“อารักษ์ แอนิมัล เฮลท์แคร์” เปิด “โรงพยาบาลสัตว์อารักษ์” เจาะตลาดสัตว์เลี้ยงในไทยบูม

<h2>2,668 อภิมหาเศรษฐีโลกประจำปี 2022 มีวิธีการในการสั่งสมความมั่งคั่งหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยง การผลิตซอสถั่วเหลือง การขุดทองแดงและสังกะสี การผลิตแว่นตา การพัฒนาอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ ไปจนถึงการสานต่อมรดกจากบรรพบุรุษ</h2>
ทว่ามหาเศรษฐีกว่าร้อยละ 15 หรือ 393 รายกลับเลือกที่จะสร้างความมั่งคั่งในโลกของการเงินและการทุน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ ไพรเวทอิควิตี้ ธนาคาร ฟินเทค และการลงทุนในภาคส่วนต่างๆ นำโดย Warren Buffet ซีอีโอกลุ่มบริษัทการลงทุน Berkshire Hathaway ที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิกว่า 1.18 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วกว่า 2.2 หมื่นล้านเหรียญ และครองอันดับที่ 5 ในทำเนียบมหาเศรษฐีโลก 

ตามมาด้วย Changpeng Zhao หรือที่รู้จักในชื่อ "CZ" ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 6.5 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล Binance จนก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก 

แม้ในปีที่ผ่านมาจะมีการชะลอตัวของห่วงโซ่อุปทาน แต่อุตสาหกรรมการผลิตยังคงครองอันดับ 2 ในฐานะแหล่งที่มาทรัพย์สินของ 337 มหาเศรษฐี ซึ่งกว่า 36 รายเป็นมหาเศรษฐีหน้าใหม่ อาทิ Isabella Seragnoli จากอิตาลี ทายาทบริษัท Coesia ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์สำหรับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ตั้งแต่บุหรี่ไปจนถึงเครื่องสำอาง และ Vivek Jain จากอินเดีย ผู้ซึ่งมีบริษัท Gujarat Fluorochemicals สำหรับผลิตสารเคมีและก๊าซที่ใช้ในอุตสาหกรรม

ด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นแหล่งขับเคลื่อนนวัตกรรมทั่วโลก สร้างมหาเศรษฐี 332 ราย นำโดยมหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Google, Oracle และ Microsoft ซึ่งเปิดให้บริการเป็นระยะเวลามากกว่า 1 ทศวรรษ 

ก่อนหน้านี้ Forbes ได้จัดหมวดหมู่มหาเศรษฐีโซเชียลมีเดียว่ามาจากอุตสาหกรรมเทคโนโลยี แต่ในปีนี้ เราได้ย้ายผู้ก่อตั้ง Facebook, Instagram, Pinterest, Snapchat และ TikTok บริษัทลูกของ ByteDance ไปยังอุตสาหกรรมสื่อและความบันเทิง เพื่อสะท้อนผลการดำเนินงานของบริษัทได้ดีขึ้น

สำหรับ 38 มหาเศรษฐีหน้าใหม่จากอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ประกอบด้วย Melanie Perkins และ Cliff Obrecht ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทซอฟต์แวร์ออกแบบกราฟิก Canva ซึ่งมีทรัพย์สินสุทธิรายละ 6.5 พันล้านเหรียญ ขณะที่ Tang Xiaoou ศาสตราจารย์ด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของจีน ก้าวเข้าสู่ทำเนียบมหาเศรษฐีโลก หลังนำ SenseTime บริษัท AI ที่เขาร่วมก่อตั้งเมื่อ 7 ปีก่อน เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงในเดือนธันวาคม 2021

ถัดมาคืออุตสาหกรรมค้าปลีกที่สร้างมหาเศรษฐี 250 รายจากการประกอบธุรกิจที่หลากหลาย ตั้งแต่แบรนด์สินค้าหรู บริษัทชุดกีฬา ไปจนถึงเชนร้านค้าปลีก ซึ่งในปีนี้ Bernard Arnault แห่ง LVMH ยังคงครองอันดับ 1 ของอุตสาหกรรม ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 1.58 แสนล้านเหรียญ

และอันดับที่ 5 คือ อุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ที่ประกอบด้วยมหาเศรษฐี 217 ราย ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ Jeff Tangney ผู้ก่อตั้ง Doximity แพลตฟอร์มโซเชียลสำหรับแพทย์ ที่เพิ่งเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ขณะที่คู่พี่น้อง Dilip และ Anand Surana จากอินเดีย เจ้าของบริษัทยา Micro Labs ก็เพิ่งเข้าสู่ทำเนียบมหาเศรษฐีในปีนี้เช่นเดียวกัน หลังจัดส่งยารักษาโรคหัวใจและแก้ปวดไปยังตลาดทั่วเอเชียแปซิฟิก

พบกับ 10 อุตสาหกรรมที่สร้างความมั่งคั่งให้กับ อภิมหาเศรษฐีโลกประจำปี 2022 

<img class="alignnone size-full wp-image-61949" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/04/Warren-Buffet.png" alt="" width="350" height="350" />

อันดับ 1

การเงินและการลงทุน 

มหาเศรษฐี: 393 ราย (ร้อยละ 15)

มหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่สุด: <a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/profile/warren-buffett/?sh=4591044d4639">Warren Buffet</a> (1.18 แสนล้านเหรียญ) ประธานและซีอีโอ Berkshire Hathaway ซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้นใน 60 บริษัท อาทิ Duracell และ Dairy Queen เป็นต้น

<img class="alignnone size-full wp-image-61950" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/04/He-Xiangjian.png" alt="" width="350" height="350" />

อันดับ 2

การผลิต

มหาเศรษฐี: 337 ราย (ร้อยละ 13)

มหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่สุด: <a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/profile/he-xiangjian/?sh=c2367c62bfef">He Xiangjian</a> (2.83 หมื่นล้านเหรียญ) ผู้ก่อตั้ง Midea Group

<img class="alignnone size-full wp-image-61951" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/04/Jeff-Bezos_.png" alt="" width="350" height="350" />

อันดับ 3

เทคโนโลยี

มหาเศรษฐี: 332 ราย (ร้อยละ 12)

มหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่สุด: Jeff Bezos (1.71 หมื่นล้านเหรียญ) ผู้ก่อตั้ง Amazon

<img class="alignnone size-full wp-image-61952" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/04/Bernard-Arnault_.png" alt="" width="350" height="350" />

อันดับ 4

แฟชั่นและค้าปลีก 

มหาเศรษฐี: 250 ราย (ร้อยละ 9)

มหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่สุด: Bernard Arnault (1.58 หมื่นล้านเหรียญ) ประธานและซีอีโอ LVMH

<img class="alignnone size-full wp-image-61953" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/04/Cyrus-Poonawalla_.png" alt="" width="350" height="350" />

อันดับ 5 

เฮลท์แคร์

มหาเศรษฐี: 217 ราย (ร้อยละ 8)

มหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่สุด: Cyrus Poonawalla (2.43 หมื่นล้านเหรียญ) ผู้ก่อตั้ง Serum Institute of India

<img class="alignnone size-full wp-image-61954" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/04/Zhong-Shanshan.png" alt="" width="350" height="350" />

อันดับ 6

อาหารและเครื่องดื่ม 

มหาเศรษฐี: 203 ราย (ร้อยละ 8)

มหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่สุด: Zhong Shanshan (6.57 หมื่นล้านเหรียญ) ประธาน Nongfu Spring 

<img class="alignnone size-full wp-image-61955" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/04/Lee-Shau-Kee_.png" alt="" width="350" height="350" />

อันดับ 7

อสังหาริมทรัพย์

มหาเศรษฐี: 193 ราย (ร้อยละ 7)

มหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่สุด: Lee Shau Kee (3.26 หมื่นล้านเหรียญ) ผู้ร่วมก่อตั้ง Sun Hung Kai 

<img class="alignnone size-full wp-image-61956" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/04/Mukesh-Ambani_.png" alt="" width="350" height="350" />

อันดับ 8 

หลากหลาย

มหาเศรษฐี: 180 ราย (ร้อยละ 7)

มหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่สุด: Mukesh Ambani (9.07 หมื่นล้านเหรียญ) ประธาน Reliance Industries

<img class="alignnone size-full wp-image-61957" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/04/Michael-Bloomberg_.png" alt="" width="350" height="350" />

อันดับ 9 

สื่อและความบันเทิง 

มหาเศรษฐี: 109 ราย (ร้อยละ 4)

มหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่สุด: Michael Bloomberg (8.2 หมื่นล้านเหรียญ) ผู้ร่วมก่อตั้ง Bloomberg LP

<img class="alignnone size-full wp-image-61958" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/04/Fan-Hongwei.png" alt="" width="350" height="350" />

อันดับ 10 

พลังงาน 

มหาเศรษฐี: 95 ราย (ร้อยละ 4)

มหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่สุด: Fan Hongwei (1.82 หมื่นล้านเหรียญ) ประธาน Hengli Petrochemical

แปลและเรียบเรียงจากบทความ How To Become A Billionaire: These Industries Have The Most People On The 2022 Forbes List โดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/asia/%e0%b8%a1%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a8%e0%b8%a3%e0%b8%a9%e0%b8%90%e0%b8%b5%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%b5%e0%b9%83%e0%b8%95%e0%b9%89-%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0-2.html">การจัดอันดับ 50 มหาเศรษฐีเกาหลีใต้ ประจำปี 2022</a>
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a style="color: #003300;" href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>

10 อุตสาหกรรมที่สร้างความมั่งคั่งให้อภิมหาเศรษฐีโลก ประจำปี 2022

<h2 class="p1">Sylvan Group บริษัทไพรเวทอิควิตี้ที่ก่อตั้งโดย Chung Kyungsun หลานชายของ Chung Ju-Yung ผู้ก่อตั้ง Hyundai Group เดินหน้าลงทุน 140.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อเข้าถือหุ้นใหญ่ในบริษัทด้านการดูแลสุขภาพและเภสัชกรรม 4 แห่งในสิงคโปร์</h2>
<figure><img class="wp-image-58889 size-large" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/02/5e5fe4fa6fd0525658495ccc_artemis-headquarters-building-1024x512.jpeg" alt="" width="640" height="320" /><figcaption> Artemis Health Ventures ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมกระดูก</figcaption></figure>
ได้แก่ <a href="https://www.juniperbiologics.com/">Juniper Biologics </a>ผู้พัฒนายารักษาโรคมะเร็ง Juniper Therapeutics ซึ่งเชี่ยวชาญในการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม Artemis Health Ventures ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมกระดูก และ DX Imaging บริษัทรังสีวิทยา
“บริษัทเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำกำไรได้ แต่ยังสร้างความแตกต่างในวิธีที่พวกเขาดูแลสุขภาพผ่านการพัฒนาด้านนวัตกรรม พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ และการลงทุนด้านเทคโนโลยี” Chung ผู้ร่วมก่อตั้ง Sylvan กล่าวในแถลงการณ์ “เราหวังว่าประสบการณ์ของเราจะช่วยเร่งภารกิจในการเปลี่ยนแปลงชีวิตและพลิกโฉมการดูแลสุขภาพในอนาคต”
ด้าน Sylvan Group ก่อตั้งขึ้นในปี 2019 โดย Chung และ Scott Jeun เพื่อนร่วมชั้นจาก Columbia University โดยมุ่งเน้นไปที่การลงทุนในบริษัทที่มูลค่าตั้งแต่ 200 ล้านเหรียญถึง 1 พันล้านเหรียญที่มีโอกาสทำกำไรได้ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายที่ยั่งยืนของ United Nation 
ด้วยเหตุนี้นอกจากธุรกิจด้านการดูแลสุขภาพแล้ว บริษัทจึงกำลังมองหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทนและการศึกษา โดยเชื่อว่าภาคส่วนเหล่านี้จะมีผลกระทบเชิงบวกมากที่สุดต่อประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล
“หากไม่ได้รับผลตอบแทนที่มีความหมาย ผมไม่คิดว่าเราจะสามารถเพิ่มขนาดของการลงทุนได้เลย” Chung กล่าวพร้อมเผยถึงตัวเลขอัตราผลตอบแทน ซึ่งปัจจุบันวางเป้าหมายไว้ที่ร้อยละ 25
ทั้งนี้ Kyungsun ในฐานะลูกชายคนเดียวของ Chung Mong-yoon ประธานบริษัท Hyundai Marine &amp; Fire Insurance Co. อาจเลือกที่จะทำงานในธุรกิจของครอบครัวที่ครอบคลุมอุตสาหกรรมยานยนต์ วิศวกรรมก่อสร้าง และการต่อเรือ เช่นเดียวกับลูกพี่ลูกน้องของเขา ทว่าปู่ผู้ล่วงลับได้เคยพูดกับเขาว่า ‘คนรวยมีความรับผิดชอบในการตอบแทนสังคม’ แลคำพูดนั้นก็ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขาทำงานในองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในฐานะที่ปรึกษาให้กับ Rockefeller Philanthropy ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ก่อนที่จะก่อตั้ง Sylvan เมื่อ 3 ปีที่แล้ว
ปัจจุบัน Sylvan ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกในครอบครัวของ Chung ซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในเกาหลีใต้ และมหาเศรษฐีสิงคโปร์<a href="https://www.forbes.com/profile/wee-cho-yaw/?list=singapore-billionaires&amp;sh=6980efc77209"> Wee Cho Yaw </a>จาก United Overseas Bank, Hanwha Life Insurance และ Kolon Industries ล่าสุด บริษัทตั้งเป้าที่จะระดมทุนเพิ่มอีก 400 ล้านเหรียญ ซึ่งครึ่งหนึ่งได้รับการสนับสนุนจากผู้สนับสนุนหลักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ Hyundai Scion’s Buyout Firm Invests $140.5 Million In Four Singapore Healthcare, Pharma Companies เผยแพร่บน Forbes.com
อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/people/fabulous-40s-and-50s/%e0%b8%aa%e0%b8%a1%e0%b8%9e%e0%b8%87%e0%b8%a9%e0%b9%8c-%e0%b8%8a%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%b4%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b8%8d%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b9%8c-biz-%e0%b8%98.html">สมพงษ์ ชื่นกิติญานนท์ “BIZ” ธุรกิจเพื่อมะเร็ง</a>

Sylvan Group ลงทุน 140.5 ล้านเหรียญฯ ในธุรกิจเฮลท์แคร์ 4 แห่งของสิงคโปร์

<h2>Eva Lightyear โทรหาบริษัทประกันสุขภาพรายใหญ่ที่สุดในประเทศราว 250,000 ครั้งในช่วง 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา โดยเธอได้ช่วยผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ 35,000 รายทราบถึงวิธีการทำงานของประกันผู้ป่วยแต่ละคน และข้อกำหนดการให้สิทธิ์ล่วงหน้า เช่นเดียวกับ Buzz ผู้พิทักษ์อวกาศจาก Toy Story ที่โด่งดัง เพราะพวกเขาทั้งสองไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นหุ่นยนต์อัตโนมัติ</h2>
<img class="alignnone wp-image-54131" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/FCqLdhmUcAASYK6-1024x575.jpg" alt="Infinitus System" width="720" height="404" />

Eva L. ตามที่คนส่วนใหญ่รู้จักเธอจากการพูดคุยทางโทรศัพท์ คือ ผลผลิตของ <a style="color: #008000;" href="https://www.infinitus.ai">Infinitus Sys</a>tem สตาร์ทอัพจาก San Francisco รัฐแคลิฟอร์เนีย ผู้พยายามทำให้ขั้นตอนการบริการที่น่าเบื่อและเสียเวลาที่สุดสำหรับแพทย์ โรงพยาบาล และร้านขายยาเป็นไป ‘โดยอัตโนมัติ’

เนื่องจากการตรวจสอบผลประโยชน์การประกันสุขภาพของผู้ป่วย เป็นฟังก์ชันแบ็คออฟฟิศที่มักเกี่ยวข้องกับคนอย่างน้อย 2 คน ทั้งยังใช้เวลารอนาน ถึงแม้จะเป็นการตอบคำถามเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก “เธอโทรออกและพูดคุยกับคนในอีกด้านหนึ่ง แต่ในการทำเช่นนั้น เราได้กำหนดมาตรฐานว่าการโทรเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร” ซีอีโอ Ankit Jain วัย 36 ปี ร่วมก่อตั้ง Infinitus System ในปี 2019 กับซีทีโอ Shyam Rajagopalan วัย 35 ปี กล่าว

Infinitus กำลังวางรากฐานสำหรับการจัดการด้านการดูแลสุขภาพใหม่ ด้วยการสร้างองค์ประกอบข้อมูลมาตรฐาน การใช้ API เพื่อรับข้อมูลดิจิทัลมากขึ้น ลดระยะเวลาในการโทร และบอกลาการใช้เครื่องแฟกซ์ (ซึ่งยังคงใช้กันอย่างแพร่หลายในภาคส่วนการดูแลสุขภาพ) “ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จะเป็นเรื่องปกติที่จะมีเครื่องที่สามารถโทรออกหรือรับสายในเครื่องเดียวกัน” Jain กล่าว “แต่ถ้าคุณมีเครื่องจักรทั้งสองด้าน พวกเขาไม่ควรจะพูดเป็นภาษาอังกฤษใส่กัน และนั่นคืออนาคตที่เรากำลังสร้างขึ้น”

วิสัยทัศน์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนจำนวนมาก โดยเมื่อวันพุธที่ผ่านมา Infinitus สามารถระดมทุน 30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในรอบ Series B ซึ่งนำโดย GV (เดิมคือ Google Ventures) ร่วมกับนักลงทุนรายใหญ่อย่าง Kleiner Perkins และ Coatue Management 

นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนรายย่อยหลายราย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Aashima Gupta ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ด้านการดูแลสุขภาพระดับโลกที่ Google Cloud, Ian Goodfellow ผู้อำนวยการด้านการเรียนรู้ของปัญญาประดิษฐ์ที่ Apple และ Nat Turner และ Zach Weinberg ผู้ร่วมก่อตั้ง Flatiron Health 

ทั้งนี้ การระดมทุนในรอบล่าสุดส่งผลให้ Infinitus มีมูลค่าแตะ 275 ล้านเหรียญ จากยอดระดมทุนทั้งหมด 51.4 ล้านเหรียญจนถึงปัจจุบัน

แม้ว่า Alexa, Siri และ Google Assistant จะเป็นเทคโนโลยีรุ่นแรกๆ แต่ขณะนี้ความก้าวหน้าในการจดจำเสียงและการประมวลผลภาษาที่เป็นธรรมชาติทำให้หุ่นยนต์ไม่เพียงตอบคำถามง่ายๆ แต่สามารถสนทนาได้ โดย Eva จะมีความเชี่ยวชาญสูงสำหรับการโต้ตอบระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ "การโทรเหล่านี้เป็นกิจวัตรประจำวัน" Jain กล่าว “เราได้วางแผนราวร้อยละ 98.99 ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในการสนทนาเหล่านี้”

การโทรเหล่านี้อาจเป็นเรื่องปกติ แต่ก็เป็นจุดอ่อนที่สำคัญในระบบการรักษาพยาบาลในวงกว้างและเป็นอุปสรรคต่อการดูแลผู้ป่วย เหมือนกับการตรวจ MRI ที่ล่าช้า "มีเครื่องแฟกซ์และเทคโนโลยีของโรงเรียนรุ่นเก่าๆ จำนวนมากที่ยังใช้งานอยู่” Krishna Yeshwant หุ้นส่วนผู้จัดการของ GV ที่ดำรงตำแหน่งในบอร์ดคณะกรรมการ Infinitus กล่าว “ทั้งระบบพยายามประสานงานภายในในลักษณะที่ค่อนข้างไม่มีประสิทธิภาพ”

ด้วยเหตุนี้ Infinitus จึงสามารถรับมือกับลูกค้าได้อย่างแข็งแกร่ง โดยมุ่งเน้นที่การบริหารจัดการงานเล็กๆ ในภาคการดูแลสุขภาพที่มีมูลค่าราว 8 แสนล้านเหรียญให้กลายเป็นระบบอัตโนมัติ แทนที่จะพยายามยกเครื่องครั้งใหญ่ 

ด้าน Yeshwant มองว่า เป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการลงทุนด้านการรักษาพยาบาลที่อาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าผลิตภัณฑ์จะออกสู่ตลาด แต่เมื่อได้มีโอกาสพูดคุยกับลูกค้าของ Infinitus ได้สะท้อนให้เห็นว่า ผลิตภัณฑ์ “สามารถช่วยพวกเขาได้ในตอนนี้”

<img class="alignnone wp-image-54138" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/iphone-medical-doctor-feature-1024x439.jpg" alt="Infinitus System" width="720" height="309" />

Jain และ Rajagopalan พบกันครั้งแรกที่โรงเรียนมัธยมต้นใน San Jose กระทั่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นที่ UC Berkeley ซึ่งหลังจากสำเร็จการศึกษาได้ไม่กี่ปี ทั้งคู่ก็ได้เข้าทำงานที่ Google โดย Rajagopalan อยู่ในทีมรักษาความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนด ซึ่งทำงานเกี่ยวกับระบบการเข้าสู่ระบบของ Google ขณะที่ Jain ทำงานในการค้นหาร้านค้าออนไลน์บน Google Play 

ในปี 2013 ทั้งคู่ได้ลาออก เพื่อเปิดตัว Quettra ซึ่งเป็นบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลบนโทรศัพท์ ที่ได้รับการสนับสนุนจาก GV ก่อนที่จะถูกซื้อกิจการโดย Similar Web ในอีกไม่กี่ปีต่อมา 

หลังจากการซื้อกิจการ Jain กลับมาทำงานที่ Google ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรมและหุ้นส่วนผู้ก่อตั้งกองทุน Gradient Ventures ของ Google ที่ให้ความสำคัญกับ AI เป็นการเฉพาะ ในขณะที่ Rajagopalan เข้าร่วมงานกับ Snap "การสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนเป็นสิ่งที่เราทั้งคู่ต่างหลงใหล" Jain กล่าว “และเรากำลังมองหาแนวคิดทางธุรกิจและเทคโนโลยีที่เหมาะสม”

ในปี 2019 พวกเขาตัดสินใจที่จะรวมทักษะด้านวิศวกรรมและ AI เพื่อจัดการกับระบบอัตโนมัติในการดูแลสุขภาพ โดยมีหนึ่งในลูกค้ารายใหญ่รายแรกๆ คือ AmerisourceBergen ผู้จัดจำหน่ายยาขายส่ง ซึ่งมี Lash Group อยู่ในแผนกบริการช่วยเหลือผู้ป่วยในการเข้าถึงยาชนิดพิเศษที่มีราคาแพงที่ใช้ในการรักษามะเร็ง ระบบประสาทส่วนกลาง และโรคจอประสาทตาที่มักต้องให้ยา

“การตรวจสอบยืนยันกลายเป็นขั้นตอนแรกในการส่งข้อมูลไปยังผู้ให้บริการ เพื่อให้พวกเขาสามารถสื่อสารกับผู้ป่วย เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการรักษาครั้งนี้” Jeff Buck รองประธานฝ่ายกลยุทธ์และการวิเคราะห์ที่ Lash Group กล่าว

สำหรับ Medicare หรือ Medicaid ที่เป็นโครงการประกันสุขภาพของรัฐบาล Lash Group มักจะอาศัย AI ซึ่งสามารถดำเนินการตรวจสอบได้ภายใน 30 วินาที แต่สำหรับแผนประกันเชิงพาณิชย์ที่ครอบคลุมหลากหลายรูปแบบ บริษัทเลือกที่จะนำ Infinitus เข้ามาใช้ เพื่อให้พนักงานของบริษัทมุ่งเน้นไปที่การให้บริการที่ซับซ้อนมากขึ้น 

ปัจจุบัน Eva สามารถรับสายได้เร็วกว่าประมาณร้อยละ 30 ด้วยคุณภาพที่สูงกว่าคนราวร้อยละ 10 เนื่องจากมีการสื่อสารผิดพลาดหรือการพิมพ์ผิดน้อยลง "ท้ายที่สุดแล้ว เรากำลังพยายามใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อลดเวลาในการให้บริการต่างๆ ให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุดด้วยคุณภาพสูงสุด และนำพนักงานของเราไปปฏิบัติงานในภาคส่วนที่ต้องใช้ประสบการณ์ในงานมากขึ้น" เขากล่าว

ถึงแม้ว่าตอนนี้ Eva จะมีความเชี่ยวชาญในการตรวจสอบผลประโยชน์แล้ว Jain หวังว่าในอนาคตจะมีการเพิ่มประเภทการโทรต่างๆ เช่น การประมวลผลข้อเรียกร้อง การปฏิเสธ และการโทรเตือนผู้ป่วย นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะขยายไปยังลูกค้าจำนวนมากขึ้น ซึ่งรวมถึงศูนย์ศัลยกรรมผู้ป่วยนอกและบริษัทบริหารจัดการรายได้ เพราะสุดท้ายแล้ว ลูกค้า Infinitus ไม่ได้ต้องการเป็นเพียงบริการด้านโทรศัพท์ “เราต้องการให้บริการระบบอัตโนมัติตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ” Jain กล่าวถึงอนาคต พร้อมอิงถึง Lightyear ของ Toy Story อีกครั้งว่า “สู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น!”

แปลและเรียบเรียงจากบทความ These Former Googlers Raised $30 Million To Automate Phone Calls With Health Insurers เผยแพร่บน Forbes.com โดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค 

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/global-world/emma-walker-มาสเตอร์เบลนเดอร์หญิ.html">Emma Walker ขึ้นแท่นมาสเตอร์เบลนเดอร์หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ 200 ปีของ Johnnie Walker</a>

Infinitus System ระดมทุน 30 ล้านเหรียญฯ พัฒนาระบบตอบรับอัตโนมัติของบริษัทประกันสุขภาพ

<h2>Adrian Cheng ซีอีโอ New World Development ยักษ์ใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์ ร่วมมือกับ Prenetics Group บริษัทพัฒนาอุปกรณ์ทดสอบและวินิจฉัยทางพันธุกรรม เพื่อต่อยอดโอกาสที่ไม่เพียงแต่สร้างผลกำไร แต่ยังสร้างมูลค่าให้กับสังคมอีกด้วย</h2>
<figure><img class="wp-image-51505" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/09/https-specials-images.forbesimg.com-imageserve-6148577cbe4c1ce5eec9f040-Danny-Yeung-and-Adrian-Cheng-1960x0.jpgfitscale.jpg" alt="Adrian Cheng " width="720" height="471" /><figcaption> Danny Yeung (ซ้าย) ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ Prenetics และ Adrian Cheng (ขวา) ซีอีโอ New World Development</figcaption></figure>

เมื่อเดือนที่แล้ว อาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ของ <a style="color: #008000;" href="https://www.nwd.com.hk">Cheng</a> ได้ร่วมมือกับ Prenetics เปิดตัว Circle HealthPod เครื่องตรวจโควิด-19 ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ซึ่งช่วยให้ผู้คนสามารถตรวจเชื้อที่บ้านได้ภายใน 20 นาที 

โดยอุปกรณ์ดังกล่าวจะจัดจำหน่ายผ่านเครือข่ายธุรกิจของ Cheng ซึ่งครอบคลุมทั้งธุรกิจค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ และภาคส่วนอื่นๆ 

ในอนาคต Prenetics เผยว่า อุปกรณ์ชิ้นนี้จะสามารถตรวจหาไข้หวัดใหญ่และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้เช่นกัน 

ไม่เพียงเท่านี้ การทำงานร่วมกันของ Cheng และ Prenetics ได้ก้าวหน้าไปไกลยิ่งขึ้น เพราะเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พวกเขาได้เปิดเผยแผนการที่จะนำบริษัทอายุ 7 ปีเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ด้วยวิธีการ SPAC 

ด้วยการนำ Artisan Acquisition Corp. ซึ่งเป็นบริษัทเช็คเปล่าของ Cheng ควบรวมกิจการกับ Prenetics ในข้อตกลงที่จะทำให้บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพมีมูลค่าอยู่ที่ราว 1.25 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 4 หรือไตรมาสแรกของปี 2022 

“Prenetics เป็นบริษัทที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์” Cheng กล่าวกับ Forbes เนื่องจากมีประวัติการทำงานที่ดี มีทีมบริหารที่เปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจ และยังมีวิสัยทัศน์ในการพยายามจัดหาบริการสุขภาพที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น เพื่อยกระดับสวัสดิภาพทางสังคม

<figure><img class="wp-image-51506" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/09/https-specials-images.forbesimg.com-imageserve-61486bbdf2ed3d426655ed22-A-lab-technician-processes-RT-PCR-Covid-19-tests-at-Prenetics-laboratory-in-Hong-1960x0.jpgfitscale.jpg" alt="Adrian Cheng " width="720" height="480" /><figcaption> นักปฏิบัติการทางการแพทย์ดำเนินการทดสอบชุดตรวจโควิด RT-PCR ที่ห้องปฏิบัติการของ Prenetics ในฮ่องกง (ภาพ: Roy Liu/Bloomberg)</figcaption></figure>

Prenetics ซึ่งมีฐานอยู่ในฮ่องกง ก่อตั้งขึ้นในปี 2014 ในฐานะบริษัททดสอบจีโนม และต่อมาได้มุ่งเน้นไปที่การผลิตอุปกรณ์ทดสอบโควิด-19 กล่าวว่า ได้ทำการทดสอบโควิด-19 ให้กับลูกค้าไปแล้วมากกว่า 5 ล้านครั้ง อาทิเช่น รัฐบาลท้องถิ่น สนามบิน London Heathrow และ Virgin Atlantic เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้ใช้อุปกรณ์ดังกล่าวเพื่อตรวจเชื้อในหมู่นักฟุตบอลและเจ้าหน้าที่ประมาณ 3,000 คนในพรีเมียร์ลีกอังกฤษเช่นกัน 

ทั้งนี้ การควบรวมกิจการกับ Artisan คาดว่าจะทำให้ Prenetics สามารถระดมทุนสูงถึง 459 ล้านเหรียญ เพื่อใช้เป็นทุนสำหรับการซื้อกิจการ การวิจัยและพัฒนา การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงการขยายพื้นที่เชิงกลยุทธ์

“เรากำลังมองหาโอกาสทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกาที่เราเห็นโอกาสมากมาย” Danny Yeung ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ Prenetics กล่าว “การขยายสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สหราชอาณาจักร และยุโรปก็เป็นจุดสนใจสำหรับเราเช่นกัน”

Prenetics คาดการณ์ว่ารายรับจะเพิ่มขึ้นเป็น 205 ล้านเหรียญในปี 2021 หรือราวร้อยละ 215 จากปีก่อน แม้ว่าผลขาดทุนสุทธิจะเพิ่มขึ้นเป็น 41 ล้านเหรียญจาก 2 ล้านเหรียญก็ตาม 

ปัจจุบัน บริษัทได้รับการผู้สนับสนุนจากนักลงทุนรายใหญ่ อาทิเช่น Alibaba Group, Prudential, Gobi Partners, Apis Partners และ Beyond Ventures เป็นต้น

“ธุรกิจเฮลท์แคร์มีแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว” Cheng ผู้ซึ่งได้เพิ่มพอร์ตธุรกิจใหม่ให้กับ New World กล่าว โดยอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ทั่วโลกคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตต่อปีอยู่ที่ร้อยละ 4 ในปี 2020-2024 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.8 ระหว่างปี 2015-2019 ตามแนวโน้มของ Deloitte

นอกจากนี้ ในช่วงต้นปี Cheng ได้เข้าซื้อหุ้นใน EC Healthcare ซึ่งเป็นผู้ให้บริการทางการแพทย์นอกสถานพยาบาลพยาบาลในฮ่องกง ซึ่งต่อมาได้สร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Prenetics เพื่อเป็นตลาดเฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์บางรายการใน Greater Bay Area

“ผมต้องการทำหน้าที่เป็นผู้ประสานประโยชน์จากการทำงานร่วมกันระหว่าง Prenetics และบริษัทอื่นๆ เพื่อก่อให้เกิดโอกาสทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง” Cheng กล่าว

แปลและเรียบเรียงจากบทความ As Indian Companies Seek To Hire More Women, E-Scooter Maker Ola Electric Puts Them In Driver’s Seat โดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/asia/ola-electric-ผู้ผลิตสกู๊ตเตอร์ไฟฟ.html">Ola Electric ผู้ผลิตสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า จัดจ้างเฉพาะพนักงานหญิงหมื่นตำแหน่งประจำโรงงาน</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events