนักกับคอนโดมิเนียมเป็นหลัก บริษัทเตรียมเปิดตัวทั้งหมด 18 โครงการ มูลค่ารวม 23,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 152% แบ่งเป็นโครงการที่ลงทุนร่วมกับ บริษัท ฮันคิว เรียลตี้ จำกัด จากญี่ปุ่น 10,000 ล้านบาท โครงการของเสนาฯ 10,000 ล้านบาท และโครงการบ้านร่วมทางฝันซึ่งเป็นโครงการ CSR อีก 3,000 ล้านบาท

ด้านยอดขายปี 2561 ตั้งเป้า 10,300 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนที่ทำได้ 6,200 ล้านบาท 65% และเป้ารายได้ 5,200 ล้านบาท เติบโตจากเป้าหมายรายได้ปีก่อนที่ตั้งไว้ 4,500 ล้านบาท 15%

เกษรากล่าวว่า การเปิดตัวในปีนี้ 80% ของทั้งหมดจะเป็นโครงการแนวสูง เมื่อรวมกับโครงการระหว่างขายที่มีอยู่เดิมจะทำให้บริษัทมีโครงการระหว่างขาย 10,573 ยูนิต รวมมูลค่า 30,763 ล้านบาท และ 61% ในพอร์ตโครงการระหว่างขายจะเป็นคอนโดฯ แตกต่างจากในอดีตที่เสนาฯ เน้นพัฒนาโครงการแนวราบ

<figure><img style="width: 680px; height: 484px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/1ed3087e71e0919b70d0ed66ae689db6.png" alt="" width="680" height="484" /><figcaption> แผนเปิดตัวเสนาฯ ปี 2561 ทั้งหมด 18 โครงการ จับตามองแบรนด์ใหม่คอนโดมิเนียมระดับบนเปิดตัวทำเลซอยเอกมัย ใกล้อาคารไทปิง</figcaption></figure>

นอกจากนี้ กลุ่มระดับราคาของโครงการที่เปิดตัวจะเปลี่ยนไปด้วย จากปีก่อนที่พอร์ตใหญ่ของเสนาฯ 37% เป็นคอนโดฯ แบรนด์นิช ไอดี ราคา 1.5-2 ล้านบาทต่อยูนิต ปี 2561 จะปรับเป็นคอนโดฯ ระดับกลาง แบรนด์นิช โมโน ราคา 2-3 ล้านบาทต่อยูนิตสัดส่วน 31% และคอนโดฯ ระดับบนราคา 3 ล้านบาทต่อยูนิตขึ้นไปสัดส่วน 48% ภายใต้แบรนด์ นิช ไพรด์ และแบรนด์ใหม่ที่จะเปิดตัวปีนี้

“ที่เราปรับจากการเล่นตลาดคอนโดฯ 1.5-2 ล้านบาทมาเป็นคอนโดฯ 2-3 ล้านบาทและมากกว่า 3 ล้านบาทเป็นหลัก เพราะสถิติตลาดที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่าการดูดซับซัพพลายห้องชุดระดับกลางถึงบนทำได้ดีกว่าตลาดกลางล่าง และเหตุผลอีกประการคือ เมื่อบริษัทต้องการเติบโตเราก็จำเป็นต้องลงเล่นในอ่างใหม่ๆ” เกษรากล่าว

&nbsp;
<h2>นวัตกรรมบริการหลังขาย Ride Sharing</h2>
เกษรากล่าวต่อว่า อีกส่วนที่เสนาฯ เน้นมาตลอดคือการบริการหลังการขาย โดยแอพพลิเคชั่น Sena 360 Service ซึ่งให้บริการลูกบ้านโครงการเสนาฯ สามารถแจ้งซ่อม ชำระค่าส่วนกลาง ติดต่อนิติบุคคล ฯลฯ ได้ในแอพฯ เดียว ปีนี้จะเพิ่มฟังก์ชั่นใหม่ๆ

ที่น่าสนใจคือ Sena Smart Feeder แบ่งเป็นระบบ Smart Sharing ที่พัฒนาร่วมกับสตาร์ทอัพไทย Liluna ให้ลูกบ้านสามารถแบ่งปันการเดินทางและสิ่งของร่วมกันได้ เช่น ลูกบ้าน A จะขับรถยนต์จากโครงการที่บางนาไปที่สถานี BTS พร้อมพงษ์ สามารถประกาศรับผู้โดยสารที่จะติดรถไปด้วยกัน (Carpool) หรือลูกบ้านมีสิ่งของไม่ได้ใช้งานสามารถประกาศให้ยืม/เช่ากับลูกบ้านคนอื่นๆ ได้ (ทั้งหมดสามารถคิดค่าบริการหรือไม่ก็ได้ ตามความสมัครใจของเจ้าของสิ่งของ)

<figure><img style="width: 350px; height: 350px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/a1229da1dcb464958ac267505dd50bf9.png" alt="" width="350" height="350" /><figcaption> แอพพลิเคชั่น Liluna บริการร่วมเดินทางแบบ "ทางเดียวกัน ไปด้วยกัน" (Carpool) (Photo Credit: Facebook@lilunaGo)</figcaption></figure>

อีกส่วนคือรถเวียนหรือ Shuttle Bus ที่โครงการมีให้จะติดตั้งระบบ GPS Tracking เพื่อให้ลูกบ้านตรวจสอบเวลามาถึงจุดรับ-ส่งได้สะดวก รวมถึงติด QR Code ไว้บนรถ เมื่อลูกบ้านขึ้นรถสามารถสแกน QR Code และระบบจะคิดค่าบริการรวมกับค่าส่วนกลางแต่ละเดือน

&nbsp;
<h2>ระบบคำนวณค่าโซลาร์รูฟ-EV Charger </h2>
นอกจากนี้ เสนาฯ ยังสร้างระบบคำนวณค่าโซลาร์รูฟท็อปและค่าอุปกรณ์ EV Charger ที่บริษัทให้บริการติดตั้งในโครงการแนวราบ ระบบสามารถจำลองจำนวนเครื่องใช้ไฟฟ้าและพฤติกรรมอยู่อาศัยเปรียบเทียบกับขนาดโซลาร์รูฟที่ติดตั้ง เพื่อคำนวณหาขนาดโซลาร์รูฟที่เหมาะสมที่สุด (3.5 KW 4.0KW หรือ 4.5KW) และค่าไฟฟ้าที่ประหยัดลงได้จากการใช้โซลาร์รูฟทดแทน รวมถึงคำนวณส่วนเพิ่มในค่าผ่อนบ้านต่อเดือนหากติดตั้งโซลาร์รูฟหรือ EV Charger เพื่อให้เห็นความคุ้มค่าอย่างชัดเจน ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจง่ายขึ้น

“การเลือกติดตั้งโซลาร์รูฟและ EV Charger กับเสนาฯ มีข้อดีคือ ทั้งสองอย่างนี้จะรวมไปกับราคาบ้านเพื่อผ่อนกับธนาคารได้ ไม่ต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ในภายหลัง และเรายังเป็นระบบ Personalization สามารถเลือกที่จะติดตั้งหรือไม่ก็ได้ และยังเลือกขนาดที่เหมาะสมกับพฤติกรรมของลูกค้าเองได้ด้วย” เกษรากล่าวปิดท้าย

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events