<h2>Gother แพลตฟอร์มบริการด้านการท่องเที่ยวสัญชาติไทย หลังรีแบรนด์จากแพลตฟอร์ม TraveliGo เริ่มวางเป้าหมายใหม่ภายใน 5 ปีเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยมี 2 Venture ทั้งบีคอน เวนเจอร์ส แคปิทัล จากธนาคารกสิกรไทย และ กรุงไทย เวนเจอร์ส จากธนาคารกรุงไทยมาร่วมทุน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายอนุพงษ์ เกรียงไกรลิปิกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสิร์ชเอ็นจินอ็อปทิไมเซซั่น จำกัด ผู้ก่อตั้ง Gother กล่าวว่า Gother เป็นแพลตฟอร์มการท่องเที่ยวที่พัฒนาโดยสตาร์ทอัพไทย มีบริการทั้งจองที่พัก จองเที่ยวบิน จองรถเช่า กิจกรรมต่างๆ แนวทางของธุรกิจยังสอดคล้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีอัตราการเติบโตถึง 44% ในปี 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งมีส่วนในการสร้างรายได้ให้กับประเทศไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ การทำแพลตฟอร์มนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ ในชุมชนต่างๆ โดยใช้เทคโนโลยีในการวิเคราะห์ไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวของคนไทย และสร้างไอเดียการท่องเที่ยวให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนให้มากที่สุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบัน Gother ได้รับการสนับสนุนการลงทุนจาก บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล และกรุงไทย เวนเจอร์ส โดยยังเชื่อมโยงกับแอปพลิเคชัน K PLUS, Krungthai Next และแอปเป๋าตัง ให้ลูกค้าสามารถจองทริปการเดินทางและทำธุรกรรมทางการเงินได้อย่างไหลลื่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่แผนการดำเนินธุรกิจของในช่วง 5 ปี ข้างหน้า มีแผนเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ และมองถึงโอกาสในการขยายธุรกิจทั่วอาเซียน<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/jbrHEHhgxQviPjvYU1ZW.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="jbrHEHhgxQviPjvYU1ZW.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"><figcaption><div> นายธนพงษ์ ณ ระนอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด (บีคอน วีซี)</div></figcaption></figure></div>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายธนพงษ์ ณ ระนอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด (บีคอน วีซี) เปิดเผยว่า ทางบริษัทได้เข้าร่วม Gother โดยมองเห็นศักยภาพขององค์กรในการสร้างรายได้ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องอย่างการท่องเที่ยว ที่ปัจจุบันมีแพลตฟอร์ม OTA มากมายแต่ยังไม่มีของไทยเอง จึงมองว่าเป็นตลาดที่มีโอกาสเข้าทำธุรกิจได้ คาดว่าภายในปี 2567 นี้ Gother จะมียอดขายรวม (GMV) 400 ล้านบาท และปีหน้าจะเติบโตต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ Gother จะทำงานร่วมกันกับธนาคารกสิกรไทยในการเชื่อมโยง K PLUS ซึ่งเป็นโมบายแบงก์กิ้งที่มีผู้ใช้งานอันดับหนึ่ง จำนวนกว่า 22.6 ล้านราย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายสุริพงษ์ ตันติยานนท์ ประธานกรรมการ บริษัท กรุงไทย เวนเจอร์ส จำกัด (Krungthai Ventures) บริษัทเงินร่วมลงทุนภายใต้ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า การร่วมลงทุนใน Gother เชื่อว่าจะสร้างผลบวกในหลายภาคส่วน ทั้งสตาร์ทอัพ ธุรกิจรายย่อย และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันมองว่าแพลตฟอร์มนี้จะตอบโจทย์การบริการดิจิทัลเข้าไปฝังตัวในชีวิตประจำวันของคนไทย ซึ่งจะต่อยอด Ecosystem ให้กับธนาคารกรุงไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ปัจจุบันธนาคารกรุงไทยมีฐานผู้ใช้งานจำนวนมาก ได้แก่ แอปพลิเคชันเป๋าตัง มีผู้ใช้งานกว่า 40 ล้านราย และ แอป Krungthai NEXT ที่มีผู้ใช้งานกว่า 18 ล้านราย และแอปถุงเงิน ที่มีผู้ใช้งานกว่า 2 ล้านร้านค้า เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/crc-supersport-rev-edition" alt="หลังเครือเซ็นทรัลถือหุ้น 75% ‘เรฟ อีดิชั่น’ กางแผนลุยตลาดรองเท้าครั้งใหญ่ เล็งเปิดสาขาแรกปีหน้าที่สิงคโปร์"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/siam-kubota-sales-growth-23-3-quarters-confident-2024-revenue-reach-60-billion-baht" alt="สยามคูโบต้า มั่นใจรายได้ปี 67 แตะ 6 หมื่นล้านตามเป้า หลังยอดขาย 3 ไตรมาสโต 23%"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/property/scasset-scx-5-years-plan-sep-2024" alt="อ่านกลยุทธ์ SC Asset ขยายธุรกิจใหม่ ‘โรงแรม-คลังสินค้า’ ผ่าน SCX อัดงบ 20,000 ล้าน ใน 5 ปี"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/tipco-ceased-operation-on-canned-pineapple-business" alt="TIPCO โบกมือลา ‘สับปะรดกระป๋อง’ หยุดผลิตตั้งแต่ 25 กันยายนนี้เป็นต้นไป หลังขาดทุนหนักต่อเนื่อง">TIPCO โบกมือลา ‘สับปะรดกระป๋อง’ หยุดผลิตตั้งแต่ 25 กันยายนนี้เป็นต้นไป หลังขาดทุนหนักต่อเนื่อง</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Gother แพลตฟอร์มจอง ‘ที่พัก-ที่เที่ยว’ สัญชาติไทย  เผยกสิกร-กรุงไทยเข้าร่วมลงทุน ตั้งเป้า 5 ปีเข้าตลาดหุ้น

<h2>โซเชียลมีเดียเป็นแพลตฟอร์มที่มีบทบาทไม่น้อยไปกว่าการลงพื้นที่หาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2566 ผลการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ในสังคมออนไลน์โดยบริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด พบว่า ติ๊กต๊อก (TikTok) เป็นสื่อที่มียอดการมีส่วนร่วม (Engagement) สูงสุดบนโซเชียลมีเดียถึง 63% ตามมาด้วยเฟซบุ๊ก 18% และทวิตเตอร์ 15%</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566 คือบทพิสูจน์ว่า ณ วันนี้ บริบททางสังคมและการเมืองไทยได้เปลี่ยนไปแล้ว เรามิอาจมองข้ามเสียงของสังคม (Social Listening) บนโลกออนไลน์ได้อีกต่อไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด ได้เก็บข้อมูลและวิเคราะห์จากการฟังเสียงประชาชนในสังคมออนไลน์ ผ่านแพลตฟอร์ม DXT360 โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 16 เมษายน-15 พฤษภาคม 2566 พบว่า มีการกล่าวถึง (Mention) และ การมีส่วนร่วม (Engagement) ในเรื่องการเลือกตั้งสูงถึง 297,603,177 ครั้ง แบ่งเป็นการกล่าวถึงและมีส่วนร่วมผ่านแพลตฟอร์ม TikTok จำนวน 63%, Facebook 18%, Twitter 15%, Instagram 3% และ YouTube 1%TikTok มาแรง เป็นช่องทางที่มียอด Engagement สูงสุด<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/cS2UHnvTRN5QG2a2GVfq.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="cS2UHnvTRN5QG2a2GVfq.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;TikTok : มีการกล่าวถึงและการมีส่วนร่วม ( Mention &amp; Engagement) หรือ Buzz สูงสุดถึง 186,393,775 ครั้ง คิดเป็น 63% จากทั้งหมด ถึงแม้ว่าใน TikTok จะมีจำนวนการกล่าวถึง (Mention) น้อยที่สุดเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มอื่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่บน Tiktok สร้าง Engagement จากการมีส่วนร่วมได้สูงมาก จากการกด Like, กดแชร์คลิปวิดีโอ รวมถึงการแสดงความคิดเห็น (Comments) ต่างๆ โดยในการเลือกตั้งครั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า คลิปวิดีโอสั้น บน TikTok มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการเป็นพื้นที่โปรโมทประชาสัมพันธ์ให้แก่พรรคการเมืองในช่วงหาเสียงเลือกตั้งในช่วงที่ผ่านมา ทั้งกระแสในด้านบวกและลบ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Facebook : เป็นช่องทางที่กวาด Buzz ในลำดับรองลงมาอยู่ที่ 54,729,106 ครั้ง คิดเป็น 18% เนื่องจากการที่ผู้คนเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นและกด react กันอย่างล้นหลาม และต้องการติดตามช่องทางที่เป็นแหล่งรวมสื่อสำนักข่าวต่างๆ โดยพบว่า เพจ ‘เรื่องเล่าเช้านี้’ และ เพจ ‘สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว’ ได้รับ Engagement รวมกันไปกว่า 8 ล้านครั้งตลอดเดือนที่ผ่านมา สำหรับประเด็นเลือกตั้งครั้งนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Twitter : ได้รับ Buzz อยู่ที่ลำดับ 3 จำนวน 45,026,759 ครั้ง คิดเป็น 15% ซึ่งน้อยกว่า TikTok และ Facebook แต่ในส่วนของการกล่าวถึงช่องทาง Twitter นั้นได้รับสัดส่วนมากที่สุดจากช่องทางทั้งหมด เนื่องจากผู้ใช้งาน Twitter มักแสดงความคิดเห็นโดยการโพสต์ทวีตซึ่งสะดวกรวดเร็วกว่าช่องทางอื่นๆ เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการติดตามข่าวสารและรายงานสถานการณ์สด ในประเด็นการเลือกตั้ง 66 ที่เป็นกระแสที่มีความรวดเร็วและต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Instagram : ได้รับ Buzz จำนวน 7,468,309 ครั้ง คิดเป็น 3% เนื่องจากคนส่วนใหญ่ให้ความสนใจในส่วนของ การปราศรัย หรือการดีเบตผ่านเวทีต่าง ๆ ซึ่งเหมาะสมในการรับชมผ่านวิดีโอ ซึ่งไม่ค่อยตอบโจทย์สำหรับช่องทาง Instagram ที่เด่นในด้านสื่อที่เป็นรูปภาพ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;YouTube : ในช่องทาง YouTube ที่ถือได้ว่าเป็นช่องหลักในส่วนของสื่อวิดีโอ แต่ได้รับ Buzz น้อยที่สุดอยู่ที่ 3,985,168 คิดเป็น 1% เมื่อเทียบกับช่องทางอื่น ๆ เนื่องจาก Facebook และ TikTok ได้เริ่มมีการขยายตัวในด้านสื่อวิดีโอมากขึ้น เช่น Live คลิปสั้น Highlight จากการสัมภาษณ์หรือเวทีดีเบต ซึ่งเป็นสื่อวิดีโอที่มีระยะเวลาที่ค่อนข้างสั้น ทำให้เข้าถึงง่าย แตกต่างกับ YouTube ที่ต้องการระยะเวลาในการรับชมที่นานกว่า “ก้าวไกล” กระแสโซเชียลดีทั้งคนทั้งพรรค &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การเลือกตั้ง 66 ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากประชาชนทั่วประเทศ โดยเฉพาะกระแสบนโซเชียลที่การกล่าวถึงการเลือกตั้ง 66 พรรคการเมือง นโยบาย รวมถึงแคนดิเดต สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคการเมืองที่ถูกกล่าวถึงและได้รับความสนใจมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่ 1.	พรรคก้าวไกล 2.	พรรคเพื่อไทย 3.	พรรครวมไทยสร้างชาติ 4.	พรรคภูมิใจไทย 5.	พรรคพลังประชารัฐ<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/UX5LYbo79sLG23RaBG3Q.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="UX5LYbo79sLG23RaBG3Q.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากพรรคการเมืองแล้ว แคนดิเดตที่จะก้าวขึ้นเป็นนายกคนที่ 30 ของประเทศไทยก็ได้รับความสนใจไม่แพ้กัน โดยชื่อที่ถูกกล่าวถึงและได้รับความสนใจมากที่สุดบนโซเชียล ได้แก่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ตามด้วย ประยุทธ์ จันทร์โอชา, เศรษฐา ทวีสิน, แพทองธาร ชินวัตร และ ประวิตร วงษ์สุวรรณ ตามลำดับ ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/m3ttKDmo3gc5e4WdM97h.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="m3ttKDmo3gc5e4WdM97h.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ จากการรวบรวมและวิเคราะห์หา Insight ในประเด็นการเลือกตั้ง เห็นได้ว่ากระแสความตื่นตัวของประชาชนคนไทยที่มีต่อการเลือกตั้งปี 2566 สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการเปลี่ยนแปลงของคนส่วนใหญ่และการแสดงออกถึงการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนบนสังคมออนไลน์ จนเกิดเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจว่า เสียงบนโซเชียลที่มีต่อความนิยมชื่นชอบในตัว ‘พิธา’ และ พรรคก้าวไกล ได้แปรเปลี่ยนเป็นคะแนนเสียงจริงให้แก่พรรคก้าวไกลจนคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ อ่านเพิ่มเติม:&nbsp;​<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8-%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99" alt="การเมืองกดดันเศรษฐกิจในประเทศ-หุ้นไทยปรับฐาน">การเมืองกดดันเศรษฐกิจในประเทศ-หุ้นไทยปรับฐาน</a>​<hr class="__se__solid">​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

 เลือกตั้ง 66 TikTok มาแรง ครองยอด Engagement สูงสุด 63%

Kindred แพลตฟอร์มสลับบ้าน เปิดประสบการณ์แบบ ​﻿The Holiday

เผย เทรนด์ TikTok มาแรง คว้าใจคนไทยปี 2022

<h2>Cardi B เตรียมใส่อาชีพใหม่ลงไปในเรซูเม่ของเธอ โดยตำแหน่งใหม่นี้ไม่ได้เกี่ยวกับวงการเพลง แต่เป็นตำแหน่ง Creative Director คนแรกแห่ง Centerfold แพลตฟอร์มฉีกกฎน้องใหม่จาก Playboy</h2>
<a href="https://www.forbes.com/sites/andymeek/2021/10/22/this-is-the-original-lifestyle-brandplayboys-ben-kohn-on-the-companys-digital-future/?sh=38ced9d62fef">หลังจากที่ได้พูดคุยกับเรา</a>ไปเมื่อเดือนตุลาคม Ben Kohn ผู้นั่งเก้าอี้ CEO ประจำ<a href="https://www.forbes.com/sites/jimosman/2021/11/29/playboys-metaverse-vision-can-double-the-stock-price/?sh=5aff8c45b7e2"> PLBY Group</a> บริษัทแม่ของ Playboy และ CMO ของทางบริษัท Rachel Webber เกี่ยวกับคติตามประเพณีนิยมของนิตยสารอายุเกือบ 70 ปี และแบรนด์ไลฟ์สไตล์นี้ที่ส่งต่อกันมา เราก็พบว่าส่วนมากมาจากความเข้าใจผิด

หนึ่งในความเข้าใจผิดเหล่านั้นคือการที่หลายคนคิดว่าบริษัทแห่งนี้เป็นบริษัทสื่อ เป็นความเข้าใจผิดที่หลายๆ คนมีจนถึงประมาณปีที่แล้วที่เริ่มเปลี่ยนไป เนื่องจากเมื่อพูดถึงชื่อ Playboy ทุกคนก็มักจะนึกถึงหน้ากระดาษมันวาวเต็มไปด้วยรูปสาวๆ

แต่ในตอนนั้น นิตยสารนี้ก็เปรียบเป็นหนึ่งในแม่พิมพ์หลักของยุคนั้นที่มี Centerfold เป็นหน้าปก และบทความข้างในรูปเล่มที่มีบทสัมภาษณ์เจาะประเด็น ไม่ว่าจะเป็นบทสัมภาษณ์จากปากของบุคคลชื่อก้องโลกต่างๆ เช่น Miles Davis, Martin Luther King Jr., Steve Jobs และ John Lennon

ในส่วนของสิ่งที่หลายๆ คนมักจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับบริษัท ซึ่ง Kohn ได้บอกกับเราไว้ประมาณว่า Playboy “เป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ออริจินัล” ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมพวกเขาถึงฉีกหน้ากระดาษ<a href="https://www.forbes.com/sites/noahkirsch/2020/03/19/how-coronavirus-killed-the-centerfold-playboy-closes-up-shop-amid-covid-19-crisis/?sh=453d5c6e2be9">นิตยสารรูปเล่มที่กำลังสูญเสียเงินไป</a>ทิ้งซะ และเดินหน้าผลิตคอนเทนต์ในรูปแบบดิจิทัลซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคอนเทนต์แนวไลฟ์สไตล์เกี่ยวกับ สุขภาพทางเพศ ความอยู่ดีมีสุข และความเพลิดเพลิน เป็นต้น  

และจากข้อความข้างต้น มันก็ไม่ยากเลยที่จะลากเส้นตรงไปยังเหตุการณ์ที่ตามมา โดยเมื่อวันพฤหัสบดี ทาง Playboy ได้ประกาศถึงการร่วมทีมกับศิลปินซูเปอร์สตาร์สาวที่มีอัลบั้มฮิตมากมายอย่าง Cardi B โดยให้เธอเป็นคนแรกที่ได้นั่งตำแหน่ง Creative Director ในบ้านหลังใหม่นี้

<figure><img class="size-full wp-image-55129" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/Cardi-B.jpg" alt="Cardi B" width="640" height="800" /><figcaption> Photo Credits: @iamcardib บน Twitter</figcaption></figure>

ทาง Playboy กล่าวว่า Cardi จะแชร์มุมมองและช่วยชี้แนะแนวบริษัททั้งในส่วนของคอลเล็กชั่นผลิตภัณฑ์แฟชั่น และสุขภาวะทางเพศของทางแบรนด์ นอกเหนือจากนั้น เธอยังจะมีส่วนช่วยในกองบรรณาธิการของ Playboy อีกด้วย

Kohn ชี้ให้เราเห็นว่า อย่าลืมเชียวว่า Playboy เดิมทีเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ โดยเห็นได้จากคลับ Playboy สุดหรู จนไปถึงการที่ผลิตภัณฑ์แรกของทางบริษัทที่วางขายคือ กระดุมข้อมือเสื้อผู้ชายคู่หนึ่ง

ในส่วนของยุคนี้นะหรอ? Playboy กำลังเตรียมเปิดตัวเว็บไซต์แนวๆ OnlyFans ที่มีเหล่าครีเอเตอร์เป็นผู้ใช้งานหลักภายใต้ชื่อ <a href="https://www.plbygroup.com/news-releases/news-release-details/plby-group-acquire-content-creator-platform">Centerfold</a> โดยหวังว่าเว็บไซต์นี้จะเป็นจุดหมายปลายทางหรือบ้านหลังใหม่ที่ครีเอเตอร์ทั้งหลายจะสามารถพูดคุยกับแฟนๆ และขยายคอมมิวนิตี้ของพวกเขาบนโลกออนไลน์ได้ และสามารถสร้างธุรกิจได้อีกด้วย

และเช่นเดียวกับชื่อ เว็บไซต์นี้จะเปรียบเสมือนหน้ากลางของตัวตนของแบรนด์ โดยมีสาว Cardi นั่งตำแหน่ง ‘Founding Creative Director’ และเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งแพลตฟอร์ม Centerfold (คาดว่าจะเปิดตัวในเดือนธันวาคมนี้) อีกทั้งทางบริษัทแม่ของ Playboy ยังพร้อมหนุนหลังการเปิดตัวนี้ โดยเมื่อเดือนคุลาคมได้แถลงการณ์ว่าได้เปิดดีลเข้าซื้อ Dream แพลตฟอร์มคอนเทนต์มูลค่าถึง 30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ด้วยกัน โดยแพลตฟอร์มนี้จะกลายเป็นระบบหลังบ้านของ Centerfold

Kohn บอกกับเราว่านี้เปรียบเสมือน “ก้าวต่อไปในวิวัฒนาการของบริษัท ... โดยก้าวนี้เป็นเพียงแค่การวางหินก้อนแรกของสิ่งที่จะกลายเป็นโลกดิจิทัลที่มีสมาชิกมากมายในวันหน้า”

นี่เป็นตัวอย่างว่าทำไม Kohn ถึงบอกเราว่าทำไมเขาจึงไม่เคยมองบริษัทเป็นแบรนด์สื่อชื่อดังเลย และยังเป็นสาเหตุว่าทำไมทางบริษัทถึงได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะเป็น Centerfold หรือการประกาศดีลเข้าซื้อบริษัท<a href="https://www.plbygroup.com/news-releases/news-release-details/plby-group-closes-previously-announced-acquisition-honey"> Honey Birdette</a> บริษัทชุดชั้นในลักซัวรีสัญชาติออสเตรเลียเมื่อเดือนสิงหาคม เป็นต้น

ในส่วนของการร่วมงานกับ Cardi B นั้น Kohn กล่าวว่า Centerfold จะ “ปฏิวัติวงการครีเอเตอร์ เช่นเดียวกับที่นิตยสาร Playboy เปลี่ยนวงการสิ่งพิมพ์เมื่อเกือบ 70 ปีก่อน”

ทางนักร้องสาวได้กล่าวถึงการร่วมงานกันครั้งนี้ว่านี้เป็น “ฝันที่เป็นจริง” ที่จะได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว Playboy “ตั้งแต่ที่ฉันจำความได้ ฉันก็รู้สึกผูกผันกับ Playboy” เธอกล่าว “มันเป็นแพลตฟอร์มต้นฉบับสำหรับความคิดสร้างสรรค์แบบไร้การเซ็นเซอร์ และประวัติการต่อสู้เพื่อเสรีภาพส่วนบุคคลที่มายาวนานของแบรนด์นี้เป็นแรงบันดาลใจให้กับฉัน”

<img class="aligncenter wp-image-55121 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/Screen-Shot-2564-12-03-at-14.53.38.png" alt="Cardi B_Centerfold" width="593" height="564" />

“ฉันมีไอเดียเต็มไปหมดเลย รอไม่ไหวแล้ว!”

Cardi B เองยังได้สนับสนุนให้ครีเอเตอร์คนอื่นๆ มาร่วมมือกับเมื่อแพลตฟอร์ม Centerfold นี้เปิดตัวอีกด้วย “ครีเอเตอร์ในวันนี้ควรที่จะได้แสดงออกถึงตัวตนของพวกเขาได้อย่างเป็นอิสระ และไม่ปกปิดใดๆ” เธอกล่าว “พวกเขาควรที่จะรู้สึกปลอดภัยกับความคิดสร้างสรรค์และเพศสภาพของตัวเอง พวกเขาควรจะเป็นเจ้าของอนาคตตัวเอง และนี้คือสิ่งที่ Centerfold เป็นอยู่ ครีเอเตอร์ทั้งหลายที่กำลังทำอะไรบางอย่างที่ห้าวหาญ แหวกแนว และเปลี่ยนโลกสุดๆ มาร่วมมือกับฉันกันเถอะ”

นอกจากนั้น การจับมือกันครั้งนี้ยังมาพร้อมสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างอื่นอีกด้วย โดยเมื่อวันพฤหัสบดี ทาง Playboy ยังได้ปล่อยคอลเล็กชั่นผลิตภัณฑ์แบบ co-branded มายั่วอีกด้วย ทั้งนี้คอลเล็กชั่นนี้จะเปรียบเหมือนคันเร่งให้ธุรกิจด้านแฟชั่นและสุขภาวะทางเพศของบริษัทแบบส่งตรงถึงมือลูกค้าของบริษัท

“Cardi B เป็นอัจฉริยะด้านความคิดสร้างสรรค์ เราก็ดีใจ และรู้สึกเป็นเกียรติมากจะที่เธอจะใช้ความสามารถเต็มเปี่ยม และแนวทางสุดสร้างสรรค์นำทาง Playboy” Kohn กล่าว

Kohn กล่าวต่อว่า “ด้วยการมุ่งแสดงออกอย่างเสรีแบบไม่ไว้หน้าใคร ความมุ่งมั่นในการเป็นกระบอกเสียงให้กับศิลปิน และการที่เธอเฉลิมฉลองแนวคิดแบบ ​Sex และ Body Positivity นี้ Cardi ถือเป็นตัวตนของแบรนด์ Playboy เลยล่ะ ผมรอดูสิ่งที่ Cardi และทีมงานของเราจะร่วมสร้างขึ้นมาไม่ไหวแล้วล่ะ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ การพัฒนาต่างๆ และความสามารถในการกระจายสินค้า รวมถึงการสร้างคอนเทนต์ในระดับที่เหนือที่สุดของเราด้วย”

แปลและเรียบเรียงโดย ทัตชญา บุษยากิตติกร จากบทความ Playboy Taps Cardi B As The Media And Lifestyle Brand’s First Creative Director In Residence เผยแพร่บน ​Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/world/30-under-30-%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b8%95-%e0%b8%88%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b8%87%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%81.html">“30 Under 30” สายอาร์ต จากนางงามนักธุรกิจ ถึงศิลปินใจบุญ</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Cardi B ขึ้นแท่น Creative Director ประจำธุรกิจน้องใหม่จาก Playboy

<h2>Kim Beom-su ผู้ก่อตั้งและประธาน Kakao ยักษ์ใหญ่ด้านอินเทอร์เน็ตของเกาหลีใต้ ก้าวขึ้นเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของประเทศ หลังหุ้นของบริษัทปรับตัวสูงขึ้นกว่า 2 เท่าในปีนี้ </h2>
<img class="alignnone wp-image-47365" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/06/kakaotalk-korean-messaging-app.jpg" alt="Kim Beom-su " width="720" height="480" />

ณ วันพุธที่ 23 มิถุนายน 2021 หุ้น Kakao ปรับตัวสูงขึ้นราวร้อยละ 110 ในปี 2021 ส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของ K<a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/profile/kim-beom-su/?sh=1dc3f988dd6d">im Beom-su</a> เพิ่มสูงขึ้น 5.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ รวมเป็น 1.62 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งมากกว่ามหาเศรษฐีอันดับ 2 ของประเทศอย่าง <a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/profile/seo-jung-jin/?list=korea-billionaires&amp;sh=3a92bd4129c5">Seo Jung-jin</a> ผู้ร่วมก่อตั้ง Celltrion อยู่ 3 พันล้านเหรียญ 

Kim วัย 55 ปี เติบโตในย่านที่ยากจนที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงโซล ในครอบครัวที่พ่อประกอบอาชีพเป็นพนักงานโรงงานปากกา และแม่เป็นแม่บ้านในโรงแรมที่จบการศึกษาระดับประถม โดยขณะที่พ่อแม่ออกไปทำงาน เขาและพี่น้องอีก 4 คนมักจะได้รับการเลี้ยงดูโดยคุณยายในอพาร์ตเมนต์แบบ 1 ห้องนอน

ในช่วงระดับมหาวิทยาลัย Kim เริ่มสร้างรายได้ด้วยการสอนพิเศษแบบตัวต่อตัวเพื่อหาเงินจ่ายค่าเล่าเรียน แต่ก็มีบางครั้งที่ต้องอดอาหารเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย

ทั้งนี้ ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Kim ได้ลงนามใน <a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/sites/ralphjennings/2021/06/23/kakao-founder-becomes-koreas-richest-person-as-shares-of-his-internet-giant-surge/?sh=7c3fb039258b">The Giving Pledge</a> ซึ่งเป็นแคมเปญที่เปิดตัวในปี 2010 โดย Bill Gates, Melinda Gates และ Warren Buffett ที่ส่งเสริมให้อภิมหาเศรษฐีทั่วโลกร่วมลงชื่อบริจาคทรัพย์สินของตนอย่างน้อยครึ่งหนึ่งให้แก่การกุศล 

ก่อนเริ่มต้น Kakao ในปี 2010 ธุรกิจแรกของ Kim คือ Hangame บริษัทพัฒนาเกมออนไลน์ ซึ่งภายหลังควบรวมกิจการเข้ากับธุรกิจเสิร์ชเอนจิน ซึ่งปัจจุบันเป็นที่รู้จักในชื่อ Naver ยักษ์ใหญ่ด้านอินเทอร์เน็ตอีกรายของเกาหลี 

โดย Kim เปิดตัว Hangame หลังจากสะสมประสบการณ์เป็นระยะเวลา 5 ปีในแผนกไอทีของ Samsung จนกระทั่งเกิดวิกฤตฟองสบู่ดอทคอมจึงตัดสินใจลาออก

ปัจจุบัน Kakao เป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลี ควบคู่ไปกับกลุ่มบริษัทอื่นๆ อาทิเช่น Samsung, Hyundai, SK และ LG ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่มีธุรกิจในเครือหลายอย่างและหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทถูกถือครองโดยคนในครอบครัว หรือที่รู้จักกันในชื่อ chaebol 

"การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ได้เร่งการขยายตัวของ Kakao เนื่องจากความต้องการบริการออนไลน์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว” Rajiv Biswas หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจากบริษัทวิจัย IHS Markit กล่าว

Biswas ได้เสริมอีกว่า ในความเป็นจริงธุรกิจของ Kakao มีผลประกอบการที่ดีตั้งแต่ก่อนเกิดโควิด-19 ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากบริการแมสเซ็นเจอร์บนมือถือ และขยายไปสู่การควบรวมและซื้อกิจการบริษัทอื่นอีก 100 แห่ง 

“บริการส่งข้อความ KakaoTalk มีผู้ใช้ 45 ล้านคน และมีส่วนแบ่งตลาดในประเทศราวร้อยละ 95 ในปี 2018” Dongkeun Yi นักวิเคราะห์จากบริษัทวิจัย Counterpoint Research กล่าว

ไม่เพียงเท่านี้ บริษัทยังต่อยอดฐานผู้ใช้งานไปสู่การเพิ่มฟีเจอร์โฆษณา แผนที่ เกม บริการทางการเงิน ตลอดจนการทำเว็บตูนหรือการ์ตูนดิจิทัลอีกด้วย

ล่าสุด บริการ Kakao Pay ก็ได้ร่วมมือกับ Ant Group ในการพัฒนาคิวอาร์โค้ด และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการจดจำใบหน้าในการทำธุรกรรมทางการเงิน 

ด้าน Kakao Games ซึ่งเป็นอีกหนึ่งหน่วยธุรกิจที่เพิ่งเข้าซื้อขายในตลาดทรัพย์ในเดือนกันยายน 2020 ก็สามารถระดมทุนไปกว่า 320 ล้านเหรียญ นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมเดินหน้าที่จะนำ Kakao Bank เข้าระดมทุนในช่วงต้นเดือนหน้าเช่นกัน 

Yi คาดการณ์ว่า “ในท้ายที่สุด Kakao วางแผนที่พัฒนาระบบนิเวศให้สมบูรณ์เหมือน WeChat ในประเทศจีน” 

“บริษัทกำลังขยายกิจการผ่านบริษัทสื่อมวลชนของ Kakao Entertainment และแอปเคชันเรียกแท็กซี่ Kakao Mobility โดยมีแผนสำหรับการเสนอขายหุ้น IPO ในปีหน้า” Biswas กล่าว

แปลและเรียบเรียงจากบทความ Kakao Founder Becomes Korea’s Richest Person As Shares Of His Internet Giant Surge โดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/news/it/line-ครบรอบ-10-ปี-ในไทย-เติบโต-ต.html">LINE ครบรอบ 10 ปี ในไทย เติบโต ตอบโจทย์ ชีวิตดิจิทัล</a>

Kim Beom-su ผู้ก่อตั้ง Kakao ก้าวขึ้นเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของเกาหลีใต้

<h2>LINE ครบรอบ 10 ปี ขอบคุณทุกผู้ใช้พร้อมตอกย้ำความสำเร็จตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ยกระดับชีวิตดิจิทัลตั้งแต่ตื่นจนเข้านอน ตั้งเป้าเป็นแพลตฟอร์ม Chat Commerce ผลักดันศักยภาพแบรนด์และผู้ประกอบการไทยทุกระดับด้วย LINE ECOSYSTEM</h2>
พิเชษฐ ฤกษ์ปรีชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE ประเทศไทย กล่าวว่า “ตลอดการเดินทาง 10 ปี ของ LINE เราได้เติบโตอย่างรวดเร็วจากแอปพลิเคชันสื่อสารสู่การเป็นแพลตฟอร์มที่สามารถยกระดับชีวิตคนไทยในยุคดิจิทัลด้วยฟีเจอร์และบริการต่างๆ บนแอปฯ ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นทั้งแชท - ประชุมงาน - ช้อปปิ้ง - สั่งอาหาร - จ่ายเงิน - ดูซีรีส์ – อ่านข่าว ฯลฯ

เราก้าวเข้าไปอยู่ในส่วนหนึ่งชีวิตของผู้ใช้ และมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดจากการใช้บริการของแพลตฟอร์มเรา มากไปกว่านั้น เรายังเป็นแพลตฟอร์มเพื่อธุรกิจที่สามารถขับเคลื่อนแบรนด์ องค์กรและผู้ประกอบการไทยทุกระดับบนเส้นทาง Digital Transformation สร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้ธุรกิจ

เรารู้สึกดีเป็นอย่างยิ่งที่เป็นส่วนหนึ่งในการเติบโตทางธุรกิจของผู้ประกอบการไทยในทุกวันนี้ โดยเบื้องหลังความสำเร็จที่เกิดขึ้น มาจากความตั้งใจของ LINE ที่พัฒนาบริการทุกอย่างมาเพื่อตอบโจทย์ของผู้ใช้ให้ได้มากที่สุด รวมถึงการสนับสนุนและความไว้วางใจของทุกคนที่มีให้กับเรา”

ความสำเร็จและการเติบโตดังกล่าวยังเป็นสิ่งตอกย้ำประสิทธิภาพของ กลยุทธ์ Humanization &amp; Localization ที่ LINE ใช้พัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อครองใจผู้ใช้ในเมืองไทยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งในแง่ของการพัฒนาฟีเจอร์ และบริการรวมถึงการทำการตลาดที่ตอบโจทย์คนไทย ดังเช่น การพัฒนา LINE MAN ที่มาปฏิวัติไลฟ์สไตล์การกินของคนไทยจนเติบโตและควบรวมธุรกิจกับ Wongnai จนเกิดแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่ง

การพัฒนา MyShop โซลูชันที่มาเสริมแกร่ง Chat Commerce ให้ LINE Official Account รองรับการเปิดร้านค้าออนไลน์ได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ได้ร่วมมือกับภาครัฐพัฒนา LINE Official Account เพื่อตอบโจทย์บริการที่หลากหลายเพื่อประชาชน

ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา LINE ได้สร้างความเป็นไปได้ในแง่ของการปลดล็อกข้อจำกัดทางอาชีพให้สามารถมีอาชีพใหม่ๆ ประกอบธุรกิจได้บนแพลตฟอร์มของ LINE อย่างไร้พรมแดนสำหรับคนรุ่นใหม่ ทั้ง Social Seller ขายของออนไลน์, แอดมินบริหารจัดการหน้าร้านออนไลน์

LINE STICKERS CREATOR ที่เปิดโอกาสสร้างรายได้ ผ่านการออกแบบ LINE STICKERS โดยปัจจุบันมีมากกว่า 700,000 คน มีสติกเกอร์วางจำหน่ายทั้งหมดรวมแล้วกว่า 3.6 ล้านชุด รวมถึงการขับเคลื่อนสร้างคนพันธุ์เทคฯ หน้าใหม่ของเมืองไทยผ่านกิจกรรม Developer ที่จัดอย่างต่อเนื่อง ทั้ง LINE Developer Conference และ LINE HACK ฯลฯ”

<img class="alignnone size-full wp-image-47147" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/06/พิเชษฐ-ฤกษ์ปรีชา_Line-10-ปี_003.jpg" alt="" width="600" height="338" />

ขอบคุณผู้ใช้ พร้อมเดินหน้าพัฒนา “โครงสร้างพื้นฐาน” ที่ใช่ ครบ และพร้อมที่สุดเพื่อทุกคน

LINE ขอขอบคุณผู้ใช้ ผู้ประกอบการ ลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจทุกท่านที่เป็นส่วนสำคัญตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งนี้เราพร้อมที่จะเดินหน้าเพิ่มศักยภาพ “โครงสร้างพื้นฐาน” อย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อให้สามารถยกระดับชีวิตผู้ใช้ อย่างเป็นรูปธรรมด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม โซลูชัน และเครื่องมือทรงประสิทธิภาพเพื่อสนับสนุนผู้ใช้สามารถสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน ขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจดิจิทัล ควบคู่กับประสบการณ์การใช้แพลตฟอร์ม LINE ที่สมบูรณ์ ด้วยแนวทางการพัฒนาฟีเจอร์และบริการต่างๆในแนวดิ่งพร้อมเสริมแกร่ง 3 แกนธุรกิจหลัก ได้แก่

OMO (Online Merges Offline) - สร้างความแข็งแกร่งให้กับประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้ทั่วประเทศ เชื่อมต่อโลกออนไลน์เข้ากับออฟไลน์ให้เป็นหนึ่งเดียว

Fintech - ยกระดับ Financial Experience ของผู้ใช้งาน LINE อย่างไร้รอยต่อมากยิ่งขึ้น ให้สามารถ “แชท - โอน - ยืม - จ่าย” ได้บนแอป LINE จบครบในที่เดียว โดยไม่ต้องออกข้ามไปแอปพลิเคชันอื่น

e-Commerce - มุ่งสู่การเป็นผู้นำด้าน Social commerce ที่อำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า และ สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่แตกต่างด้วย ด้วย Chat Commerce ช่วยให้ร้านค้าดำเนินธุรกิจ ได้อย่างไร้รอยต่อด้วยอีโคซิสเต็มของ LINE ที่แข็งแกร่ง

“ขณะเดียวกันแม้องค์กรจะเติบโตมากขึ้นไปตามกาลเวลา LINE เองก็จะยังคงไว้ซึ่งการเป็น Tech Company with Startup Mindset แนวคิดที่ยังทำพวกเราชาว LINE ยังคงสนุกสนาน ตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ๆ ไม่กลัวที่จะผิดพลาดล้มเหลว แต่ก็ไม่หยุดที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ซึ่งต่างเป็นดีเอ็นเอของเราให้สามารถพัฒนาบริการและฟีเจอร์ต่างๆบนอีโคซิสเต็ม LINE เพื่อยกระดับชีวิตของผู้ใช้ในทุกมิติอยู่เสมอ” ดร.พิเชษฐ กล่าวสรุป

&nbsp;

ส่วนหนึ่งของการเติบโต LINE ที่น่าสนใจ

-การใช้งานฟังก์ชันการสื่อสารต่างๆของ LINE เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงเวลา ก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19 อย่าง LINE Group Audio Call ที่มีการใช้งานเพิ่มสูงกว่าร้อยละ 72 LINE Group VDO Call เพิ่มขึ้น 162  เปอร์เซ็นต์ เช่นเดียวกันกับ LINE Meeting ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปลายปี 2563 ก็เพิ่มสูงขึ้นถึง 371 เปอร์เซ็นต์        

-LINE Official Account มีผู้ใช้บัญชีทางการเพิ่มขึ้นถึง 25 เปอร์เซ็นต์ เป็น 4 ล้านบัญชี (เปรียบเทียบ ไตรมาสที่ 3 2562 และ ไตรมาสที่ 3 2563)

-ช่วงปีที่ผ่านมา มีการเชื่อมต่อใช้ เครื่องมือ MyShop โซลูชันที่ช่วยบริหารจัดการร้านค้าออนไลน์เพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 257 ขณะที่การจับจ่ายออนไลน์บน LINE SHOPPING คึกคัก สร้างยอดขาย (GMV) โตกว่า 200 เปอร์เซ็นต์ ทั้งสินค้าจิปาถะไปจนถึงแฟชั่นและแกดเจ็ต ชี้ให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ช่วงโควิด -19 ของ LINE ได้เป็นอย่างดี

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/appsflyer-%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%95%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87.html">AppsFlyer เผยสถิติการเติบโตของ “แอปฯ การเงิน” ในไทย</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

LINE ครบรอบ 10 ปี ในไทย เติบโต ตอบโจทย์ ชีวิตดิจิทัล

<h2>“เซ้นส์ เอนเตอร์เทนเมนท์” ผู้ให้บริการด้านคอนเทนต์ โปรวายเดอร์  ผู้ถือลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลไทยทุกรายการ และ “เทนเซ็นต์ ประเทศไทย” ผู้ให้บริการเอนเตอร์เทนเมนต์แพลตฟอร์ม และโซลูชันด้านเทคโนโลยีชั้นนำ ผนึกความร่วมมือเป็นพันธมิตร เตรียมสร้างมิติใหม่ของการรับชมการถ่ายทอดสดฟุตบอลไทยทุกรายการ</h2>
วราวุธ เจนธนากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ้นส์ เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด กล่าวว่า “ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่วันนี้เราได้ความร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ใหม่อย่าง เทนเซ็นต์ ประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยี และโซลูชันคลาวด์อัจฉริยะ รวมถึงบริการเอนเตอร์เทนเมนต์แพลตฟอร์มชั้นนำที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี

ผมมั่นใจว่าการผนึกความร่วมมือครั้งนี้เป็นการนำจุดแข็งของ Content กีฬาอันดับ 1 ของคนไทยรวมเข้ากับ Technology Platform ระดับโลกพร้อมสื่อ Media ที่ครบวงจรของทั้ง 2 บริษัทจะสามารถสร้างประสบการณ์การเชียร์ฟุตบอลในรูปแบบใหม่ผ่าน เว็บไซต์ และแอปพลิเคชัน “เชียร์ไทย” ที่ไม่ใช่เป็นเพียงการรับชมการถ่ายทอดสดฟุตบอลทุกระดับที่ประเทศไทยมีเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างสังคมของคนรักกีฬาฟุตบอล และเป็นศูนย์กลางสำหรับให้แฟนบอลของทุกสโมสรในทุกระดับที่มีรวมกันกว่า 10 ล้านคนได้มาร่วมกันเชียร์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

สามารถเข้าถึงบทวิเคราะห์ก่อน-หลังการแข่งขันตลอดจนถึงข้อมูลสถิติการแข่งขันของสโมสรและสถิติความสามารถของนักกีฬาแต่ละคนเพื่อการเชียร์ที่สนุกขึ้น อีกทั้งยังสามารถสนับสนุนสโมสรได้ด้วยการซื้อตั๋วเข้าชมและซื้อสินค้าจากแต่ละสโมสรเพื่อสร้างรากฐานให้ทีมสโมสรทุกระดับได้ขยายฐานกองเชียร์และรายได้ไปพร้อมๆกันและส่งผลดีให้กับผลงานในระดับทีมชาติเพื่อขับเคลื่อนความฝันของคนไทยทั้งประเทศที่อยากเห็นทีมชาติไทยได้ไปฟุตบอลโลก”

กฤตธี มโนลีหกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทนเซ็นต์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ความร่วมมือในครั้งนี้ ตอกย้ำบทบาทการเป็นผู้ให้บริการเอนเตอร์เทนเมนต์แพลตฟอร์มที่หลากหลาย และครอบคลุมที่สุดในประเทศไทย ซึ่งเรามีทั้งแพลตฟอร์มข่าวสาร (Sanook.com) เกม (PUBG MOBILE) ภาพยนตร์ ซีรีส์ (WeTV) เพลง (JOOX) และการ์ตูน (WeComics) มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาเทคโนโลยี และแพลตฟอร์มดิจิทัลที่มีมาตรฐานระดับสากลรองรับด้วยเทนเซ็นต์ คลาวด์ (Tencent Cloud) ซึ่งเป็นคลาวน์ โซลูชัน มาตรฐานระดับโลก

ดังนั้นเราจะนำนวัตกรรมความรู้ และเทคโนโลยีล้ำสมัย รวมถึงระบบปฏิบัติการต่างๆ เหล่านี้มาต่อยอด และพัฒนาแพลตฟอร์มให้ตอบไลฟ์สไตล์ของแฟนบอลไทยยุคใหม่ โดยเราเชื่อว่าแพลตฟอร์มนี้ จะมาช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับฟุตบอลสโมสรของไทย ดึงดูดให้คนไทยหันมาดูบอลไทย และเชียร์บอลไทยกันมากขึ้น

ที่สำคัญจะช่วยปลดล็อกข้อจำกัดในการดูบอลไทยให้ทุกคนสามารถรับชมเกมการแข่งขันได้ทุกที่ ทุกเวลา และดูได้ทั้งรูปแบบถ่ายทอดสด และออนดีมานด์ผ่านหน้าจอ รวมถึงจะเป็นอีกทางช่องทางที่จะช่วยให้แฟนบอลทั่วประเทศ สามารถเชียร์ทีมชาติไทย และสโมสรที่รักได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น นอกจากนี้เรายังวางแผนเพิ่มฟังก์ชันความบันเทิงต่างๆ เพื่อสร้างสีสันให้แฟนๆ อย่างครบรส”

เว็บไซต์ และแอปพลิเคชัน “เชียร์ไทย” จะถูกออกแบบให้เป็นแพลตฟอร์มกีฬา-ไลฟ์สไตล์ ที่สามารถมอบ
ความบันเทิงเหนือระดับได้อย่างครบวงจร ทั้ง

ด้านคอนเทนต์ มีเกมฟุตบอลไทยทุกรายการให้ได้รับชมแบบถ่ายทอดสด และย้อนหลัง ไม่ว่าจะเป็น ศึกไทยลีก 1 ครบ 240 แมตช์ ไทยลีก 2 ครบ 360 แมตช์ ไทยลีก 3, FA Cup, League Cup และ ศึกทีมชาติทุกนัด พร้อมกับบทวิเคราะห์ก่อน-หลังการแข่งขันอัดแน่นด้วยข้อมูลสถิติ รวมถึงได้นำเทคโนโลยีทันสมัย VR และ AR ที่จะทำให้ผู้รับชมเสมือนนั่งอยู่ในสนามจริง

ด้านคอมมูนิตี้ มีห้องแชทของแต่ละสโมสร ให้เหล่าสาวกของแต่ละทีมได้มาแลกเปลี่ยนทรรศนะฟุตบอลกันแบบเจาะลึก อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้ Content Creator ทั้งหลายสามารถสร้างคอมมูนิตี้บนแพลตฟอร์มได้อย่างเปิดกว้าง

ด้านไลฟ์สไตล์ เปิดช่องทาง E-Commerce สำหรับจำหน่ายตั๋วชมฟุตบอล สินค้าพรีเมียมของสโมสรต่างๆ และมี Payment Gateway ที่มีความปลอดภัยสูง ทั้งนี้ นอกจากการมอบความบันเทิงให้กับแฟนบอลแล้ว แพลตฟอร์มนี้ ยังเอื้อต่อองค์กรธุรกิจ และแบรนด์สินค้าต่างๆ ที่ต้องการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้ตรงกลุ่มอีกด้วย

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/other/%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%AA-%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99.html">อินโดรามา เวนเจอร์ส เดินหน้ากลยุทธ์ปี 2564-2566</a>

&nbsp;
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>
&nbsp;

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events