‘นฤมล จิวังกูร’ จาก FX trader ในห้องค้า สู่ MD หญิงคนแรกของซิตี้แบงก์ประเทศไทย

Wee Ee Cheong พลิกเกมรุกปรับภาพลักษณ์ UOB ดึงดูดคนรุ่นใหม่

<h2>ซิตี้แบงก์ คาดจีดีพีปีประเทศไทย ปี 2568 โต 3.2% จากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ส่วนการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐปีนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเพื่อดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้านภาคการท่องเที่ยวยังคงเติบโตต่อเนื่องแม้จำนวนนักท่องเที่ยวอาจน้อยกว่าคาดการณ์ ในขณะที่ภาคการส่งออกชะลอตัวจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและความไม่แน่นอนของภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา พร้อมกันนี้มองว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะรักษาอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25% ไปจนถึงปี 2569</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นลิน ฉัตรโชติธรรม นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย เผยว่า ซิตี้แบงก์ คาดการณ์จีดีพีของประเทศไทยปี 2568 จะเติบโตที่ 3.2% เพิ่มจาก 2.7% ในปี 2567 โดยการบริโภคภาคเอกชน แม้จะเติบโตในอัตราชะลอลงจากปัญหาหนี้ครัวเรือน และยอดขายรถยนต์ที่ซบเซา แต่ยังคงได้รับแรงหนุนจากการจ้างงานที่แข็งแกร่ง การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/G7wde8sBRAmeWuTgSn8S.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="G7wde8sBRAmeWuTgSn8S.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น จากการดำเนินโครงการที่ได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) เช่น การลงทุนในยานยนต์ไฟฟ้า ดาต้าเซนเตอร์ และการแปรรูปอาหาร ซึ่งประเทศไทยยังคงได้รับอานิสงส์จากจุดแข็งทางภูมิศาสตร์ และความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน แต่ภาครัฐต้องมีการพัฒนาปัจจัยด้านอื่นๆ เพื่อรักษาศักยภาพในการแข่งขัน เช่น ปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ การเพิ่มกำลังการผลิต และพัฒนาทักษะแรงงานในประเทศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภาคการท่องเที่ยวยังเติบโตต่อเนื่อง แต่ซิตี้แบงก์ได้ปรับลดประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวปี 2568 ลงมาที่ 39.8 ล้านคน หลังการท่องเที่ยวปีก่อนหน้าฟื้นตัวช้ากว่าคาดการณ์ อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวอาจเพิ่มเป็น 1,298 เหรียญสหรัฐฯ (หรือราว 44,000 บาท) ทำให้คาดว่ารายได้การท่องเที่ยวไทยปีนี้จะอยู่ที่ราว 9.3% ของจีดีพี ส่วนภาคการส่งออกคาดว่าจะเติบโตลดลง อยู่ที่ประมาณ 3% จากสถานการณ์การค้าโลกชะลอตัวและความไม่แน่นอนในการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/W9mVGR32sdTZNELJWthg.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="W9mVGR32sdTZNELJWthg.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ จากการที่รัฐบาลมีแผนกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยซิตี้แบงก์คาดว่าการเบิกจ่ายของภาครัฐในปีงบประมาณ 2568 จะเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากงบประมาณค้างจ่ายในปีงบประมาณ 2567 ขณะที่งบขาดดุลในปีงบประมาณ 2568 วางไว้ที่ -4.5% ของจีดีพี ซึ่งกว้างขึ้นเล็กน้อย เพื่อสนับสนุนการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 2, โครงการ Easy E-Receipt 2.0 และโครงการคุณสู้ เราช่วย ที่ช่วยกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศช่วงครึ่งปีแรก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับบัญชีเดินสะพัดปี 2568 ซิตี้แบงก์คาดการณ์ไว้ที่ 2.7% ของจีดีพี เพิ่มจาก 2.1% ของจีดีพี ในปี 2567 จากต้นทุนการนำเข้าน้ำมันลดลง และการท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่อง ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลจะช่วยสนับสนุนค่าเงินบาทได้ในระดับหนึ่ง แม้จะต่ำกว่าช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 ท่ามกลางความผันผวนในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/m3DW4pjQBPrYniKMsmX9.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="m3DW4pjQBPrYniKMsmX9.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้านสถานการณ์เงินเฟ้อ มีการปรับลดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อปี 2568 อยู่ที่ 1.2% ส่วนหนึ่งมาจากอัตราเงินเฟ้อปี 2567 ต่ำกว่าที่คาด รวมถึงความเสี่ยงขาลงจากสินค้าคงทนที่นำเข้าจากจีน โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ 1-3% นอกจากนี้ รัฐบาลอาจใช้โอกาสที่ราคาน้ำมันดิบลดลง เก็บค่าธรรมเนียมน้ำมันเพิ่มเติมอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อเติมเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของรัฐ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ทั้งนี้ ตลอดปีนี้ไปจนถึงปี 2569 ธปท.มีโอกาสคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25% และดำเนินนโยบายแบบเป็นกลาง เพื่อรักษาช่องว่างของการใช้นโยบาย ตลอดจนช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน อย่างไรก็ดี ซิตี้แบงก์คาดว่ามีโอกาส 40% ที่ธปท.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในครึ่งแรกของปี 2568 หากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวตามคาดการณ์” นลิน กล่าวสรุป ภาพ:&nbsp;ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/motoring/bmw-group-thailand-2024-performance" alt="บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เผยยอดขายปี 67 รวม 13,659 คัน เฉพาะแบรนด์มินิโตเพิ่ม 7.6%">บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เผยยอดขายปี 67 รวม 13,659 คัน เฉพาะแบรนด์มินิโตเพิ่ม 7.6%</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘ซิตี้แบงก์’ มองจีดีพีไทยปี 68 โต 3.2% ด้วยแรงหนุนจากการจ้างงาน การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

<h2>กระแสร้อนในกลุ่มผู้ใช้บัตรเครดิตช่วงนี้ คงหนีไม่พ้นกรณี UOB ที่รับโอนลูกค้าจากซิตี้แบงก์มา แต่ลูกค้ากลับติดต่อได้ยาก ทั้ง Call Center และสาขา ไหนจะการจ่ายชำระบิลที่ต่างจากเดิม และอีกสารพัดปัญหา กลายเป็นเรื่องร้อนไปถึงแบงก์ชาติที่แจ้งกับผู้สื่อข่าวว่า กำชับให้ UOB เร่งแก้ปัญหาแล้ว ว่าแต่ทาง UOB วางแผนรับมือปัญหาเหล่านี้ไปถึงไหน?</h2> โอนลูกค้ารายย่อยจากซิตี้แบงก์ สู่ UOB&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นับจากต้นปี 2565 ที่ทางธนาคารยูโอบี (UOB) ประกาศปิดดีลซื้อ ‘ธุรกิจกลุ่มลูกค้าบุคคล’ เช่น บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล จาก ซิตี้ ประเทศไทย ที่ลูกค้ารายย่อยกลุ่มนี้จะถูกโอนมายัง UOB ทั้งหมด ระหว่างนั้นทาง UOB มีการส่งจดหมายเพื่ออธิบายการโอนย้าย และความคืบหน้าให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จนกระทั่ง 21 เม.ย. 2567 ได้โอนย้ายบัญชีลูกค้ากว่า 1.2 ล้านคน มาที่ UOB อย่างสมบูรณ์ แต่กลายเป็นกระแสสังคมขึ้นมาเพราะลูกค้าส่วนใหญ่เจอปัญหา ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ติดต่อคอลเซ็นเตอร์ได้ยาก อาจใช้เวลามากกว่า 20 นาทีถึงหลักชั่วโมง สอดคล้องกับข้อมูลจาก UOB ที่ระบุว่า เดือน เม.ย. และ พ.ค. ปริมาณการโทรเข้า Call Center เพิ่มขึ้น 2.5 เท่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ช่องทางสาขารองรับได้ไม่เพียงพอ ทำให้ลูกค้าบางส่วนรอคิวนาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- การจ่ายบิลที่สับสน เพราะ UOB ใช้การจัดสรรยอดอัตโนมัติ (ที่รวมบิลทุกบัตรเข้าด้วยกัน)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ฯลฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แน่นอนว่าเมื่อเกิดปัญหาขึ้น นอกจากการร้องเรียนกับธนาคารโดยตรง ลูกค้าบางส่วนยังร้องเรียนไปทางหน่วยงานผู้กำกับธุรกิจธนาคาร อย่างแบงก์ชาติ ซึ่งเมื่อ 12 มิ.ย. 67 ที่ผ่านมา ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เปิดเผยว่า มีการเร่งให้ UOB แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมด และระบุว่าจะติดตามความคืบหน้าในการแก้ปัญหาทุกสัปดาห์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังจากนั้นทาง UOB ก็เคลื่อนไหวเช่นกัน โดยส่งกำหนดการและตั้งโต๊ะแถลงข่าวในวันที่ 14 มิ.ย. 67 เพื่อชี้แจงเรื่องปัญหาและความคืบหน้าการโอนย้ายธุรกิจรายย่อยมาจากซิตี้แบงก์UOB เร่งแก้ปัญหา เพิ่ม Call Center 3 เท่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ฝั่ง นายตัน ชุน ฮิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เล่าว่า ในช่วง 8 สัปดาห์หลังการโอนย้ายข้อมูลลูกค้า 1.2 ล้านรายอย่างสมบูรณ์ ยอมรับว่ามีอุปสรรค และเห็นผลกระทบที่เกิดขึ้น แต่มั่นใจว่ามีการรักษาความปลอดภัยข้อมูลอย่างเคร่งครัด ไม่มีการรั่วไหลเกิดขึ้น 	(ภายใต้ฐานลูกค้า 1.2 ล้านรายส่วนใหญ่กว่า 80% เป็นลูกค้าบัตรเครดิต และราว 20% มีผลิตภัณฑ์เงินฝาก และถือพอร์ตลงทุน)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ในรายละเอียด ‘วีระอนงค์ จิระนคร ภู่ตระกูล’ กรรมการผู้จัดการ Retail &amp; Brand ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “เรารับทราบว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ลูกค้าบางส่วนไม่ได้รับความสะดวก ทั้งเรื่อง Call Center และการลงทะเบียนใช้แอปฯ TMRW เราไม่นิ่งนอนใจ จึงมีมาตรการต่างๆ เพื่อปรับปรุงบริการให้ราบรื่นยิ่งขึ้น ตอนนี้เห็นผลระดับนึงแล้ว”<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 719px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/gvPHDh7upaj9J1dvhnDp.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="719px,404px" data-align="center" data-file-name="gvPHDh7upaj9J1dvhnDp.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,405" data-origin="719px,404px" style="width: 719px; height: 404px;" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ล่าสุด พบว่าจำนวนสายที่ติดต่อเข้ามาลดลง 25% จากเดือน พ.ค. 67 ที่พุ่งขึ้นสูงจุดสูงสุด&nbsp;สาเหตุที่จำนวนสายลดลงคาดว่ามาจาก การเพิ่มจำนวน Call Center ขึ้น 3 เท่า จาก 500 คนมาเป็น 1,500 คน และมีพนักงานที่สาขาเพื่อดูแลการลงทะเบียน TMRW โดยเฉพาะอีก 200 คน นอกจากนี้ยังจัดอบรมให้พนักงานที่ศูนย์บริการให้บริการลูกค้าได้ดีขึ้น ขยายเวลาให้บริการที่สาขา อีกทั้งยังมีการเพิ่มเติมช่องทางติดต่อทั้ง Social Media เช่น Facebook เพื่อช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้าอีก(ในขณะการแถลงข่าวผู้สื่อข่าวได้ทดลองติดต่อ UOB TMRW Thailand ทาง Facebook พบว่า พนักงานยังแจ้งให้ติดต่อช่องทางสาขาและ Call Center เพื่อแก้ปัญหา)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ยังมองว่าการเปลี่ยนผ่านนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จเพราะปัจจุบัน มีลูกค้าที่ถือผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ซิตี้ที่ใช้ Citi Mobile app กว่า 90% ได้ลงทะเบียนใช้งานแอป UOB TMRW แล้ว และมีการเปิดบัญฃีเงินฝาก TMRW แล้วกว่า 200,000 บัญชีUOB ย้ำลูกค้าที่กระทบจะได้เว้นค่าปรับ เผยยอดปิดบัตรยังปกติ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่อีกประเด็นที่ลูกค้าได้รับผลกระทบจากใบแจ้งยอดชำระหนี้ ซึ่งอาจเกิดดอกเบี้ยและค่าปรับขึ้นจากการที่ UOB ใช้ระบบการจัดสรรยอดอัตโนมัตินั้น “ยุทธชัย เตยะราชกุล" กรรมการผู้จัดการ บุคลลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย&nbsp;ชี้แจงว่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยพื้นฐานหากมีบัตรเครดิตหมายเลขใด ลูกค้าจะแยกต้องจ่ายในแต่ละบัตร ซึ่งจากพฤติกรรมของลูกค้าของ UOB พบว่า ลูกค้าไม่ต้องการจ่ายหลายครั้ง (แต่ชอบการรวมจ่ายทุกบัตรในครั้งเดียว) จึงมีการใช้ระบบระบบการจัดสรรยอดอัตโนมัติ (Payment apportionment) อย่างไรก็ตาม ทาง UOB จะยกเลิกระบบนี้ในวันที่ 24 มิ.ย. 67 นี้ เพื่อให้ลูกค้าเลือกจ่ายแต่ละบัตรได้ตามต้องการ และทางธนาคารจะดูแลรับผิดชอบและค่าปรับที่เกิดจากโอนย้ายข้อมูล<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/u48XB49o2eVosDbjdbFg.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="u48XB49o2eVosDbjdbFg.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="1"><figcaption><div>​&nbsp;ยุทธชัย เตยะราชกุล กรรมการผู้จัดการ บุคลลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย&nbsp;​</div></figcaption></figure></div> จากปัญหาเหล่านี้มีลูกค้าปิดบัตรฯ มากแค่ไหน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ยุทธชัย กล่าวว่า ยอดการยกเลิกบัตรเครดิตในเดือน เม.ย. และ พ.ค. 2567 ยังไม่แตกต่างจากช่วงก่อนหน้า ขณะที่ด้านยอดใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ยังเติบโตมากกว่า 10% เหนือว่าอุตสาหกรรม ในเดือน เม.ย. 67 นี้ยังเติบโต 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เดือน พ.ค. สะดุดลงเนื่องจากมีการ Blackout Perioed เพื่อถ่ายโอนข้อมูลซึ่งทำให้ลูกค้าส่วนหนึ่งกังวล และเห็นยอดใช้จ่ายที่ลดลงแต่ยังไม่ถึง 10% และเริ่มเห็นแนวโน้มเดือน มิ.ย. ยอดใช้จ่ายกลับมาแล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันหลังการรวมธุรกิจรายย่อยของ ซิตี้แบงก์ ทำให้ UOB มีฐานลูกค้ารวม 2.5 ล้านราย ซึ่งจากฐานลูกค้าส่วนใหญ่ของซิตี้แบงก์ มีรายได้เฉลี่ย 30,000 บาทเดือน ขึ้นไป ทั้งนี้ธนาคารขอยืนยันว่าลูกค้ายังคงสามารถใช้บัตรเครดิตภายใต้แบรนด์ซิตี้เดิมของท่านได้อย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะได้รับบัตรจากยูโอบีที่จะเริ่มดำเนินการส่งให้แก่ลูกค้าตั้งแต่เดือน ส.ค. 67&nbsp; &nbsp; สุดท้ายนี้ ยังต้องติดตามกันว่า เมื่อ&nbsp;UOB ประกาศแผนการเร่งแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าเข้าถึงบริการต่างๆ อย่างสะดวกแล้ว จะทำได้จริงมากแค่ไหน และลูกค้าทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์จะตอบสนองต่อแบรนด์ UOB อย่างไร ซึ่งประเด็นเหล่านี้จะกลายเป็นความท้าทายของ UOB ที่มุ่งทำตลาดในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความรวดเร็วในทุกๆ ด้าน เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/nestle-extreme-x-after-you" alt="จับเมนูฮิตมาเป็นไอศกรีม! เนสท์เล่ X อาฟเตอร์ ยู ออกรสชาติใหม่ ‘ชิบูย่า ฮันนี่โทสต์ โคน’"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/bot-uob-fix-problem" alt="แบงก์ชาติสั่ง UOB เร่งแก้ปัญหา กรณีประชาชนเจอผลกระทบหลังถ่ายโอนข้อมูลจากซิตี้แบงก์">แบงก์ชาติสั่ง UOB เร่งแก้ปัญหา กรณีประชาชนเจอผลกระทบหลังถ่ายโอนข้อมูลจากซิตี้แบงก์</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

กรณีศึกษา UOB แก้ปัญหาผลกระทบการโอนย้ายจากซิตี้แบงก์ เพิ่ม Call Center - เคลียร์ค่าปรับ เพียงพอ?

<h2>ซิตี้แบงก์มองเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป จีดีพีขยายตัว 3.6% เงินเฟ้อ 1.7% คาดแบงก์ชาติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.5% ถึงปี 2568 ขณะที่นักลงทุนทั่วโลกสนใจตลาดหุ้นไทย หลังลงต่ำสุดในภูมิภาค มีโอกาสพลิกกลับแตะระดับ 1,527 จุดปีนี้ แนะธีมลงทุน REIT การแพทย์ความงาม และนิคมอุตสาหกรรม</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย จัดงานประชุม “อัปเดตแนวโน้มเศรษฐกิจ พร้อมเจาะลึกเทรนด์การลงทุนในไทย ตลาดหุ้น และทิศทางเศรษฐกิจไทย ประจำปี 2567” โดยมีนักลงทุนทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกที่สนใจตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเข้าร่วมกว่า 120 รายเกินกว่าที่คาดหมายไว้ สะท้อนถึงความสนใจของนักลงทุนที่มีต่อประเทศไทย แม้ปีที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยจะติดลบ 15% และในแง่เม็ดเงินที่เข้ามาลงทุนจะหายไปกว่า 30% และต่างชาติยังคงขายสุทธิอย่างต่อเนื่องในปีนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โจฮันน่า ฉัว หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและตลาดเอเชียแปซิฟิก ธนาคารซิตี้แบงก์ กล่าวว่า ปีที่ผ่านมา ตลาดเอเชียแปซิฟิกได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ เพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อเม็ดเงินที่จะเข้ามาลงทุนในภูมิภาคนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่ปีนี้คาดว่าเฟดจะเริ่มลดดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2567 เป็นต้นไปอย่างน้อย 100 bps (4 ครั้ง) ซึ่งจะทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐและเอเชียแปซิฟิกแคบลง ทำให้มีเงินไหลลงทุนไหลเข้ามาในภูมิภาคนี้มากขึ้น ขณะเดียวกันจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวในภาคการผลิต โดยเฉพาะความต้องการสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยีที่กลับมา รวมถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน หลังจีดีพีขยายตัวได้ 5.2% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับปีนี้ ซิตี้แบงก์ คาดว่าจีดีพีของจีนจะขยายตัวได้ 4.6% ขณะที่อินเดีย ซึ่งจะปิดปีบัญชี 2566 ในเดือนมีนาคม 2567 ด้วยการเติบโตของจีดีพีที่ 7% และ 6.5% ในปีถัดไป ทั้งนี้การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนมีผลต่อประเทศในภูมิภาคอาเซียนรวมทั้งไทยซึ่งซิตี้แบงก์คาดการณ์ว่าจะขยายตัวได้ 3.6% ไม่รวมโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ซึ่งยังมีความไม่แน่นอน ท่องเที่ยวหนุนเศรษฐกิจไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นลิน ฉัตรโชติธรรม นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย กล่าวว่า ธนาคารซิตี้แบงก์คาดการณ์ว่าจีดีพี ประเทศไทยในปี 2567 จะเติบโตอยู่ที่ 3.6% โดยมีปัจจัยหลักจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยคาดว่าในปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางสู่ประเทศไทยราว 35.2 ล้านคน และจะเพิ่มขึ้นเป็น 41 ล้านคนในปี 2568&nbsp; &nbsp; ซึ่งตัวเลขการคาดการณ์ดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน พร้อมกันนี้มาตรการฟรีวีซ่าสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางจากประเทศรัสเซีย จีน อินเดีย และไต้หวัน จะเป็นอีกปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตให้ภาคการท่องเที่ยวได้​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/tv43DAKDRk5yakBs8pBA.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="tv43DAKDRk5yakBs8pBA.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,480"><figcaption><div>นลิน ฉัตรโชติธรรม</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นหลังการขึ้นค่าแรงและมาตรการทางการคลัง นอกจากนี้ ภาคการส่งออกที่ฟื้นตัวอยู่ที่ 3.3% จากปีก่อนหน้าจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ แม้จะยังคงเผชิญความท้าทายจากสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลก ขณะที่แผนการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ของรัฐบาลอาจส่งเสริมการเติบโตให้แก่ภาคส่วนดังกล่าวในอนาคต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตามหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูงจะเป็นปัญหาทางโครงสร้างที่สำคัญของเศรษฐกิจไทยในปีนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ในระยะปานกลางรัฐบาลมีแนวโน้มดำเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัว โดยคาดว่าการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐจะเร่งตัวขึ้นหลังมีการประกาศใช้พ.ร.บ งบประมาณปี 2567 อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามข้อสรุปของการอนุมัติร่างพ.ร.บ. กู้เงิน 5 แสนล้านบาท เพื่อโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งคิดเป็น 2.8% ของจีดีพี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“หากมาตรการดังกล่าวไม่เกิดขึ้น ซิตี้แบงก์คาดการณ์ว่ารัฐบาลอาจมีมาตรการอื่นๆ ซึ่งอาจจะใช้งบที่ลดลงและมุ่งเน้นไปยังประชาชนกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง และด้วยการดำเนินมาตรการทางการคลังเชิงรุกดังกล่าว คาดว่าจะส่งผลให้การลดระดับการขาดดุลทางการคลัง (Fiscal Consolidation) กลับมาอยู่ที่ระดับใกล้เคียงก่อนช่วงโควิดที่ประมาณ 3.0% ของจีดีพี อาจจะต้องใช้ระยะเวลาอีก 3-4 ปี” นลินกล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับเทรนด์การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่โดดเด่น ได้แก่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ สะท้อนให้เห็นจากตัวเลขการขอสนับสนุนการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) ในอุตสาหกรรมดังกล่าว ซึ่งช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนอีกด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะยังอยู่ในระดับ 1-3% ของกรอบเป้าหมาย ที่ 1.7% ในปี 2567 และ 2.2% ในปี 2568 แม้ว่าตัวเลขเงินเฟ้อหลายเดือนที่ผ่านมาออกมาต่ำกว่าคาด แต่ในปีนี้ยังคงมีความเสี่ยงขาขึ้นจากปัจจัยความไม่แน่นอนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลก ผลของปรากฏการณ์เอลนีโญต่อปริมาณผลผลิตทางการเกษตร และการทยอยลดการอุดหนุนราคาพลังงานของรัฐบาล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ซิตี้แบงก์คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะรักษาดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.5% จนถึงปี 2568 เพื่อรองรับความไม่แน่นอนในแนวโน้มเศรษฐกิจ รวมถึงรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/uxmtiJj4gxazztc73SfL.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="uxmtiJj4gxazztc73SfL.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="720,480"><figcaption><div>สิทธิโชค เตชะศิรินุกูล</div></figcaption></figure></div> หุ้นไทยลุ้นแตะระดับ 1,527 จุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สิทธิโชค เตชะศิรินุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์ซิตี้คอร์ป ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังเป็นที่สนใจจากนักลงทุนทั่วโลก สังเกตได้จากการประชุมวันนี้มีนักลงทุนต่างชาติเข้าร่วมฟังข้อมูลเกินความคาดหมาย และส่วนตัวมีมุมมองว่าในระยะ 6 - 12 เดือนข้างหน้า ตลาดหุ้นไทยจะพลิกกลับมาฟื้นตัว โดยซิตี้แบงก์คาดดัชนีหุ้นไทยในปีนี้จะแตะระดับ 1,527 จุด หลังจากปีที่ผ่านมา แย่ที่สุดในภูมิภาคโดยติดลบ 15% ขณะที่ในแง่เม็ดเงินลดลงประมาณ 30%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ปัจจัยที่มองว่าตลาดหุ้นไทยจะมี Surprise Upside ไม่ยาก เพราะปีที่ผ่านมา เราแย่ที่สุดแล้ว ขณะที่มูลค่าก็ต่ำมาก Underperform เมื่อเทียบกับตลาดในภูมิภาค ถือว่าลดลงไปต่ำสุดในรอบ 10 ปี ด้วยความกลัวของนักลงทุน แต่ถ้าดูจากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยไม่ได้แย่อย่างที่คิด ดัชนีทางเศรษฐกิจดีขึ้นทุกตัว ทั้งตัวเลขนักท่องเที่ยว เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะเริ่มกลับมาฟื้นตัว” สิทธิโชคระบุ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับธีมการลงทุนในปีนี้ ที่น่าสนใจ คือ การลงทุนในกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ที่ให้ผลตอบแทนสูงมากถึง 12-15% นอกจากนี้มีกลุ่มโรงพยาบาลและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ด้านความงาม ที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดี รวมถึงนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งไทยยังได้ประโยชน์จากการเป็นการย้ายฐานผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ จากความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ และการเป็นส่วนหนึ่งของซัพพลายเชนของโลก อย่างการเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน และอุตสาหกรรมอเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/motoring/tesla-lowers-selling-price-model-y-electric-car-in-europe" alt="Tesla หวังกระตุ้นยอดขายเพิ่ม ปรับราคาขายรถรุ่น Model Y ในยุโรปให้ถูกลงหลังจากลดราคาในจีนไปก่อนหน้า">Tesla หวังกระตุ้นยอดขายเพิ่ม ปรับราคาขายรถรุ่น Model Y ในยุโรปให้ถูกลงหลังจากลดราคาในจีนไปก่อนหน้า</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ซิตี้แบงก์มองไทยฟื้น หุ้นลุ้นแตะ 1,527 จุด

<h2>บัตรเครดิตยูโอบีเติบโตอย่างแข็งแกร่ง หลังซื้อกิจการซิตี้ ฐานลูกค้าแตะ 2.4 ล้านราย ขึ้นอันดับ 3 ขณะที่ยอดใช้จ่ายเพิ่ม 10-15% คนเข้าสู่โหมดปกติ เดินทาง กินเที่ยว ผนึก 5 พันธมิตร ออกบัตร Co - Brand ครอบคลุมทุกไลฟสไตล์คนรุ่นใหม่ ไม่ห่วงหนี้เสีย</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ยุทธชัย เตยะราชกุล Head of Personal Financial Services ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า หลังการเข้าซื้อกิจการธนาคารลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ปเมื่อต้นปี พ.ศ. 2565 ซึ่งทำให้ธนาคารมีจำนวนลูกค้ารายย่อยเกือบแปดล้านรายทั่วภูมิภาคอาเซียน ขณะที่ในประเทศไทยในปี 2566 ฐานลูกค้าบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นเป็น 2.4 ล้านราย เป็นอันดับ 3 ในประเทศไทย โดยมียอดใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 10-15% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เข้าสู่ภาวะปกติเหมือนช่วงก่อนโควิด โดยเฉพาะการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ ที่คนอัดอั้น ได้กลับมาใช้เพิ่มขึ้นถึง 20%” ยุทธชัยกล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับแนวโน้มการเติบโตของตลาดบัตรเครดิตในช่วงครึ่งปีหลังมีการเติบโตชะลอลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกที่มีการเติบโตสูงเมื่อเทียบกับฐานที่ต่ำของปีโควิด โดยปีนี้คาดว่าตลาดรวมบัตรเครดิตยังขยายตัวได้ 8-10% รวมถึงทิศทางในปี 2567 &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ยุทธชัย กล่าวว่า นโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่จะขยับยอดชำระขั้นต่ำของบัตรเครดิตจาก 5 เป็น 8% ในปี 2567 คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดรวมบ้างโดยเฉพาะตลาดแมส ในส่วนบัตรเครดิตยูโอบี ฐานลูกค้าเป็นกลุ่มระดับกลางถึงบน รายได้ตั้งแต่ 30,000 บาทขึ้นไป จะได้รับผลกระทบน้อยกว่า ผนึกพันธมิตรเปิดบัตร Co - Brand&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ได้เปิดตัวบัตรเครดิต Co brand ร่วมกับ 5 พันธมิตรแบรนด์ชั้นนำที่ตอบโจทย์ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ ได้แก่ แกร็บ ลาซาด้า แม็คโคร เมอร์เซเดส-เบนซ์ และไทยรอยัล ออร์คิด พลัส บัตรเครดิต Co brand ทั้ง 5 นี้ เป็นบัตร Co Brand ของซิตี้มาก่อน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุพรทิพย์ พงศาชำนาญกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ Head of Card Business ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ จะทำให้ธนาคารมอบบริการทางการเงินที่หลากหลายเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์และความสนใจของลูกค้าที่แตกต่างกัน และไม่ได้จำกัดเฉพาะแต่ในประเทศไทยเพียงอย่างเดียว แต่ครอบคลุมถึงภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ยูโอบีแตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่น และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของลูกค้า โดยบัตรแต่ละใบได้รับการออกแบบเพื่อมอบสิทธิประโยชน์ให้ตรงใจกลุ่มลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์แตกต่างกัน &nbsp; &nbsp; 1. บัตร UOB Grab เพื่อการใช้ชีวิตแบบคนเมือง ตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองยุคใหม่ที่สมาร์ทโฟนเข้ามามีบทบาทเกือบจะในทุกกิจกรรมในชีวิตประจำวัน อาทิ การชำระเงิน การแชร์รถ และการสั่งอาหาร ที่ผ่านมาผู้ถือบัตรยูโอบีมีการทำธุรกรรมบน Grab เกือบหนึ่งล้านรายการในแต่ละเดือน &nbsp; &nbsp; 2. บัตร UOB Lazada เพื่อนักช้อปออนไลน์ตัวยง การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของผู้ถือบัตรยูโอบีในการซื้อสินค้าออนไลน์เพิ่มขึ้นร้อยละ 37 ในปี 2566 ผู้ถือบัตร UOB Lazada จะได้รับคะแนนสะสมเพิ่มขึ้น 10 เท่าเมื่อซื้อสินค้าในลาซาด้า และรับคะแนนโบนัส 30 เท่าในเดือนเกิด และข้อเสนอที่ดีที่สุดในช่วงเมกะแคมเปญของลาซาด้า บัตร UOB Lazada ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่เป็นนักช้อปออนไลน์ตัวยง&nbsp; &nbsp; 3. บัตร UOB Makro สำหรับนักช้อปที่มองหาความคุ้มค่า จากผลการศึกษาความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอาเซียนปี 2566 พบว่าร้อยละ 30 ของคนไทยมีความกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการซื้อของใช้ที่จำเป็น บัตร UOB Makro จึงตอบโจทย์สำหรับผู้ประกอบการและลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าในการจับจ่ายโดยมอบคะแนนสะสมสำหรับการซื้อทุกครั้ง ซึ่งสามารถแลกบัตรกำนัลแม็คโครหรือแลกรับเงินคืนจากยอดซื้อที่แม็คโคร&nbsp; &nbsp; 4. บัตร UOB Mercedes สำหรับคนที่ชื่นชอบความหรูหรา การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของยูโอบีมากกว่าร้อยละ 40 มาจากลูกค้าที่มีรายได้ค่อนข้างสูง บัตร UOB Mercedes จึงได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความหรูหรา โดยเฉพาะความหรูหราแห่งยานยนต์&nbsp; &nbsp; 5. บัตรยูโอบี ไทย รอยัล ออร์คิด พลัส (UOB ROP) สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเดินทาง ในปี 2566 การใช้จ่ายในหมวดการเดินทางของบัตรเครดิตยูโอบีมีสัดส่วนค่อนข้างสูง โดยมียอดใช้จ่ายตั๋วเครื่องบิน คิดเป็นร้อยละ 37 ของยอดใช้จ่ายผ่านบัตร บัตรเครดิต UOB ROP จึงได้รับการออกแบบมาเพื่อนักเดินทางที่ต้องเดินทางเป็นประจำ พร้อมมอบสิทธิประโยชน์สุดพิเศษ เช่น การได้รับสถานะสมาชิกบัตรทองอย่างรวดเร็วในโปรแกรมรอยัล ออร์คิด พลัส และการแปลงการใช้จ่ายเป็นไมล์สายการบินที่คุ้มค่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“บัตรเครดิต Co brand ทั้ง 5 ใบของธนาคารยูโอบีนี้ เป็นบัตรที่เพิ่มมาจากบัตรเครดิตหลักทั้ง 5 ใบ ที่ทางธนาคารคัดสรรมาเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในแต่ละไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต พร้อมสร้างอีโคซิสเต็มส์ที่ตอบโจทย์สังคมไร้เงินสดครบทุกความต้องการ” เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/property/reic-foreigners-by-thai-condo" alt="ต่างชาติโอนคอนโดพุ่งกว่า 5 หมื่นล้าน เมืองท่องเที่ยวเริ่มฟื้น">ต่างชาติโอนคอนโดพุ่งกว่า 5 หมื่นล้าน เมืองท่องเที่ยวเริ่มฟื้น</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ยูโอบีขึ้นอันดับ 3 หลังซื้อกิจการซิตี้ เป้าหมายบัตรเครดิต 2.4 ล้านราย

นักท่องเที่ยวเดินทางไปต่างประเทศ 5 ทริปต่อปี
ผู้ปกครองจ่ายค่าเทอมบุตรหลานที่เรียนอยู่เมืองนอกทุกเทอม
นักช้อปตัวจริงหิ้วสินค้าดิวตี้ฟรีกลับไทยปีละหลายๆหน

บุคคลเหล่านี้มีอะไรที่คล้ายกัน?
ตอบ: ทุกคนล้วนต้องบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนในธุรกรรมสกุลเงินต่างประเทศของตนเอง

การทำธุรกรรมในสกุลเงินต่างประเทศ ไม่ว่าเป็นการใช้จ่ายระหว่างการเดินทางเพื่อท่องเที่ยว การทำธุรกิจ หรือการโอนเงินเพื่อจ่ายค่าเทอมของบุตรหลานที่ศึกษาอยู่ต่างประเทศหลายๆครั้งต่อปี ทำให้การจัดการอัตราแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ยุ่งยาก จะดีขึ้นถ้าหากสามารถวางแผนการเงินล่วงหน้าสำหรับทุกๆการเดินทางอย่างง่ายดายขึ้น เพื่อความสะดวกสบายสำหรับการใช้จ่าย และประหยัดค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่างๆมากยิ่งขึ้น

<img class="aligncenter wp-image-1962 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/Screen-Shot-2018-11-26-at-5.26.18-PM.png" alt="" width="774" height="433" />

ธนาคารซิตี้แบงก์ เล็งเห็นปัญหาการจัดการการเงินนี้และได้พัฒนาบริการให้ลูกค้าสามารถฝากเงินเป็นบัญชีเงินฝากได้สูงสุด 9 สกุลเงินทั่วโลก (THB, USD, EUR, AUD, GBP, CHF, JPY, HKD และ SGD) และทำธุรกรรมสกุลเงินต่างประเทศได้อย่างง่ายดายโดยไม่เสียค่าธรรมเนียมผ่านบัตรซิตี้ เดบิต มาสเตอร์การ์ด และแอพพลิเคชัน ซิตี้ โมบายล์ ทำให้การทำธุรกรรมการเงินในสกุลเงินต่างประเทศเป็นเรื่องง่าย ด้วยเครือข่ายของซิตี้แบงก์ที่มีสาขาธนาคารอยู่ทั่วโลก

ธนาคารซิตี้แบงก์จึงเป็นธนาคารแห่งแรกในไทยที่เปิดบริการฝากเงินเป็นบัญชีเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศ ที่ยังมาพร้อมด้วยสิทธิประโยชน์จาก Citibank Global Wallet อีกมากมาย เพียงคุณมียอดเงินฝาก และ / หรือเงินลงทุนรวมกับธนาคารตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป

เมื่อผูกบัญชีออมทรัพย์กับบริการ Citibank Global Wallet คุณสามารถทำธุรกรรมสกุลเงินต่างประเทศอย่างง่ายดายผ่านบัตรซิตี้ เดบิต มาสเตอร์การ์ด และแอพฯซิตี้ โมบายล์ โดยสิทธิประโยชน์ของ Citibank Global Wallet แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้

https://youtu.be/BxtdYLA_h2A

1. ถอนเงินสด โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมจากตู้เอทีเอ็มของธนาคารซิตี้แบงก์กว่า 13,000 แห่งทั่วโลก โดยยอดเงินที่ถอนออกมา จะถูกตัดออกจากบัญชีออมทรัพย์สกุลเงินต่างประเทศที่ลูกค้ามีอยู่กับธนาคารซิตี้แบงก์ ดังนั้นนอกจากจะไม่เสียค่าธรรมเนียมการถอนเงินแล้ว ยังจะไม่มีค่าธรรมเนียมการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน (foreign exchange fee) อีกด้วย

2. ใช้จ่ายผ่านบัตรซิตี้แบงก์ เดบิต มาสเตอร์การ์ดได้ทั่วโลก เมื่อเปิดใช้งานฟังก์ชัน Citibank Global Wallet ระบบจะสามารถตรวจจับได้ว่าลูกค้ามีการใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตในสกุลเงินไหน และจะตัดเงินออกจากบัญชีออมทรัพย์สกุลเงินของประเทศนั้น โดยไม่มีค่าธรรมเนียมการแลกเปลี่ยนสกุลเงินสำหรับการใช้บัตรเดบิตเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการในต่างประเทศ รวมไปถึงเว็บไซต์ต่างประเทศ โดยลูกค้าจะสามารถใช้จ่ายผ่านบัตรได้สูงสุด 300,000 บาทต่อวัน

เช่น ลูกค้าต้องการจะไปช้อปปิ้งที่สิงคโปร์ ก่อนเดินทางไปสิงคโปร์ ได้มาเปิดบัญชีดอลลาร์สิงคโปร์ เติมเงินเข้าบัญชีแล้ว และเปิดใช้งานฟังก์ชัน Citibank Global Wallet เรียบร้อยแล้ว เมื่อไปถึงห้างสรรพสินค้าในสิงคโปร์ ก็สามารถใช้บัตรซิตี้ เดบิต มาสเตอร์การ์ดชำระค่าสินค้าในสกุลเงินดอลล่าร์สิงคโปร์ได้เลย

 3. การโอนเงินข้ามสกุลเงิน ลูกค้าสามารถโอนระหว่างบัญชีออมทรัพย์สกุลเงินบาท และบัญชีออมทรัพย์สกุลเงินต่างประเทศได้อย่าง real time ผ่านแอพพลิเคชัน Citi Mobile TH โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมการโอนเงินระหว่างบัญชีธนาคารซิตี้แบงก์ทั่วโลก ลูกค้าสามารถโอนเงินได้สูงสุด 45,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (หรือเทียบเท่า) ต่อรายการสำหรับการโอนเงินต่างประเทศ หรือ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (หรือเทียบเท่า) ต่อรายการ สำหรับการโอนเงินในประเทศ และเงินที่โอนจะไปถึงบัญชีปลายทางทันที ซึ่งถือว่าเร็ว และสะดวกสบายมากหากเทียบกับการโอนผ่านธนาคารอื่นๆในไทย เพราะหากโอนผ่านธนาคารอื่น การโอนเงินไปบัญชีในต่างประเทศอาจใช้เวลาสูงถึง 3-7 วันทำการกว่าจะไปถึงบัญชีปลายทาง

<img class="aligncenter wp-image-1961 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/Screen-Shot-2018-11-26-at-5.25.56-PM.png" alt="" width="792" height="432" />

&nbsp;

เมื่อเปิดใช้งาน Citibank Global Wallet ไม่ว่าคุณจะไปท่องเที่ยว ช้อปปิ้ง หรือทำธุรกิจ ก็ไม่จำเป็นต้องถือเงินสดจำนวนมากระหว่างเดินทางไปต่างประเทศ เมื่อถึงจุดหมายแล้ว คุณสามารถใช้บัตรเดบิตถอนเงินสดอย่างง่ายดายไร้ค่าธรรมเนียมจากตู้เอทีเอ็มของธนาคารซิตี้แบงก์ทั่วโลก โดยเงินสดที่ถอนออกมาจะเป็นเงินจากบัญชีสกุลเงินที่คุณมีอยู่แล้วกับธนาคาร ดังนั้นจึงไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการถอนเงิน และไม่ต้องมีค่าอัตราแลกเลี่ยนเพื่อแลกเงินบาทไทยให้เป็นสกุลเงินต่างประเทศ

<img class="aligncenter wp-image-1960 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/Screen-Shot-2018-11-26-at-5.25.19-PM.png" alt="" width="781" height="442" />

หากคุณจะส่งบุตรหลานไปศึกษาต่อต่างประเทศ ก็สามารถโอนค่าเทอมและค่าใช้จ่ายอื่นๆให้บุตรหลานได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว โดยสามารถทำรายการผ่านแอพฯ ซิตี้ โมบายล์ ยอดเงินก็จะไปถึงปลายทางทันทีโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการโอนเงิน ไม่ต้องเดินทางไปสาขาหรือติดต่อ call center ให้ยุ่งยาก

นอกจากอภิสิทธิ์เรื่องค่าธรรมเนียมแล้ว Citibank Global Wallet ยังให้ผู้ถือบัตรที่มีสถานะเป็นลูกค้าซิตี้โกลด์ หรือผู้ที่มีเงินฝาก และ/หรือ เงินลงทุนกับธนาคารซิตี้แบงก์ตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป สามารถเข้าห้องพักรับรองในสนามบินกว่า 850 แห่งใน 400 สนามบินทั่วโลกได้อีกด้วย โดยแสดงบัตรเดบิตซิตี้โกลด์ มาสเตอร์การ์ด และบอร์ดดิ้งพาส เพื่อยืนยันสถานะเป็นลูกค้าซิตี้โกลด์ นอกจากนี้ ลูกค้ายังจะได้รับสิทธิพิเศษมากมายจากร้านค้า ร้านอาหาร และสปาชั้นนำในสนามบิน โดยสามารถตรวจสอบสิทธิประโยชน์ได้ผ่านเว็บไซต์ airport.mastercard.com หรือดาวน์โหลดแอพพลิเคชัน Mastercard Airport Experiences ก็ได้เช่นกัน

สนใจรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Citibank Global Wallet กรุณาเข้าไปที่ <a href="https://citi.asia/thscCcGw">https://citi.asia/thscCcGw</a> หรือติดต่อ 0-2081-0999

ให้โลกทั้งใบหมุนรอบตัวคุณในทุกเรื่องการเงินต่างประเทศ ด้วย Citibank Global Wallet

<h2>นอกจากคำเตือนยอดฮิตติดหูนักลงทุนที่ว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน” จะเป็นประโยคคลาสสิกที่นักลงทุนได้ยินจนจำได้ขึ้นใจแล้ว อีกหนึ่งเรื่องน่าคิดสำหรับนักลงทุนยุคใหม่ คือ “เป้าหมายหรือความสำเร็จของการลงทุนวัดกันที่ตรงไหน?</h2>
เวลาพูดถึงเป้าหมายของการลงทุน หลายคนอาจยังหลงทางคิดว่า ความสำเร็จของการลงทุนวัดกันที่ผลตอบแทนในรูปตัวเงินที่ได้กลับมา ทั้งที่ความจริงแล้ว ตัวชี้วัดความสำเร็จของการลงทุนที่สำคัญกว่า คือ การได้บรรลุเป้าหมายต่างๆของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายที่จะมีบ้านหลังใหม่ ได้เกษียณอายุก่อน 60 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ออกไปใช้ชีวิตตามฝัน หรือ จะเป็นเป้าหมายเพื่อคนที่รัก อย่างการวางอนาคตการศึกษาที่ดีให้ลูกหลาน เป็นต้น

ไม่สำคัญว่าวันนี้ เป้าหมายในชีวิตของคุณจะคืออะไร และมีกี่ข้อ เพราะเป้าหมายในชีวิตของคนเราเปลี่ยนแปลงได้เสมอตามช่วงวัย แต่สิ่งที่สำคัญที่นักลงทุนยุคใหม่ต้องกลับมาทบทวนคือ วันนี้คุณมีกลยุทธ์การลงทุนที่พร้อมพาตัวเองไปสู่แต่ละเป้าหมายในชีวิตหรือยัง?
<div class="resp-container"><iframe class="resp-iframe" src="https://www.youtube.com/embed/a7IFaMLANso" allowfullscreen="allowfullscreen"></iframe></div>
<style type="text/css">.resp-container {position: relative; overflow: hidden; padding-top: 56.25%;} .resp-iframe {position: absolute; top: 0; left: 0; width: 100%; height: 100%; border: 0;} </style>

เพื่อช่วยให้การวางแผนการลงทุนเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่ต้องการเป็นเรื่องง่าย ซิตี้โกลด์ บริการที่ปรึกษาการลงทุนสำหรับลูกค้าที่มีเงินฝาก และ / หรือ เงินลงทุนกับธนาคารซิตี้แบงก์ตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ซิตี้โกลด์ยังตอกย้ำจุดแข็งของแบรนด์ที่มาพร้อมสโลแกนติดหูที่ว่า “โลกการลงทุน คุณวางใจเรา” ด้วยการนำเสนอสุดยอดนวัตกรรมการให้บริการทางการเงินรูปแบบใหม่ Total Wealth Advisor (TWA) เครื่องมือวิเคราะห์การลงทุนสุดอัจฉริยะที่สามารถแปลงเป้าหมายชีวิตเป็นพอร์ตการลงทุนที่วางแผนให้บรรลุตามเป้าหมายที่ต้องการได้อย่างเหนือชั้น เอกสิทธิ์สำหรับลูกค้าบริการการลงทุนของธนาคารซิตี้แบงก์เท่านั้น

&nbsp;

<img style="width: 638px; height: 365px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/4c027cbaf885f1fcc1e2445fa7650562.jpg" alt="" />

จุดเด่นของโปรแกรม TWA คือ การใช้งานที่ง่าย ลูกค้าเพียงกำหนดเป้าหมายในชีวิตที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็น แผนลงทุนเพื่อการเกษียณ,แผนลงทุนเพื่อการศึกษาของบุตรหลาน หรือ แผนลงทุนเพื่อเพิ่มความมั่งคั่ง ฯลฯ ระยะเวลาที่ต้องการลงทุน และเงินลงทุนเริ่มต้น จากนั้นโปรแกรมจะประมวลผลเพื่อวางแผนทางการเงินตามเป้าหมาย (Goal-based planning) โดยอาศัยระบบฐานข้อมูลที่มีเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบด้านทั้งสถานการณ์ตลาด ระดับการรับความเสี่ยงการลงทุนของลูกค้า (Risk Profile) เพื่อจัดพอร์ตโฟลิโอที่มีการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย พร้อมแบ่งสัดส่วนการลงทุนที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทำให้การลงทุนให้ประสบความสำเร็จเป็นเรื่องง่ายที่ใครๆก็ทำได้ และระบบยังมีการแสดงผล ติดตามพอร์ตการลงทุนให้ตรงตามเป้าหมายอีกด้วย

<img style="width: 638px; height: 366px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/170f8457b749a7eda3b566ba51cf3fc5.jpg" alt="" />

แถมยังอุ่นใจยิ่งขึ้นเพราะซิตี้โกลด์ยังมีบริการผู้เชี่ยวชาญ (RM) เป็นเพื่อนคู่คิดพร้อมให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิดเพื่อช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายทางการเงินเพื่อคุณและคนที่คุณรัก

ทั้งนี้ ในอนาคต เครื่องมือ TWA จะถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงข้อมูล สถานการณ์การลงทุน และเป้าหมายผ่านอุปกรณ์ไร้สาย และโทรศัพท์มือถือ รวมถึงมีฟังก์ชั่นเปรียบเทียบผลตอบแทนการลงทุน กับนักลงทุนในประเทศต่างๆ ให้ครอบคลุมทุกความต้องการของนักลงทุน เช่น การออม การลงทุน การปกป้องพอร์ตการลงทุน ค่าใช้จ่าย เป็นต้น

<img style="width: 638px; height: 374px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/e7544f36d4bf03ae2c216cf7bd55f9af.jpg" alt="" />

อย่างไรก็ตาม ด้วยความสามารถของโปรแกรม TWA ของซิตี้โกลด์ นอกจากจะเป็นที่ตัวช่วยที่นักลงทุนต่างให้ความไว้วางใจ ยังได้รับการรับรองจากโครงการ 5 ขั้นมั่นใจลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ในฐานะบริการที่สามารถสร้างประสบการณ์ใหม่ของการแนะนำการลงทุนอย่างครบวงจรเป็นไปตาม 5 ขั้นตอน ประกอบด้วย 1. สำรวจและทำความเข้าใจลูกค้า 2.กำหนดโครงสร้างการลงทุน 3.การลงทุนตามแผนจัดสรรการลงทุน 4.การติดตามและปรับปรุงการลงทุน และ 5.การรายงานภาพรวมการลงทุนของลูกค้า

ทั้งหมดนี้ คือ อีกบทพิสูจน์ครั้งสำคัญที่สะท้อนถึงจุดเด่นของซิตี้โกลด์ ในการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้งว่าเป้าหมายชีวิตลูกค้าแต่ละคนคืออะไร และทำให้สามารถวางแผนการลงทุนของลูกค้าได้อย่างละเอียดและแม่นยำยิ่งขึ้น และสามารถปรับเปลี่ยนเป้าหมายได้เมื่อมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในชีวิต

ร่วมสัมผัสประสบการณ์การบริหารการลงทุนเพื่อพิชิตทุกเป้าหมายของชีวิตให้เป็นจริงด้วย TWA โปรแกรมอัจฉริยะที่ช่วยสร้างความมั่งคั่งในแบบเหนือชั้นได้แล้ววันนี้ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ <a href="https://citi.asia/ThsCcGfS">https://citi.asia/ThsCcGfS</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events