<h2>หลายปีมานี้ธุรกรรมการเงินสามารถทำผ่านช่องทางดิจิทัลได้มากขึ้น ไม่ว่าจะฝาก โอน ถอน ไปจนถึงการขอสินเชื่อผ่านออนไลน์ จนเกิดบริการมากมายทั้ง Digital Banking, E-wallet ฯลฯ ล่าสุดคนไทยใกล้จะมี ‘Virtual Bank’ หรือธนาคารไร้สาขามาเป็นอีกทางเลือกแล้ว เพราะล่าสุดแบงก์ชาติประกาศว่ามีคนสมัครขอใบอนุญาตฯ ถึง 5 ราย และปีหน้าจะประกาศชื่อ ‘ตัวจริง’ ที่ผ่านเงื่อนไขต่างๆ</h2><p><br></p><h2>แต่ Virtual Bank จะต่างจากบริการการเงินดิจิทัลอื่นๆ มากแค่ไหน และนำสู่คำถามที่ว่า ทุนใหญ่ที่ไม่ใช่ธนาคารแบบดั้งเดิมจะเข้ามามีบทบาทในวงการการเงินไทยอย่างไร</h2><p><br></p><p><strong>ทำไมประเทศไทยต้องมี ‘Virtual Bank’</strong></p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;<strong>Virtual Bank หรือธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา</strong> ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้คำนิยามไว้ว่า เป็นธนาคารพาณิชย์รูปแบบใหม่ที่ให้บริการผ่านช่องทางดิจิทัลเป็นหลักโดยไม่มีสาขา ไม่มีเครื่องถอน-ฝากเงินสด แต่สามารถให้บริการทางการเงินได้อย่างครบวงจร (เช่น โอนเงิน ออมทรัพย์ ให้สินเชื่อ ฯลฯ) <br>แน่นอนว่าเมื่อไม่มีสาขา ต้นทุนต่างๆ จะลดลง เช่น ไม่มีค่าจ้างพนักงานสาขา ค่าสถานที่ และอื่นๆ <strong>ที่สำคัญ Virtual Bank จะต้องนำข้อมูลทางเลือกที่หลากหลายมาใช้วิเคราะห์พฤติกรรม เพื่อออกแบบบริการการเงินที่เหมาะสม และบริหารความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น</strong></p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ Virtual Bank ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ในต่างประเทศอาจเรียกในชื่ออื่น เช่น Diigital Bank (สิงคโปร์และมาเลเซีย) Internet-only Bank (เกาหลีใต้และไต้หวัน) Neobank (สหราชอาณาจักรและออสเตรเลีย) และ Virtual Bank (ฮ่องกง) ซึ่งให้บริการในหลายแบบ เช่น เงินฝากที่มีฟีเจอร์ใหม่ๆ เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ เป็นต้น</p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในส่วนของไทยมีข่าวคราวมาหลายปีแล้ว แต่ธปท. มาเปิดรับสมัครให้ขอใบอนุญาตฯ ช่วงปลาย มี.ค. ถึง 19 ก.ย. 2567 ที่ผ่านมา และ<strong>วางเป้าหมายไว้ว่า Virtual Bank จะเข้ามายกระดับบริการในลูกค้ารายย่อยและธุรกิจ SMEs เป็นหลัก</strong> โดยเฉพาะกลุ่มที่เข้าไม่ถึงบริการของธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบัน (unserved) และกลุ่มที่เข้าถึงแล้ว แต่ยังได้รับบริการไม่เพียงพอหรือไม่ครบวงจร (underserved) ได้ดียิ่งขึ้น ที่สำคัญคือสร้างการแข่งขันให้เกิดบริการที่ดีขึ้น ทั้งด้านราคา และการเข้าถึง</p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หากดูเงื่อนไขหลักของคนที่จะเปิด Virtual Bank คือ ต้องเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ มีธรรมภิบาล เก่งเรื่องเทคโนโลยีเพราะต้องดูแลข้อมูลของลูกค้า ฯลฯ ที่สำคัญต้องมีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว (ในช่วงแรก) 5,000 ล้านบาทขึ้นไป ช่วงหลังต้องปรับเพิ่มเป็น 10,000 ล้านบาท <strong>จากเงื่อนไขนี้เลยทำให้หลายฝ่ายคาดว่าต้องเป็น ‘ทุนใหญ่’ ที่เข้ามาสมัคร</strong></p><div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false">  <figure style="margin: auto;">    <img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/gh7awtoNv5bf5ux7WQP4.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="gh7awtoNv5bf5ux7WQP4.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0">  </figure></div><p><strong>​<br></strong></p><p><strong>คาด ‘ทุนใหญ่’ จับมือกลุ่มการเงินชิงใบอนุญาตฯ ธปท. เผยมีผู้สมัคร 5 ราย</strong></p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังจากแบงก์ชาติปิดรับสมัครยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) <strong>เมื่อ 19 ก.ย. 2567 ที่ผ่านมา พบว่า มีผู้ยื่นคำขอรวม 5 ราย</strong> ซึ่งหลังจากนี้ ธปท. จะพิจารณาคุณสมบัติ ศักยภาพ และความสามารถที่จะประกอบธุรกิจ Virtual Bank ก่อนเสนอรายชื่อผู้ที่สมควรได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาต่อ และ<strong>คาดว่าจะประกาศรายชื่อให้จัดตั้ง Virtual Bank ได้ภายในช่วงกลางปี 2568</strong></p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยผู้ที่ได้รับความเห็นชอบจะต้องเตรียมความพร้อมเพื่อให้สามารถเปิดดำเนินธุรกิจได้ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่รัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ซึ่งธปท. วางแผนว่า จะให้ใบอนุญาต 3 รายในช่วงเริ่มแรก</p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้ว่าในประกาศล่าสุด แบงก์ชาติจะไม่ได้เปิดเผยรายชื่อผู้สมัคร Virtual Bank ทั้ง 5 ราย แต่มีแหล่งข่าวจากธุรกิจ Fintech (ข้อมูลจาก Bangkok Post) ที่คาดว่าจะมี 5 กลุ่มธุรกิจใหญ่ที่สนใจและเข้ามาสมัคร ได้แก่</p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. SeaMoney Thailand ที่ให้บริการการเงินดิจิทัลทั้งการชำระเงิน และสินเชื่อผ่าน ShopeePay และ SPayLater</p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. บมจ. วีจีไอ (VGI) ในเครือ BTS คาดว่าจะร่วมมือกับ ธนาคารกรุงเทพ</p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3. SCB X บริษัทแม่ของธนาคารไทยพาณิชย์ที่จะร่วมกับ KakaoBank (ธนาคารดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้) และ WeBank (ธนาคารดิจิทัลจากจีน)</p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4. TrueMoney ในเครือ CP โดยจะร่วมมือกับ Ant Group Fintech บริษัทลูกของ Alibaba Group จากจีน</p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;5. บมจ. กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (Gulf) มีความร่วมมือกับธนาคารกรุงไทย (KTB)  บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (AIS) และ บมจ. ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR)</p><div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false">  <figure style="margin: auto;">    <img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/JDsTvVL988LPk1Ywz1L9.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="JDsTvVL988LPk1Ywz1L9.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1">  </figure></div><p>​<br></p><p><strong>Virtual Bank จะมาแข่งหนี้นอกระบบ แต่ในระยะยาวอาจแข่งกับแบงก์ดั้งเดิม</strong></p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลายคนอาจสงสัยว่าแล้ว Virtual Bank จะต่างจาก บริการการเงินแบบดิจิทัลที่มีอยู่ในตลาดมากมายตอนนี้ ‘มากแค่ไหน’ ทาง <strong>ดร. สมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงาน Economic  Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์</strong> ได้เล่าไว้ว่า เมื่อเทียบธุรกิจการเงินที่เป็นดิจิทัลอื่นๆ อาจไม่ต่างจาก Virtual Bank มากนัก แต่เป็นการยกระดับและเข้าสู่ธุรกิจการให้กู้ได้มากขึ้น</p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“Virtual Bank เขาเห็นความเสี่ยงที่เยอะกว่า (แบงก์) แต่เขาเห็นผลตอบแทนที่เยอะกว่าด้วย”  ดร.สมประวิณ กล่าวต่อว่า การมี Virtual Bank อาจทำให้การแข่งขันในระบบแบงก์เปลี่ยนไป แต่ไม่ใช่ในระยะสั้นที่จะไปแข่งกับหนี้นอกระบบ แต่ระยะยาวถ้า Virtual Bank เขามี Dynamic Pricing คือลดดอกเบี้ยมาเรื่อยๆ ได้ จากการที่เห็นคน (พฤติกรรม) ดีขึ้นได้เรื่อยๆ ณ วันที่ดอกเบี้ยเขาเท่ากับธนาคารจึงเริ่มจะแข่งขันกัน</p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม Virtual Bank จะทำให้ Spectrum ของการทำธุรกิจมันครบขึ้น คนไทยมีความเสี่ยงที่หลากหลาย ไม่เหมือนญี่ปุ่นที่ส่วนใหญ่มีความเสี่ยงต่ำ คนไทยมีความเสี่ยงตั้งแต่ต่ำจนถึงสูง และคนไทยส่วนใหญ่มีความเสี่ยงสูงเพราะอยู่นอกระบบ</p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ระบบ Banking ที่ปัจจุบันเราทำ เราไปยกระบบ Banking ของระบบที่มีความเสี่ยงต่ำมา แปลว่าคนส่วนใหญ่ก็เข้าถึงไม่ได้ การมี Virtual Bank เป็น Business Model ที่ Exposed (รับ) ความเสี่ยงที่สูงกว่า และตอบโจทย์คนส่วนใหญ่ของประเทศ” ดร.สมประวิณ กล่าว <br>แต่เชื่อว่า Virtual Bank จะช่วยเรื่องการเข้าถึงบริการทางการเงิน และอาจจะช่วยเรื่องแก้หนี้ ได้หากสามารถช่วยให้คนรีไฟแนนซ์จากหนี้นอกระบบเข้ามาในระบบได้ และถ้าให้ดียิ่งขึ้น Virtual Bank ต้องต่อยอดจากแบงก์ปกติด้วย เช่น หากมีลูกค้าที่ดีอยู่ใน Virtual Bank จะสามารถปรับเข้ามาอยู่ในระบบธนาคารที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า</p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุดท้ายนี้ Virtual Bank จะสร้างความแตกต่าง หรือมีความแปลกใหม่ได้แค่ไหน ยังคงต้องติดตามกันว่า กลุ่มทุนใหญ่ค่ายไหนจะได้รับใบอนุญาตฯ Virtual Bank และจะใช้ข้อมูลทางเลือกต่างๆ มาออกแบบให้เหมาะสมกับคนไทย รวมถึงสามารถสร้างรายได้ให้อยู่รอดท่ามกลางอุตสาหกรรมการเงินที่มีคู่แข่งหลากหลายรูปแบบนี้อย่างไร<br></p><p><br></p><p><br></p><p>​<a href="https://www.freepik.com/free-photo/representation-user-experience-interface-design-smartphone_38047595.htm#fromView=search&amp;page=1&amp;position=13&amp;uuid=c4bd320a-bb05-454f-a164-d805f3e75c45" alt="Image by freepik">Image by freepik</a>​</p><p><br></p><p><br></p><p><span style="color: rgb(68, 68, 68)">เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/newsfinance-and-investment/kkp-research-chinese-goods-flooded-thai-market" alt="KKP ชี้ e-Commerce โตแรงเร่งสินค้าจีนทะลักเข้าไทย กระตุ้นเสี่ยงขาดดุลการค้า"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/property/how-has-thai-real-estate-been-in-the-past-10-years" alt="10 ปีอสังหาไทย หนักขนาดไหน? บ้านแพงขึ้น รายได้โตไม่ทันราคาบ้าน หนี้ครัวเรือนสูง กู้บ้านไม่ผ่านพุ่ง 80%"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/virtual-bank-kresearch-apr-2024" alt="อ่านกรณีศึกษา Virtual Bank ในเกาหลีใต้-สิงคโปร์-จีน พร้อมวิเคราะห์โอกาสของธุรกิจนี้ในไทย">อ่านกรณีศึกษา Virtual Bank ในเกาหลีใต้-สิงคโปร์-จีน พร้อมวิเคราะห์โอกาสของธุรกิจนี้ในไทย</a></span><br></p><p><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a></p>

‘Virtual Bank’ ธนาคารไร้สาขา โอกาสของทุนใหญ่หรือคนไทยจะเข้าถึงสินเชื่อมากขึ้น

ญี่ปุ่นมอบเครื่องราชฯ "เจ้าสัว CP" ส่งเสริมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

<h2>บริษัท ซีพี ฟิวเจอร์ ซิตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (CPFC) บริษัทอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรในเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ผู้พัฒนาศูนย์กระจายสินค้าโครงการลำพูนดิสทริบิวชั่นเซ็นเตอร์ ซึ่งจะเป็นโลจิสติกส์พาร์คขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในภาคเหนือ ร่วมลงนามในสัญญาเช่าศูนย์กระจายสินค้า เฟสแรก กับ บริษัท ออลล์ นาว แมนเนจเม้นท์ จำกัด (All Now) บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (Lotus’s) และ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) (Makro)&nbsp;</h2><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;<br></p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นับเป็นการผนึกกำลังร่วมกันครั้งแรกของบริษัทในกลุ่มธุรกิจค้าปลีก เกษตรกรรม โลจิสติกส์ และอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้กลยุทธ์ CP Synergy และ CP Excellence ที่มุ่งเน้นขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความเป็นเลิศด้วยการประสานศักยภาพของบริษัทในเครือฯ ด้วยแนวคิด Sharing Economy ปั้นโมเดลศูนย์โลจิสติกส์ครบวงจร เพื่อเป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าสำหรับธุรกิจค้าปลีกของเครือฯ ครอบคลุม 15 จังหวัดในภาคเหนือและภาคกลางตอนบน ตั้งเป้าหมายเฟสแรกแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปี 2567 และเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2570</p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;<strong>ปพิตชญา สุวรรณดี</strong> ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ฟิวเจอร์ ซิตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า CPFC ก่อตั้งขึ้นโดยมุ่งเน้นพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ โครงการรอบสถานีระบบขนส่งสาธารณะ และศูนย์กระจายสินค้า โดยได้นำวิสัยทัศน์ด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ทั้งด้านเทคโนโลยีและความยั่งยืนมาใช้ในการพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าแห่งแรกของบริษัทที่ลำพูน โครงการลำพูนดิสทริบิวชั่นเซ็นเตอร์ได้ออกแบบและก่อสร้างภายใต้รูปแบบ  built-to-suit  เพื่อให้ตรงตามความต้องการใช้งานของกลุ่มธุรกิจรีเทลของเครือฯ ได้แก่ Makro Lotus<sup>,</sup>s และ CPF&nbsp;</p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยนำนวัตกรรมด้านการออกแบบและก่อสร้างที่ได้มาตรฐาน โดยยึดหลักการใช้งานและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ การใช้พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียนจากแผงโซลาร์เซลล์ รวมถึงการออกแบบพื้นที่ และเลือกวัสดุโครงสร้างอาคารพร้อมทั้งนวัตกรรมที่ช่วยควบคุมคุณภาพสินค้า และสามารถรองรับการจัดเก็บและกระจายสินค้าทุกประเภทได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค อาหารสดและอาหารแห้งชนิดต่างๆ รวมถึงอาหารแช่เย็นและแช่แข็ง เป็นต้น โดยมี All Now ผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ครบวงจรเป็นผู้บริหารจัดการระบบคลังสินค้าและขนส่งที่ได้มาตรฐานนี้</p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;<strong>สมพงษ์ รุ่งนิรัติศัย </strong>ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจโลตัส ประเทศไทย กล่าวว่า “โครงการลำพูนดิสทริบิวชั่นเซ็นเตอร์ นับเป็นศูนย์กระจายสินค้าที่ครบวงจรที่สุดแห่งแรกของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่เป็นการประสานพลังของกลุ่มธุรกิจในเครือ ด้วยทำเลที่ตั้งในจังหวัดลำพูน ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในภาคเหนือ และใกล้แหล่งผลิตสินค้าเกษตรในพื้นที่ ศูนย์กระจายสินค้าแห่งนี้จะช่วยสนับสนุนการกระจายสินค้าเกษตรของเกษตรกรในภาคเหนือให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภูมิภาคผ่านการสร้างงานในท้องถิ่น  โดยจะสามารถกระจายสินค้าไปยังสาขาของโลตัสทั่วภาคเหนือ ส่งมอบสินค้าคุณภาพสูงถึงมือลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ลูกค้ารู้สึกดีดีทุกวัน ที่โลตัส”</p><p>&nbsp;<strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธเนศ พิริย์โยธินกุล </strong>ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออลล์ นาว กรุ๊ป กล่าวว่า “การร่วมผนึกกำลังครั้งนี้ ทางออลล์ นาว รับบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการคลังกระจายสินค้าและโลจิสติกส์แบบครบวงจร เพื่อตอบสนองการเติบโตของกลุ่มธุรกิจค้าปลีกในเครือฯ รวมทั้งธุรกิจเกษตรและอื่นๆ ในพื้นที่ภาคเหนือ การดูแลคลังสินค้าครอบคลุมถึงสินค้าอุณหภูมิปกติ และสินค้าสดแช่เย็น-แช่แข็ง โดย ออลล์ นาว มีความเชี่ยวชาญและทีมงานพร้อมประสบการณ์มากกว่า 20 ปี ในการดูแลบริหารจัดการคลังสินค้าและการกระจายสินค้าไปทั่วประเทศ ผมเชื่อว่า การจับมือร่วมกันครั้งนี้ ออลล์ นาว มองว่าเป็นก้าวสำคัญที่จะร่วมกันยกระดับศักยภาพ ทางด้านการบริหารจัดการโลจิสติกส์ทางภาคเหนือ เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจค้าปลีกในอนาคต และ ออลล์ นาว ก็พร้อมที่จะเป็นหนึ่งในผู้นำของตลาดโลจิสติกส์ในประเทศไทย</p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;<strong>&nbsp;ศรัณย์พงศ์ จิตรจง</strong> รองผู้อำนวยการฝ่าย Supply chain บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ศูนย์กระจายสินค้าโครงการลำพูนดิสทริบิวชั่นเซ็นเตอร์จะช่วยสนับสนุนการสร้างงาน สร้างอาชีพ และพัฒนาสินค้าเกษตร ด้วยการเป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าเกษตรจากภาคเหนือถึงมือลูกค้าทั่วประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และคงความสดใหม่ ตอกย้ำเป้าหมายการเป็นผู้นำอาหารสดของแม็คโคร และด้วยแนวคิดการออกแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้พลังงานสะอาด และนวัตกรรมในการควบคุมคุณภาพสินค้า&nbsp;</p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สอดคล้องกับเป้าหมายการดำเนินธุรกิจเคียงข้างลูกค้า คู่ค้า และชุมชนอย่างยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ของซีพี แอ็กซ์ตร้า ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจของบริษัทฯ และบริษัทในเครือ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งระบบโลจิสติกส์ที่ทันสมัย การบริหารระบบซัพพลายเชน และการจัดส่งสินค้า เพื่อรองรับการเติบโตของสินค้าเกษตร อาหารสด อาหารแช่เย็น อาหารแช่แข็ง สินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงเพิ่มโอกาสและช่องทางกระจายสินค้าผ่านศูนย์กระจายสินค้าที่ใกล้แหล่งผลิต ช่วยรักษาคุณภาพ ลดต้นทุนให้เกษตรกร รวมถึงการสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับชุมชนในท้องถิ่น ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับแนวคิดการทำธุรกิจที่จะเติบโตเคียงข้างชุมชนและสังคมไทยอย่างยั่งยืน</p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;<strong>&nbsp;ทวิช ทัฬหะกาญจนากุล </strong>ผู้อำนวยการโลจิสติกส์และศูนย์กระจายสินค้า CPFGS กล่าวว่า ซีพีเอฟ โกลบอล ฟู้ด โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CPFGS เป็นบริษัทในกลุ่มของซีพีเอฟ เราเป็นผู้นำด้านการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์และอาหาร รวมทั้งกิจการร้านอาหารและธุรกิจขนมสัตว์เลี้ยง โครงการลำพูนดิสทริบิวชั่นเซ็นเตอร์ จะช่วยส่งเสริมให้เราส่งมอบอาหารที่ สะอาด ปลอดภัย รสชาติอร่อย และมีโภชนาการที่ดีต่อร่างกาย แก่ลูกค้าในเขตภาคเหนือได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้เพื่อรองรับความต้องการที่เติบโตของลูกค้าในเขตภาคเหนือ เราได้ร่วมกันใช้ศักยภาพด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนของธุรกิจในเครือเพื่อให้ลูกค้าได้ประโยช์นสูงสุด</p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โครงการลำพูนดิสทริบิวชั่นเซ็นเตอร์ ตั้งอยู่บนถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ เชียงใหม่-ลำปาง ต. บ้านกลาง อ.เมือง จ.ลำพูน บนพื้นที่กว่า 90 ไร่ โดยแบ่งการพัฒนาโครงการออกเป็น 2 เฟส โดยเฟสแรกจะเป็นศูนย์กระจายสินค้าครบวงจร มีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จและพร้อมเปิดใช้งานในไตรมาส 2 ปี 2567 และเฟสที่ 2 จะพัฒนาเป็นส่วนต่อขยายศูนย์กระจายสินค้า เพื่อสนับสนุนการเจริญเติบโตของกลุ่มธุรกิจค้าปลีกในเครือ พร้อมทั้งจะเป็นพื้นที่พาณิชย์ เพื่อตอบสนองการขยายตัวของเมืองลำพูน และทำให้เป็นโลจิสติกพาร์คที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือของเครือเจริญโภคภัณฑ์ และจะเป็นต้นแบบโมเดลด้านโลจิสติกส์ที่สำคัญของเครือฯ ทั้งด้านเทคโนโลยีและความยั่งยืน<br></p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;<br></p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/preview/71046" alt="SCB CIO คาดดอกเบี้ยสูงกลับมาแผลงฤทธิ์ แนะหลีกเลี่ยงหุ้นกู้ High Yield เตรียมจับจังหวะสะสมหุ้น หลังผลประกอบการบริษัทในตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ดีเกินคาด">SCB CIO คาดดอกเบี้ยสูงกลับมาแผลงฤทธิ์ แนะหลีกเลี่ยงหุ้นกู้ High Yield เตรียมจับจังหวะสะสมหุ้น หลังผลประกอบการบริษัทในตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ดีเกินคาด</a><br></p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​<span style="color: rgb(68, 68, 68)">​</span><span style="color: rgb(68, 68, 68)">​</span><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​<br></p>

ซีพีเอฟซีสร้างศูนย์กระจายสินค้าในภาคเหนือ ตั้งเป้าสร้างเป็นโลจิสติกส์พาร์คใหญ่ แห่งแรกในจังหวัดลำพูนภายในปี 2570

<strong>Forbes Thailand</strong> พูดคุยกับ<strong> 'ธนินท์ เจียรวนนท์'</strong> ถึงเรื่องราว <strong>100 ปี</strong> <strong>"CP"</strong> องค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ที่สุดของไทย บุกเบิกอาณาจักรที่แข็งแกร่งจากน่านน้ำทางธุรกิจที่ยังไม่มีใครจับจอง “ด้วยการผสานหลักแห่งตะวันออกและเทคโนโลยีตะวันตกเข้าด้วยกัน” เกิดเป็นธุรกิจหลากหลาย และในอีก 100 ปีต่อจากนี้ ยังคงมุ่งมั่นในการสร้างคนและปรับเปลี่ยนองค์กรแห่งนี้พร้อมรับยุค 4.0 เพื่อขยายกิจกรรมการค้าไปทั่วโลก

https://youtu.be/urhYSsbCHCc

&nbsp;

<hr />

รับชมบทสัมภาษณ์ของบุคคลที่น่าสนใจ กดติดตามแชลเนลวิดีโอของเราบนยูทูบได้ที่ <a href="https://www.youtube.com/user/ForbesThai">Forbes Thailand Magazine</a>

ธนินท์ เจียรวนนท์ "100 ปีธุรกิจซีพี" สร้างคน สร้างธุรกิจแห่งโลกตะวันออก ครองตลาดโลกด้วยนวัตกรรม  (Video)

<h2><span class="s2">CP Group ปิดดีลทุ่ม 1.06 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ เข้าซื้อกิจการ Tesco ในไทย-มาเลเซีย คว้า "เทสโก้ โลตัส" มาครอง</span></h2>
<p class="p1"><span class="s1">ค้าปลีกยักษ์ใหญ่สัญชาติอังกฤษ</span><span class="s2"> Tesco </span><span class="s1">ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการ</span><span class="s2"> “</span><span class="s1">เทสโก้</span> <span class="s1">โลตัส</span><span class="s2">” </span><span class="s1">ได้แจ้งกับนักลงทุนว่า</span> <span style="color: #008000;"><span class="s1">บริษัทได้ขายกิจการในประเทศไทยและมาเลเซียให้กับเครือ</span><span class="s2"> CP Group </span><span class="s1">ในมูลค่า</span><span class="s2"> 1.06 </span><span class="s1">หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ</span> <span class="s1">หรือราว</span><span class="s2"> 3.35 </span><span class="s1">แสนล้านบาท</span></span></p>
<p class="p1"><span class="s1">โดยการซื้อกิจการดังกล่าวเครือธุรกิจของ</span><span class="s2"> CP Group </span><span class="s1">จะเข้าถือหุ้น</span><span class="s2"> 86.9% </span><span class="s1">ในบริษัท</span> <span class="s1">เทสโก้</span> <span class="s1">สโตร์ส</span><span class="s2"> (</span><span class="s1">ประเทศไทย</span><span class="s2">) </span><span class="s1">จำกัด</span> <span class="s1">และถือหุ้น</span><span class="s2"> 100% </span><span class="s1">ใน</span><span class="s2"> Tesco Stores (Malaysia) Sdn Bhd</span></p>
<p class="p1"><span class="s1">สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นของกิจการ</span><span class="s2"> Tesco </span><span class="s1">ในประเทศไทยและมาเลเซียของเครือซีพีนั้น</span> <span class="s1">ประกอบไปด้วย</span> <span class="s1">บริษัท</span> <span class="s1">ซีพี</span> <span class="s1">ออลล์</span> <span class="s1">จำกัด</span><span class="s2"> (</span><span class="s1">มหาชน</span><span class="s2">) 40%, </span><span class="s1">บริษัท</span> <span class="s1">เจริญโภคภัณฑ์</span> <span class="s1">โฮลดิ้ง</span> <span class="s1">จำกัด</span><span class="s2"> 40% </span><span class="s1">และบริษัท</span> <span class="s1">ซี</span><span class="s2">.</span><span class="s1">พี</span><span class="s2">.</span><span class="s1">เมอร์แชนไดซิ่ง</span> <span class="s1">จำกัด</span><span class="s2"> 20%</span></p>
<img class="alignnone size-full wp-image-27598" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/03/Tesco-01.jpg" alt="" width="720" height="569" />
<p class="p1"><span class="s1">ทั้งนี้</span> <span class="s1">กระบวนกวนการซื้อขายนี้จะต้องผ่านขั้นตอนของหน่วยงานกำกับดูแลในประเทศไทยและมาเลเซีย</span> <span class="s1">โดยคาดว่าการซื้อขายกิจการจะแล้วเสร็จในครึ่งปีหลังของปีนี้</span></p>
<p class="p1"><span class="s2">“</span><span class="s1">การซื้อขายกิจการครั้งนี้</span> <span class="s1">จะช่วยลดความซับซ้อนในธุรกิจของเรา</span> <span class="s1">และทำให้การโฟกัสธุรกิจค้าปลีกของ</span><span class="s2"> Tesco Group </span><span class="s1">ในสหราชอาณาจักร</span><span class="s2">, </span><span class="s1">ไอร์แลนด์</span> <span class="s1">และยุโรปกลาง</span> <span class="s1">แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น</span> <span class="s1">รวมถึงยังสร้างมูลค่าที่เป็นรูปธรรมแก่ผู้ถือหุ้น</span> <span class="s1">และช่วยให้กลุ่มเทสโก้ลดความเสี่ยงทางธุรกิจได้อีกด้วย</span><span class="s2">” Dave Lewis </span><span class="s1">ประธานบริหาร</span><span class="s2"> Tesco </span><span class="s1">กล่าว</span></p>
<p class="p1"><span style="color: #ff0000;"><span class="s1">และหลังจากการซื้อขายกิจการเสร็จสิ้น</span><span class="s2"> Tesco </span><span class="s1">ยังตั้งเป้าว่าจะมอบผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นเป็นจำนวน</span><span class="s2"> 5 </span><span class="s1">พันล้านปอนด์</span> <span class="s1">ผ่านการจ่ายปันผลพิเศษอีกด้วย</span></span></p>
<p class="p1"><span class="s1">หากมองย้อนกลับไป</span><span class="s2"> Tesco </span><span class="s1">นั้นเริ่มให้บริการในประเทศไทยตั้งแต่ปี</span><span class="s2"> 2541 </span><span class="s1">จากการซื้อกิจการ</span><span class="s2"> “</span><span class="s1">โลตัส</span><span class="s2">” </span><span class="s1">มาจาก</span><span class="s2"> CP Group </span><span class="s1">ซึ่งเป็นช่วงที่</span><span class="s2">กลุ่มซีพี</span><span class="s1">พบกับภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ</span> <span class="s1">และจากนั้นโลตัสก็ใช้ชื่อว่า</span><span class="s2"> “</span><span class="s1">เทสโก้</span> <span class="s1">โลตัส</span><span class="s2">” </span><span class="s1">และดำเนินงานในประเทศไทยจนสามารถขยายธุรกิจไปได้กว่า</span><span class="s2"> 1,967 </span><span class="s1">สาขา</span> <span class="s1">มีลูกค้าเข้าใช้บริการถึง</span><span class="s2"> 13 </span><span class="s1">ล้านคน</span><span class="s2">/</span><span class="s1">สัปดาห์</span></p>

<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม <a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/tesco-%e0%b8%82%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b9%83%e0%b8%99%e0%b9%84%e0%b8%97%e0%b8%a2.html">Tesco เปิดแผน 3 ปีเปิดร้านสะดวกซื้อในไทยเพิ่ม 750 สาขา สร้างงานกว่า 10,000 ตำแหน่ง</a></li>
</ul>
<p class="p1"><span class="s1">กระทั่งกลุ่ม</span><span class="s2"> Tesco </span><span class="s1">เริ่มเผชิญกับสถานการณ์ที่ย่ำแย่จนเริ่มทยอยขายสินทรัพย์ในต่างประเทศ</span> <span class="s1">รวมถึงการพิจารณาขายกิจการในอาเซียนซึ่งประกอบไปด้วยในประเทศไทยและมาเลเซีย</span> <span class="s1">โดยที่ผ่านมามีบิ๊กบริษัทของไทย</span><span class="s2"> 3 </span><span class="s1">กลุ่มเป็นตัวเต็งหลักที่สนใจเข้าประมูล</span> <span class="s1">คือ</span><span class="s2"> CP Group (</span><span class="s1">ของตระกูลเจียรวนนท์</span><span class="s2">), TCC (</span><span class="s1">ของตระกูลสิริวัฒนภักดี</span><span class="s2">) </span><span class="s1">และ</span><span class="s2"> Central (</span><span class="s1">ของตระกูลจิราธิวัฒน์</span><span class="s2">)</span></p>
<p class="p1"><span class="s1">และท้ายที่สุดผู้ที่ชนะการประมูลก็คือ</span><span class="s2"> CP Group </span><span class="s1">ของเจ้าสัวธนินท์</span> <span class="s1">เจียรวนนท์</span> <span class="s1">ซึ่งเป็นการเพิ่มพอร์ตธุรกิจค้าปลีกให้กับเครือซีพี</span> <span class="s1">ที่จะมีเทสโก้</span> <span class="s1">โลตัส</span> <span class="s1">เพิ่มเข้ามาในธุรกิจค้าปลีกกลุ่มไฮเปอร์มาร์เก็ต</span> <span class="s1">จากเดิมที่มีแม็คโครอยู่ในกลุ่มนี้</span> <span class="s1">และมีร้านสะดวกซื้ออย่างเซเว่นอีเลฟเว่นอยู่ในกลุ่มคอนวีเนียนสโตร์</span></p>
&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://www.thestar.com.my/business/business-news/2020/03/09/tesco-sells-businesses-in-thailand-malaysia-for-us106b">Tesco sells businesses in Thailand, Malaysia for US$10.6b</a></li>
 	<li><a href="https://www.rte.ie/news/business/2020/0309/1121044-tesco-asian-business/">Tesco sells businesses in Thailand and Malaysia</a></li>
 	<li><a href="https://www.set.or.th/dat/mds_news/news/0101NWS090320201332430296T.pdf">แจ้งการเข้าลงทุนในเทสโก้เอเชีย</a></li>
 	<li><a href="https://www.tescoplc.com/news/2020/tesco-agrees-to-sell-its-businesses-in-thailand-and-malaysia-significant-return-to-shareholders-simplification-and-further-de-risking/">Tesco agrees to sell its businesses in Thailand and Malaysia</a></li>
</ul>
&nbsp;

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ปิดดีล! CP Group ทุ่ม 1.06 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ซื้อกิจการ "เทสโก้ โลตัส" ในไทย-มาเลเซีย

<h2>กรวัฒน์ เจียรวนนท์ เลือกเดินตามฝันตัวเองสร้าง บริษัท เอโค่ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (EKO) สตาร์ทอัพพัฒนาซอฟต์แวร์การสื่อสารขององค์กร</h2>
ลูกไม้ใกล้ต้นวัย 24 ปี ของ ศุภชัย เจียรวนนท์ นายใหญ่แห่งอาณาจักรซีพี กรุ๊ปและหลานปู่ ธนินท์ เจียรวนนท์ มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของไทย ที่วันนี้ EKO ได้รับการระดมทุนด้วยเม็ดเงินที่แตะ 1 พันล้านบาทไปแล้ว พร้อมมุ่งสู่เส้นทางที่ท้าทายอีกครั้งในตลาด Nasdaq อีกไม่เกิน 5 ปีข้างหน้า

กรวัฒน์ เจียรวนนท์ ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ก่อตั้ง <strong>บริษัท เอโค่ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (EKO)</strong> ที่กำลังผงาดสู่บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับธุรกิจระดับเวิลด์คลาส (แอพพลิเคชั่นเพื่อการสื่อสารภายในองค์กรผ่านสมาร์ทโฟน) ให้สัมภาษณ์พิเศษ ถึงธุรกิจที่กำลังเป็นที่จับตาในระดับโลก โดยเฉพาะการต่อสู้ในตลาดซอฟต์แวร์ที่มียักษ์ใหญ่ครองตลาดอยู่ทั้ง Microsoft, Facebook รวมถึงการระดมทุนครั้งใหญ่ด้วยเม็ดเงินที่สูงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

ปัจจุบัน <strong>EKO</strong> ได้รับการระดมทุนจากนักลงทุนต่างชาติเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา 700 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับทุนเดิมที่มี 350 ล้านบาท ทำให้ EKO เข้าสู่เส้นทางของสตาร์ทอัพที่มีมูลค่าแตะ 1 พันล้านบาทเป็นที่เรียบร้อย

<span style="color: #ff0000;">“เรายังไม่ถึงยูนิคอร์นครับ เพราะจำนวนเงินที่ระดมทุนได้ยังไม่มากพอ จะเป็นยูนิคอร์นได้ต้องระดมทุนได้มากถึง 1 พันล้านดอลลาร์แต่สักวันหนึ่ง EKO จะไปถึงจุดนั้นให้ได้”</span>

ปีนี้เป็นปีที่ EKO ขยายธุรกิจมากมายโปรดักส์มียอดขายเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวอย่างต่อเนื่อง มีบริษัทที่ใช้งานแอพฯ EKO ทั่วทั้งยุโรป อเมริกา ถือเป็นหนึ่งในครั้งแรกที่มีบริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีจากเมืองไทยไปตีตลาดในยุโรปและอเมริกา ซึ่งบริษัทใหญ่ให้การยอมรับ

“เรายังคงเป็น Mobile Enterprise Platform ซึ่งในไทยมีลูกค้าที่ใช้ราว 25% ของมาร์เก็ตแคปในตลาดหุ้น ลูกค้าหลักๆ คือองค์กรขนาดใหญ่ แต่ขณะนี้เริ่มโฟกัสบริษัทขนาดกลางเพิ่มมากขึ้น ลูกค้าในไทย เช่น เครือซีพีทรู ธนชาติ รวมไปถึงในเอเชียเอง อย่างใน มาเลเซียมีลูกค้ารายใหญ่ เทเลคอม มาเลเซียและบริษัทใหญ่อีกหลายบริษัทในอินโดนีเซีย”

กรวัฒน์บอกว่าปัจจุบันสัดส่วนลูกค้าในไทยของ EKO มีราวๆ 500,000 subscribers โดยตลาดต่างประเทศจะมีสัดส่วนมากว่า เพราะตลาดซอฟต์แวร์ใหญ่กว่าไทยมาก

<img class="alignnone size-full wp-image-3781" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/กรวัฒน์-เจียรวนนท์-01.jpg" alt="" width="259" height="575" />
<h2>ความเป็น “เจียรวนนท์”</h2>
เมื่อถามถึงความเป็น “เจียรวนนท์” ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดมีผลอะไรกับธุรกิจที่เขาสร้างขึ้นมาหรือไม่ กรวัฒน์ออกตัวทันทีว่าธุรกิจเขากับธุรกิจพ่อไม่เกี่ยวกัน และเป็นนโยบายของครอบครัวที่ต้องการให้ลูกหลานได้ทำธุรกิจของตัวเอง

<span style="color: #ff0000;">“ครอบครัวต้องการให้ spirit of entrepreneurship เดินหน้าต่อไปในทุกเจเนอเรชั่นซึ่งพ่อบอกผมตั้งแต่อายุยังน้อยๆ ตอนตั้งบริษัทนี้ผมอายุ 16 ปี และตั้งแต่ทำมาก็เห็นหลายอย่างที่ยาก เราต้องจัดการตั้งแต่ pay roll ในอเมริกา กฎหมาย มาร์เก็ตติ้ง ธุรกิจเทคโนโลยี เราได้เรียนรู้ เราได้ประสบการณ์ทั้งหมดเลย แต่มีหลายช่วงที่ยากจริงๆ”</span>

ในบางช่วงที่ผ่านไปได้ยากลำบาก กรวัฒน์ เดินเข้าไปขอคำแนะนำาจากศุภชัย รวมทั้งคุณแม่เองก็พยายามปลูกฝังความคิดหลายอย่าง การให้ความสำคัญกับภาษาอังกฤษการคิดแบบอินเตอร์ เป็นอีกคำแนะนำาที่ทำให้วันนี้กรวัฒน์เลือกสร้างบริษัทด้วยสองมือเขาเองด้วยเป้าหมายตีตลาดโลก
<h2>หลักคิดบริหาร “คน” และเป้าบริษัท</h2>
หนึ่งในวิธีคิดที่น่าสนใจของกรวัฒน์ในการบริหารธุรกิจตัวเอง คือการให้ความสำคัญเรื่องคน เขาบอกว่าถ้าจะสร้างธุรกิจระดับโลกก็ต้องหาคนที่คิดในระดับโลกและเก่งมาก สำหรับเป้าหมายของบริษัท กรวัฒน์ให้คำตอบว่าไม่ได้ตั้งเป้าว่าบริษัทต้องใหญ่แค่ไหน แต่จะมองเรื่องความอยู่รอดเป็นสำคัญเพราะในโลกของซอฟต์แวร์ คู่แข่งแต่ละรายใหญ่มาก ดังนั้นถ้าคุณไม่ยิ่งใหญ่พอ คุณก็จะตาย

“ถ้าเราจะรอดได้ เราต้องมีสเกล มีคนมี resources ที่สู้กับ global giants ได้ผมอยากให้บริษัทของผมอยู่รอดได้ ถ้าเราไม่เป็นบริษัทระดับโลก ถ้าเราไม่มีสเกลใหญ่จริงๆ เราจะถูกขยี้ โดยบริษัทอย่าง Microsoft ซึ่งเป็นบริษัท 8 แสนล้าน และ Alibaba ที่เป็นบริษัท 5 แสนล้านเหรียญ”

ซีอีโอวัย 24 ปีผู้นี้เชื่อว่า สิ่งที่ทำให้บริษัทอยู่รอดได้ ทีมงานต้องเก่ง วิธีคิดก็ต้องเติบโตไปด้วย ต้องโตให้ได้ในแบบ hyper growth, hyper scale ซึ่งต้องอาศัยทีมที่เก่งถึงวันนี้ภาพรวมของโปรดักส์ EKO ได้ลงทุนเทคโนโลยีไปมากกว่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

โดยปี 2562 รายได้ของบริษัท EKO จากยุโรปและอเมริกาจะมีสัดส่วนรายได้ 80% ของยอดขายทั้งหมด “ในยุโรปช่วงนี้ อังกฤษแข็งที่สุด แต่เราเพิ่งเปิดออฟฟิศที่ Berlin, Amsterdam เพื่อดูตลาดในส่วนของอียู และจะเปิดที่โปแลนด์ด้วย ส่วนในอเมริกาที่ New York จะเป็น head office”
<h2>ยึดหลักคิดคุณปู่ “ต้องให้มากกว่ารับ”</h2>
เมื่อถามว่า หากวันหนึ่งคุณพ่อเดินมาบอกให้ไปช่วยงานที่บริษัท ในฐานะลูกชายคนโตของบ้านจะตัดสินใจอย่างไร กรวัฒน์หัวเราะเบาๆ ก่อนเอ่ยว่า “ผมคงต้องดูสถานการณ์ในช่วงนั้นก่อน แต่คิดว่าถ้าเราทำงานได้ดีแต่ยังไม่สำเร็จ ยังอีกนาน ถ้าเราเข้าไปแล้วยังไม่สามารถเพิ่มมูลค่าได้จริงๆ ก็อย่าเข้าดีกว่าผมรู้สึกว่าตัวเองยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ”

ขณะเดียวกัน เขาเผยว่าหนึ่งในข้อคิดที่เขาได้จากคุณปู่ “ธนินท์” คือต้องให้มากกว่าการรับ

“ตอนที่เราต้องดีลกับคน ข้อคิดเรื่องนี้เป็น principle ที่สำคัญมาก ที่เราต้องห้ามเอาเปรียบคน ต้องให้เขามากกว่า เขาให้เราlong term และคุณปู่ท่านอินเตอร์สุดๆ คิดแบบระดับโลก และ open กับทุกคนเป็นสิ่งที่ตั้งแต่เกิดมาจนผมโต ผมก็เห็นตั้งแต่แรกและผมก็รู้เลยว่าผมต้องสร้าง ใช่เราเกิดเมืองไทย แต่เราต้องสร้างธุรกิจในระดับอินเตอร์” กรวัฒน์ทิ้งท้าย

<strong>อ่านเพิ่มเติม</strong>
<ul>
 	<li><a href="http://www.forbesthailand.com/people-detail.php?did=873">กรวัฒน์ เจียรวนนท์ ปั้น Eko โตไกลในเอเชีย</a></li>
</ul>
<h4><em>ภาพ: กิตติเดช เจริญพร</em></h4>

<hr />

<a href="http://www.aisbookstore.com/Shop/Magazine/FORBES/f1065cc2-5b2a-4811-aa7b-20793e378f6b">ติดตามอ่านฉบับเต็ม "กรวัฒน์ เจียรวนนท์ ปั้น EKO หวังลุย Nasdaq ใน 5 ปี" ได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนธันวาคม 2561</a>

<img class="alignnone wp-image-3346" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/COVER-DECEMBER-67--780x1024.jpg" alt="สังคมสูงวัย" width="311" height="563" />

กรวัฒน์ เจียรวนนท์ ปั้น EKO หวังลุย Nasdaq ใน 5 ปี

24 ก.พ. ที่ ซีพี ทาวเวอร์ ถ.สีลม <strong>บมจ. ซีพี ออลล์ </strong>ผู้ประกอบการร้าน <strong>7-Eleven</strong> และผู้ถือหุ้นใหญ่ <strong>บมจ. สยามแม็คโคร</strong> แถลงข่าวการเตรียมขายหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2558 โดยมี <strong>ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์</strong> ประธานกรรมการบริหาร และ <strong>เกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ</strong> รองกรรมการผู้จัดการ ร่วมแถลง<br />
<br />
<br />
&nbsp;<strong>รองกรรมการผู้จัดการ ซีพี ออลล์ </strong>กล่าวว่า <strong>ซีพี ออลล์</strong> มีแผนเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทด้อยสิทธิไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อายุ 2 ปี ที่อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.55 และ 5 ปี ที่อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.10 หุ้นกู้อายุ 2 ปี เป็นอัตราดอกเบี้ยคงตัว ส่วนหุ้นกู้อายุ 5 ปี <strong>ซีพี ออลล์</strong> มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนด (Call Option) โดยสามารถไถ่ถอนหุ้นกู้ ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนได้ ภายหลังครบกำหนด 1 ปี นับจากวันออกหุ้นกู้ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารจัดการเงินทุนในอนาคตได้ดีขึ้น<br />
<br />
หุ้นกู้ทั้ง 2 ประเภท เสนอขายวันที่ 16 &ndash; 19 มี.ค.นี้ โดยมีผู้จัดการการจำหน่ายหุ้นกู้ให้นักลงทุนทั่วไป เป็นสถาบันการเงิน 7 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด (มหาชน) ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และ บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน)<br />
<br />
<em>&ldquo;การเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ ไม่ได้มีผลทำให้สถานะหนี้สินของบริษัทเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เป็นเรื่องของการเปลี่ยนวิธีการบริหารจัดการเงินทุนและโครงสร้างเงินทุนของบริษัท โดยโครงสร้างหนี้ไม่ได้เพิ่มขึ้น จะเป็นเรื่องของการบริหารความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ย จากอัตราดอกเบี้ยที่มีการลอยตัวเป็นอัตราดอกเบี้ยที่คงที่ และเพิ่มเสถียรภาพการบริหารจัดการและโครงสร้างของเงินทุนต่อไปในอนาคต&rdquo;</em> <strong>เกรียงชัย</strong> กล่าว<br />
<br />
หน้าเว็บไซต์ สรุปข้อสนเทศบริษัทจดทะเบียน ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า <strong>อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ณ สิ้นปี 2557 อยู่ที่ 9.46 เท่า เทียบกับ 1.68 เท่า &nbsp;เมื่อปี 2555</strong> ก่อนการกู้เงินมาซื้อกิจการ สยามแม็คโคร ส่วนเอกสารประกอบการแถลงข่าววันนี้ของ <strong>ซีพี ออลล์</strong> ระบุว่า <strong>อัตราส่วนหนี้สินสุทธิ (เฉพาะหนี้สินที่เกิดดอกเบี้ย) ต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ณ สิ้นปี 2557 อยู่ที่ 4.7 เท่า เทียบกับ 4.9 เท่า ณ สิ้นปี 2556</strong> ทางบริษัทฯ บอกว่า ไม่ได้ให้ตัวเลขของปี 2555 ไว้ แต่คาดว่าสัดส่วนหนี้นี้จะเพิ่มเป็น 5 เท่า ในปีนี้ และตั้งเป้าที่จะลดสัดส่วนนี้ให้เหลือ 2 เท่า ภายในปี 2561<br />
<br />
การเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 5 ของการออกหุ้นกู้ ภายหลังจาก <strong>ซีพี ออลล์</strong> ซื้อหุ้น <strong>บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด(มหาชน) (makro)</strong> จำนวน 64.35 % จาก <strong>บริษัท SHV Netherlands B.V.</strong> เมื่อวันที่ 3 เมษายน ปี 2556 (3/4/56) ด้วยวงเงิน 188,880&nbsp; ล้านบาท ซึ่งปีเดียวกันนั้น <strong>ซีพี ออลล์</strong> ออกหุ้นกู้ชนิดมีหลักประกัน 4 ประเภท คือ อายุ 3, 5, 7 และ 10 ปี มียอดซื้อและลงทุนในหุ้นกู้กว่า 5 หมื่นล้านบาท จากนั้น ปี 2557 ได้ออกหุ้นกู้อีก 3 ครั้ง ซึ่ง 2 ครั้งแรกเสนอขายนักลงทุนสถาบันและประชาชนทั่วไป มีอายุ 3, 5, 7 และ 10 ปี ครั้งละ 4 หมื่นล้านบาท และครั้งสุดท้ายปลายปี มีการออกหุ้นกู้แบบพิเศษ คือ แบบจำเพาะเจาะจง อายุหุ้นกู้ 3 และ 12 ปี ในวงเงิน 1 หมื่นล้านบาท เน้นที่นักลงทุนสถาบัน<br />
<br />
<em>&ldquo;บริษัทคงไม่ได้มองถึงสถานะของการใช้หนี้ให้หมด และบริษัทไม่มีหนี้เลย เพราะเรื่องการบริหารเงินทุนและโครงสร้างของบริษัทที่มีประสิทธิภาพ ต้องยอมรับว่าอาจต้องมีหนี้สินอยู่บ้าง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารเงิน และใช้ต้นทุนทางการเงินที่เหมาะสมที่สุด แม้บริษัทเข้าซื้อกิจการสยามแม็คโครเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทก็ยังเจริญเติบโตและลงทุนเพิ่มต่อเนื่อง ทั้งธุรกิจ 7-Eleven และสยามแม็คโคร ไม่ใช่มีเงินกู้หรือมีภาระหนี้สินแล้วชะลอการลงทุน&rdquo;<strong> </strong></em><strong>รองกรรมการผู้จัดการ ซีพี ออลล์</strong> กล่าว<br />
<br />
ปี 2557 <strong>ซีพี ออลล์</strong> และบริษัทย่อย มีรายได้รวม 371,301 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 284,670 ล้านบาท ในปี 2556 คิดเป็น 30.4%&nbsp; และมีกำไรจากการดำเนินงาน จำนวน 21,049 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.8% จากปี 2556 และมีกำไรสุทธิ 10,154 ล้านบาท<br />
<br />
<strong>เกรียงชัย</strong> กล่าวว่า ปี 2558 <strong>ซีพี ออลล์</strong> ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ไม่ต่ำกว่า 10% จากปีที่ผ่านมา พร้อมเชื่อมั่นว่า ธุรกิจค้าปลีกจะฟื้นตัว สำหรับงบลงทุนธุรกิจ 7-Eleven ปีนี้ ตั้งไว้ที่ราว 9 พันล้านบาท คาดเติบโตไม่น้อยกว่า 600 สาขา จากปีที่แล้วที่เติบโตเกือบ 700 สาขา ส่วนแม็คโคร ปีที่ผ่านมาเปิดเพิ่มกว่า 10 สาขา คาดปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10 สาขา<br />
<br />
ปัจจุบัน (นับถึง 24 ก.พ.) 7-Eleven มีทั้งหมด 8,224 สาขา แบ่งเป็น บริษัท 3,639 สาขา แฟรนไชส์ 2,808 สาขา ร้าน ปตท. 1,137 สาขา และ Sub Area 640 สาขา<br />
<div 1="" 1.8="" 16-19="" 2="" 2558="" 2561="" 5="" 600="" 7="" 9="" alt=""ซีพี" class="img-responsive" img="" src="" style=""text-align:">
	<br />
	&nbsp;<img class="img-responsive" alt="ซีพี ออลล์ เตรียมออกหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2558 จำนวน 1.8 หมื่นล้านบาท" class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/IMG_0064-2%20-%20Copy%281%29.jpg" /><br />
	&nbsp;</div>
<div 1="" 1.8="" 16-19="" 2="" 2558="" 2561="" 5="" 600="" 7="" 9="" alt=""ซีพี" class="img-responsive" img="" src="" style="text-align: justify;">
	&nbsp;</div>

ซีพี ออลล์ เตรียมขายหุ้นกู้ 1.8 หมื่นล้าน พร้อมตั้งเป้ารายได้เติบโตกว่า 10%

<div>
	<strong><span style="color:#b22222;">"เครือเจริญโภคภัณฑ์" (CP)</span> จับมือ <span style="color:#b22222;">"อิโตชู" (ITOCHU)</span>&nbsp;บริษัทการค้าจากญี่ปุ่น ซื้อหุ้น <span style="color:#b22222;">CITIC Limited</span>&nbsp;ยักษ์ใหญ่ของประเทศจีน 20% เฉพาะบริษัทญี่ปุ่นถือเป็นการลงทุนในจีนครั้งใหญ่สุด ขณะที่นักวิเคราะห์ร่วมชาติกังวลในความเสี่ยงสูง แถมอาจใช้เงินกู้ จนหุ้น ITOCHU ร่วงประเดิม</strong></div>
<div>
	<br />
	&nbsp;</div>
<div>
	นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์และอิโตชู คอร์ปอเรชั่น บริษัทการค้าชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น ได้เข้าไปลงทุนในบริษัท CITIC Limited ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่และมีธุรกิจหลากหลายที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศจีน และยังเป็นหนึ่งในบริษัทจดทะเบียนที่ใหญ่ที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (ดัชนีฮั่งเส็ง)&nbsp;<br />
	&nbsp;</div>
<div>
	ประธานเครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวอีกว่า การลงทุนครั้งนี้เป็นการสร้างความร่วมมือที่ยิ่งใหญ่ระหว่างบริษัทชั้นนำของเอเชียได้แก่ ไทย ญี่ปุ่น และจีน เพื่อแสวงหาโอกาสทางการค้าการลงทุนทั้งในเอเชียและทั่วโลก ซึ่งจะเสริมศักยภาพของภาคธุรกิจในเอเชียให้โดดเด่นบนเวทีโลก</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	<span style="color:#b22222;">&ldquo;เครือเจริญโภคภัณฑ์เป็นบริษัทต่างชาติแห่งแรก ที่เข้าไปลงทุนในจีนตั้งแต่ปี 2522 หลังจากที่จีนได้เริ่มเปิดประเทศ วันนี้ผมรู้สึกยินดีที่ได้มีโอกาสลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่มีขนาดใหญ่และหลากหลายที่สุดแห่งของจีน&rdquo;</span> นายธนินท์กล่าว<br />
	<br />
	<span style="color:#b22222;">CITIC Limited</span> คือหนึ่งในกลุ่มธุรกิจใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศจีน ประกอบธุรกิจหลากหลายประเภท อาทิ การให้บริการทางการเงิน ทรัพยากร และพลังงาน การผลิต อสังหาริมทรัพย์ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การก่อสร้าง และอื่น ๆ ทั้งในประเทศจีนและต่างประเทศ มีพนักงานกว่า 120,000 คน กระจายอยู่ในจีน ฮ่องกง และประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก &nbsp;ปัจจุบันจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ถือว่าเป็นหนึ่งในบริษัทที่ใหญ่ที่สุด ในดัชนีฮั่งเส็ง ทั้งนี้โดยมี ซิติก กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น &nbsp;ถือหุ้นอยู่ใน CITIC Limited รวม จำนวน 78%</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	การร่วมลงทุนระหว่างเครือเจริญโภคภัณฑ์และอิโตชูครั้งนี้ ได้ตกลงให้<span style="color:#b22222;">บริษัทเจียไต๋ ไบรท์ อินเวสต์เม้นท์ จำกัด</span> หรือ <span style="color:#b22222;">CT Bright</span> ซึ่งเป็นบริษัทที่เครือเจริญโภคภัณฑ์และอิโตชูเป็นเจ้าของร่วมกันในสัดส่วน 50:50 &nbsp;เข้าไปลงทุนใน <span style="color:#b22222;">CITIC Limited</span> รวมทั้งสิ้น 80,000 ล้านเหรียญฮ่องกง หรือประมาณ 343,000 ล้านบาท โดยร่วมกันลงทุนฝ่ายละประมาณ 171,500 ล้านบาท</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	ทั้งนี้ การลงทุนประกอบด้วย 2 ธุรกรรม <span style="color:#b22222;">ธุรกรรมแรก)</span> CT Bright จะซื้อหุ้น CITIC Limited จำนวน 2,490,332,363 หุ้น คิดเป็น 10% ของ CITIC Limited มูลค่าประมาณ 150,000 ล้านบาท และหุ้นดังกล่าวถือครองโดย CITIC Group ซึ่งเป็นบริษัทของรัฐบาลจีน ซึ่งในปัจจุบันถือครองหุ้นจำนวน 78%ใน CITIC Limited <span style="color:#b22222;">และธุรกรรมที่ 2)</span> เป็นการลงทุนโดยการซื้อหุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพ ซึ่ง CITIC Limited จะออกหุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพจำนวน 3,327,721,000 หุ้นแก่ CT Bright ในมูลค่า ประมาณ 194,000 &nbsp;ล้านบาท</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	ทั้งสองธุรกรรมนี้มีราคาซื้อขายอยู่ที่ 13.80 เหรียญฮ่องกงต่อหุ้น หรือประมาณ 58 บาทต่อหุ้น การซื้อขายหุ้นครั้งนี้จะต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง และการออกหุ้นบุริมสิทธิจะต้องได้รับอนุมัติจากการประชุมผู้ถือหุ้นอิสระรายย่อยของ CITIC Limited ในการประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งคาดว่าจะจัดขึ้นภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ เมื่อการดำเนินการทั้งสองธุรกรรมเสร็จสิ้น จะส่งผลให้ <span style="color:#b22222;">CT Bright</span> เป็นผู้ถือหุ้นใน CITIC Limited คิดเป็นสัดส่วน 20% ของหุ้น CITIC Limited ทั้งหมด&nbsp;<br />
	<br />
	<div>
		<span style="color:#b22222;">Chang Zhenming</span> ประธานกรรมการ CITIC Limited เปิดเผยว่า การเข้าถือหุ้นใน <span style="color:#b22222;">CITIC Limited</span> ครั้งนี้ จะทำให้บริษัทระดมเงินจากการเพิ่มทุนได้ประมาณ 46,000 ล้านเหรียญฮ่องกง หรือประมาณ 194,000 ล้านบาท ซึ่งจะนำไปพัฒนาธุรกิจต่างๆ รวมทั้งลงทุนในโอกาสใหม่ๆ ในจีน</div>
	<div>
		&nbsp;</div>
	<div>
		<span style="color:#b22222;">Masahiro Okafuji</span> ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร <span style="color:#b22222;">ITOCHU Corporation</span> กล่าวว่า บริษัทพยายามมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจในจีนและเอเชีย จึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นพันธมิตรกับ CP และ CITIC ซึ่งต่างเป็นบริษัทชั้นนำของภูมิภาคนี้ โดยเชื่อมั่นว่าการร่วมทุนนี้จะเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ ตลอดจนเสริมความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่น จีน ไทยและประเทศในเอเชีย</div>
	<div>
		&nbsp;</div>
	<div>
		&ldquo;ITOCHU เติบโตก้าวหน้ามาจนถึงปัจจุบันนี้ เพราะความทุ่มเทและอุทิศตนของผู้บริหารในรุ่นก่อนๆ การลงทุนครั้งนี้ถือเป็นผลของความพยายามในการสร้างธุรกิจของเราในจีนมาตั้งแต่ได้รับ การยกย่องจากรัฐบาลจีนให้เป็น &ldquo;บริษัทการค้าที่เป็นมิตร&rdquo; (Friendly trading house) เมื่อปี 2515&rdquo; Okafuji กล่าว</div>
	<div>
		&nbsp;</div>
	<div>
		ทั้ง <span style="color:#b22222;">CP</span> และ <span style="color:#b22222;">ITOCHU</span> นั้น ต่างเป็นผู้บุกเบิกการลงทุนในจีนนับตั้งแต่จีนเปิดประเทศ ได้มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยเมื่อปี 2554 ITOCHU ได้ลงทุนมูลค่า 3,300 ล้านบาทในธุรกิจการจัดการทรัพย์สินในฮ่องกงของ CITIC Group และยังได้ลงนามในข้อตกลงร่วมมือเชิงธุรกิจกันอีกด้วย และเมื่อปี 2557 ที่ผ่านมา CP และ ITOCHU ได้ลงนามความร่วมมือเชิงกลยุทธเพื่อสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจการค้าและการลงทุนไปทั่วโลก</div>
	<div>
		&nbsp;</div>
</div>
<div>
	ITOCHU Corporation เป็นหนึ่งในบริษัทการค้าชั้นนำระดับโลกในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2401 ก่อตั้งโดย Chubei Itoh เริ่มต้นด้วยธุรกิจค้าขายผ้าลินิน ตลอดเวลากว่า 150 ปี มีบริษัทในเครือกว่า 130 แห่งใน 65 ประเทศทั่วโลก ดำเนินธุรกิจในด้านต่าง ๆ เช่น สิ่งทอ เครื่องจักร โลหะเกลือแร่ พลังงาน เคมีภัณฑ์ อาหาร เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร อสังหาริมทรัพย์ ประกันภัย บริการโลจิสติกส์ การก่อสร้างและการเงิน ตลอดจนการลงทุนในธุรกิจต่างๆ ทั่วโลก<br />
	<br />
	อย่างไรก็ตาม&nbsp;หลังการแถลงข่าวดีลใน <span style="color:#b22222;">Citic</span> หุ้นของ <span style="color:#b22222;">Itochu</span> ร่วงลง 2.5% ในขณะที่ Citic กลับเพิ่มขึ้น 1.5%<br />
	<br />
	<div>
		<strong>เดิมพันครั้งใหญ่ของ ITOCHU</strong><br />
		&nbsp;</div>
	<div>
		<span style="color:#b22222;">Thomson Reuters</span> รายงานว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เกิดข้อตกลงพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างบริษัทจีนกับญี่ปุ่นเกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่ด้วยเม็ดเงินที่ไม่มากนัก เฉพาะปีที่ผ่านมามีบริษัทญี่ปุ่นเข้าซื้อกิจการในประเทศจีนรวม 55 ครั้ง รวมมูลค่า 772 ล้านเหรียญ</div>
	<div>
		&nbsp;</div>
	<div>
		การลงทุนในคราวนี้ของ Itochu ถือว่าเป็นการลงทุนของญี่ปุ่นในประเทศจีนที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเกิดมา และยังเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดของบริษัทญี่ปุ่นแห่งนี้ &nbsp;ซึ่งพยายามขยายขอบเขตการทำธุรกิจไปยังสาขาที่ไม่ต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนอย่างหนัก ในช่วงขาขึ้นของกิจการสินค้าโภคภัณฑ์ระดับโลกต้นทศวรรษ 2010</div>
	<div>
		&nbsp;</div>
	<div>
		ก่อนการดีลครั้งใหญ่นี้ <span style="color:#b22222;">Itochu</span> ได้ทุ่มเงินถึง 1.56 แสนล้านเยน เข้าซื้อกิจการบางส่วนของ <span style="color:#b22222;">Dole Foods</span> ผู้ผลิตผักผลไม้รายใหญ่ของสหรัฐฯ ในปี 2013<br />
		&nbsp;</div>
	<div>
		&ldquo;ภายในปี 2017 เชื่อได้ว่าเราจะเป็นบริษัทการค้าระดับนำของญี่ปุ่นที่มั่นคงได้ และบางทีอาจจะก้าวสู่จุดสูงสุดของอุตสาหกรรม&rdquo; Masahiro Okafuji ประธานกรรมการ ITOCHU ประกาศระหว่างการแถลงข่าว</div>
	<div>
		&nbsp;</div>
	<div>
		อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางรายกล่าวว่า การลงทุนด้วยเงินขนาดนี้อาจจำเป็นต้องกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ซึ่งมีความเสี่ยงสำหรับ Itochu ที่มีมูลค่าตลาดมากกว่าเพียง 2 ล้านล้านเยน</div>
	<div>
		&nbsp;</div>
	<div>
		<span style="color:#b22222;">&ldquo;จากมุมมองด้านความเสี่ยงแล้ว ดูเหมือนว่าจะเสี่ยงสูงมาก&rdquo;</span> Yasuhiro Narita นักวิเคราะห์จาก Nomura Securities กล่าว &ldquo;Citic เป็นบริษัทที่ประกอบกิจการหลากหลาย ซึ่งรวมทั้งด้านอสังหาริมทรัพย์และการแปรรูปวัตถุดิบ ที่มีแต่จะซบเซาลงทุกวัน ทำให้เราคาดการณ์ถึงความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้&rdquo;</div>
	<div>
		&nbsp;</div>
	<div>
		อย่างไรก็ตาม ประธานกรรมการ<span style="color:#b22222;"> Itochu</span> ตอบข้อสงสัยนี้ว่า เป็นการลงทุนในระยะยาว แต่ก็สามารถขายหุ้นที่ถือไว้เพื่อทำกำไรได้ หากมีความจำเป็น<br />
		<br />
		&nbsp;</div>
	<div>
		<hr />
		<p>
			<strong style="font-size: 12px;">อ่านประกอบ:</strong><span style="font-size: 12px;"> <a href="http://www.forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=290">ยุทธศาสตร์ 4 ประสาน ทิศทางใหม่ของ CP ในจีน</a></span></p>
	</div>
	<div>
		<br />
		<span style="color:#696969;"><strong>ข่าวอื่นๆ</strong></span></div>
	<ul>
		<li>
			<a href="http://www.forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=214">รายงาน: ย้อนอดีต "อภิมหาดีล" ของ CP</a></li>
		<li>
			<a href="http://www.forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=214">เจ้าสัว CP ปัดไม่ได้ซื้อ Tesco แต่สนใจ ย้ำไม่ทำแบงก์</a></li>
		<li>
			<a href="http://www.forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=221">อภิมหาวิวาห์ลูกสาวธนินท์ ภาพสะท้อนมิตรภาพซีพีกับทุกคน</a></li>
	</ul>
	<div>
		<br />
		&nbsp;</div>
</div>
<br />

[ล่าสุด] "CP-ITOCHU" ทุ่ม 350,000 ล้านบาท ซื้อหุ้น CITIC ในจีน

<div>
	<strong><span style="font-size: 12px;">ตลอดเดือนที่ผ่านมา ข่าวสารที่คนในแวดวงธุรกิจใส่ใจติดตาม หนีไม่พ้น "ดีล" ทางธุรกิจของมหาเศรษฐีประเทศไทย "ธนินท์ เจียรวนนท์ " หรือ "เจ้าสัวซีพี"</span></strong></div>
<div>
	<br />
	&nbsp;</div>
<div>
	ดีลแรกเป็นข่าวกันมานานแล้ว ว่าเครือเจริญโภคภัณฑ์กำลังอยู่ระหว่างเจรจาซื้อ<span style="color:#b22222;">ธนาคารแลนด์แอนด์เฮาส์</span> (L&amp;H Bank)</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	ดีลล่าสุด สำนักข่าวระดับโลกรายงานว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์เตรียมซื้อกิจการ <span style="color:#b22222;">Tesco Lotus</span> จากบริษัทแม่ Tesco แห่งอังกฤษ ซึ่ง<a href="http://www.forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=168">ประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก</a></div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	แต่ในบ่ายวันที่ 24 พฤศจิกายน 2557 <a href="http://www.forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=213">เจ้าสัวธนินท์ปรากฎตัวปฎิเสธข่าว</a>ทั้งสองเรียบร้อย&nbsp;</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	อีกเพียงเดือนเดียวก็จะจบศักราชแล้ว CP จะสร้าง Mega Deal แห่งปี ให้เป็นที่ฮือฮาได้หรือไม่ ยังไม่มีใครทราบ&nbsp;</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	แต่ <span style="color:#b22222;"><em>Forbes Thailand</em></span> ขอย้อนกลับปีที่ผ่านมา ปีที่เครือเจริญโภคภัฑณ์สร้างอภิมหาดีล อันลือเลื่องทั้งนอกและในประเทศ เพื่อให้เห็นเหลี่ยมมุมทางความคิดของเจ้าสัว ในการสร้างอาณาจักรทางธุรกิจ ผ่านรายงานประกอบเรื่องปก ฉบับ <span style="color:#b22222;"><a href="http://www.forbesthailand.com/cover_inside.php?cover_id=9">JULY 2013: ธนินท์ เจียรวนนท์ "ตลาดโลกเป็นของ CP"</a></span><br />
	<br />
	&nbsp;</div>
<div>
	<hr />
	<p style="text-align: center;">
		<br />
		<span style="color:#800000;"><strong><span style="font-size: 12px;">C.P.&rsquo;s 2 Mega Deals in 2013</span></strong></span></p>
</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	เจ้าสัวธนินท์สร้างความประหลาดใจไปทั่วภูมิภาค ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว [2012] และต้นปีนี้ [2013] ด้วยการเข้าซื้อกิจการ 2 แห่งด้วยวงเงินกว่า 4.7 แสนล้านบาท เขาเล่าให้ฟังถึงแนวคิด การซื้อ Ping An Insurance (Group) Co. และ บริษัท สยามแมคโคร จำกัด (มหาชน)</div>
<div>
	<br />
	&nbsp;</div>
<div>
	<strong><span style="color:#800000;">Ping An &nbsp;</span></strong><br />
	&nbsp;</div>
<div>
	CP กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บริษัทประกันหมายเลข 2 ของจีน ในสัดส่วน 15.57% ด้วยวงเงินมหาศาลถึง 287,966 ล้านบาท เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา [2013] ธนินท์บอกว่า Ping An ไม่ใช่เพียงแค่บริษัทประกัน แต่เป็นกลุ่มธุรกิจการเงินครบวงจรที่มีทั้งธนาคาร บริษัทลีสซิ่ง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ และกองทุนรวม ที่จะช่วยสนับสนุนธุรกิจ CP ในจีนและทั่วโลก</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	<span style="color:#b22222;">&ldquo;เราเข้าไป เราจะได้ข้อมูล ทุกด้าน สำคัญในยุคสมัยใหม่ ต้องการข้อมูล แพ้ หรือชนะ อยู่ที่ใครได้ข้อมูลที่ 100% ยิ่งได้ข้อมูลที่ถูกต้อง เวลาวางแผนตัดสินใจอะไร จะได้ชนะ&rdquo;&nbsp;</span></div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	การก้าวเข้าสู่ธุรกิจประกันของ CP ครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรก &nbsp;เพราะเมื่อปี 2543 ซี.พี.ได้เคยร่วมทุนในธุรกิจประกันชีวิต และประกันวินาศภัยกับกลุ่ม Allianz &nbsp;จากเยอรมนี ในสัดส่วน 25% ในนามบริษัท ซี.พี.อัลลิอันซ์ จำกัด (มหาชน) แต่หลังจากนั้น &nbsp;กลุ่มธนาคารกรุงศรีอยุธยา ได้เข้ามาถือหุ้นร่วมด้วย โดย ซี.พี.เหลือหุ้นใน บริษัทใหม่ คือ อยุธยา &nbsp;อัลลิแอนซ์ &nbsp;ซี.พี. เพียง 5.85% &nbsp;</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	แต่ในปี 2555 ซี.พี.ขายหุ้นที่เหลือทั้งหมดให้กับกลุ่มบริษัทศรีอยุธยา แคปิตอล จำกัด ในราคา 517.95 ล้านบาท ซึ่งเจ้าสัวบอกถึงเหตุผลที่ถอนตัว ก็เพราะบทบาทของ CP เป็นเพียงผู้ตามเท่านั้น และการขายหุ้นในครั้งนั้นก็ได้ &ldquo;กำไร&rdquo;&nbsp;</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	ประสบการณ์คราวนั้น สอนให้ CP ก้าวใหญ่ขึ้น ธนินท์มองว่า Ping An จะโตไปอีกหลายเท่า&nbsp;</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	"เขามีระบบบริหารทันสมัยที่สุด โอกาสที่จะโตมหาศาลต่อไป Ping An ไปที่ไหน ซี.พี.ก็ได้ข้อมูลที่นั่น&rdquo;&nbsp;</div>
<div>
	<br />
	&nbsp;</div>
<div>
	<strong><span style="color:#800000;">makro</span></strong><br />
	&nbsp;</div>
<div>
	นอกจาก "ข้อมูล" แล้ว สิ่งที่เจ้าสัวต้องการอีกอย่างคือ การสร้างเครือข่ายด้านการขายและ logistics เพื่อส่งสินค้าในเครือ ซี.พี.ให้เข้าถึงมือลูกค้าให้ได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด นั่นคือเหตุผลที่ธนินท์ประกาศซื้อหุ้นบริษัทสยามแมคโคร จำกัด (มหาชน) (makro) จำนวน 64.35% จากบริษัท SHV Netherlands B.V. เมื่อ 3/4/56 ด้วยวงเงิน 188,880 ล้านบาท (เขาปฏิเสธว่าตัวเลขนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องฮวงจุ้ย เป็นเหตุ &ldquo;บังเอิญ&rdquo;) ซึ่งราคานี้เจ้าสัวยืนยันว่าเป็นราคาที่คุ้มค่า&nbsp;</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	เพราะเป็น &ldquo;ของดี&rdquo; สามารถนำต่อจิ๊กซอว์ธุรกิจของ ซี.พี.ได้ ทั้งการเป็นช่องทางการขายสินค้าของกลุ่มให้กับกลุ่มลูกค้าที่เป็นโชห่วย และภัตตาคาร ร้านอาหาร การเป็นศูนย์กระจายสินค้า (DC) ให้กับกลุ่มซี.พี. เพื่อกระจายสินค้าต่อไปยังร้าน 7-Eleven กว่า 7 พันแห่ง ซึ่ง makro มีสาขาอยู่ทั้งหมด 58 แห่งทั่วประเทศ เป็นสาขาในต่างจังหวัด 50 แห่ง นั่นหมายความว่า ซี.พี.มี DC เพื่อส่งสินค้าต่อไปยังร้าน 7-Eleven ทั่วประเทศเพิ่มขึ้น และในอนาคต CP จะให้ 7-Eleven จัดส่งสินค้าในร้านไปถึงบ้านลูกค้า</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	<span style="color:#b22222;">&ldquo;โอกาสของ ซี.พี.ยังมีอีกมาก อย่างเรื่อง logistics ที่เราต้องสร้างเครือข่ายการขนส่งระหว่างบริษัทสู่บริษัท (B to B) และระหว่างบริษัทสู่ลูกค้า (B to C) ซึ่งในเรื่องของการส่งอาหารสดถึงบ้าน ยังเป็นโอกาสที่ให้เราเข้าไปทำ&rdquo;&nbsp;</span></div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	makro ไม่ใช่เป็นเพียงฐานธุรกิจในประเทศไทยเท่านั้น แต่เจ้าสัวยังจะใช้ makro &nbsp;บุกตลาดในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในอาเซียนและจีน รวมถึงและประเทศที่กำลังพัฒนาคือเป้าหมายที่แมคโครจะสยายปีกไปปักธง เพื่อใช้เป็นหนึ่งในช่องทางการขายสินค้าในเครือซี.พี.ให้กระจายไปยังทุกประเทศที่มีโอกาส<br />
	<br />
	<br />
	<br />
	<strong>เรื่องที่เกี่ยวข้อง:&nbsp;<br />
	"เจ้าสัว CP ปัดไม่ได้ซื้อ Tesco แต่สนใจ ย้ำไม่ทำแบงก์"</strong>&nbsp;<a href="http://www.forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=213">http://www.forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=213</a><br />
	<br />
	<strong>"CP-ITOCHU" ทุ่ม 350,000 ล้านบาท ซื้อหุ้น CITIC ในจีน</strong>&nbsp;<a href="http://www.forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=289">http://www.forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=289</a><br />
	<br />
	<br />
	&nbsp;</div>

รายงาน: ย้อนอดีต "อภิมหาดีล" ของ CP

<div>
	จบไปอย่างงดงาม ท่ามกลางความหวานชื่น ซาบซึ้ง ของผู้ร่วมงานกว่า 4,000 คน ที่แน่นขนัดห้องคอนเวนชั่นเซนเตอร์บนชั้น 22 ของโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งมารวมตัวกันเพื่อร่วมเป็นเกียรติ และแสดงความยินดีแก่เจ้าสาว <span style="color:#b22222;">"ทิพาภรณ์ เจียรวนนท์"</span> หรือ<span style="color:#b22222;"> "บี" </span>ลูกสาวคนเล็กจากลูก 5 คน ของเจ้าสัวธนินท์ และคุณหญิงเทวี เจียรวนนท์ กับเจ้าบ่าว <span style="color:#b22222;">"ชวัลวัฒน์ อริยวรารมย์"</span> (ชื่อเดิม "จิรยุทธ ชุษณะโชติ") หรือ <span style="color:#b22222;">"ดร.แตน"</span> ผู้สร้างสรรค์และถือลิขสิทธิ์ตัวการ์ตูนหอยเชลล์ดอน ที่ตัดสินใจเริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยกัน<br />
	<br />
	<br />
	<img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/%E0%B9%8CNEWS/PRCP2.jpg" /></div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	<br />
	แขกเหรื่อนับพันคนที่มาร่วมงาน ล้วนเป็นคนสำคัญ หรืออดีตคนสำคัญทั่วฟ้าเมืองไทย ทั้งนักการเมือง ข้าราชการระดับสูง นักธุรกิจชั้นนำของไทย ที่หลายรายอยู่ในทำเนียบ 50 &nbsp;มหาเศรษฐีไทยของ <span style="color:#b22222;">Forbes</span> เช่น <span style="color:#b22222;">เจริญ สิริวัฒนภักดี, สุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์, ประยุทธ มหากิจศิริ</span> &nbsp;และผู้บริหารระดับสูงของบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ &nbsp;ต่างโคจรมาพบกันในห้องประชุมขนาดยักษ์ ซึ่งถูกแปลงโฉมให้เหมือนอยู่ใต้ท้องทะเลลึก ที่มีปราสาทใต้น้ำ และประดับด้วยพุ่มดอกไม้สีขาวและครีม</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	รูปแบบของงานเลี้ยง จัดทั้งแบบค็อกเทลและนั่งโต๊ะ โดยแขกราว 600 คน จะได้รับเกียรติให้นั่งโต๊ะกลมโต๊ะละ 10 ที่นั่ง มีบริกรมาเสิร์ฟอาหารคาวหวานแบบตะวันตก ส่วนแขกที่เหลือ ต่างเดินเลือกหาอาหารตามซุ้มต่างๆ ที่เจ้าภาพจัดไว้เต็มที่ ทั้งไทย และเทศ รวมทั้งผลิตภัณฑ์อาหารปรุงสำเร็จรูปตราซีพี และไอศกรีม ete ส่วนแขกประเภท VVIP ได้นั่งอยู่โต๊ะใหญ่ใกล้เวที&nbsp;<br />
	&nbsp;</div>
<div>
	<br />
	<img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/%E0%B9%8CNEWS/PRCP3.jpg" /><br />
	&nbsp;</div>
<div>
	<img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/%E0%B9%8CNEWS/PRCP4.jpg" /><br />
	<br />
	<div>
		ประธานของงานในค่ำคืนวันที่ 29 พฤศจิกายนคือ <span style="color:#b22222;">พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา </span>นายกรัฐมนตรี และภรรยา โดยแขก VVIP นายทหารที่มีอำนาจปกครองประเทศในปัจจุบัน นั่งอยู่ฝั่งขวาของงาน (เมื่อหันหน้าเข้าเวที) เช่น พลเอกประยุทธ์, <span style="color:#b22222;">พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ</span> รองนายกรัฐมนตรี <span style="color:#b22222;">พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา</span> รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย</div>
	<div>
		&nbsp;</div>
	<div>
		ส่วนโต๊ะด้านซ้ายของเวที ประกอบไปด้วยโต๊ะของอดีตนายกรัฐมนตรีหลายคน เช่น โต๊ะของ<span style="color:#b22222;">ยิ่งลักษณ์ &nbsp;ชินวัตร</span> ที่ถูกขนาบด้วย<span style="color:#b22222;">สุวัจน์ ลิปตพัลลภ</span> และ<span style="color:#b22222;">วราเทพ รัตนากร</span> โดยมี<span style="color:#b22222;">ศุภลักษณ์ อัมพุช</span> แม่ทัพหญิงแห่งกลุ่มเดอะมอลล์ แวะมาคุยทักทาย ถัดไปอีก 2-3 โต๊ะ คือ<span style="color:#b22222;">จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา</span> ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ นั่งอยู่กับ <span style="color:#b22222;">พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข</span> องคมนตรี ส่วน<span style="color:#b22222;">พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์</span> องคมนตรีและอดีตนายกรัฐมนตรี มาร่วมงาน แต่ไม่เห็นนั่งร่วมโต๊ะนี้ ถัดไปอีก 2 แถว เป็นโต๊ะของ<span style="color:#b22222;">ชวน หลีกภัย</span> ที่นั่งกับ<span style="color:#b22222;">อภิรักษ์ โกษะโยธิน</span> และ<span style="color:#b22222;">เกียรติ สิทธิอมร&nbsp;</span></div>
	<div>
		&nbsp;</div>
	<div>
		นักการเมืองทั้งมาจากแต่งตั้งและเลือกตั้ง และอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ก็มาปรากฏตัวมากมาย เช่น <span style="color:#b22222;">ยุรนันท์ ภมรมนตรี</span>, <span style="color:#b22222;">นิคม ไวยรัชพานิช</span>, <span style="color:#b22222;">พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช</span>, <span style="color:#b22222;">พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์</span> ทางด้านสื่อมวลชนก็ได้รับเกียรติเชิญไปร่วมงานด้วย เช่น <span style="color:#b22222;">สรยุทธ สุทัศนะจินดา</span>,<span style="color:#b22222;"> สันติ วิริยะรังสฤษฎ์</span> หรือ <span style="color:#b22222;">&ldquo;ไต้ฝุ่น&rdquo;</span>, <span style="color:#b22222;">สรกล อดุลยานนท์</span> หรือ <span style="color:#b22222;">&ldquo;หนุ่มเมืองจันท์&rdquo;</span> และ<span style="color:#b22222;">ประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์</span> นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย รวมทั้งตัวแทนจาก <span style="color:#b22222;"><em>Forbes Thailand</em></span></div>
	<div>
		&nbsp;</div>
	<div>
		<span style="color:#b22222;">&ldquo;ความสม่ำเสมอคือเรื่องสำคัญสำหรับชีวิตสมรส&rdquo;</span> คือวรรคทองที่ พล.อ.ประยุทธ์อวยพรคู่บ่าวสาวบนเวที การให้เกียรติคนที่ช่วยเหลือกันอย่างสม่ำเสมอ ดูเหมือนเป็นวิถีหลักของเจ้าสัวธนินท์เช่นกัน</div>
</div>
<div>
	<br />
	<br />
	<span style="color:#696969;">-ขอบคุณภาพจากประชาสัมพันธ์เครือซีพี-</span><br />
	<br />
	&nbsp;</div>

อภิมหาวิวาห์ลูกสาวธนินท์ ภาพสะท้อนมิตรภาพซีพีกับทุกคน

<strong>วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายนนี้เป็นเสาร์พิเศษ ที่ไม่ใช่เสาร์ธรรมดาอย่างไร หลายคนคงตอบได้ไม่ยาก เพราะคำตอบปลิวว่อนอยู่ในข้อความ-ภาพสไลด์ที่ส่งต่อกันทางสื่อสังคมหลายเวอร์ชั่น</strong><br />
&nbsp;<br />
<br />
ต่างก็เตือนกันว่า อย่าได้เข้าไปย่านใจกลางเมืองแถวสี่แยกราชประสงค์จนจรดสนามกีฬาแห่งชาติเด็ดขาด เพราะสภาพการจราจรจะหนักหนาสาหัสเป็นพิเศษ!<br />
&nbsp;<br />
แต่เชื่อแน่เหลือเกินว่า ในเย็นวันนี้ (29 พ.ย.) คนไม่ต่ำกว่า 4,000 คน จะยังคงมุ่งตรงไปยัง <span style="color:#b22222;">Convention Centre Hall</span> ชั้น 22 ของโรงแรม<span style="color:#b22222;"> Centara Grand เซ็นทรัลเวิลด์</span> เพื่อร่วมเป็นสักขีพยานในงานฉลองมงคลสมรสที่ยิ่งใหญ่ส่งท้ายปี ด้วยว่าเจ้าสาวคือลูกสาวคนเล็กของ "เจ้าสัวซีพี" นั่นเอง<br />
&nbsp;<br />
หลังเรียกความฮือฮาด้วยการร่อน<a href="http://www.forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=189">การ์ดแต่งงานสีทองอร่ามยาวเกือบสองฟุต</a>&nbsp;พร้อมระบุประธานพิธีคือ <span style="color:#b22222;">"พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา"</span> นายกรัฐมนตรี มาพร้อมกับภริยา <span style="color:#b22222;">&ldquo;นราพร จันทร์โอชา"</span><br />
&nbsp;<br />
ฝ่ายเจ้าสาว <a href="http://www.forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=100">"ทิพาภรณ์ เจียรวนนท์"</a> หรือ "บี" ทายาทคนสุดท้องในทั้งหมด 5 คนของ ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ "ซีพี"<br />
&nbsp;<br />
เธอเป็นผู้บริหารบริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างก่อสร้างโครงการยักษ์ ICONSIAM อีกทั้งรับผิดชอบมูลนิธิพุทธรักษาและงานการกุศลต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง<br />
&nbsp;<br />
ขณะที่เจ้าบ่าว<span style="color:#b22222;"> "ชวัลวัฒน์ อริยวรารมย์"</span> (จิรยุทธ ชุษณะโชติ) หรือ "ดร.แตน" ประธานบริหารบริษัทเชลล์ฮัท เอ็นเทอร์เทนเม้นท์ จำกัด เจ้าของลิขสิทธิ์และผู้ผลิตตัวการ์ตูน "เชลล์ดอน" และ "เบิร์ดแลนด์ แดนมหัศจรรย์"<br />
&nbsp;<br />
<a href="http://www.forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=201">ดร.แตนเปิดเผยหลังงานหมั้น</a>ว่า ตนเองเชื่อในบุพเพสันนิวาส เพียงครั้งแรกที่เห็น และได้ทำความรู้จักกับคุณบีในช่วงเวลาเพียงสองนาที ก็รู้สึกดีมาก เหมือนกับว่าเราเคยรู้จักผู้หญิงคนนี้มาก่อน ทำให้ความสัมพันธ์เป็นไปอย่างรวดเร็ว "เหมือนจุดแล้วติดปุ๊บ" พร้อมทั้งยอมรับว่าทั้งคู่มีหลายอย่างที่คล้ายกัน นับตั้งแต่ไลฟ์สไตล์ไปจนถึงครอบครัวของแต่ละฝ่าย<br />
&nbsp;<br />
งานฉลองมงคลสมรสของทั้งคู่ ท่ามกลางแขกกว่า 4,000 คน ซึ่งแน่นอนว่าส่วนหนึ่งคือวีไอพีระดับประเทศ จะสร้างสรรค์ด้วยบรรยากาศของสีฟ้า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของตัวการ์ตูนเชลล์ดอนของเจ้าบ่าว และสีขาว-ทองของดอกแมกโนเลีย ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของเจ้าสาว<br />
<br />
<br />
<hr />
<div>
	ขอบคุณภาพถ่ายจาก <a href="https://m.facebook.com/JAKAWIN/albums/757448214303472/?refid=17">JAKAWIN PHOTOGRAPHY</a></div>
<div>
	<br />
	&nbsp;</div>

วิวาห์ใหญ่ส่งท้ายปี “ลูกสาวเจ้าสัว-ดร.เชลล์ดอน”

ยุทธศาสตร์ 4 ประสาน ทิศทางใหม่ของ CP ในจีน

<h2>ไทย จีน และเอเชีย เล็กไปแล้วสำหรับ เครือเจริญโภคภัณฑ์ เจ้าตลาดธุรกิจการเกษตร อาหาร ค้าปลีก และโทรคมนาคม ที่สร้างฐานในประเทศไทย แล้วขยายการลงทุนไปค่อนโลก วันนี้ ซี.พี.ทุ่มเททรัพยากรมุ่งเข้าสู่การค้าบนโลกออนไลน์ เร่งวางเครือข่ายการกระจายสินค้า และสื่อสารไร้สาย สนับสนุนการเติบโตของสินค้าในเครือ หลังกระโจนเข้าสู่ธุรกิจการเงินในจีน</h2><p><span style="color: #993300;">“เราไม่ได้มองเฉพาะเมืองจีน &nbsp;ซี.พี.มองอะไร เป็นระดับโลก ...ตลาดในโลกนี้เป็นของซี.พี. ...คนเก่งในโลกนี้เป็นของซี.พี. วัตถุดิบในโลกนี้เป็นของซี.พี. เงินในโลกนี้เป็นของซี.พี. อยู่ที่ว่าเรามีความสามารถเอาเงินเขามาใช้รึเปล่า ผมมองระดับโลก ไม่เฉพาะเมืองไทย หรือเมืองจีน ถ้ามีโอกาส ที่ใดมีโอกาส ที่นั่นเป็นของซี.พี.”</span> นี่คือ วิสัยทัศน์ ของ <strong>ธนินท์ เจียรวนนท์</strong> อภิมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวม 414,700 ล้านบาท (1.43 หมื่นล้านเหรียญ) ในวัย 74 ปี ผู้ที่บอกกับ Forbes Thailand ว่า วันนี้ เขา “กึ่งรีไทร์กับกึ่งทำงาน”<span style="color: #993300;">“เดิมวางแผนไว้ว่าจะเกษียณที่ 55... พอเจอวิกฤตเศรษฐกิจ (ปี 2540) ตอนอายุ 58 ตอนนั้น เหลือ ค้าปลีก กับเทเลคอม นอกนั้นมอบออกไปหมด หลังวิกฤตเศรษฐกิจก็ดึงกลับเข้ามาเต็มๆ จากนี้ไปคิดว่าคงจะกึ่งรีไทร์กับกึ่งทำงาน”</span> <strong>ธนินท์ </strong>กล่าวระหว่างการให้สัมภาษณ์ บนชั้น 34 ของตึกทรูทาวเวอร์ เป็นการสัมภาษณ์พิเศษกับสื่อไทยเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี และเป็นครั้งแรกที่พ่อและลูกชายถ่ายรูปร่วมกันวัย 74 ปีสำหรับหลายคน อาจเป็นวัยที่พักผ่อนอยู่กับบ้าน เลี้ยงหลาน ปลูกต้นไม้ เข้าวัดปฏิบัติธรรม แต่สำหรับธนินท์แล้ว เขายังคงกระฉับกระเฉง วางเป้าหมายทางธุรกิจให้เครือฯ &nbsp;คิดค้นโครงการใหม่ๆ และเดินทางไปทั่วโลกอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยวันสัมภาษณ์ที่เขาให้เรา เกิดขึ้น 2 วัน หลังเดินทางกลับจากสหรัฐ และยุโรป และ 1 วัน ก่อนเดินทางไปจีนเครือ ซี.พี.เจ็บตัวไปไม่น้อย เมื่อรัฐบาลประกาศลดค่าเงินบาทในปี 2540 จำใจต้องดึงยักษ์ค้าปลีกจากอังกฤษ Tesco เข้ามาร่วมทุนใน Lotus Supercenter ต้องขายหุ้นห้างค้าส่ง makro ออกไปให้บริษัทแม่เชื้อสายดัตช์ ลดสัดส่วนถือครองจาก 30% เหลือ 13.4% ก่อน มาซื้อคืนทั้งหมดเมื่อเดือนเมษายน ธุรกิจโทรคมนาคมในขณะนั้น ต้องเป็นหนี้สินล้นพ้น แต่ 16 ปีผ่านไป เครือเจริญโภคภัณฑ์กำลังเติบโตแผ่อาณาจักร ครอบคลุมประเทศไทย อาเซียน และทั้งโลกมาวันนี้ 4 บริษัท ของ 3 ธุรกิจหลักของ ซี.พี. ได้แก่ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร (บมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือ CPF) โทรคมนาคม (True Corp) ค้าปลีกและค้าส่ง (CP All PCL และ Siam Makro PCL) ล้วนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีมูลค่ารวมของตลาด (market capitalization) กว่า 9 แสนล้านบาท (มูลค่าเมื่อ กลาง มิ.ย. 2556) เฉพาะ CPF บริษัทเดียวมี บริษัทลูกที่ลงทุนในไทยและต่างประเทศรวม 127 แห่ง ในเอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา ส่วนยอดขายรวมของทั้งเครืออยู่ที่ 3.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 9.9 แสนล้านบาท ณ สิ้นปี 2554 (ตัวเลขล่าสุดที่ทางซี.พี.เปิดเผยต่อสาธารณะ)</p><div><hr>ติดตามอ่าน<strong> "ธนินท์ เจียรวนนท์: “ตลาดในโลกนี้เป็นของ ซี.พี.”"</strong> ฉบับเต็มได้ใน <em>Forbes Thailand </em>ฉบับ มิถุนายน 2556</div><div class="se-component se-image-container __se__float-" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px; width: 268px;"><img class="img-responsive" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/Covers/JULY%202013.jpg" alt="" data-wp-editing="1" data-origin="268,371" data-proportion="true" data-size="268px,371px" data-align="" data-file-name="JULY%202013.jpg" data-file-size="0" style="width: 268px; height: 371px;" data-index="0"></figure></div><div><br></div>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events