CoreWeave จับช่องว่างตลาด คว้าโอกาสท่ามกลางศึก AI

<h2>บริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐฯ อย่าง Nvidia ประสบกับการสูญเสียครั้งใหญ่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา หลังจากที่บริษัทสตาร์ทอัพสัญชาติจีน DeepSeek พลิกโฉมอุตสาหกรรมเทคโนโลยี</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และการสูญเสียครั้งใหญ่ดังกล่าวทำให้ซีอีโออย่าง Jensen Huang สูญเสียความมั่งคั่งไปกว่า 2 หมื่นล้านเหรียญในวันเดียว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;DeepSeek เปิดเผยว่าบริษัทได้สร้างโมเดล AI ใหม่ในเวลาเพียง 2 เดือนด้วยต้นทุนไม่ถึง 6 ล้านเหรียญ ซึ่งน้อยกว่าต้นทุนของคู่แข่งในสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังไม่ได้ใช้ชิปคอมพิวเตอร์ทรงพลังราคาแพงของ Nvidia ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมการส่งออกของรัฐบาลสหรัฐฯ อีกด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่งผลให้ค่ำคืนที่ผ่านมา หุ้นของ Nvidia ร่วงลงเกือบ 17% เนื่องจากตลาดคาดการณ์ถึงความเป็นไปได้ที่ซัพพลายเออร์ชิป AI รายใหญ่ที่สุดของโลกอาจเผชิญกับความต้องการที่น้อยลง เนื่องจากโมเดลต่างๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และนั่นก็ทำให้ Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ที่ถือหุ้นอยู่ 3% มีทรัพย์สินลดลง 16.74% หรือลดลง 2.08 หมื่นล้านเหรียญ มาอยู่ที่ 1.036 แสนล้านเหรียญ ตามข้อมูลทรัพย์สินแบบเรียลไทม์ของ Forbes โดยเขาอยู่ในอันดับ 17 มหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลก ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/6oeKqsTqKGrmfJDnT3w7.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="6oeKqsTqKGrmfJDnT3w7.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> ​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/global/it/nvidia-to-build-ai-research-data-centres-in-vietnam-with-govt" alt="Jensen Huang พา Nvidia จับมือรัฐบาลร่วมลงทุนทำศูนย์วิจัยและพัฒนา AI และดาต้าเซ็นเตอร์ AI ในเวียดนาม">Jensen Huang พา Nvidia จับมือรัฐบาลร่วมลงทุนทำศูนย์วิจัยและพัฒนา AI และดาต้าเซ็นเตอร์ AI ในเวียดนาม</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Jensen Huang รวยลดลง 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในวันเดียว หลังนักลงทุนเทขายหุ้น Nvidia จนร่วงกว่า 17%

<h2>การ์ทเนอร์คาดการณ์ภายในปี 2567 รายได้ของเซมิคอนดักเตอร์ AI ทั่วโลกจะมีมูลค่ารวมถึง 71,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 33% จากปี 2566 โดยในปีนี้ มูลค่ารวม AI Accelerators ในเซิร์ฟเวอร์ ปี 2567 อยู่ที่ 21,000 ล้านเหรียญ และยังมีมุมมองว่าภายในสิ้นปี 2569 การจัดซื้อพีซีระดับองค์กรทั้ง 100% จะเป็น AI PC ทั้งหมด</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อลัน พรีสต์ลีย์ รองประธาน ฝ่ายวิจัยการ์ทเนอร์ กล่าวว่า ปี 2567 นี้ คาดว่า วันนี้ Generative AI (GenAI) กำลังกระตุ้นความต้องการชิป AI ประสิทธิภาพสูงสำหรับ Data Canter และในปี 2567 นี้มูลค่าของ AI Accelerators ในเซิร์ฟเวอร์ที่ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลจากไมโครโปรเซสเซอร์ จะมีมูลค่ารวม อยู่ที่ 21,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และเพิ่มขึ้นเป็น 33,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2571&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2567 รายได้จากชิป AI จากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์คอมพิวเตอร์จะมีมูลค่ารวม 33,400 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะคิดเป็น 47% ของรายรับจากเซมิคอนดักเตอร์ AI ทั้งหมด โดยในปีนี้มีรายรับจากชิป AI จากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในยานยนต์คาดว่าจะสูงถึง 7,100 ล้านเหรียญสหรัฐ และจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค 1,800 ล้านเหรียญสหรัฐ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากข้อมูลพบว่า รายได้ของชิป AI จาก Compute Electronics จะสร้างสถิติส่วนแบ่งสูงสุดในกลุ่มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยคาดการณ์รายได้จากเซมิคอนดักเตอร์ AI ในช่วงปี 2566 - 2568 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ปี 2566 อยู่ที่ 53,662 ล้านเหรียญสหรัฐ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ปี 2567 อยู่ที่ 71,252 ล้านเหรียญสหรัฐ (มีอัตราการเติบโตสูงสุด)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ปี 2568 อยู่ที่ 91,955 ล้านเหรียญสหรัฐ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ การ์ทเนอร์ยังคาดการณ์ว่าการจัดส่ง AI PC จะสูงถึง 22% ของยอดรวมการจัดส่งพีซีทั้งหมดในปี 2567 และภายในสิ้นปี 2569 การซื้อพีซีในระดับองค์กรจะเป็น AI PC ทั้ง 100% โดย AI PC ประกอบด้วยหน่วยประมวลผล Neural Processing Unit (NPU) ที่ทำให้ AI PC สามารถทำงานได้นานขึ้น เงียบขึ้นและเย็นลง และการมีระบบ AI จะช่วยพัฒนาการใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ภาพรวมการแข่งขันระหว่างผู้ขายเซมิคอนดักเตอร์และบริษัทเทคโนโลยี มองว่ายังดุเดือด แม้ในตลาดจะมุ่งเน้นการใช้หน่วยประมวลผลกราฟิกประสิทธิภาพสูง (GPU) ในเวิร์กโหลดใหม่ ๆ ของ AI แต่ผู้ให้บริการระดับไฮเปอร์สเกลหลัก ๆ (เช่น AWS, Google, Meta และ Microsoft) ต่างลงทุนพัฒนาชิปของตัวเองโดยปรับให้เหมาะสมกับ AI แม้การพัฒนาชิปจะมีราคาแพง ซึ่งการใช้ชิปที่ออกแบบเองนั้นสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการดำเนินงาน ช่วยลดต้นทุนของการส่งมอบบริการที่ใช้ AI ให้กับผู้ใช้ และลดต้นทุนสำหรับผู้ใช้ในการเข้าถึงแอปพลิเคชันที่ใช้ AI ใหม่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ขณะที่ตลาดเปลี่ยนจากการพัฒนา (Development) ไปสู่ การนำมาปรับใช้งาน (Deployment) เราคาดว่าแนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไป” อลัน กล่าว เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/motoring/byd-acquires-20-percent-stake-in-reve-automotive" alt="BYD เข้าถือหุ้น 20% ใน ‘เรเว่ ออโตโมทีฟ’ พร้อมเผยเหตุลดราคาเพราะ ‘ต้นทุนเปลี่ยน’">BYD เข้าถือหุ้น 20% ใน ‘เรเว่ ออโตโมทีฟ’ พร้อมเผยเหตุลดราคาเพราะ ‘ต้นทุนเปลี่ยน’</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

การ์ทเนอร์ คาดการณ์ปี 2567 รายได้ชิป AI ทั่วโลกจะโตขึ้น 33% จากเทรนด์ GenAI

<h2>Wall Street Journal เปิดเผยข้อมูลจากแหล่งข่าวโดยระบุว่า Apple กำลังเดินหน้าโครงการ ACDC (Apple Chips in Data Center) เป็นการพัฒนาชิปเพื่อใช้สำหรับซอฟต์แวร์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งได้ดำเนินการมาหลายปีแล้ว แต่แหล่งข่าวไม่ได้ระบุระยะเวลาที่แน่ชัด</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ผู้ผลิต iPhone นี้ได้ออกแบบและผลิตชิปดังกล่าวร่วมกับ Taiwan Semiconductor Manufacturing Co. (TSMC) ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในไต้หวัน โดยยังไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนจากการพัฒนาชิป AI นี้ ซึ่งคาดว่า Apple จะเน้นใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการอนุมานความเป็นไปได้้ (AI Inference) มากกว่าใช้เพื่อการเทรนโมเดล AI ซึ่งเป็นสาขาที่ผู้เชี่ยวชาญต่างลงความเห็นกันว่า Nvidia ยังคงครองตลาดอยู่&nbsp; &nbsp; AI Inference คือ กระบวนการร่วมกับ Machine Learning เพื่อสร้างข้อสรุปจากข้อมูลใหม่ล่าสุด โดยบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อื่นๆ เช่น Google มีการลงทุนเพื่อพัฒนา AI inference server chips เพื่อลดการพึ่งพาผู้พัฒนาชิปเจ้าอื่น&nbsp; &nbsp;&nbsp;ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญต่างมองว่า Apple ยังตามหลังค่ายอื่นๆ ในด้านการพัฒนา AI ขณะที่คู่แข่งอย่าง Microsoft ได้ลงทุนนับพันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI&nbsp; &nbsp;&nbsp;Tim Cook ซีอีโอของ Apple กล่าวในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า บริษัทได้ “ลงทุนด้านเทคโนโลยีอย่างมีนัยสำคัญ” และปลายปีนี้อาจประกาศเพิ่มเติมเกี่ยวกับ AI นักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์ว่า Apple อาจประกาศเรื่องนี้ในี่งานประชุม Worldwide Developers Conference ประจำปี 2024 ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้&nbsp; &nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ผลประกอบการไตรมาสล่าสุดที่ประกาศเมื่อ 2 พฤษภาคม ที่ผ่านมา Tim Cook ได้เปิดเผยแก่นักลงทุนว่า บริษัทจะยังคงลงทุนใน AI อย่างต่อเนื่อง&nbsp; &nbsp;&nbsp;“เราเชื่อในพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงและอนาคตของ AI และเราก็เชื่อว่าเรามีข้อได้เปรียบที่จะทำให้เราแตกต่างจากคู่แข่งในยุคสมัยแห่งอนาคตนี้” Tim Cook กล่าว&nbsp; &nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ งบการเงินไตรมาส 2/2567 ของ Apple พบว่า กำไรจะสูงกว่าระดับที่คาดการณ์ไว้แต่ในภาพรวมปรับตัวลดลง 4% สอดคล้องกับยอดขาย iPhone ที่ลดลง นอกจากนี้ Apple ยังประกาศทุ่มเงิน 1.1 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ซื้อหุ้นของตัวเองคืนเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา นับเป็นการซื้อหุ้นคืนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท ส่งผลให้ราคาหุ้นในตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a href="https://www.cnbc.com/2024/05/07/apple-is-reportedly-developing-chips-to-run-ai-software-in-data-centers-.html" alt="Apple is reportedly developing chips to run artificial intelligence software in data centers">Apple is reportedly developing chips to run artificial intelligence software in data centers</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a href="https://www.forbesthailand.com/news/global/howard-schultz-starbucks-needs-to-focus-on-store-an-coffee" alt="อดีตซีอีโอ Starbucks เตือน บริษัทต้องหันมาโฟกัสที่ ‘กาแฟ‘ หลังยอดขายร่วง">อดีตซีอีโอ Starbucks เตือน บริษัทต้องหันมาโฟกัสที่ ‘กาแฟ‘ หลังยอดขายร่วง</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Apple ซุ่มพัฒนาชิป AI สำหรับศูนย์ข้อมูลผ่านโครงการ ACDC ย้ำเชื่อมั่นในพลังปัญญาประดิษฐ์

<h2>Giuseppe Crippa ตัดสินใจรับเงินชดเชยจาก STMicroelectronics (STM) ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์สัญชาติฝรั่งเศส-อิตาลีในปี 1995 เพื่อยุติอาชีพการทำงาน 35 ปี และเดินหน้าคว้าโอกาสเริ่มต้นธุรกิจของตนเองนับตั้งแต่นั้นมา </h2>
<figure><img class="wp-image-64016" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/06/1960x0.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> Stefano Felici ซีอีโอ Technoprobe และหลานชายผู้ก่อตั้ง Giuseppe Crippa</figcaption></figure>

Giuseppe Crippa วัย 60 ปี เริ่มต้นธุรกิจที่เคยวาดฝันไว้มาตลอด 6 ปี ด้วยการก่อตั้งบริษัท Technoprobe ขึ้นในเมืองเล็กๆ นอก Milan เพื่อผลิต Probe Card อุปกรณ์ที่ใช้ตรวจสอบการทำงานของไมโครชิป ซึ่ง 15 ปีต่อมาก็ได้จัดจำหน่ายให้กับอดีตนายจ้างของเขา

ด้าน Stefano Felici ซีอีโอ Technoprobe และหลานชายของ Crippa กล่าวว่า "เขาเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์มาก" ในการสัมภาษณ์ผ่าน Zoom เมื่อต้นเดือนมีนาคมจากสำนักงานใหญ่ของบริษัทในอิตาลีตอนเหนือ “ในการซ่อม probe card แต่ละครั้ง คุณต้องส่งไปที่สหรัฐฯ และใช้เวลาราว 2 สัปดาห์ ดังนั้นเขาจึงคิดขั้นตอนในการทำขึ้นในครัวของเขาเองเลย”

27 ปีหลังจากการก่อตั้ง Technoprobe ได้ก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 2 ผู้ผลิต probe card ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ส่งมอบให้กับยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Apple, Qualcomm, Samsung และ Nvidia รวมถึงผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ เช่น AMD, Intel และ TSMC

เนื่องจากเซมิคอนดักเตอร์สมัยใหม่มีความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ชิปแต่ละตัวจึงต้องใช้ probe card ของตัวเองเพื่อตรวจสอบข้อบกพร่องและแก้ไขปัญหาที่พบ เพื่อที่จะสามารถผลิตชิปให้ได้ในจำนวนมาก และส่งไปบรรจุในสมาร์ทโฟน แล็ปท็อป และรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นล่าสุด 

ปัจจุบัน probe card ประกอบไปด้วยหมุดโลหะมากถึง 50,000 เล่ม "ปรียบเสมือนการฝังเข็ม" Amanda Scarnati นักวิเคราะห์จาก Citigroup ซึ่งเชี่ยวชาญในด้านเซมิคอนดักเตอร์และ probe card กล่าว “เข็มที่เล็กและบางมากเหล่านี้วางลงบนชิปและทำให้เราแน่ใจว่าทุกอย่างทำงานได้ดี"

ปีที่แล้ว Technoprobe แซงหน้าคู่แข่งชั้นนำอย่าง FormFactor ของ Livermore ใน California ด้วยรายได้สุทธิ 136 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากรายได้ 446 ล้านเหรียญในปี 2021 ทำลายสถิติรายได้ 436 ล้านเหรียญของ FormFactor ที่เคยสร้างไว้ 

ปัจจุบัน Technoprobe อยู่ภายใต้การบริหารงานของหลานชายและลูกชายของ Crippa ซึ่งดำรงตำแหน่งซีอีโอและประธานบริษัทตามลำดับ และเพิ่งใช้ประโยชน์จากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปีล่าสุด เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ Euronext Growth Milan ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา 

โดยการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ยังได้เปลี่ยนสถานะของ Crippa ในวัย 87 และครอบครัว ให้เป็นหนึ่งในตระกูลมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในอิตาลี ด้วยมูลค่าทรัพย์สินราว 4 พันล้านเหรียญจากสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 75 ในบริษัท ร่วมทัพกับอีก 8 มหาเศรษฐีหน้าใหม่แห่งปีอย่าง Marvy Finger และ William Franke ที่ต่างมีอายุ 80 ปีขึ้นไปเช่นกัน 

“คุณกำลังนำชิปหลายๆ ชิ้นมาเรียงชิดกันเพื่อให้สมาร์ทโฟนของคุณมีขนาดเล็กลง บางลง และเบาขึ้น” Scarnati กล่าว "คุณต้องทดสอบชิ้นส่วนทั้งหมด และนั่นหมายความว่าคุณต้องการ probe card เพิ่ม”

ด้าน Crippa เกิดในเมืองเล็กๆ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของ Milan ในปี 1935 และเติบโตขึ้นมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ฉะนั้นวัยเด็กของเขาจึงข้องเกี่ยวกับการหลบภัยและการโจมตีทางอากาศในฐานหลบภัยใต้ตึกอะพาร์ตเมนต์ที่เขาและครอบครัวอาศัยอยู่บ่อยครั้ง

“เพื่อคลายความตึงเครียด ฉันและเด็กๆ คนอื่นๆ จะแจกขนมให้ทุกคนที่ซ่อนตัวอยู่กับเราในขณะที่เรากำลังรอความชัดเจนจากหลายๆ ฝ่าย” เขาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวท้องถิ่น Merate Online ในเดือนมิถุนายน

หลังสงครามจบสิ้น Crippa เข้าเรียนที่โรงเรียนเทคนิคแห่งหนึ่งใน Bergamo และเริ่มงานแรกที่บริษัทวิศวกรรม Breda ก่อนที่จะเริ่มสนใจในโลกของไมโครชิปเป็นครั้งแรกในปี 1960 ซึ่งขณะนั้นอายุได้ 25 ปี และเริ่มทำงานให้กับบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ SGS หลังจากเห็นประกาศรับสมัครงานในหนังสือพิมพ์ Corriere Della Sera

ในปีเดียวกันนั้น SGS ได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับ Fairchild Semiconductor ซึ่งก่อตั้งเมื่อ 5 ปีก่อนโดยผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี Gordon Moore ต่อมาในปี 1962 SGS ได้ตัดสินใจส่ง Crippa ไปที่ Silicon Valley เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีของบริษัทต่างๆ และนำกลับมาประยุกต์ใช้ในงานที่อิตาลี เพื่อเปิดสายการผลิตทรานซิสเตอร์ซิลิคอนสายแรกในยุโรปในปี 1963 ซึ่งต่อมากลายเป็นที่รู้จักในชื่อ STM

หลายทศวรรษต่อมา เงินชดเชยที่ได้รับจากการเลิกจ้างของ STM ได้กลายเป็นใบเบิกทางให้ Crippa ก่อตั้ง Technoprobe อย่างเป็นทางการ ร่วมกับพนักงานประมาณ 10 คน ก่อนที่สมาชิกในครอบครัวรายอื่นๆ จะเข้าร่วมด้วย

Technoprobe เติบโตอย่างรวดเร็ว และได้ขยายไปยังฝรั่งเศสในปี 2001 และสิงคโปร์ในปี 2004 ไม่เพียงเท่านี้ 4 ทศวรรษหลังจากที่เขาเดินทางไป Golden Crippa ก็ได้ส่งหลานชายของเขา Felici  ไปแคลิฟอร์เนียเพื่อเปิดสำนักงานแห่งแรกในสหรัฐฯ ในเมือง San Jose ในปี 2007 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่บริษัทเริ่มพัฒนา probe card ขนาดเล็กที่มีศักยภาพสูงขึ้นภายในองค์กร

ในปี 2019 บริษัทได้เริ่มดำเนินการตามแผนการลงทุนมูลค่า 100 ล้านเหรียญ เพื่อขยายส่วนแบ่งการตลาด โดยใช้เงิน 40 ล้านเหรียญเพื่อซื้อ Van Nuys ซึ่งเป็นบริษัทไมโครแฟบริกาใน California ซึ่งผลิตส่วนประกอบที่พิมพ์ 3 มิติสำหรับ probe card

"เราผนวกเทคโนโลยีของพวกเขาเข้าด้วยกัน ซึ่งช่วยให้เราสามารถขยายช่องว่างกับคู่แข่งรายอื่นๆ ของเราได้" Felici กล่าว

นอกจากนี้ Felici ยังชี้ว่าให้เห็นว่า ความซับซ้อนที่มากขึ้นของรถยนต์ ซึ่งประกอบไปด้วยแท็บเล็ตและหน้าจอสัมผัส เป็นหนึ่งในหลายสาเหตุสำหรับการเติบโตของอุตสาหกรรม "ตอนนี้รถยนต์มีคอมพิวเตอร์และกราฟิกการ์ด...และชิปเหล่านั้นจำเป็นต้องได้รับการทดสอบ นั่นหมายถึงธุรกิจของเราจะมีการเติบโตมากขึ้น"

แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ How To Become A Billionaire At 87 เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/asia/lee-su-jin-อดีตพนักงานโรงแรม-yanolja.html">Lee Su-jin อดีตพนักงานโรงแรมสู่ผู้ก่อตั้งซูเปอร์แอปด้านการท่องเที่ยว Yanolja</a>
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a style="color: #003300;" href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events