<h2>เพราะยอดขายไม่เป็นที่น่าพึงพอใจต่อเนื่อง บริษัทรองเท้าชั้นนำอย่าง Nike จึงประกาศเปลี่ยนตัวซีอีโอไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ปัจจุบันผ่านไปราวสองเดือนแล้วนับตั้งแต่ซีอีโอคนใหม่ของ Nike เข้ารับตำแหน่ง เขาเผยว่ากำลังพยายามแก้ไขข้อผิดพลาด 3 ประการที่บริษัทสร้างขึ้นตลอดหลายปีมานี้</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Elliott Hill ก้าวขึ้นรับตำแหน่งซีอีโอของ Nike เมื่อเดือนตุลาคม 2024 ที่ผ่านมา แม้เขาจะเป็นซีอีโอมือใหม่ แต่ก็มีประสบการณ์ทำงานร่วมกับ Nike มากว่า 30 ปี เขาเริ่มจากการเป็นเด็กฝึกงานฝ่ายขายในปี 1988 และขยับตำแหน่งขึ้นมาเรื่อยๆ โดยก่อนเกษียณในปี 2020 เขาทำหน้าที่เป็นประธานฝ่ายลูกค้าและมาร์เก็ตเพลส&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Hill กลับมาในช่วงเวลาสำคัญของ Nike ที่นอกจากยอดขายจะตกลงมหาศาลแล้ว เขายังต้องรับมือกับผลกระทบจากกลยุทธ์การพยายามขายสินค้าตรงกับลูกค้า แทนที่จะขายผ่านร้านรีเทลต่างๆ เหมือนในอดีต โดยหุ้นของบริษัทดิ่งหนักกว่า 36% ในปี 2023&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ล่าสุดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม 2024 ที่ผ่านมา Nike เผยรายได้ประจำไตรมาสที่สิ้นสุดลง ณ เดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 1.24 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ตกลง 8% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่ง Hill ก็ได้ออกมากล่าวในการประชุมรายงานผลประกอบการถึงข้อผิดพลาด 3 ประการของบริษัทที่เขากำลังพยายามแก้ไข ดังนี้​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/W4NBrc758oaEAfdZ68Wg.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="W4NBrc758oaEAfdZ68Wg.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,480"></figure></div> 1. โปรโมชั่นเยอะเกินไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Hill ชี้ว่า ในระยะหลังมานี้ Nike มีการลดราคาและออกโปรโมชั่นมากจนเกินไป โดยตั้งแต่เข้าปีนี้มา การขาย 50% บนแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างๆ ของ Nike มีการลดราคาหรือมีโปรโมชั่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การลดราคาในระดับนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อแบรนด์ของเรา แต่ยังกระทบกับภาพรวมของตลาดและความสามารถในการทำกำไรของพาร์ทเนอร์ของเราด้วย” Hill กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซีอีโอคนใหม่ยังเผยว่า Nike ตั้งใจจะควบคุมตัวเลขการขายเพื่อรับมือกับสถานการณ์ในปัจจุบัน “การเป็นแบรนด์พรีเมียมหมายถึงการขายในราคาเต็ม เราจะโฟกัสที่โปรโมชั่นตามช่วงเวลาปกติที่ควรเป็น ไม่ใช่ถี่แบบที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้” 2. สูญเสียความหลงใหลในกีฬา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Hill เน้นย้ำเรื่องการปรับทิศทางโดยภาพรวมของแบรนด์ด้วยเช่นกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราสูญเสียความหลงใหลในกีฬาไปครับ” Hill กล่าวระหว่างการประชุม “ในการมุ่งไปข้างหน้าต่อจากนี้ เราจะใช้กีฬาเป็นตัวนำและวางนักกีฬาไว้ตรงกลางของทุกการตัดสินใจ”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เขาเสริมว่า Nike จะกลับไปให้ความสำคัญกับการยกระดับข้อมูลเชิงลึกของนักกีฬาเพื่อเร่งนวัตกรรม การออกแบบ การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ และการเล่าเรื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบัน Nike มุ่งเน้นใน 5 หมวดหมู่ ได้แก่ การวิ่ง บาสเกตบอล เทรนนิ่ง ฟุตบอล และสปอร์ตแวร์ โดยเทรนนิ่งจะเน้นไปยังเครื่องแต่งกายสำหรับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการฝึกฝนกีฬา ในขณะที่สปอร์ตแวร์จะเป็นชุดกีฬาลำลอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์หลายคนได้วิจารณ์ว่านวัตกรรมของ Nike กำลังหยุดชะงัก หนึ่งในนั้นคือ Jim Duffy นักวิเคราะห์จาก Stifel Institutional ที่เผยกับสำนักข่าว Business Insider ในเดือนกันยายน 2024 ที่ผ่านมาว่า Nike กำลังล้าหลัง และเอาแต่พึ่งพาไลน์สินค้า Retro ในขณะที่ความต้องการของผู้บริโภคได้เปลี่ยนไปแล้ว​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/BpvfbAbY9zFQ6eNmDNHi.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="720px,480px" data-align="center" data-file-name="BpvfbAbY9zFQ6eNmDNHi.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,480" data-origin="720px,480px" style="width: 720px; height: 480px;" data-index="1"></figure></div> 3. สัมพันธ์ร้าวกับร้านรีเทล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับข้อผิดพลาดประการที่ 3 ของบริษัท คือความสัมพันธ์อันไม่ค่อยจะสู้ดีนักที่ Nike มีกับบรรดามาร์เก็ตเพลสและร้านรีเทลต่างๆ โดยตั้งแต่ก่อนโควิด-19 ระบาด บริษัทก็เริ่มผลักดันการขายสินค้าตรงสู่ลูกค้า และตัดสัมพันธ์ที่มีกับร้านกีฬาและร้านรองเท้ารายย่อย ทั้งยังลดจำนวนสินค้าที่แบ่งสรรให้รีเทลรายใหญ่อย่าง Foot Locker และ Dick’s Sporting Goods&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“สิ่งสุดท้ายที่เราเลือกให้ความสำคัญคือการฟื้นคืนความสัมพันธ์และความไว้ใจจากพาร์ทเนอร์ขายส่ง พาร์ทเนอร์หลายรายรู้สึกว่าเราหันหลังให้กับพวกเขา” Hill เผย พร้อมเสริมว่าเขามีคอนเนคชั่นกับบรรดาผู้บริหารระดับสูงของรีเทลต่างๆ เช่น Dick's Sporting Goods, Foot Locker และ JD Sports&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นักวิเคราะห์ Duffy เคยบอกกับ Business Insider ว่า การที่ Nike ลดความสำคัญของการขายส่งให้ร้านรีเทลลง เป็นการเปิดโอกาสให้คู่แข่งชิงพื้นที่ว่างบนชั้นวางและสร้างการรับรู้แก่ลูกค้าแทน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายได้จากการขายส่งของ Nike อยู่ที่ 6.9 พันล้านเหรียญในไตรมาสที่ผ่านมา ตกลง 3% จากปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม Poonam Goyal นักวิเคราะห์จาก Bloomberg Intelligence มองว่า ผลประกอบการไตรมาสก่อนของ Nike ในส่วนของการขายส่งและสินค้าเครื่องแต่งกายนั้นยังคงสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a href="https://www.businessinsider.com/nike-new-ceo-elliott-hill-change-sport-sales-wholesalers-turnaround-2024-12" alt="Nike's new CEO said the company messed up 3 key areas that he's trying to fix">Nike's new CEO said the company messed up 3 key areas that he's trying to fix</a>​ภาพ: Nike และ <a href="https://unsplash.com/photos/a-display-of-shoes-in-a-shoe-store-Mw9JbxuQPjI" alt="Unsplash">Unsplash</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/global/iata-predicts-2025-global-airline-industry-revenue-surpass-1-trillion-usd" alt="IATA คาดอุตสาหกรรมการบินทั่วโลก รายได้ทะลุ 1 ล้านล้านเหรียญในปี 2025">IATA คาดอุตสาหกรรมการบินทั่วโลก รายได้ทะลุ 1 ล้านล้านเหรียญในปี 2025</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

กลยุทธ์ผิดพาหลงทิศ-รายได้ตก ซีอีโอใหม่ Nike เผย 3 แนวทาง คืนชีพบริษัทสู่แบรนด์กีฬาพรีเมียม

หลังเครือเซ็นทรัลถือหุ้น 75% ‘เรฟ อีดิชั่น’ กางแผนลุยตลาดรองเท้าครั้งใหญ่ เล็งเปิดสาขาแรกปีหน้าที่สิงคโปร์

เครือเซ็นทรัลคว้าสิทธิ์ ‘สเปอร์’ ขายสินค้าที่ ‘ซูเปอร์สปอร์ต’ พร้อมทุ่ม 300 ล้าน เปิดตัวร้านเวอร์ชั่นใหม่

Paige Mycoskie แห่ง Aviator Nation ผู้มั่งคั่งจากกางเกงวอร์ม 160 เหรียญ

ปลาเล็กกินปลาใหญ่ "วอริกซ์ สปอร์ต" ฝันไกลระดับโลก

<h2>Under Armour ผู้นำด้านการผลิตเสื้อผ้ากีฬาผสานเทคโนโลยี ฉลองครบรอบ 1 ปี ในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ขยายพื้นที่ แบรนด์ เฮาส์ ณ ศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ เปิดแผนอีก 2 สาขาที่พัทยา และ ภูเก็ต ภายในสิ้นปี 2559</h2>
“Under Armour มีแผนขยายสาขาในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 2 สาขาต่อปี โดยปีนี้เตรียมเปิด 2 สาขาที่ เซ็นทรัล เฟสติวัล พัทยา ภายเดือนตุลาคม และ จังซีลอน ภูเก็ต ลงทุนรวม 40 ล้านบาท” ไมเคิล บิงเกอร์ ประธานบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ทริปเปิ้ล จำกัด กล่าว

การขยายสาขาของ Under Armour (อันเดอร์ อาร์เมอร์) สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมของกีฬาและการออกกำลังกายที่เติบโตขึ้นเป็นอย่างมากในประเทศไทย ปีที่ผ่านมา บริษัท ทริปเปิ้ล ผู้ได้รับสิทธิ์ในการจัดจำหน่ายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้เปิดสาขา 6 สาขาในประเทศไทย โดย แบรนด์ เฮาส์ ณ ศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ ซึ่งทำการปรับปรุงพื้นที่จะมีขนาดพื้นที่ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวัน ออกเฉียงใต้ด้วยขนาดพืนที่ 379 ตร.ม. นอกจาก แบรนด์เฮาส์ แล้ว Under Armour ยังเตรียมขยายช่องทางจำหน่ายไปยังร้านมัลติแบรนด์และสเปเชียลตีสโตร์ อื่นๆ อีกด้วย

ทั้งนี้ ไมเคิล บิงเกอร์ เปิดเผยถึงการเติบโตของยอดขายครึ่งปี 2016 ที่ผ่านมาของยอดจำหน่าย Under Armour ที่มีการเติบโตจากปีแรกเฉลี่ยราว 15-20 % สำหรับตัวเลขคาดการณ์ในขวบปีที่ 2 ของ Under Armour เติบโตเท่าตัวจากปีที่แล้ว ส่วนยอดขายผ่านออนไลน์มีสัดส่วน 5 % ของรายได้

สำหรับภาพตลาดรวมกลุ่มเสื้อผ้ากีฬาและเครื่องอุปกรณ์กีฬาในประเทศไทยนั้นมีมูลค่าประมาณ 9 พันล้านบาท โตเฉลี่ย 7-10% ต่อปี โดยภาพรวมของตลาดในกลุ่มประเทศตะวันออกเฉียงใต้มีมูลค่าโดยประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท โดยประเทศไทยมีสัดส่วนรายได้ 25% ของกลุ่มประเทศนี้

“ผลิตภัณฑ์ของ Under Armour ถูกสร้างขึ้นเพื่อช่วยให้นักกีฬาแสดงศักยภาพได้ดียิ่งขึ้นโดยยังคงพัฒนาฐานสำคัญในกลุ่มเสื้อผ้าเทรนนิ่งซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลัก ทั้งยังให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายแบบเทรนนิ่งซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการ พัฒนาศักยภาพของการเล่นกีฬาทุกชนิด” ไมเคิล บิงเกอร์ กล่าวทิ้งท้าย

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events