<h2>‘ไฮเออร์’ รุกชิงมาร์เก็ตแชร์ตลาดเชนร้านสะดวกซักในไทย 1.6 หมื่นล้านบาท ขยายธุรกิจ “เครื่องซักอบผ้าอุตสาหกรรม” เข้าสู่ร้าน Otteri ที่เปิดในปี 2568 นี้ ตั้งเป้ากระจายสู่ 230 สาขาในไทย กัมพูชา 20 สาขา และลาว 2 สาขา</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ต่ง เจี้ยนผิง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจร้านสะดวกซัก หรือร้านเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญทั่วโลกมีมูลค่าประมาณ 2.23 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 9.4% ต่อปี จนถึงปี 2571 สอดคล้องกับธุรกิจร้านสะดวกซักในประเทศไทยใน 2-3 ปีที่ผ่านมาที่มีศักยภาพการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยตลาดแฟรนไชส์ร้านสะดวกซักในไทยที่ขณะนี้มีมูลค่ากว่า 16,000 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตราว 20-30% ต่อปี จากปัจจัยหนุนทั้งการขยายตัวของเมือง รวมถึงเทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์เร่งรีบและต้องการบริการที่ช่วยประหยัดเวลา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ เพื่อเสริมแกร่งธุรกิจและตอกย้ำการเป็นผู้นำเครื่องใช้ไฟฟ้าอันดับ 1 ของโลก ไฮเออร์จึงได้เดินหน้าความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับบริษัท เค-เน็กซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าแบบอุตสาหกรรม และกิจการร้านสะดวกซักภายใต้แบรนด์ ‘Otteri Wash &amp; Dry’ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนทั้งสิ้น 1,250 สาขา และมีฐานผู้ใช้งานกว่า 1 ล้านคนทั่วประเทศ อีกทั้งยังขยายไปที่ประเทศกัมพูชา 10 สาขา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยการนำเครื่องซักอบผ้าอุตสาหกรรมของแบรนด์ไฮเออร์เข้าสู่ร้านสะดวกซัก ‘Otteri Wash &amp; Dry’ เป็นเจ้าแรกในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของไฮเออร์ในการขยายฐานลูกค้าใหม่และเจาะกลุ่มตลาดเครื่องซักผ้าเพื่อการพาณิชย์ในไทยมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเสริมศักยภาพของแบรนด์ในด้านบริการและเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกันระหว่างไฮเออร์และเค-เน็กซ์ คอร์ปอเรชั่นต่อไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับเครื่องซักอบผ้าอุตสาหกรรมที่ไฮเออร์ได้นำเข้าสู่ร้านสะดวกซัก Otteri Wash &amp; Dry’ มีทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น WHPL9FV0124P ความจุ 10 กิโลกรัม และรุ่น WHPL15FV0124P ความจุ 15 กิโลกรัม ที่มีความโดดเด่นในเรื่องความทนทานสูงและมีอายุการใช้งานได้นานกว่า 15 ปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พร้อมด้วยติดตั้งเทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นกว่าที่ช่วยให้เจ้าของธุรกิจมีกำไรในการประกอบกิจการมากขึ้น อีกทั้งยังมีความแรงของถังปั่นที่สูงมากถึง 500G (Gravity Force) ช่วยลดการอบน้ำของผ้าได้มากยิ่งขึ้นจึงทำให้ลดระยะเวลาในการอบผ้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คุณสมบัติที่ประหยัดน้ำและพลังงานทำให้ช่วยลดต้นทุนสำหรับผู้ประกอบการ และยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยังใช้งานได้สะดวกครบจบในเครื่องเดียว และถือเป็นเจ้าแรกในอุตสาหกรรมเครื่องซักผ้าคอมเมอร์เชียลของไทย ตอบโจทย์คนยุคใหม่ในเรื่องสะดวกซัก มุ่งมั่นที่จะช่วยให้ผู้ลงทุนในร้านซักประสบความสำเร็จมากขึ้น​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/xx7yRg9gZDTSiYDeYito.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="xx7yRg9gZDTSiYDeYito.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,480"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ความร่วมมือในครั้งนี้ ไฮเออร์มุ่งมั่นพัฒนาและขยายการเติบโตอย่างมีศักยภาพ ภายใต้แนวคิด More Creation, More Possibilities ด้วยการสร้างสรรค์นวัตกรรมและเทคโนโลยีล้ำสมัยในระบบนิเวศ Internet of Things (IoT) ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกเจเนอเรชันและครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“โดยคาดหวังว่าเครื่องซักอบผ้าอุตสาหกรรม 2 รุ่นที่โดดเด่นในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมจะสร้างความประทับใจและอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าทุกคน เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดและยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น พร้อมตั้งเป้าวางแผนกระจายเครื่องซักอบผ้าอุตสาหกรรมไปยังร้านสะดวกซักเพิ่มเติมกว่า 230 สาขาในประเทศไทย และขยายสู่ประเทศกัมพูชา 20 สาขา และลาว 2 สาขา ในปี 2568” ต่ง เจี้ยนผิง กล่าวสรุป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน กวิน นิทัศนจารุกุล ประธานบริหาร บริษัท เค-เน็กซ์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า ‘Otteri Wash &amp; Dry’ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้สร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับทางกับไฮเออร์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาและขับเคลื่อนธุรกิจร้านสะดวกซักในประเทศไทย ท่ามกลางตลาดสะดวกซักที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และความร่วมมือนี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าในอีกระดับ กับการนำเครื่องซักอบผ้าคุณภาพสูงจากไฮเออร์เข้ามาใช้ในร้านสะดวกซัก ‘Otteri Wash &amp; Dry’ ทั้ง 2 รุ่น โดยจะเริ่มดำเนินการในร้านสะดวกซัก Otteri Wash &amp; Dry’ ที่เปิดทำการในปี 2568 เป็นต้นไป และจะขยายไปยังพื้นที่ทั่วกรุงเทพฯ ปริมณฑล และทั่วประเทศต่อไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เรามั่นใจว่าเครื่องซักอบผ้าจากไฮเออร์ทั้ง 2 รุ่นจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าคนสำคัญของ Otteri และเรายังมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับประสบการณ์การใช้งานที่ตอบโจทย์ทั้งในกลุ่มลูกค้าที่ใช้บริการและลูกค้าแฟรนไชส์ซี” ภาพ: ไฮเออร์ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/haier-thailand-appoints-bambam-as-its-latest-brand-ambassador" alt="ไฮเออร์ ประเทศไทย แต่งตั้ง “แบมแบม” เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์คนล่าสุด">ไฮเออร์ ประเทศไทย แต่งตั้ง “แบมแบม” เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์คนล่าสุด</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘ไฮเออร์’ บุกวงการร้านสะดวกซัก! นำเครื่องซักอบอุตสาหกรรมเข้า Otteri ตั้งเป้ากระจายสู่ 230 สาขาในไทย

<h2>บีโอไอ อนุมัติส่งเสริมลงทุน ‘ไฮเออร์ (Haier)’ แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่สัญชาติจีน ที่มียอดขายอันดับ 1 ของโลก ยกระดับเป็นฐานผลิตและส่งออกเครื่องปรับอากาศในต่างประเทศของไฮเออร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก รับเทรนด์อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าเติบโตสูงจากการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี เตรียมเดินเครื่องผลิตภายใน 1 ปี จ้างงานบุคลากรไทยกว่า 3,000 ตำแหน่ง เพิ่มมูลค่าการส่งออก 32,000 ล้านบาทต่อปี</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการพิจารณาโครงการ ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากบอร์ดบีโอไอ ได้อนุมัติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนกิจการผลิตเครื่องปรับอากาศอัจฉริยะของบริษัท ไฮเออร์ แอพพลายแอนซ์ แมนูแฟคเจอร์ จำกัด ภายใต้แบรนด์ ‘ไฮเออร์ (Haier)’ ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่จากประเทศจีน ซึ่งมียอดขายอันดับ 1 ของโลกติดต่อกัน 15 ปี (ตั้งแต่ปี 2552 - 2566) จากการจัดอันดับโดยยูโรมอนิเตอร์&nbsp; &nbsp;&nbsp;โครงการนี้จะมีกำลังการผลิตเครื่องปรับอากาศอัจฉริยะที่มีระบบเซ็นเซอร์และอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งตรวจจับและรับข้อมูลได้ และสามารถเชื่อมต่อกับ Smart Phone และอุปกรณ์อื่นๆ ผ่านเครือข่าย Wi-Fi จำนวน 6 ล้านเครื่องต่อปี มีเงินลงทุนสูงถึง 13,400 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 200 ไร่ ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 3 จังหวัดชลบุรี โดยเฟสแรกจะเร่งลงทุนและติดตั้งกำลังการผลิต 3 ล้านเครื่องให้แล้วเสร็จ พร้อมเริ่มผลิตภายในเดือนกันยายน 2568 และจะเปิดเต็มโครงการภายในปี 2570 มีแผนการจ้างงานบุคลากรไทยกว่า 3,000 คน โครงการนี้จะเป็นการผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลัก มีมูลค่าการส่งออกกว่า 32,000 ล้านบาทต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ไฮเออร์ได้ตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่เพื่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ โดยเลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเครื่องปรับอากาศอัจฉริยะที่ใหญ่ที่สุดนอกประเทศจีน เนื่องจากเห็นว่าประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะพลังงานไฟฟ้ามีความเสถียรและเพียงพอต่อความต้องการ ห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่ง รวมทั้งพื้นที่ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ที่มีความพร้อมด้านโลจิสติกส์ ทั้งท่าเรือและเส้นทางคมนาคมที่สะดวกเพื่อสนับสนุนการส่งออก อีกทั้งมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐ ถือเป็นความสำเร็จในการดึงดูดโครงการลงทุนที่มีคุณภาพ ซึ่งจะช่วยสร้างประโยชน์ให้กับประเทศไทย ทั้งด้านการสร้างงาน การพัฒนาบุคลากร การใช้วัตถุดิบในประเทศ และเพิ่มมูลค่าการส่งออกของไทยในตลาดโลก” นฤตม์ กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากโรงงานแห่งใหม่ที่จังหวัดชลบุรี ที่ผ่านมากลุ่มไฮเออร์ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในกิจการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เช่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า หม้อหุงข้าวไฟฟ้า กระติกน้ำร้อนไฟฟ้า คอมเพรสเซอร์สำหรับตู้เย็น เป็นต้น ภายใต้ชื่อบริษัท ไฮเออร์ อีเล็คทริค (ประเทศไทย) จำกัด รวม 9 โครงการ เงินลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่เขตอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมขยายกิจการผลิตตู้เย็นในพื้นที่โรงงานเดิมด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันประเทศไทยเป็นฐานการผลิตชั้นนำของอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน และเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นสินค้าส่งออกอันดับต้นๆ ของไทย โดยผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จากพัฒนาการของเทคโนโลยีดิจิทัล ทั้ง AI, 5G และ IoT ที่เปลี่ยนมาตรฐานการใช้ชีวิตในโลกสมัยใหม่ที่ผู้บริโภคสามารถเชื่อมต่อและควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้านผ่านระบบอินเตอร์เน็ต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การส่งเสริมการยกระดับอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าไปสู่ ‘เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ’ เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่สำคัญของบีโอไอ โดยตั้งแต่ปี 2566 - มิถุนายน 2567 มีโครงการในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วนยื่นขอรับการส่งเสริมจากบีโอไอ จำนวน 144 โครงการ เงินลงทุนรวม 98,550 ล้านบาท โดยกว่าร้อยละ 80 เป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ นอกจากไฮเออร์แล้ว ยังมีแบรนด์ชั้นนำต่างๆ ที่มีฐานการผลิตในประเทศไทย เช่น มิตซูบิชิ โซนี่ ไดกิ้น ซัมซุง อีเลกโทรลักซ์ ไมเดีย เป็นต้น เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/skilllane-ipo-sep-2024" alt="SkillLane ยื่นไฟลิ่ง ก.ล.ต. เตรียมขาย IPO 15 ล้านหุ้น ‘ระดมทุนปั้น AI-ขยายธุรกิจ’">SkillLane ยื่นไฟลิ่ง ก.ล.ต. เตรียมขาย IPO 15 ล้านหุ้น ‘ระดมทุนปั้น AI-ขยายธุรกิจ’</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

บีโอไออนุมัติลงทุนกว่า 13,000 ล้านบาท เสริมฐานผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า Haier ในไทย

<h2>ไฮเออร์ ทุ่มงบ 10,000 ล้านบาท ตั้งโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศ ณ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 3(WHA ESIE 3) จ.ชลบุรี พร้อมดันประเทศไทยให้เป็นฮับการผลิตครบวงจรเพื่อจำหน่ายและส่งออกทั่วโลก ตั้งเป้าผลิตเครื่องปรับอากาศเป็น 6 ล้านเครื่องต่อปี จ้างแรงงานเพิ่มกว่า 3,000 ตำแหน่ง </h2> มร. โจว หยุนเจี๋ย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ กรุ๊ป กล่าวว่า “การเลือกขยายธุรกิจมายังประเทศไทยด้วยการตั้งโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่แห่งใหม่และเป็นแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน เนื่องด้วยศักยภาพเชิงพื้นที่ที่แข็งแกร่งและยังถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค ประกอบกับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดเครื่องปรับอากาศในประเทศไทยที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งไฮเออร์ยังคงเป็นผู้นำในตลาดโดยมีส่วนแบ่งกว่า 13% และยังครองยอดขายอันดับ 1 ในแง่ของจำนวนผ่านช่องทางการขายแบบออฟไลน์” &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ โรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศของไฮเออร์แห่งใหม่ ขนาดพื้นที่กว่า 324,000 ตร.ม. ใช้งบลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาท ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 3 (WHA ESIE 3) จ.ชลบุรี มีแผนการก่อสร้างแบ่งเป็น 3 เฟส ซึ่งเฟสแรกจะเปิดในส่วนของการผลิต 3 ล้านเครื่องในเดือนกันยายน 2568 เฟสที่สองและสามจะเสร็จสิ้นพร้อมเปิดดำเนินการในปี 2569 และ 2570 ตามลำดับ โดยหลังจากทั้ง 3 เฟสก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์คาดว่าโรงงานแห่งนี้จะกลายเป็นฐานการผลิตเครื่องปรับอากาศที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตเครื่องปรับอากาศในต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของไฮเออร์ที่มีกำลังการผลิตเครื่องปรับอากาศสูงสุดถึง 6 ล้านเครื่องต่อปี ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/08/RKDmyncwE12oXLxPr8pt.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="RKDmyncwE12oXLxPr8pt.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน มร. ต่ง เจี้ยนผิง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากเดิมไฮเออร์มีโรงงานที่ take over มาจากบริษัทซันโยในปี 2007 ซึ่งตั้งอยู่ที่จ.ปราจีนบุรี มีกำลังผลิตเครื่องปรับอากาศราวๆ 2.7 ล้านเครื่องต่อปี ทั้งนี้การขยายโรงงานแห่งใหม่ที่มีกำลังผลิตสูงถึง 6 ล้านเครื่องต่อปีจะช่วยรองรับความต้องการผู้บริโภคที่เพิ่มมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ครึ่งปีแรกนี้เรามียอดขายเครื่องปรับอากาศ 4,500 ล้านบาท เครื่องใช้ไฟฟ้าโดยรวมทั้งหมด ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น ตู้แช่มียอดขายราว 6,000 ล้านบาท จึงคาดการณ์ได้ว่ายอดขายรวมตลอดทั้งปี 2024 จะเป็นไปตามเป้าที่เราวางไว้ 11,000 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของแผนกลยุทธ์การตลาด จะเน้นในเรื่องของการสร้างมูลค่าแบรนด์ ไม่ได้เน้นแข่งขันเรื่องราคาถูกกว่า เพราะสินค้ามีหลาย segment และจะเน้นขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าผ่านออนไลน์มากขึ้น จากเดิมที่มีสัดส่วนออฟไลน์ 90% ออนไลน์ 10% ก็จะขยับเป็นออนไลน์ 20% ภายในปีหน้า โดยจะผลิตสินค้ารุ่นที่มีราคาถูกลงมาตอบโจทย์ผู้บริโภคผ่านออนไลน์โดยเฉพาะ“ <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/08/X6ioMXXsFzh6B3pLeRn5.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="X6ioMXXsFzh6B3pLeRn5.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม มร. ต่ง เจี้ยนผิง ยังกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า การขยายโรงานใหม่แห่งนี้ จะช่วยสร้างงานให้ผู้คนในจ.ชลบุรีได้กว่า 3,000 ตำแหน่ง ซึ่งเรื่องของค่าแรงที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 400 บาทต่อวันนั้น น่าจะไม่กระทบต่อธุรกิจแต่อย่างใด เพราะจะมีการถัวเฉลี่ยกับการนำเข้าชิ้นส่วนวัตถุดิบเพื่อนำมาประกอบในไทยและลดต้นทุนการผลิตได้ และปัจจุบันไฮเออร์ในไทยมีสัดส่วนการใช้ซัพพลายเออร์ท้องถิ่นในประเทศ 60% จากต่างประเทศ 40% ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/08/obuuh4ZGR73Rp4wMqxSw.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="obuuh4ZGR73Rp4wMqxSw.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div>​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/08/hnvaEPyk1DJMKAHAsY4X.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="hnvaEPyk1DJMKAHAsY4X.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="3"></figure></div> ​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/property/pruksa-first-half-2024-revenue-9864-million-baht" alt="พฤกษา เผยครึ่งแรกปี 67 รายได้เฉียดหมื่นล้าน พร้อมทุ่มงบ 1.5 พันล้าน ลุยธุรกิจเฮลท์แคร์ต่อเนื่อง">พฤกษา เผยครึ่งแรกปี 67 รายได้เฉียดหมื่นล้าน พร้อมทุ่มงบ 1.5 พันล้าน ลุยธุรกิจเฮลท์แคร์ต่อเนื่อง</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ไฮเออร์ ทุ่ม 1 หมื่นล้าน ตั้งโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศปีละ 6 ล้านเครื่อง จ.ชลบุรี 

<h2>ไฮเออร์ ผู้ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าระดับโลก เผยรายงานผลประกอบการของปี 2563 รายได้โต 31% พร้อมเผยเกมรุกตลาดปี 64 ตั้งเป้ายอดขายที่ราว 8.4 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 37%</h2>
จาง เจิ้งฮุ้ย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “ในปี 2563 ไฮเออร์ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง สำหรับช่วงครึ่งหลังของปี 2563 ไฮเออร์สามารถปิดปีได้อย่างสวยงามเกินคาดกับรายได้รวมทุกหมวดผลิตภัณฑ์กว่า 6,201 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในจำนวนนี้เป็นรายได้จากเครื่องปรับอากาศภายในบ้าน 2,905 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% ตู้เย็น 1,175 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47% เครื่องซักผ้า 866 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% ตู้แช่ 600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44%

เครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ 256 ล้านบาท โตขึ้น 1% สมาร์ททีวี 190 ล้านบาท โตขึ้น 110% เครื่องทำน้ำอุ่น 105 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35 % เครื่องใช้ในครัว 103 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 296% ทั้งนี้เป็นยอดขายจากออนไลน์ 290 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 131% จากปีที่แล้วและได้เตรียมรุกตลาดในปี 2564 อย่างแข็งแกร่ง พร้อมตั้งเป้ายอดขายเติบโตอีก 37% คิดเป็นยอดขายรวม 8,445 ล้านบาท”

<img class="alignnone wp-image-38903 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/12/ไฮเออร์-เผยผลประกอบการส่งท้ายปี-63-พร้อมเปิดเกมรุกตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าสมาร์ทโฮมในปี-2564.jpg" alt="ไฮเออร์" width="600" height="400" />

ไฮเออร์ยังได้เผยแนวทางการตลาดภายใต้สโลแกน “Inspired Living การใช้ชีวิตของคุณคือแรงบันดาลใจของเรา” โดยได้ศึกษาวิถีการใช้ชีวิตและพฤติกรรมของผู้บริโภค นำมาพัฒนาสินค้าเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้บริโภค ซึ่งในปัจจุบันนี้เทรนด์การดูแลสุขภาพเข้ามามีบทบาทต่อพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างมากจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ถือเป็นความท้าทายในการดำเนินธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าในยุค New Normal ไฮเออร์จึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยเพิ่มจุดเด่นในเรื่อง Family Care หรือผลิตภัณฑ์ที่ช่วยดูแลสุขภาพของทุกคนในบ้าน

สินค้าใหม่ในปี 2021 ไฮเออร์ยังคงเน้นสินค้าประเภท IoT Smart Home ที่สามารถควบคุมและเชื่อมต่อผ่านมือถือ รวมถึงเทคโนโลยีที่ช่วยส่งเสริมในด้านสุขภาพและความสะดวกสบาย เช่น เทคโนโลยี Self-Cleaning ในผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องซักผ้าและเครื่องปรับอากาศ ที่ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าสามารถทำความสะอาดตัวเองได้ เพิ่มประสิทธิภาพและสุขอนามัยในการใช้งาน

ขณะที่ภายในสิ้นปี'63 ทางไฮเออร์ยังได้ต่อยอดธุรกิจใหม่ เตรียมเปิดตัวแบรนด์น้องใหม่ที่มี่ชื่อว่า Candy ที่จะมาตีตลาดลูกค้าในกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ด้วยดีไซน์ทันสมัย เรียบง่าย ในราคาที่จับต้องได้ และจะเน้นช่องทางการจัดจำหน่ายเฉพาะในช่องทาง e-commerce เท่านั้น ซึ่งสินค้าในช่วงเปิดตัว ได้แก่ โทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า และตู้เย็น เป็นต้น

<img class="alignnone wp-image-38904 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/12/นวัตกรรมไฮเออร์-IoT-สมาร์ทโฮม-2021.jpg" alt="ไฮเออร์" width="600" height="400" />

ผลิตภัณฑ์และแคมเปญเด่นตลอดปี 2563 ต่อเนื่องปี 2564   

ในปี 2563 ที่ผ่านมา ไฮเออร์ได้จัดแคมเปญ Smart Sharing AC 800 บาทต่อเดือนต่อเนื่องจากโครงการ Smart Sharing AC เย็นดีแค่ 4 บาทในปีที่แล้ว โดยครั้งนี้ไฮเออร์ได้จับมือกับบริษัท ฟอลคอน เอสซีเอ็ม จำกัด ร่วมลงทุนกว่า 100 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจของผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศที่สนใจร่วมโครงการ Smart Sharing AC สำหรับลูกค้าที่ได้ลงทะเบียน จะได้รับบริการติดตั้งเครื่องปรับอากาศฟรี รวมถึงรับประกันตัวเครื่อง 5 ปีและคอมเพรสเซอร์อีก 10 ปี โดยจ่ายเพียงเดือนละ 800 บาท เป็นเวลา 24 เดือน      เมื่อชำระครบตามกำหนดจะได้กรรมสิทธ์เป็นเจ้าของ อีกทั้งได้แนะนำเทคโนโลยี Self-Cleaning ในเครื่องปรับอากาศและเครื่องซักผ้า ที่เป็นการทำความสะอาดภายในเครื่องโดยอัตโนมัติ

สำหรับต้นปีหน้า ทางไฮเออร์ได้เตรียมจัดงานเปิดตัวตู้เย็น IoT นวัตกรรมแห่งปี HRF-MD758 ที่สามารถสั่งการด้วยเสียงและผ่านแอปพลิเคชั่น Haier Smart App สามารถเชื่อมต่อ Wi-Fi และสั่งสินค้าจาก Tops Online โดยตรงจากหน้าจอเครื่อง

ส่วนธุรกิจร้านซักผ้า Mr.Hi Smart+ by Haier ร้านซักผ้าอัจฉริยะที่ใช้งานและชำระเงินผ่านแอปพลิเคชัน 100% และในปีหน้า ไฮเออร์ก็ยังคงเดินหน้าขยายสาขา อย่างต่อเนื่อง      โดยตั้งเป้าอยู่ที่ 100 สาขาภายในปี 2565

<img class="alignnone size-full wp-image-38912" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/12/เครื่องใช้ไฟฟ้าสมาร์ทโฮมในปี-2564_1.jpg" alt="" width="600" height="400" />

นอกจากกิจกรรมทางการตลาดแล้ว ไฮเออร์ยังให้ความสำคัญกับเด็กและเยาวชนที่จะเป็นพลังในการพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าต่อไป ไฮเออร์จึงได้จัดกิจกรรม CSR ร่วมกับมูลนิธิ CCF ภายใต้ชื่อ “Haier HaiTher ไฮเออร์ ให้เธอ” เพื่อเป็นการสนับสนุนด้านการศึกษาให้กับเด็กๆ และเยาวชนในพื้นที่ห่างไกล

“กลยุทธ์การตลาดในปี 2564 เรายังคงเน้นทำการตลาดแบบครบวงจรภายใต้งบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท โดยจัดกิจกรรมในช่องทางออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ติ๊กต่อก ที่จะเชื่อมไปสู่กิจกรรมแบบออฟไลน์ด้วย และยังคงใช้แบรนด์แอมบาสเดอร์ในการสร้างการรับรู้ผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง

พร้อมทั้งรุกตลาดเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายด้วยการเพิ่มสาขาไฮเออร์ แบรนด์ ช็อป (Haier Brand Shop) โดยตั้งเป้าเปิดอีก 20สาขาในปี 2564 รวมเป็น 30 สาขา รวมถึงสร้างร้านค้าทางการของไฮเออร์ในช่องทาง e-commerce ต่างๆ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น” จาง เจิ้งฮุ้ย กล่าวทิ้งท้าย

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/world/asia/sido-muncul-%e0%b8%9a%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%a9%e0%b8%b1%e0%b8%97%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b8%aa%e0%b8%a1%e0%b8%b8%e0%b8%99%e0%b9%84%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b9%83%e0%b8%ab.html">Sido Muncul บริษัทยาสมุนไพรรายใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย เติบโตอย่างก้าวกระโดดช่วงโควิด-19</a>
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>
&nbsp;

ไฮเออร์ ปิดปี'63 ด้วยรายได้ 6.2 พันล้านบาท จากนวัตกรรม IoT

<h2>ไฮเออร์ ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า เผยยอดขายครึ่งปีแรก 2563 ประสบความสำเร็จเป็นไปตามเป้าถึงร้อยละ 31 เตรียมรุกตลาดสมาร์ทโฮมในปี 2563 คาดตัวเลขครึ่งปีหลังยอดขายโตตามเป้ากว่าร้อยละ 34 หรือประมาณ 2,630 ล้านบาท</h2>
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้สร้างความท้าทายให้กับ ไฮเออร์ เป็นอย่างมาก ที่นอกจากจะต้องปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์แล้ว ยังต้องวางแผนล่วงหน้าเพื่อรับมือกับสิ่งต่างๆ ที่เราไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า แต่นี่คือสิ่งที่จุดประกายให้เป็นความท้าทายในการดำเนินธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าในยุค New Normal หรือโลกแห่งวิถีชีวิตปัจจุบัน

จาง เจิ้งฮุ้ย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ไฮเออร์ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในปีนี้ โดยคาดการณ์รายได้รวมทุกหมวดผลิตภัณฑ์ประมาณ 6,205 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 38 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา”

ทั้งนี้รายได้รวมดังกล่าวจากเครื่องปรับอากาศภายในบ้าน 2,940 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 ตู้เย็น 1,160 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 45 เครื่องซักผ้า 835 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 37 ตู้แช่ 590 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 41

ด้าน เครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ 365 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 45 และผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นๆ 322 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 65%และได้เตรียมรุกตลาดในช่วงครึ่งปีหลังอย่างแข็งแกร่ง พร้อมตั้งเป้ายอดขายปีนี้เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 38

<figure><img class="wp-image-32602" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/ไฮเออร์-02.jpg" alt="ไฮเออร์" width="600" height="320" /><figcaption> จาง เจิ้งฮุ้ย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด</figcaption></figure>

ภายในงานยังมีการแถลงนโยบาย พร้อมชูกลยุทธ์การตลาดในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 ไฮเออร์ยังเตรียมแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยชูจุดเด่นด้านคุณภาพสินค้า ดีไซน์ที่สวยงาม นวัตกรรมล้ำสมัย และฟังก์ชันที่สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค รวมถึงมีผลิตภัณฑ์ Haier Smart Home เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่

อีกทั้งจะทุ่มงบการตลาด 170 ล้านบาท เพื่อสร้างการรับรู้และส่งเสริมการขายทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ ขยายช่องทางการตลาด เจาะกลุ่มธุรกิจ B2B ปรับภาพลักษณ์ร้านตัวแทนจำหน่าย และพัฒนาบริการทั้งก่อนและหลังการขายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

“ด้านการตลาดในครึ่งปีหลังนี้ 2563 นี้เรายังคงเน้นทำการตลาดแบบครบวงจร ทั้งด้านออนไลน์และออฟไลน์ เพิ่มโฆษณาทางโทรทัศน์ให้กับผลิตภัณฑ์ตู้เย็น และยังคงใช้แบรนด์แอมบาสเดอร์ในการสร้างการรับรู้ผลิตภัณฑ์เช่นเดิม พร้อมทั้งเสริมกลยุทธ์ผลักดันภาพลักษณ์แบรนด์ด้วย Haier Brand Shop

<img class="alignnone size-full wp-image-32600" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/02-ไฮเออร์-ประกาศความสำเร็จยอดขายครึ่งปีแร-01.jpg" alt="ไฮเออร์" width="600" height="400" />

ซึ่งปัจจุบันเรามีร้านไฮเออร์แบรนด์ช็อปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ในกรุงเทพฯ แล้ว โดยจะทำการขยายช่องทางการขายต่อไปอย่างต่อเนื่อง รวมถึงช่องทางธุรกิจ B2B และปรับภาพลักษณ์ร้านตัวแทนจำหน่ายไฮเออร์ รุกช่องทางการตลาดใหม่ๆ ที่จะช่วยผลักดันธุรกิจของไฮเออร์ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง” จาง เจิ้งฮุ้ย กล่าวทิ้งท้าย

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%AE%E0%B9%88%E0%B8%B2-%E0%B8%82%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%99.html">สยามดนตรียามาฮ่า ขยายแนวรุกชิงโอกาสช่วงโควิด</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความด้านธุรกิจ ติดตามได้ที่ Facebook: Forbes Thailand Magazine</a>

&nbsp;

ไฮเออร์ โตสวนกระแสเผยยอดขายครึ่งปีแรกพันล้าน

<h2>สินค้าแบรนด์จีนได้รับการยอมรับในตลาดมากขึ้น “ไฮเออร์”  เป็นแบรนด์แถวหน้าที่ส่งเครื่องใช้ไฟฟ้า ไปจำหน่ายทั่วโลกติดอันดับท็อป 3 ไม่แพ้แบรนด์ดังจากยุโรปและอเมริกา นอกจากรูปลักษณ์ที่ทันสมัย ทัดเทียมอินเตอร์แบรนด์แล้ว ด้านเทคโนโยลีก็ล้ำหน้าไม่แพ้กัน</h2>
Haier Smart Home เป็นสินค้า คอนเซ็ปต์ใหม่ของไฮเออร์ (Haier) แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้า จากจีนแผ่นดินใหญ่ที่ขยายตลาดไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก และกำลังให้ความสำคัญการเจาะตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทย หลังจากไฮเออร์สามารถก้าวขึ้นเป็นอันดับ 1 ในตลาดเครื่องปรับอากาศประเทศไทย ล่าสุดได้จัดเซตสินค้ากลุ่มสมาร์ทโฮม ทั้งเครื่อง ปรับอากาศ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ทีวี และตู้แช่ไวน์ นำเสนอการจำหน่ายเป็นชุด พร้อมพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อสั่งการใช้งานสินค้ากลุ่มสมาร์ทโฮมผ่านออนไลน์ได้ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งไฮเออร์มั่นใจว่าจะได้การตอบรับที่ดีจากตลาด

<figure><img class="wp-image-28572 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/04/จาง-เจิ้งฮุ้ย-1.jpg" alt="" width="350" height="467" /><figcaption> Zhang Zhenghui ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด</figcaption></figure>

Zhang Zhenghui ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงการทำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าของ แบรนด์ไฮเออร์ในไทยว่า ล่าสุดได้จัดเซตสินค้า “Haier Smart Home” โดยจัดชุดตัวอย่างโชว์ที่ศูนย์จำหน่ายสินค้าไฮเออร์ ซึ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน ที่เพิ่งเปิดตัวใน จังหวัดขอนแก่นไปเมื่อต้นเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นสินค้าเทคโนโลยีใหม่ที่จะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งด้านการตลาด และทำให้ไฮเออร์ก้าวสู่การเป็นผู้นำแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านในประเทศไทยในทุกประเภทสินค้า

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ไฮเออร์ ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาดอย่าง NEWS ต่อเนื่อง ด้วยจุดขายด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ ดีไซน์ที่สวยงาม นวัตกรรมล้ำสมัย และฟังก์ชันที่สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค ซึ่ง “Haier Smart Home” ออกแบบสำหรับห้องนั่งเล่นอัจฉริยะ ห้องนอนอัจฉริยะ ห้องครัวอัจฉริยะ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่

โดยจะเน้นขายผ่านดีลเลอร์ที่มีความพร้อม ซึ่งนอกจากศูนย์ที่ขอนแก่นแล้ว จะขายผ่านดีลเลอร์ใหญ่อีก 10 ราย โดยเน้นเจาะตรงสู่กลุ่มผู้บริโภคเป็นหลัก ขณะเดียวกันก็เตรียมแผนงานสำหรับขายเข้าโครงการที่อยู่อาศัย ซึ่งกำลังเจรจาอยู่หลายราย น่าจะมีความร่วมมือในอนาคต

<img class="alignnone size-full wp-image-28571" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/04/S__2637844.jpg" alt="" width="600" height="438" />

“ตอนนี้เรายังขายผ่านดีลเลอร์เป็นหลัก ปัจจุบันมีดีลเลอร์ 500 ราย จะขยายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตลาดเป้าหมายยังคงเป็นผู้บริโภครายย่อย ส่วนงานโครงการเป็นเรื่องที่กำลังพิจารณาและจะขยายในอนาคต” ประธานไฮเออร์กล่าวก่อนจะเผยว่า ที่ผ่านมาไฮเออร์ ในไทยมีผลการดำเนินงานที่ค่อนข้างดี หากดูจากผลประกอบการจะพบว่า ในปี 2562 ไฮเออร์ไทยมีรายได้ที่ 4.5 พันล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 40% ส่วนในปี 2563 คาดว่า รายได้จะเพิ่มขึ้นตามเป้าหมายที่วางไว้คือ 6.5 พันล้านบาท

โดยมีสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีใหม่เข้ามาเสริมมากขึ้น ในขณะที่สินค้าเดิมทั้งเครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ ทีวี และ ตู้เย็น ไฮเออร์มียอดขายที่ดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศแบรนด์ไฮเออร์ถือเป็นอันดับ 1 ในตลาดเมืองไทย

ส่วนในตลาดโลก ไฮเออร์เป็นผู้ผลิตและผู้นำด้านผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเครื่องใช้ ไฟฟ้าของโลก โดยมี 7 แบรนด์ในเครือ ประกอบด้วย Haier, Casarte, Leader, GE Appliances, Fisher &amp; Paykel, AQUA และ Candy โดยไฮเออร์ครองแชมป์แบรนด์เครื่องใช้ภายในบ้านอันดับ 1 ของโลกติดต่อกัน 11 ปีซ้อน ตั้งแต่ปี 2552 ถึงปี 2562 จากการจัดอันดับของสถาบันยูโรมอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล

<hr />

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนเมษายน 2563
<img class="alignnone wp-image-28551 size-medium" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/04/ศุภชัย-เจียรวนนท์-01-229x300.jpg" alt="" width="229" height="300" />

“ไฮเออร์” ขยับสู่ “ไฮเอนด์” เสริมทัพสินค้าดิจิทัลไลฟ์-สมาร์ทโฮม

<h2 class="p1">เครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ดังจากจีน “ไฮเออร์” ยังคงให้น้ำหนักการทำตลาดในไทย ล่าสุดเพิ่งเปิดศูนย์จำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าใหญ่สุดในอาเซียนขึ้นที่ใจกลางเมืองขอนแก่น โดยมั่นใจศักยภาพจะเติบโตได้อีกมาก</h2>
ท่ามกลางสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ประเทศจีนได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีน และหลายประเทศทั่วโลก แต่สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ดังของจีนอย่าง “ไฮเออร์” (Haier) ซึ่งมีฐานผลิตใหญ่ในจีนยังคงเดินหน้าแผนขยายตลาดในไทย โดยเฉพาะล่าสุดเพิ่งเปิดศูนย์จำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า “ไฮเออร์ แบรนด์ช็อป” ร้านใหญ่ที่สุดในอาเซียนขึ้นในประเทศไทย ที่จังหวัดขอนแก่น ซึ่งนับเป็นศูนย์จำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าไฮเออร์แห่งที่สองในไทย โดยแห่งแรกเปิดที่กรุงเทพฯ (ถนนรัชดาภิเษก) 
Zhang Zhenghui ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ศูนย์ไฮเออร์ แบรนด์ช็อป โดยขอนแก่นไทยแลนด์ เป็นศูนย์จัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ไฮเออร์ที่ทันสมัยและครบวงจรที่สุดในอาเซียน เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในเขตภาคอีสานรวมถึงประเทศเพื่อนบ้านของไทย โดยทางไฮเออร์ได้จับมือกับพันธมิตรผู้จัดจำหน่ายสินค้าคือ หจก. ขอนแก่นไทยแลนด์ นำสินค้าทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์มาให้ลูกค้าได้เลือก ทั้งเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ตู้แช่ โทรทัศน์ เครื่องทำน้ำอุ่น และเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว เพื่อให้ไฮเออร์เป็นแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าอันดับ 1 ในใจชาวขอนแก่นรวมถึงผู้บริโภคในภูมิภาคนี้”
&nbsp;
<h2 class="p1">ส่ง “สมาร์ท โฮม” เจาะตลาด </h2>
 “ไฮเออร์เตรียมพร้อมเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาด และขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านในประเทศไทยในทุกประเภทสินค้า ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง พร้อมชูจุดขายด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ ดีไซน์ที่สวยงาม นวัตกรรมล้ำสมัย และฟังก์ชั่นที่สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค” ประธานไฮเออร์ กล่าว


<figure><img class="size-full wp-image-27739" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/03/จาง-เจิ้งฮุ้ย.jpg" alt="" width="480" height="600" /><figcaption> Zhang Zhenghui</figcaption></figure>
โดยเน้นผลิตภัณฑ์ล่าสุด “Haier Smart Home” สำหรับห้องนั่งเล่นอัจฉริยะ ห้องนอนอัจฉริยะ ห้องครัวอัจฉริยะ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ ซึ่งจะเน้นขายผ่านดีลเลอร์ที่มีความพร้อม โดยนอกจากศูนย์ที่ขอนแก่นแล้ว จะขายผ่านดีลเลอร์ใหญ่อีกประมาณ 10 ราย โดยเน้นไปเจาะตรงกลุ่มผู้บริโภคเป็นหลัก ขณะเดียวกันก็เตรียมแผนงานสำหรับขายเข้าโครงการที่อยู่อาศัยในโอกาสต่อไป
 “ปัจจุบันเราเปิดร้านที่ขอนแก่นใหญ่สุดในอาเซียน แต่อาจยังไม่เชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งในอนาคตมาเลเซีย เวียดนาม ก็อาจเปิดร้านแบบนี้เหมือนกัน” ประธานไฮเออร์ย้ำ และว่า ศักยภาพทางการตลาดในเมืองขอนแก่นถือเป็นเมืองใหญ่ที่มีโอกาสสูง ไฮเออร์จึงมาเปิดศูนย์เป็นแห่งที่ 2 รองจากกรุงเทพฯ ด้วยกำลังซื้อที่ดี อีกทั้งเป็นเมืองที่กำลังได้รับการพัฒนาโดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่กำลังจะสร้างจะเป็นโอกาสที่ทำให้เมืองขอนแก่นเติบโตได้อีกมาก
&nbsp;
<h2 class="p1">เป้ารายได้ปีนี้ 6.5 พันล้าน</h2>
ส่วนผลประกอบการไฮเออร์ไทยในปีที่ผ่านมามีรายได้ 4.5 พันล้านบาทในปี 2562 ซึ่งเติบโตขึ้นราว 40% และในปี 2563 บริษัทตั้งเป้าจะมีรายได้ถึง 6.5 พันล้านบาท โดยการทำตลาดหลักสินค้าของไฮเออร์ทั้ง ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ตู้แช่ไวน์ และเครื่องปรับอากาศ ซึ่งไฮเออร์นับเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในตลาดเครื่องปรับอากาศในไทย ส่วนระดับโกลบอลแบรนด์ ไฮเออร์เป็นอันดับหนึ่งในตลาดสินค้าตู้เย็น เครื่องซักผ้า ตู้แช่ไวน์ ด้วยดีไซน์ที่ทันสมัย คุณภาพสินค้าที่ได้มาตรฐาน และราคาที่คุ้มค่า
<img class="alignnone size-full wp-image-27738" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/03/Haier-02.jpg" alt="" width="720" height="480" />
นอกจากนี้ ประธานไฮเออร์ไทยยังกล่าวถึงผลกระทบการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่สถานการณ์รุนแรงในประเทศจีน ส่งผลกระทบต่อฐานการผลิตไฮเออร์ในจีนบ้างแต่ไม่มากนัก โดยเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาทำการผลิตได้ไม่เต็มที่ แต่มั่นใจว่าในเดือนมีนาคมเป็นต้นไป การผลิตจะกลับมาเป็นปกติได้ 100% สามารถส่งสินค้าไปจำหน่ายได้ทั่วโลกโดยไม่สะดุด
&nbsp;
<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม <a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/%e0%b8%a1%e0%b8%b4%e0%b8%95%e0%b8%8b%e0%b8%b9%e0%b8%af-%e0%b9%82%e0%b8%8a%e0%b8%a7%e0%b9%8c%e0%b8%a2%e0%b8%ad%e0%b8%94%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b9%80%e0%b8%94%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%94-1-55.html">มิตซูฯ โชว์ยอดขายเดือด 1.55 หมื่นล้าน เดินหน้าติดอาวุธแอร์สู้ PM2.5</a></li>
</ul>
&nbsp;

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events