'ซิตี้แบงก์' แนะภาคธุรกิจ 6 เทรนด์รับมือกำแพงภาษีสหรัฐฯ ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกผันผวน - Forbes Thailand

'ซิตี้แบงก์' แนะภาคธุรกิจ 6 เทรนด์รับมือกำแพงภาษีสหรัฐฯ ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกผันผวน

นับตั้งแต่การลงนามความตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้าในปี 2490 ระบบการค้าโลกได้ดำเนินอยู่ภายใต้กติกาสากลที่แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง จนกระทั่งวันที่ 2 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา ทางสหรัฐอเมริกาโดยรัฐบาล 'โดนัลด์ ทรัมป์' ได้ประกาศมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับทุกประเทศทั่วโลก นับเป็นจุดพลิกผันครั้งใหญ่ที่สุดในรอบเจ็ดทศวรรษของประวัติศาสตร์การค้าระหว่างประเทศ


    คำถามที่หลายฝ่ายเฝ้าจับตาคือ ธุรกิจจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การค้าโลกอย่างไรบ้าง? ซึ่งบทวิเคราะห์ Global Trade in Transition: Tariffs Reshape Supply Chains, Strategy, and Financing ของ “ธนาคารซิตี้แบงก์” ระบุว่า แม้บางประเทศเผชิญกับอัตราภาษีที่สูงกว่าประเทศอื่นๆ เช่น ประเทศจีน เวียดนาม แต่ภาคอุตสาหกรรมในระดับโลก ตั้งแต่ภาคเทคโนโลยี ยานยนต์ สินค้าและบริการเพื่อผู้บริโภค ไปจนถึงภาคการเกษตรและโลจิสติกส์ ได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากอัตราภาษี และมีการเร่งปรับโครงสร้างซัพพลายเชน กลยุทธ์การเงิน และแผนการลงทุนครั้งใหญ่ในรอบหลายสิบปี ทุกประเทศที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานโลกจึงล้วนได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม รวมถึงประเทศไทยซึ่งเป็นผู้ส่งออกรถยนต์ให้สหรัฐอเมริกา ก็เริ่มเผชิญแรงกดดันในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ด้วยเช่นกัน


    เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์การค้า องค์กรธุรกิจมีแนวโน้มปรับกลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโตระยะยาว โดย 6 เทรนด์การตั้งรับที่สำคัญมีดังนี้

    1. การขยายฐานการผลิตในสหรัฐฯ ผ่านการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรอย่างโรงงาน FDI หรือการควบรวมหรือเข้าซื้อกิจการ เพื่อลดความเสี่ยงด้านการขนส่งรวมถึงเลี่ยงภาษีนำเข้า

    2. ย้ายฐานการผลิตไปประเทศที่ภาษีต่ำ แต่ความไม่แน่นอนของระดับภาษีในอนาคตทำให้การตัดสินใจย้ายฐานการผลิตยังคงเป็นประเด็นที่ซับซ้อน

    3. เพิ่มกำลังการผลิตในโรงงานเดิม ลดต้นทุนด้วยการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่

    4. กระจายฐานซัพพลายเออร์ รวมถึงเพิ่มการจัดซื้อจากหลายแหล่ง ลดความเสี่ยงการพึ่งพาซัพพลายเออร์เจ้าเดียว

    5. สำรองสต็อกสินค้าในคลัง เพื่อไม่ให้กระทบการขายหรือการผลิตหากเกิดวิกฤติ และบางบริษัทยังเร่งส่งสินค้าก่อนจะเกิดสงครามการค้า

    6. รัดเข็มขัดเงินสดสำรองและรักษาสภาพคล่อง เพื่อรับแรงกดดันด้านกำไรและยอดขายที่ลดลง


    และแม้สถานการณ์จะมีความท้าทาย แต่ธุรกิจที่สามารถกระจายความเสี่ยงพร้อมบริหารทรัพยากรอย่างยืดหยุ่น ยังมีโอกาสสร้างการเติบโตได้ด้วยการลงทุนในตลาดใหม่ รวมถึงสร้างความได้เปรียบจากโครงสร้างภาษีที่เปลี่ยนแปลง เครื่องมือการเงินเพื่อบริหารความเสี่ยงและอำนวยความสะดวกในการค้าระหว่างประเทศ ทั้งโซลูชันบริหารเจ้าหนี้การค้า (Payables Finance) และลูกหนี้การค้า (Accounts Receivable) ที่ช่วยให้การลงทุนคล่องตัวในภาวะต้นทุนสูงขึ้นจากภาษี ตราสารเครดิต (Letters of Credit) ที่ออกโดยธนาคารเพื่อรับประกันการชำระเงิน รวมถึงสินเชื่อเพื่อการค้าและทุนหมุนเวียน (Trade and Working Capital Loans) ซึ่งช่วยให้ธุรกิจมีเงินสดเพียงพอสำหรับการซื้อวัตถุดิบ การผลิต และจัดส่งสินค้า จึงได้รับความสนใจจากองค์กรทั่วโลก

    นฤมล จิวังกูร กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย เผยว่า ทิศทางการค้าที่ผันผวนในขณะนี้เป็นความท้าทายอย่างสูงสำหรับการวางกลยุทธ์ขององค์กร การมีพันธมิตรด้านการเงินที่มีทั้งบริการครบวงจรและความเชี่ยวชาญในตลาดนานาชาติ จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการบริหารความเสี่ยงและการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เข้าถึงตลาดเงินตลาดทุนในแต่ละประเทศ ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงินระดับโลก 


    "สำหรับองค์กรที่ต้องการขยายการเติบโตในระดับนานาชาติ ธนาคารซิตี้แบงก์ เป็นพันธมิตรอันดับต้นที่พร้อมตอบโจทย์ธุรกิจ ด้วยบริการที่สอดรับกับความต้องการขององค์กร และเครือข่ายครอบคลุมกว่า 180 ประเทศทั่วโลก ช่วยเชื่อมโยงลูกค้าเข้ากับโอกาสที่เหมาะสม พร้อมมอบข้อมูลเชิงลึกที่ทันเหตุการณ์ เพื่อการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่แม่นยำ สนับสนุนให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นใจในเวทีโลก”

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย


ภาพ : ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : เจาะลึกปัญหา ‘จีนระบายสต็อก’ เสี่ยงสินค้าราคาถูกทะลักเข้าไทย!

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine