<h2>เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จับมือสปอนเซอร์ถุงเท้าแบรนด์ไทย PALLY SOCKS เปิดตัวโรงหนัง 'PALLY Kids Cinema' ณ เมกา ซีนีเพล็กซ์ บางนา หวังขยายฐานลูกค้ากลุ่มครอบครัวและเด็กต้อนรับปิดเทอม และเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าสมาชิก M GEN Kids ของเมเจอร์ฯ ที่มีอยู่กว่า 5 แสนราย พร้อมเปิดให้บริการ 4 เมษายนนี้</h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุรเชษฐ์ อัศวเรืองอนันต์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายสื่อโฆษณา บริษัท เมเจอร์&nbsp;ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เผยว่า Kids Cinema โรงภาพยนตร์สำหรับเด็กได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มครอบครัวและเด็ก ซึ่งการเป็น Naming Sponsor ของโรงภาพยนตร์เด็ก ที่จะช่วยให้แบรนด์มีภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งขึ้น ด้วยความพิเศษของโรงภาพยนตร์ได้รับการออกแบบให้เป็นพื้นที่แห่งความสุขสำหรับเด็กทุกวัย มีบริการโซน Playland ที่มีบ่อลูกบอล, สไลเดอร์ และกิจกรรมเสริมพัฒนาการต่างๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รวมไปถึงบรรยากาศภายในโรงภาพยนตร์ที่ให้แสงสว่างเพิ่มขึ้น 20% ลดระดับความดังของเสียงลง 30% เพื่อให้เหมาะกับเด็ก ๆ และเก้าอี้ชมภาพยนตร์ทั้ง 83 ที่นั่ง ก็ออกแบบมาเพื่อรองรับเด็กทุกวัย สามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มครอบครัวและเด็ก ๆ ได้อย่างลงตัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ปัจจุบันเรามีโรงภาพยนตร์ Kids Cinema ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ที่เปิดให้บริการ 19 สาขา ได้แก่ พารากอน ซีนีเพล็กซ์, ไอคอน ซีเนคอนิค, ควอเทียร์ ซีนีอาร์ต, เมกา ซีนีเพล็กซ์, เวสต์เกต ซีนีเพล็กซ์, อีสต์วิลล์ ซีนีเพล็กซ์, พรอมานาด ซีนีเพล็กซ์, เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน, เมเจอร์ เซ็นทรัล พระราม 3, เมเจอร์ บางแค, เมเจอร์ โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ลาดกระบัง, เมเจอร์ รังสิต, เอสพลานาด งามวงศ์วาน-แคราย, บางกะปิ ซีนีเพล็กซ์, เวสต์วิลล์ ซีนีเพล็กซ์, เมเจอร์ เซ็นทรัล เชียงใหม่ (เซ็นเฟส), เมเจอร์ เซ็นทรัล ระยอง, นครปฐม ซีนีเพล็กซ์, เมเจอร์ เซ็นทรัล อุดร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;"เรายังมีแผนขยายสาขาเพิ่มต่อไปอีกในอนาคต และคาดว่าความร่วมมือกับ PALLY SOCKS ในครั้งนี้ จะช่วยเติมเต็มความสมบูรณ์แบบของ Kid Cinema และสามารถทำให้ PALLY SOCKS ได้มอบช่วงเวลาที่น่าจดจำพร้อมขยายฐานกลุ่มลูกค้าครอบครัวและเด็กให้เติบโตได้มากขึ้นไปด้วยกัน" <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/Rws8Vq1bq4PFzv1NYrFC.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="Rws8Vq1bq4PFzv1NYrFC.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อลิศรา วิชัยวัฒนาพาณิชย์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ถุงเท้าไทย จำกัด (PALLY SOCKS) เผยว่า “PALLY SOCKS ไม่ได้เป็นเพียงแบรนด์ถุงเท้า แต่เรามุ่งเน้นการสร้างความสบายและความปลอดภัยให้กับเด็กมาโดยตลอด ตั้งแต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใส่ใจทุกรายละเอียด จนถึงการขยายแนวคิดนี้ไปสู่กลุ่มตลาดความบันเทิงและเชื่อมโยงเข้ากับไลฟ์สไตล์ของครอบครัวและเด็ก ผ่านประสบการณ์ที่สร้างความสุขและความสนุกในโรงภาพยนตร์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การร่วมมือกับ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ด้วยการเป็นเนมมิ่งสปอนเซอร์ของ Kids Cinema จึงถือเป็นการทำการตลาดเชิงกลยุทธ์ โดยเรามุ่งหวังให้แบรนด์เป็นที่จดจำของกลุ่มครอบครัวและเด็ก ซึ่งพฤติกรรมของครอบครัวไทยมักนิยมพาเด็กๆ ไปชมภาพยนตร์ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์และช่วงปิดเทอม การมีชื่อแบรนด์อยู่ในพื้นที่ที่ครอบครัวมาใช้เวลาด้วยกัน ทำให้ PALLY SOCKS เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และสามารถสร้างความจดจำของแบรนด์ได้ดีมากยิ่งขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;"ทำเล เมกา ซีนีเพล็กซ์ บางนา ยังเป็นทำเลที่ตอบโจทย์กลุ่มครอบครัวและเด็กๆ ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และเป็นแหล่งรวมกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้และความสนุกสนาน เราเชื่อว่าทำเลแห่งนี้จะช่วยให้เด็กๆ สามารถเข้าถึงประสบการณ์การชมภาพยนตร์ได้อย่างสะดวกสบาย ซึ่งจะช่วยให้ PALLY Kids Cinema เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความสุขให้กับเด็กๆ ได้อย่างแท้จริง” <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/rhMGRXAKtyNkN2bc5JEV.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="rhMGRXAKtyNkN2bc5JEV.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับโรงภาพยนตร์ PALLY Kids Cinema ที่ เมกา ซีนีเพล็กซ์ บางนา ชั้น 2 แห่งนี้ พร้อมเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2568 พร้อมมอบสิทธิพิเศษต้อนรับช่วงปิดเทอม โดยสมาชิกบัตร M GEN Kids อายุไม่เกิน 12 ปี สามารถชมภาพยนตร์ฟรี! ระหว่างวันที่ 4-6 เมษายน 2568&nbsp;&nbsp; <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/MptRXrJioZUhPtwgSLXg.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="MptRXrJioZUhPtwgSLXg.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม โรงภาพยนตร์สำหรับเด็ก Kids Cinema ทุกสาขา จากปกติเปิดให้บริการทุกวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ก็จะเปิดให้บริการทุกวันในช่วงปิดเทอม ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึง 30 เมษายน 2568 โดยมีภาพยนตร์น่าสนใจเข้าฉายให้ได้ชมหลากหลายเรื่อง ดังนี้ &nbsp;A MINECRAFT MOVIE เข้าฉาย 3 เมษายน 2568, The Day the Earth Blew Up : A Looney Tunes Movie เข้าฉาย 1 พฤษภาคม 2568, Lilo &amp; Stitch (Live Action) เข้าฉาย 22 พฤษภาคม 2568, How to Train Your Dragon เข้าฉาย 12 มิถุนายน 2568, Elio เข้าฉาย 19 มิถุนายน 2568, Jurassic World Rebirth เข้าฉาย 2 กรกฎาคม 2568 เป็นต้น&nbsp; ภาพ :&nbsp;เมเจอร์&nbsp;ซีนีเพล็กซ์&nbsp; เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/nestle-ice-cream-restaurant-market-after-the-food-and-beverage-business-in-2025-worth-657-billion-baht" alt="เนสท์เล่ ไอศกรีม เตรียมเจาะตลาดผ่านร้านอาหาร หลังธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มปี 68 มีมูลค่าสูงถึง 657,000 ล้าน">เนสท์เล่ ไอศกรีม เตรียมเจาะตลาดผ่านร้านอาหาร หลังธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มปี 68 มีมูลค่าสูงถึง 657,000 ล้าน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

เมเจอร์ฯ เปิดตัวโรงหนัง PALLY Kids Cinema ขยายฐานลูกค้าเด็กรับปิดเทอม ณ เมกา ซีนีเพล็กซ์ บางนา

<h2>ในอดีตสัดส่วนรายได้ของหนังฮอลลีวูดในเมืองไทยจะอยู่ที่ 70-80 เปอร์เซ็นต์ แต่กระแสความนิยมหนังไทยเริ่มตีตื้นเข้าใกล้หนังฮอลลีวูดชัดขึ้นตั้งแต่ปี 2565 ที่สัดส่วนรายได้หนังไทยกับหนังฮอลลีวูดอยู่ที่ 35:60 และเพิ่มเป็น 44:50 ในปี 2023 ล่าสุดคือแซงหน้าเป็น 54:38 ในปีที่ผ่านมาเป็นครั้งแรก โดยภาพยนตร์ฮอลลีวูดขายบัตรได้ 12.4 ล้านใบ จากจำนวนบัตรทั้งสิ้น 36.7 ล้านใบ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าหนังไทยได้รับการยอมรับเป็น “TOLLYWOOD” (Thailand + Hollywood)</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปี 2567 จากภาพยนตร์ไทยที่เข้าฉายในโรงทั้งหมด 54 เรื่อง พบว่าจำนวนภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้มากกว่า 100 ล้านบาทมีถึง 8 เรื่อง ได้แก่ ธี่หยด 2 ของ M STUDIO ทำรายได้ 815 ล้านบาท, หลานม่า ของ จีดีเอช 559 ทำรายได้ 339 ล้านบาท, พี่นาค 4 ของไฟว์สตาร์ ทำรายได้ 178 ล้านบาท, อนงค์ ของ M STUDIO ทำรายได้ 150 ล้านบาท, วิมานหนาม ของจีดีเอช 559 ทำรายได้ 150 ล้านบาท, หอแต๋วแตกแหกสัปะหยด ของ M STUDIO ทำรายได้ 130 ล้านบาท, เทอม 3 ของ สหมงคลฟิล์ม ทำรายได้ 122 ล้านบาท และ วัยหนุ่ม 2544 ของ เนรมิตหนัง ฟิล์ม ทำรายได้ 122 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดที่ทำรายได้เกิน 100 ล้านบาท ในปี 2567 มีเพียง 4 เรื่อง คือ Dune : Part Two, Deadpool &amp; Wolverine, Inside Out 2 และ Godzilla x Kong : The New Empire​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/LwuCapmCs3C2XRyFS2Cj.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="3" data-file-name="LwuCapmCs3C2XRyFS2Cj.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> ​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุรเชษฐ์ อัศวเรืองอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร M STUDIO ให้เหตุผลที่หนังไทยได้รับความนิยมมากกว่าหนังฮอลลีวูด เพราะมีโรงภาพยนตร์เปิดตัวเพิ่มมากขึ้นและขยายไปยังอำเภอหลักๆ ในแต่ละจังหวัด คนไทยสามารถเข้าถึงหนังไทย และยังเปิดใจรับหนังไทยทุกแนว อีกส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะมีหนังฟอร์มยักษ์จากฮอลลีวูดเข้าฉายในตลาดน้อยกว่าปกติในปีที่ผ่านมา​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/9T1aQ5NkvhsFZNXNjCot.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="9T1aQ5NkvhsFZNXNjCot.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"><figcaption><div>สุรเชษฐ์ อัศวเรืองอนันต์</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้คุณภาพหนังไทยสูงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งคอนเทนต์ การผลิต ผู้สร้างใช้ความคิดสร้างสรรค์เต็มที่ และใส่ใจในรสนิยมของคนดู ทำให้หนังไทยไม่ได้โตเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่องในต่างประเทศ ครอบคลุมกว่า 30 ประเทศทั่วโลก ตั้งแต่ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ รัสเซีย สหรัฐอเมริกา แคนาดา บราซิล เปรู โบลิเวีย จนถึงคาซัคสถาน จากที่เดิมมีตลาดหลักอยู่เพียงในภาคพื้นตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“คลื่นความนิยมหนังไทยกำลังเริ่มเหมือนหนังเกาหลี เรากำลังเข้าสู่ leading content ในเอเชีย หนังไทยอยู่บน map ของตลาดคอนเทนต์โลกเรียบร้อยแล้ว ดูจากเวลาไปออกบูทต่างประเทศ บูทหนังไทยและหนังเกาหลีมี buyer จากทั่วโลกมาแวะมากที่สุด และมีต่างชาติรวมทั้งจีน ที่ให้ความสนใจมาร่วมมือกับ M STUDIO ผลิตหนังไทยออกสู่ตลาดโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ในปีหน้าเรามั่นใจว่าจะมีการซื้อลิขสิทธิ์หนังไทยไปต่างประเทศมากขึ้น ส่วนในประเทศแม้ปีนี้จะมีหนังฟอร์มยักษ์จากฮอลลีวูดเข้าฉายมากกว่าปีก่อน แต่เราก็หวังว่าจะเป็นอีกปีที่หนังไทย จะมี historical recode อีกครั้ง เพราะธุรกิจภาพยนตร์ต่างจากธุรกิจอื่นๆ ถ้าภาพยนตร์ฮอลลีวูดดี ภาพยนตร์ไทยก็ดีไปด้วย” สุรเชษฐ์บอก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปี 2567 คาดว่าทั้งอุตสาหกรรม จะมีการสร้างหนังไทยทั้งหมด 70 เรื่อง เพิ่มจากปี 2565-2567 ที่มีหนังไทยออกสู่ตลาดที่ 42, 53 และ 54 เรื่องตามลำดับ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/PWR6c4dFfg51JjSEa8g4.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="PWR6c4dFfg51JjSEa8g4.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทได้เตรียมทุ่มงบประมาณ 1,000 ล้านบาท เดินหน้าร่วมทุนกับพันธมิตร ได้แก่ ช่อง 3, Workpoint, Mono Group, Kantana, Karman Line Studio และ Plan B สร้างสรรค์ผลงานภาพยนตร์ไทยอีกกว่า 20 เรื่อง อาทิ ธี่หยด 3, นาคี 3 ผลงานการกำกับของ ออฟ-พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง, อนงค์ 2 ของ เอส-คมกฤษ ตรีวิมล พร้อมนักแสดงนำ จี๋ สุทธิรักษ์ และ โบ เมลดา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มือปืน ผลงานมาสเตอร์พีซกับการมาร่วมค่ายของ พุฒิพงศ์ นาคทอง, A Million ways to love การทำงานร่วมกันระหว่าง บอย โกสิยพงษ์ และ ปิยะกานต์ บุตรประเสริฐ ที่เคยสร้างความประทับใจมาแล้วจากภาพยนตร์ ลอง ลีฟ เลิฟว์!, The Stone พระแท้ คนเก๊ ผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของ เป้-อารักษ์ อมรศุภศิริ, สุสานคนเป็น การกลับมาสู่จอภาพยนตร์อีกครั้งของ นุ่น-วรนุช ภิรมย์ภักดี โดยทีมงานสร้างซีรีส์เรื่องสืบสันดาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ยังมี อีเรียมซิ่ง 2, เหมรย 2, ป่าช้าผีแขก, สาปเมือง, Ghost Board, Ring a Bell, Exchange และภาพยนตร์โดย พชร์ อานนท์ หมู่บ้านโคกะโหลก, หอแต๋วแตก แหกหัวกับไส้, นางฟ้าขาแดนซ์ ระเบียบวาทะศิลป์ เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา M STUDIO ผลิตหนังไทยมากเป็นอันดับหนึ่งถึง 11 เรื่อง โดยปี 2566 ผลิตหนังไทยรวม 4 เรื่อง ได้แก่ เสือเผ่น, อาตมาฟ้าผ่า, ลอง ลีฟ เลิฟว์! และ ธี่หยด และปี 2567 ผลิตหนังไทยรวม 7 เรื่อง ได้แก่ หอแต๋วแตกแหกสัปะหยด, อนงค์, มานะแมน, ศึกค้างคาวกินกล้วย, วัยเป้ง, ธี่หยด 2 และคุณชายน์ เมื่อรวมกับหนังที่รับจัดจำหน่ายด้วยแล้ว ทำรายได้รวมของ M STUDIO อยู่ที่ 1,322 ล้านบาท บริษัทคาดว่าธุรกิจภาพยนตร์ของ M STUDIO จะเติบโต 30-40 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/8H36gr7xjWwWvU4QxRhZ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="8H36gr7xjWwWvU4QxRhZ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“M STUDIO จะไม่หยุดพัฒนาเพื่อสร้างการเติบโตให้กับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยจากจุดที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นของความสำเร็จ ให้เติบโตอย่างยั่งยืน อยากทำให้คนไทยไม่ปฏิเสธหนังไทย และมีโอกาสส่งออกไปต่างประเทศมากขึ้น เราอยากให้รัฐบาลช่วยสนับสนุนผู้สร้างหนังไทยทั้งขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ อย่างเท่าเทียม เริ่มจากการสนับสนุนการทำตลาดในระยะสั้น การเข้าถึงแหล่งเงินทุน ในระยะกลาง เพื่อดึงรายใหม่ๆ เข้าสู่อุตสาหกรรม และระยะยาวอยากให้รัฐสนับสนุนการศึกษา สนับสนุนนิสิต นักศึกษาที่อยากจะเข้ามาในอุตสาหกรรมนี้ เพื่อให้มีความเข้าใจเรื่อง commercial art และผลิตคอนเทนต์ได้แข็งแรงเหมือนประเทศอื่นๆ” สุรเชษฐ์กล่าวทิ้งท้าย <a href="https://www.freepik.com/free-photo/rows-red-seats-theater_3532061.htm#fromView=search&amp;page=1&amp;position=0&amp;uuid=a1ab0be7-0195-4c5e-9922-3a7fc57a7119">Image by rawpixel.com on Freepik</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/other/lahnmah-academy-awards-best-international-feature-film-shortlist" alt="‘หลานม่า’ หนังไทยเรื่องแรก เข้ารอบออสการ์ 15 เรื่องสุดท้าย สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม">‘หลานม่า’ หนังไทยเรื่องแรก เข้ารอบออสการ์ 15 เรื่องสุดท้าย สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘ภาพยนตร์ไทย’ กวาดรายได้แซงฮอลลีวูด ปี 67 ครองมาร์เก็ตแชร์ 54% สะท้อนปรากฏการณ์ ‘TOLLYWOOD’

<h2>เมเจอร์ วางกลยุทธ์รุกหนักตลาดโรงภาพยนต์ ตั้งเป้าขยายสาขา Kids Cinema ให้ครบ 40 สาขา ภายในปี 2568 ผนึกกำลังพันธมิตร Naming Sponsor ให้เพิ่มขึ้นเป็น 12 ราย พร้อมขยายตลาด ‘‘ป๊อปคอร์น’ ออกไปยังพื้นที่นอกโรงหนังเพิ่มขึ้น </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นรุตม์ เจียรสนอง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เผยว่า ปัจจุบันเมเจอร์ ซินีเพล็กซ์ ครองส่วนแบ่งตลาดภาพยนตร์กว่า 70% มีฐานแฟนๆ คนที่ชื่นชอบการดูหนังกว่านับสิบล้านรายครอบคลุมตั้งแต่กลุ่มเด็ก วัยรุ่น ไปจนถึงกลุ่มผู้ใหญ่&nbsp; โดยช่วงครึ่งแรกของปี 2567 นี้ มีหนังไทยถึง 6 เรื่อง ที่ทำรายได้เกิน 100 ล้าน และขายสิทธิ์ไปยังตลาดต่างประเทศได้ หนุนปริมาณและคุณภาพหนังไทยดึงดูดคนดู นอกเหนือจากหนังฮอลลีวูดที่ยังเป็นแม่เหล็กแข็งแรงในช่วงไตรมาส 3 และ 4&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“โรงภาพยนตร์จอยักษ์ IMAX เรามีการวางหนังฟอร์มยักษ์ทุกสัปดาห์ คนแน่นมาก ถือเป็นการอุ่นเครื่องสู่ปีหน้า 2568 ซึ่งคาดการณ์ว่าน่าจะเป็นปีที่ดีสุด ของเมเจอร์ฯ เพราะเปิดรายชื่อหนังบล็อกบัสเตอร์ปีหน้ามีจำนวนมากสุดเท่าที่เคยมีมา” ผู้บริหารของดรงหนังเมเจอร์ กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ในส่วนของกลยุทธ์การตลาด ปี 2567 จะยังคงวางแผนรุกตลาดมากกว่าเดิม โดยการขยายโรงภาพยนตร์สำหรับเด็ก Kids Cinema เพิ่มขึ้นอีก 7 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จากปัจจุบันมี 14 สาขา เช่น ไอคอน ซีเนคอนิค, ควอเทียร์ ซีเนอาร์ต, พารากอน ซีนีเพล็กซ์, เมกา ซีนีเพล็กซ์, เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน ควบคู่ไปกับการขยายฐานสมาชิกบัตร MGEN KIDS ให้ครบ 250,000 สมาชิก ภายในปีนี้ และตั้งเป้ายอดขายตั๋วหนังสำหรับกลุ่มเด็กและครอบครัวแตะ 1 ล้านใบ รวมทั้งตั้งเป้าขยายสาขาเพิ่มอีกเท่าตัวให้ครบ 40 สาขา ภายในปีหน้า 2568 &nbsp;&nbsp; &nbsp; "จุดเด่นของโรงภาพยนตร์ Kids Cinema ของเมเจอร์ คือการฉายหนังตัวอย่างซึ่งเป็นหนังที่เหมาะสำหรับเด็กเท่านั้น และเพิ่มแสงสว่าง +20% ลดเสียงลง -30% มีบ่อบอลขนาดใหญ่ และสไลเดอร์ให้เด็กสนุกได้ในโรงหนังตลอดการชมภาพยนตร์ ต่อเนื่องไปถึงกิจกรรมเวิร์กชอปอย่าง การระบายสี เพนท์หน้า ก่อนเข้าชมภาพยนตร์ รวมทั้งสามารถจัดงาน 'ปาร์ตี้วันเกิด' ให้เด็กๆ ได้ในโรงภาพยนตร์ได้สนุกสนานไปการดูหนังพร้อมกับกิจกรรมต่างๆ แบบครบจบในที่เดียว"&nbsp;นรุตม์ อธิิบายเพิ่มเติม​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/07/U11gM1uS7kDM7zUU8KAQ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="U11gM1uS7kDM7zUU8KAQ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ทางเมเจอร์วางไว้&nbsp; ก็คือการผนึกกำลังพันธมิตร ‘Naming Sponsor’ เพื่อสร้างผลลัพธ์ Win-Win Strategies โดยปีนี้ เมเจอร์ฯ ตั้งเป้ามี Naming Sponsorใหม่ รวม 12 ราย จากครึ่งปีแรกมีสปนเซอร์แล้วถึง 6 ราย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยตัวอย่างความสำเร็จที่ผ่านมา คือ การผนึกกำลังกับ LAZADA ซึ่งต้องการขยายตลาดสินค้าหมวดแม่และเด็ก จึงได้เนรมิตโรงภาพยนตร์ 'LAZADA Kids Cinema' ที่ควอเทียร์ ซีเนอาร์ตขึ้นมา ซึ่งเมเจอร์ฯ มีการการแจกคูปอง แบ่งปันข้อมูล (Database) กระตุ้นกลุ่มเป้าหมายไปชอปปิงสินค้าแม่และเด็กบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของลาซาด้าเพิ่มขึ้น รวมถึงจัดกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า (CRM) ให้ลูกค้าที่มียอดใช้จ่ายสูง (Top Spender) ทำกิจกรรมเพื่อสังคมพาเด็กด้อยโอกาสมาดูหนังมอบความบันเทิงคู่ความรู้ (Edutainment) มากยิ้งขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม นอกจากสองกลยุทธ์หลักที่กล่าวมาแล้ว ทางเมเจอร์ยังวางแผนขยายตลาด ‘ป๊อปคอร์น’ ออกไปยังพื้นที่นอกโรงภาพยนตร์ เช่น ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ สีลมเอจ อีกด้วย <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/07/N5YsEKBTFZwn5FPVyEcu.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="2" data-file-name="N5YsEKBTFZwn5FPVyEcu.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div>​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/07/Yo6oKsd9wW36xfdXMboz.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="Yo6oKsd9wW36xfdXMboz.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> ​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/kantana-group-launches-blue-project-gen-3-virtual-studio" alt="'กันตนา กรุ๊ป' เปิดตัว Blue Project ทายาทรุ่น 3 ปรับกระบวนทัพสร้างคอนเทนต์ทุกแพลตฟอร์มสู้ศึกยุคดิจิทัล">'กันตนา กรุ๊ป' เปิดตัว Blue Project ทายาทรุ่น 3 ปรับกระบวนทัพสร้างคอนเทนต์ทุกแพลตฟอร์มสู้ศึกยุคดิจิทัล</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์’ รุกตลาดโรงหนังสำหรับเด็ก ตั้งเป้าขยายครบ 40 สาขา ในปี 2568

<h2>เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ตั้งเป้าอัพเกรดโรงภาพยนตร์ IMAX เป็นระบบ Laser 13 สาขา ภายใน 3 ปี หลังจากปี 2565 กระแสตอบรับจากการชมภาพยนตร์ในโรงด้วยระบบใหม่อย่าง Laser ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก สร้างสถิติรายได้สูงสุดนับตั้งแต่เปิดให้บริการในปี 2541 </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ได้ประกาศแผนความร่วมมือครั้งใหญ่ ร่วมกับ IMAX Corporation ในการเดินหน้าอัพเกรดให้ครบทุกสาขาและขยายสาขาเพิ่มด้วยระบบการฉายแบบใหม่ที่ทันสมัยที่สุด “IMAX with Laser”&nbsp;&nbsp; &nbsp; โดยปัจจุบันการฉายหนังด้วยระบบใหม่ เปิดให้บริการแล้ว 3 สาขา ได้แก่ พารากอน ซีนีเพล็กซ์, ไอคอน ซีเนคอนิค และ เมกา ซีนีเพล็กซ์ ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp; &nbsp; ทั้งนี้ แผนความร่วมมือภายในระยะเวลา 3 ปี นับจากปี 2566-2568 จะดำเนินการอัพเกรดระบบการฉายไอแมกซ์จากระบบดิจิทัลเป็นระบบเลเซอร์ อีก 5 สาขา พร้อมทั้งมีแผนการขยายสาขาโรงภาพยนตร์ไอแมกซ์แห่งใหม่เพิ่มอีก 5 สาขา&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/04/qbdjDwyD1NwuF4mzVdqN.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="qbdjDwyD1NwuF4mzVdqN.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;• โดยในปี 2566 จะอัปเกรดระบบฉายใหม่ IMAX with Laser เพิ่มอีก 2 สาขา คือ โรงภาพยนตร์ ไอแมกซ์ ที่ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน และ ควอเทียร์ ซีเนอาร์ต พร้อมเปิดให้บริการโรงภาพยนตร์ไอแมกซ์ระบบฉายใหม่ IMAX with Laser ที่ เอสพลานาด ซีนีเพล็กซ์ งามวงศ์วาน-แคราย ภายในไตรมาส 4&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;• ปี 2567 จะอัปเกรดระบบฉายใหม่ IMAX with Laser 1 สาขา คือ โรงภาพยนตร์ไอแมกซ์ ที่เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ เซ็นทรัล เฟสติวัล เชียงใหม่• ปี 2568 จะอัปเกรดระบบฉายใหม่ IMAX with Laser 2 สาขา คือ โรงภาพยนตร์ไอแมกซ์ ที่เวสต์เกต ซีนีเพล็กซ์ และ Aeon Mall Sen Sok City ประเทศกัมพูชา&nbsp;​&nbsp;&nbsp;&nbsp;พร้อมกันนี้มีแผนที่จะขยายสาขาโรงภาพยนตร์ไอแมกซ์ ด้วยระบบการฉายใหม่อีก 4 สาขา ให้ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศ โดยเฉพาะในจังหวัดใหญ่ ๆ ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับความสำเร็จของภาพยนตร์ Avatar : The Way of Water ที่ทำให้เห็นภาพชัดเจนว่าลูกค้าต้องการประสบการณ์ที่แปลกใหม่และดีขึ้นกว่าเดิม ซึ่งการฉายในระบบ IMAX with Laser ได้ทำสถิติยอดขายสูงสุด นับตั้งแต่เริ่มเปิดให้บริการในประเทศไทยเมื่อปี 2541&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยในปี 2565 การฉายภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ไอแมกซ์สร้างรายได้ไปกว่า 147 ล้านบาท มากกว่ารายได้ของปี 2562 ที่ 140 ล้านบาท ช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19&nbsp; &nbsp; &nbsp;อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://www.forbesthailand.com/news/%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-tesla-%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99" alt="สงครามราคาของ Tesla ในจีน">สงครามราคาของ Tesla ในจีน</a> <hr class="__se__solid">​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a> ​

เมเจอร์ เตรียมขยาย IMAX with Laser เป็น 13 สาขา หลังปี 2565 สร้างรายได้ทุบสถิติ

แก้เกมโควิด ดูหนังรอบหน้าสไตล์ Mitch Roberts

Mitch Roberts ทายาทโรงหนังรุ่น 4 ปรับ Evo Entertainment อย่างไรในช่วงโควิด-19

<h2>ทีปกร โลจนะโกสินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท Lotus Bedding Group เปิดมิติใหม่ในการดูหนัง ทุ่มงบ 50 ล้านบาท ส่งมอบประสบการณ์การนอนชมภาพยนตร์</h2>
 ทีปกร โลจนะโกสินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท Lotus Bedding Group เผยว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่แบรนด์โอมาซได้ทุ่มงบประมาณกว่า 50 ล้านบาท ในการเนรมิตโรงภาพยนตร์แบบนอน จำนวน 40 ที่นั่ง ในพื้นที่กว่า 397.5 ตารางเมตร ของโรงภาพยนตร์ The Bed Cinema by Omazz® เพื่อให้ผู้ชมได้สัมผัสถึงความสบายในแบบที่ต้องการ เพียงปลายนิ้วสัมผัสผ่านรีโมทไร้สาย ตลอดการรับชมภาพยนตร์เรื่องโปรดได้มากกว่าที่เคย บนเตียงนวดปรับระดับไฟฟ้า Adjusto&#x2122; หนึ่งในผลงานมาสเตอร์พีชที่แบรนด์โอมาซภาคภูมิใจ

ในฐานะแบรนด์ที่รังสรรค์ประสบการณ์การพักผ่อนที่สมบูรณ์แบบและเอาใจใส่สิ่งแวดล้อมภายใต้ปรัชญาของแบรนด์โอมาซที่ว่า “Peace is true happiness.” มานานกว่า 2 ทศวรรษ จนประสบความสำเร็จและเป็นที่ยอมรับมากมายในหลายประเทศทั่วโลก

โปรเจ็คโรงภาพยนตร์ “The Bed Cinema by Omazz®” ถือเป็นจุดเริ่มต้นการคิกออฟแผนแคมเปญ “The Bed Experience by Omazz®” ที่แบรนด์โอมาซ ตั้งใจจะมอบของขวัญให้กับผู้บริโภคผ่านการสร้างประสบการณ์ให้ผู้ชมได้เข้ามาดื่มด่ำกับทุกสัมผัสของทุกผลิตภัณฑ์คุณภาพโอมาซ ที่คัดสรรมาเพื่อโปรเจ็คนี้โดยเฉพาะมูลค่าการลงทุนต่อที่นั่ง 1 คู่ (รวมเตียงไฟฟ้า, ที่นอน และเครื่องนอน) อยู่ที่ 600,000 – 1,000,000 บาท

ผู้ชมสามารถเลือกที่นั่งได้ตามใจทั้งแบบ 1 ท่าน 2 ท่าน หรือ 4 ท่าน พร้อมรับบริการป๊อปคอร์นและเครื่องดื่มฟรี ที่บริเวณเลาจน์ด้านหน้าโรงภาพยนตร์ ก่อนเข้าชมภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์คุณภาพเยี่ยมจากเครือ SF Cinema ซึ่งแบรนด์โอมาซมีความเชื่อมั่นในความเป็นมืออาชีพของทีมผู้บริหารและการให้บริการของ SF Cinema ว่าเป็นหนึ่งในผู้สร้างโรงภาพยนตร์ที่ดีที่สุดในเอเชีย นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่แบรนด์โอมาซได้เลือก SF Cinema มาร่วมเป็นพันธมิตรในการทำโปรเจ็ค Collaboration ภายใต้แนวคิด “The Next Level of Cinema Experience” ในครั้งนี้

<figure><img class="wp-image-38124 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/11/ทีปกร-โลจนะโกสินทร์.jpg" alt="ทีปกร โลจนะโกสินทร์" width="600" height="333" /><figcaption> ทีปกร โลจนะโกสินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท Lotus Bedding Group</figcaption></figure>

ในปีนี้แบรนด์โอมาซ มีแผนที่จะสร้างและขยายประสบการณ์เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคมากยิ่งขึ้นผ่านแคมเปญ “The Bed Experience by Omazz®” โดยเน้นรุกทำตลาด (Below the line) ผ่านรูปแบบ Living Billboard หรือ Live Showroom ด้วยการคัดสรรสถานที่ Luxury Property ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปัจจุบันมากยิ่งขึ้น อาทิ โรงแรม รีสอร์ท โรงภาพยนตร์ สถาบันเสริมความงาม รวมถึงสปา ฯลฯ เข้ามาเป็นหนึ่งในเครือข่ายของ The Omazz Luxury Property Collection โดยคัดสรรจากการให้บริการที่ดี บริหารงานโดยทีมงานมืออาชีพ และมีการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับปรัชญาของแบรนด์ โอมาซที่เน้นในเรื่องของความสงบ “Peace is true happiness” และส่งมอบประสบการณ์ความสบายทั้งในภูมิภาคเอเชียและทั่วโลก

ทั้งนี้แบรนด์โอมาซได้มีการตั้งงบลงทุนสำหรับแคมเปญ “The Bed Experience by Omazz®” ในแต่ละปีอยู่ที่ 100 – 200 ล้านบาท

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%b8%e0%b8%87%e0%b8%a8%e0%b8%a3%e0%b8%b5-%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b9%82%e0%b8%95%e0%b9%89-%e0%b9%80%e0%b8%9c%e0%b8%a2-3-%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%a3%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b9%8c.html">กรุงศรี ออโต้ เผย 3 เทรนด์ ตอบโจทย์ผู้ใช้รถ ปี 2021</a>
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>

ทีปกร โลจนะโกสินทร์ เปิดประสบการณ์ "ที่นอนโอมาซ" ในโรงหนัง

<h2>Charles Cohen ตกหลุมรักการชมภาพยนตร์ตั้งแต่อายุ 3 ขวบ เขาชอบภาพยนตร์เรื่อง Cinderella ที่คุณยายพาไปชมมากจนกระทั่งยายของเขาต้องพาไปดูภาพยนตร์เรื่องนั้นซ้ำอีกเป็นรอบที่สอง</h2>
Cohen ใช้เวลาในช่วงก่อนวัยรุ่นดูภาพยนตร์ต่างประเทศหลายต่อหลายเรื่องที่โรงภาพยนตร์ซึ่งตั้งอยู่ใกล้บ้านใน Westchester County รัฐ New York บางครั้งเขาโดยสารรถประจำทางไป White Plains เพื่อดูภาพยนตร์ซึ่งฉายสองเรื่องควบ Cohen ยังเคยทำหนังสั้น 3 เรื่องในช่วงวัยระหว่าง 16-20 ปี เขากล่าวว่า “ภาพยนตร์เป็นเหมือนประตูสู่โลกกว้างสำหรับผม”

หลังจากจบการศึกษาด้านกฎหมายแล้ว Cohen เริ่มต้นทำงานในธุรกิจของครอบครัวอย่าง Cohen Brothers Realty ซึ่งเป็นที่มาของทรัพย์สินมูลค่า 2.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ของเขา และในที่สุดเขาก็ได้ซื้อกิจการนั้นจนได้เป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว

<figure><img style="width: 350px; height: 518px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/7c862b567c84df41b4c6217bffdc4edb.png" alt="" width="350" height="518" /><figcaption> Charles Cohen ร่ำรวยจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ สินทรัพย์มูลค่าสูงส่วนใหญ่ของเขาคือบรรดาออฟฟิศบิลดิ้งใน New York และศูนย์การออกแบบในอีกหลายเมือง อีกมุมหนึ่ง Cohen คลั่งไคล้ภาพยนตร์และจัดตั้งบริษัทจัดจำหน่ายภาพยนตร์ ซึ่งบริษัทนี้ได้เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์ภาพยนตร์คลาสสิกกว่า 1 พันเรื่อง</figcaption></figure>

ถึงกระนั้นก็ดี ความหลงใหลในภาพยนตร์ก็ยังคงอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย ในระยะแรก Cohen เก็บงำความคลั่งไคล้นั้นไว้คนเดียว เขาใช้เงินประมาณ 500,000 เหรียญสร้างโรงภาพยนตร์ที่มีความวิจิตรงดงามขึ้นใต้แมนชั่นใน Greenwich รัฐ Connecticut ของเขาในปี 1994 จากนั้น เขาได้ใช้เงินอีก 500,000 เหรียญทยอยปรับปรุงโรงภาพยนตร์ของเขาให้ดียิ่งขึ้นไปอีก เช่น ติดตั้งจอโปรเจคเตอร์ดิจิทัลสำหรับฉายภาพยนตร์ในระบบสามมิติ และจอภาพยนตร์แบบโค้งซึ่งมีความสว่างมากกว่าจอภาพยนตร์แบบปกติเพื่อฉายภาพยนตร์ที่ถ่ายทำด้วยเลนส์ที่มีความคมชัดสูงสุด หรือในระบบสามมิติ

ในที่สุด เขาได้ก้าวออกมาจากโรงภาพยนตร์เพื่อลงมือทำความฝันของตนในปี 2008 เขาได้ลงทุนและร่วมสร้างภาพยนตร์เรื่อง Frozen River ซึ่งกำกับการแสดงโดยภรรยาของเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง Cohen ขาดทุนเล็กน้อยจากการสร้างภาพยนตร์ แต่ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Oscar ถึงสองรางวัลด้วยกัน

<figure><img style="width: 680px; height: 459px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/e51f08b3688da337636ae38be9b836ab.png" alt="" width="680" height="459" /><figcaption> โรงภาพยนตร์ส่วนตัว Quad Cinema ใต้แมนชั่นของ Cohen ที่ Greenwich Village รัฐ Connecticut ค่าก่อสร้างรวมกับค่าปรับปรุงสถานที่นับจากปี 1994 ถึงปัจจุบันคิดเป็นมูลค่าราว 1 ล้านเหรียญสหรัฐ</figcaption></figure>

สองปีต่อมา เขาเปิดบริษัทจัดจำหน่ายภาพยนตร์และถือสิทธิในภาพยนตร์คลาสสิกและภาพยนตร์ต่างประเทศถึง 1,000 เรื่อง ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมประจำปี 2017 จากเวที Oscar อย่าง The Salesman ตัวเขาจัดจำหน่ายภาพยนตร์จากประเทศอิหร่านเรื่องดังกล่าวร่วมกับ Amazon Studios ในประเทศสหรัฐฯ

Cohen ลงมือสร้างโรงภาพยนตร์อันมีสไตล์ โดยเริ่มจากการปรับโฉม Quad Cinema ใน Greenwich Village ซึ่งจะเปิดตัวใหม่ในเดือนเมษายน และกำลังจะนำภาพยนตร์สำหรับครอบครัวที่โด่งดังในทศวรรษ 1970 อย่าง Benji กลับมาสร้าง

นอกจากจะเป็นสมาชิกของ Academy of Motion Picture Arts &amp; Sciences แล้ว Cohen ยังเป็นสมาชิกของสถาบันอันทรงเกียรติอย่าง Bel Air Circuit ซึ่งส่งภาพยนตร์เรื่องใหม่ให้สมาชิกวงในได้รับชมก่อนฉายในโรงภาพยนตร์อีกด้วย ในวันหยุด Memorial Day เขาและครอบครัวใช้เวลาว่างชมภาพยนตร์เรื่อง Pirates of the Caribbean ภาค 5, Paris Can Wait และ Baywatch

&nbsp;

<img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/e9b2fd82299e74441a183a266824e56b.png" alt="" />

ใบปิดหนังของแท้ขนาด 81 นิ้วของภาพยนตร์ 4 เรื่อง ได้แก่ Frenzy ของผู้กำกับ Alfred Hitchcock (ซ้าย) ภาพยนตร์ James Bond เรื่อง For Your Eyes Only (ขวา) Chinatown และ The Day of the Locust แขวนอยู่บริเวณทางเข้าโรงภาพยนตร์ Cohen ประมูลใบปิดหนังโบราณและนำมาซ่อมแซมจนมีสภาพดี เขามีใบปิดหนังมากกว่า 100 ใบ และสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันนำออกมาแสดง บนกำแพงยังมีใบปิดหนังขนาดย่อมลงมาของภาพยนตร์เรื่อง From Russia with Love (ซ้าย) และภาพนิ่งจากภาพยนตร์เรื่อง North by Northwest (ขวา)

&nbsp;

<figure><img style="width: 680px; height: 572px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/c12875735eedc1afb282c72b5c801e33.png" alt="" width="680" height="572" /><figcaption> ประติมากรรมรูปพนักงานเก็บตั๋วหนังแต่งตัวเต็มยศเป็นผลงานของศิลปินจาก Massachusetts ซึ่ง Cohen สั่งทำขึ้นในราคา 10,000 เหรียญ</figcaption></figure>

&nbsp;

&nbsp;

<figure><img style="width: 680px; height: 612px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/68aa0e2aaaee40debad1e8b34499c53c.png" alt="" width="680" height="612" /><figcaption> ไฟระบบใยแก้วนำแสงซึ่งปรับระดับความสว่างได้ติดตั้งอยู่บนเพดานบริเวณทางเข้าเพื่อช่วยสร้างบรรยากาศของท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มีแสงดาวระยิบระยับ ราวกับว่าคุณเดินเข้าล็อบบี้มาจากภายนอกอาคาร สัญลักษณ์ Paramount ซึ่งสั่งทำขึ้นล้อมรอบด้วยงานโลหะฝีมือประณีตซึ่ง Cohen ซื้อต่อมาจากบริษัทที่ทำการบูรณะซ่อมแซม Grand Central Terminal</figcaption></figure>

<figure><img style="width: 680px; height: 638px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/6be8a9eba933eaf558184c5e858b6f27.png" alt="" width="680" height="638" /><figcaption> มือจับประตูโรงภาพยนตร์ทำด้วยทองเหลือง 8 คู่เป็นของดั้งเดิมจากโรงภาพยนตร์ Paramount ที่ 43rd Street และโรงละคร Broadway ใน Times Square โคมไฟระย้าจากโรงภาพยนตร์ Centrum Theatre ใน Cleveland แขวนอยู่ในล็อบบี้เหนือทางเข้า โรงภาพยนตร์สุดอลังการของ Cohen ซึ่งปูพื้นด้วยหินขัดและกรุผนังด้วยหินปูนเทียมแห่งนี้สร้างขึ้นโดยมีกลิ่นอายของโรงภาพยนตร์สุดหรูในช่วงทศวรรษ 1920 และ 1930</figcaption></figure>

<figure><img style="width: 350px; height: 531px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/fb74154ceda2f3f450dda119481d40bf.png" alt="" width="350" height="531" /><figcaption> Cohen เป็นแฟนตัวยงของ Hitchcock เป็นสาวกของภาพยนตร์ James Bond และภาพยนตร์ต่างประเทศ เขายืนยันว่าตัวเขาหลงใหลภาพยนตร์ทุกประเภท โดยเฉพาะภาพยนตร์แนวอินดี้ ถ้าหากถามว่าภาพยนตร์เรื่องใดเป็นภาพยนตร์ที่เขาชื่นชอบมากที่สุดตลอดกาล เขาตอบว่าคำถามนี้เหมือนกับคำถามว่าคุณรักลูกคนไหนมากที่สุดหรืออะไรคืออาหารจานโปรดของคุณ มันเป็นการเดินทางที่ไม่มีจุดสิ้นสุด และก็ยังมีผู้สร้างภาพยนตร์ฝีมือดีอีกหลายต่อหลายคน</figcaption></figure>

<figure><img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/caa18e463a7265f6e5e641b5287faf7b.png" alt="" width="680" height="453" /><figcaption> ที่นั่งทั้ง 24 ที่รวมทั้งโซฟาคู่อีกหนึ่งตัวสามารถมองเห็นจอภาพยนตร์ได้ชัดเจน ที่นั่งแถวถัดไปอยู่สูงกว่าที่นั่งแถวก่อนหน้าสองขั้นบันได เพดานอันวิจิตรงดงามมี โรงภาพยนตร์ Roxy Theatre ใน New York เป็นต้นแบบ</figcaption></figure>

&nbsp;

เรื่อง: LUISA KROLL
เรียบเรียง: ริศา

<hr />

<a href="https://goo.gl/kcoQQx">ติดตามบทความทางด้านธุรกิจได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ ตุลาคม 2560 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="https://goo.gl/kcoQQx"><img style="width: 250px; height: 328px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/25a9e33fc0feeb3390d34e3f2998eb57.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events