<h2>​ฉลองวาระครบรอบ 10 ปี งานมหกรรมดนตรี EDM 'S2O ปี 2025' พร้อมย้ายบ้านมาที่ใหม่ใหญ่กว่าเดิม ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน จุนักท่องเที่ยวได้ 100,000 คน ตลอด 3 วันของการจัดงาน คาดรายได้ 350 ล้านบาท พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจหนุนเงินสะพัดระหว่าง 12-14 เมษายนนี้ 1,400 ล้านบาท </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;S2O หนึ่งในมหกรรมดนตรีของไทยที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม เห็นได้จากยอดจำหน่ายบัตรและรายได้ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีการขยายตัวไปจัดงานยังตลาดต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น, เกาหลี, ไต้หวัน, ฮ่องกง,เมืองไห่หนาน จีน และนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ถือเป็นตัวสะท้อนศักยภาพของเทศกาลดนตรีสัญชาติไทยที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้เป็นอย่างดี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ งาน S2O Songkran Music Festival ปี 2025 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-14 เมษายน นี้ จะเป็นการตอกย้ำความสำเร็จอีกครั้ง หลังบุกเบิกจัดงานมานานจนก้าวเข้าสู่ปีที่ 10 และในปีนี้ยังเป็นการทุบสถิติขายบัตรหมดเกลี้ยงภายในระยะเวลาอันรวดเร็วประมาณ 1 เดือนก่อนที่งานจะจัดขึ้นในช่วงเดือนเมษายน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/AzSCvvaiGtjW8Vcixt79.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="AzSCvvaiGtjW8Vcixt79.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา ผู้ก่อตั้งเทศกาลดนตรี S2O Songkran Music Festival กล่าวว่า "S2O ในวาระครบรอบ 10 ปี ถือเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญที่เราได้ทุ่มงบเพิ่มจาก 200 ล้านบาท มาเป็น 250 ล้านบาทในปีนี้ โดยงบดังกล่าวจะเป็นการลงทุนในเรื่องของเทคโนโลยีล้ำสมัยสำหรับการออกแบบเวทีที่ยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าเดิม อลังการด้วยความทันสมัยจากเทคโนโลยีการฉีดน้ำแบบ 360 องศา นอกจากนี้ ยังมี 'มินเนี่ยนสาว' ทีมฉีดน้ำสุดฮอตจากประเทศเกาหลีใต้ พร้อมด้วยทัพศิลปินดีเจระดับตำนานของโลกและศิลปินชื่อดังอีกมากมาย อาทิ Marshmello, Alan Walker, DJ Snake, Major Lazer, Timmy Trumpet เป็นต้น&nbsp; &nbsp; "เราย้ายสถานที่จากเดิมเคยจัดที่ Live Park พระราม 9 ก็เปลี่ยนมาเป็นสนามราชมังคลากีฬาสถาน ซึ่งเป็นสเกลพื้นที่ขนาดใหญ่กว่าเดิม 30% โดยล่าสุดที่ผ่านมาพื้นที่ดังกล่าวเคยใช้จัดงานคอนเสิร์ตของศิลปินระดับโลกอย่างวง Coldplay หรือ Ed Sheeran จึงทำให้มั่นใจได้ว่างานในครั้งนี้จะสามารถรองรับผู้เข้าร่วมงานได้มากขึ้นถึง 100,000 คน ตลอดทั้ง 3 วันของการจัดงาน อีกทั้งเรายังมั่นใจว่าธุรกิจในปีนี้จะโตเพิ่มขึ้น 25% สร้างรายได้อยู่ที่ 350 ล้านบาท และยังมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจากนักท่องเที่ยวทำให้มีเงินสะพัดมากขึ้นระหว่างการจัดงานสูงถึง 1,400 ล้านบาท“&nbsp; <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/dqrMbQj8AyqApG8jPD5B.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="dqrMbQj8AyqApG8jPD5B.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปุลิน มิลินทจินดา กรรมการผู้อํานวยการฝ่ายปฏิบัติการและผู้ร่วมก่อตั้ง S2O เผยว่า "งาน S2O Songkran Music Festival ถือเป็นตัวแทนของซอฟต์พาวเวอร์ไทยที่สามารถส่งออกไปทั่วโลก ด้วยการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมสงกรานต์ และความบันเทิงสมัยใหม่ ทำให้เทศกาลนี้กลายเป็นแบรนด์ระดับโลกที่ส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทย และแสดงให้เห็น ถึงศักยภาพของไทยในการจัดงานระดับนานาชาติ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;"การที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางมาร่วมงาน S2O Songkran Music Festival ไม่เพียงแต่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ผ่านรายได้จากการท่องเที่ยว แต่ยังช่วยกระจายรายได้ไปยังธุรกิจท้องถิ่นอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น โรงแรม ร้านอาหาร การขนส่ง และบริการอื่น ๆ อีกมากมาย&nbsp;ซึ่งยอดการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่อคนโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่คนละ 20,000 บาท และทางเราเองยังมีการจ้างงานสำหรับพนักงานในแผนกสูงถึงราวๆ 3,000 คน”&nbsp;ปุลิน กล่าวเสริม <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/MyhF2VASQNpZMjnwnVNu.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="MyhF2VASQNpZMjnwnVNu.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ทาง&nbsp;วู้ดดี้ วุฒิธร ผู้ก่อตั้งเทศกาลดนตรี S2O Songkran Music Festival ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกด้วยว่า รู้สึกดีใจที่การบุกเบิกจัดงานเทศกาลดนตรีมาตลอด 10 ปีนี้ มีส่วนช่วยให้เกิดผู้ประกอบการธุรกิจรายใหม่ๆ เกิดขึ้น และยังแข่งขันกันได้อย่างเป็นธรรมสร้างตัวเลือกที่ดีให้แก่ผู้บริโภคในช่วงฉลองสงกรานต์ได้มากมาย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยไฮไลท์สุดพิเศษของ S2O Songkran Music Festival 2025 นอกจากจะเลือกสถานที่จัดงานใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมหลายเท่าพร้อมโปรดักชั่นระดับสากลด้วยทีมงานมืออาชีพระดับแนวหน้าจากทั่วทุกมุมโลก และกิจกรรมสุดว้าวหลากหลายจากสปอนเซอร์มากมายแล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภายในงานยังมีพื้นที่พักผ่อน 4 โซนสุดครีเอทีฟตามแนวคิดภูมิภาคของประเทศไทย แสดงถึงพลังซอฟต์พาวเวอร์ไทยในทุกมิติ เพิ่มเติมความแกลมให้กับโซน VVIP โดย King Power พร้อมการเดินทางสะดวกสบายด้วยบริการจาก Grab พร้อมส่วนลดสุดพิเศษ และบริการรถรับ-ส่ง S2O Free Shuttle หลังจบงาน รวมทั้งร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐเพื่อให้การจราจรลื่นไหลที่สุด อีกทั้งยังมีห้องสุขาจำนวนมากครอบคลุมทุกพื้นที่รอบราชมังคลากีฬาสถานเพื่อรองรับอย่างเต็มที่​&nbsp; &nbsp; "ในปีนี้เองเราก็ยังได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐอย่าง&nbsp;การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย การกีฬาแห่งประเทศไทย คณะกรรมการยุทธศาสตร์ ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติสำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์และสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ ต่อเนื่องไปถึงกลุ่มพันธมิตรภาคเอกชนที่เข้ามาร่วมเป็นสปอนเซอร์มากมาย อาทิ&nbsp;Pepsi, King Power, Chang Cold Brew Cool Club, Dewar's Club, Crocs, Grab, Vivo, Wedrink&nbsp;เพื่อผนึกกำลังสร้างสรรค์กิจกรรมระดับ โลกที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น" วู้ดดี้ กล่าวทิ้งท้าย​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/LxVcz4u4EE83TeWynhFP.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="LxVcz4u4EE83TeWynhFP.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="3"></figure></div>​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/VC9BDnv61LWyEeecJFTe.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="VC9BDnv61LWyEeecJFTe.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="4"></figure></div> ภาพ : S20 เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/travel/one-asia-ventures-aims-for-2025-revenue-to-reach-600-million-baht-siam-songkran-festival" alt="‘วัน เอเชีย เวนเจอร์ส’ ตั้งเป้ารายได้ปี 68 แตะ 600 ล้าน มั่นใจเฉพาะงาน ‘Siam Songkran’ นักท่องเที่ยวแตะ 100,000 คน">‘วัน เอเชีย เวนเจอร์ส’ ตั้งเป้ารายได้ปี 68 แตะ 600 ล้าน มั่นใจเฉพาะงาน ‘Siam Songkran’ นักท่องเที่ยวแตะ 100,000 คน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

'S2O ปี 2025' สุดอลัง! ย้ายมาจัดงาน 'สนามราชมังฯ' จุนักท่องเที่ยว 100,000 คน หนุนเงินสะพัด 1,400 ล้าน

<h2>‘วัน เอเชีย เวนเจอร์ส’ ตั้งเป้ารายได้ปี 2568 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนแตะ 600 ล้าน พร้อมทุ่มงบจัดงาน SIAM Songkran Music Festival 250 ล้านบาท มั่นใจ ดึงดูดนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 70,000 คน เป็น 100,000 คน </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รชต ธันยาวุฒิ ผู้ก่อตั้งและประธานบริหาร บริษัท วัน เอเชีย เวนเจอร์ส จำกัด เผยถึงกระแสตอบรับจากการจัดงาน SIAM Songkran Music Festival เทศกาลสงกรานต์ระดับโลกที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่จัดงานครั้งแรกในปี 2019 มีผู้เข้าร่วมงาน 55,000 คน (หลังจากนั้นหยุดจัดงานไปในช่วงสถานการณ์ Covid-19 แล้วกลับมาจัดอีกครั้งในปี 2023) โดยในปี 2024 ที่ผ่านมา มีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นถึง 70,000 คน คิดเป็นสัดส่วนของต่างชาติที่เข้าร่วมงานสูงถึง 51%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยในปี 2025 นี้ วัน เอเชีย เวนเจอร์ส ตั้งเป้าการเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 20% ด้วยเงินลงทุนราว 500 ล้านบาท สำหรับเทศกาลดนตรี 4 งาน ทั้งนี้จะแบ่งเป็นงบหลักสำหรับการจัดงาน SIAM Songkran Music Festival เป็นจำนวน 250 ล้านบาท คาดการณ์ จะมีนักท่องเที่ยวร่วมงานมากขึ้นราว 100,000 คน พร้อมย้ายโซนจัดงานใหญ่กว่าเดิมจากขนาดพื้นที่ 13 ไร่ เป็น 23 ไร่ บริเวณลานหน้าห้าง Bravo ย่าน RCA&nbsp; &nbsp; มั่นใจรายได้ของการจัดงานเทศกาลต่างๆ ตลอดทั้งปี 2568 จะโตจากปีก่อน 350 ล้านบาท เป็น 600 ล้านบาท พร้อมขยายความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ระดับสากลอย่าง One Word Agency, Live Legend Production, Element Payment Solution to develop event payment และขยายฐานผู้เข้าร่วมงานให้มีนักท่องเที่ยวทั้งจากจีน ญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย อินโดนีเชีย และสิงคโปร์ เพิ่มมากขึ้น​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/4r6tUFkC5NRZgJk7nwAS.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="4r6tUFkC5NRZgJk7nwAS.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ผู้บริหารของ วัน เอเชีย เวนเจอร์ส ยังแสดงความเห็นด้วยว่า ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางเทศกาลดนตรีของเอเชีย ด้วยความเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับโลกที่มีความหลากหลายทั้งด้านวัฒนธรรม สถานที่ และประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หากเราสามารถนำเทศกาลดนตรีระดับโลกมาจัดที่นี่อย่างต่อเนื่อง หรือสร้างสรรค์เทศกาลดนตรีที่มีเอกลักษณ์และได้รับการยอมรับในระดับสากล ก็จะสามารถดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศได้​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/CN9xEvUUL4WLwVE4Wb1Q.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="CN9xEvUUL4WLwVE4Wb1Q.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และจากสถิติตัวเลขของ SIAM Songkran Music Festival ในปี 2024 ที่ผ่านมา พบว่าผู้เข้าร่วมงานกว่า 51% เป็นนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ เช่น จีน มาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง เกาหลีใต้ และยุโรป ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพของประเทศไทยในการดึงดูดผู้ชมจากทั่วโลก นอกจากนี้ การเติบโตของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบดนตรี EDM และการสนับสนุนจากภาครัฐด้าน Creative Economy ยังเป็นปัจจัยที่ช่วยเสริมความเป็นไปได้ในการเป็น Music Festival Hub ของภูมิภาคมากยิ่งขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ปีที่ผ่านมา งาน SIAM Songkran Music Festival ที่จัดขึ้นตลอดทั้ง 4 วัน (11-14 เมษายนของทุกปี) มีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 70,000 คน โดย 51% เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ ช่วยสร้างรายได้ให้กับธุรกิจในพื้นที่อย่างมหาศาล ซึ่งในปีนี้เราคาดว่าจะเติบโตขึ้นอีก 20% และคาดการณ์ว่าเงินสะพัดในธุรกิจท่องเที่ยวทั้งทางตรงและภาพรวมช่วงสงกรานต์กว่า 1,000 ล้านบาท ผมเชื่อว่าเทศกาลดนตรี EDM ไม่เพียงเป็นงานบันเทิง แต่ยังเป็นแรงขับเคลื่อนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจพร้อมส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางด้านดนตรีและการท่องเที่ยวระดับโลก”&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="min-width: 100%; width: 75%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/Jr7s6VAmCem6FyPY1BS9.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="75%," data-align="center" data-file-name="Jr7s6VAmCem6FyPY1BS9.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,480" data-origin="516px,344px" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับงาน SIAM Songkran Music Festival ในปีนี้ ทางผู้จัดงานยังบอกด้วยว่า จะจัดเต็มกว่าปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน เห็นได้จากรายชื่อกองทัพศิลปินและดีเจชื่อดังระดับโลกที่เข้าร่วมงาน สำหรับ Headliners ได้แก่ Yellow Claw B2B Flosstradamus, Hardwell, Dimitri 'Vegas'B2B Steve Aoki และ Alesso &nbsp;ส่วน Special Guests: Argy, ARTBAT Presents Audio Visual Show, Dillon Francis, Sub Focus นอกจากนี้ ยังมี International Artists อาทิ &nbsp;22Bullets x Marvinz1r, Blastoyz, Darren Styles, FrostTop, Good Times Ahead เป็นต้น ภาพ :&nbsp;วัน เอเชีย เวนเจอร์ส​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/travel/global/chinese-tourists-choose-japan-and-singapore-over-thailand-for-safety" alt="ท่องเที่ยวไทยสะท้าน! ม.ค. 68 จีนยกเลิกเที่ยวบิน 94% เลือกไป ‘ญี่ปุ่น-สิงคโปร์’ แทน เพราะปลอดภัยกว่า">ท่องเที่ยวไทยสะท้าน! ม.ค. 68 จีนยกเลิกเที่ยวบิน 94% เลือกไป ‘ญี่ปุ่น-สิงคโปร์’ แทน เพราะปลอดภัยกว่า</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘วัน เอเชีย เวนเจอร์ส’ ตั้งเป้ารายได้ปี 68 แตะ 600 ล้าน มั่นใจเฉพาะงาน ‘Siam Songkran’ นักท่องเที่ยวแตะ 100,000 คน

<h2>The Chainsmokers พิสูจน์ตนเองในทุกสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าพวกเขาคือวงดนตรีที่ได้รับความนิยมและทรงพลังจนถึงบัดนี้ ไม่มีใครหรืออะไรที่จะฉุดคู่หูนักดนตรีคู่นี้ลงได้</h2>
Alex Pall และ Drew Taggart สองโปรดิวเซอร์ของวงผู้สร้างสรรค์แนวดนตรี EDM/pop สร้างสถิติใหม่ ภายหลังเพลงของพวกเขาอยู่บน 10 อันดับแรก Hot 100 เพลงฮิตในสหรัฐอเมริกาพร้อมกันถึง 3 เพลง ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์หาได้ยาก ก่อนหน้าพวกเขามีเพียง 2 วงที่ทำสำเร็จคือ The Beatles และ The Bee Gees

The Chainsmokers สร้างสถิติได้ในสัปดาห์นี้ หลังจากพวกเขาสร้างความประหลาดใจบนเวที BRIT Awards โดยร่วมกับ Chris Martin นักร้องวง Coldplay แสดงสดเพลงใหม่ “Something Just Like This” เมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน เพลงใหม่ของคู่หู EDM เริ่มเป็นที่ชื่นชอบของแฟนๆ อย่างรวดเร็ว แม้สัปดาห์แรกที่เปิดขายและสตรีมมิ่งเพลงจะอยู่ในอันดับที่ค่อนข้างน่าผิดหวัง โดยติดอันดับ 56 จาก 100 เพลงฮิต แต่ความนิยมก็พุ่งขึ้นจนติดอันดับ 5 ในสัปดาห์นี้

สำหรับอีก 2 เพลงฮิตของ The Chainsmokers คือเพลง “Paris” ที่ติดในอันดับ 7 และเพลง “Closer” ซึ่งเปิดตัวตั้งแต่สิงหาคมปีที่ผ่านมาและยังได้ Halsey มาร่วม featuring สำหรับเพลง “Closer” ที่เปิดตัวมาร่วม 6 เดือนยังคงติดอยู่ในอันดับ 10 ของ Hot 100 นั้นถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่เพลงๆ หนึ่งจะอยู่บนตาราง Hot 100 ได้ยาวนาน สะท้อนถึงความชื่นชอบงานเพลงที่มีจังหวะเรียบง่ายของผู้ฟังทั่วสหรัฐฯ

ย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์การจัดอันดับ Hot 100 ในปี 1964 The Beatles เป็นวงแรกที่มีเพลง 3 เพลงติด 10 อันดับแรกพร้อมๆ กัน หนึ่งทศวรรษต่อมา The Bee Gees เป็นวงที่สองที่ทำได้ ด้วย 3 เพลงฮิตจากอัลบั้มซาวด์แทร็ก Saturday Night Fever

แม้ว่า The Chainsmokers จะกลายเป็นหนึ่งในวงดนตรีผู้สร้างประวัติศาสตร์เช่นเดียวกัน แต่ยังเหลือระยะทางอีกยาวไกลกว่าพวกเขาจะตามทันความเป็นตำนานของทั้งสองวงรุ่นพี่ ที่สามารถสร้างสถิติส่ง 3 เพลงขึ้นบนตาราง 10 อันดับแรกได้อีกหลายครั้ง

<figure><img style="width: 680px; height: 510px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/dc72d6aa4cc89c76d9cffd06457f7ee6.png" alt="" width="680" height="510" /><figcaption> สี่เต่าทอง The Beatles</figcaption></figure>

<figure><img style="width: 680px; height: 505px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/1e8bf817e865441f2dc388e4d7625fa3.png" alt="" width="680" height="505" /><figcaption> The Bee Gees [เครดิตภาพ: smoothradio.com]</figcaption></figure>nbsp;

เรียบเรียงจาก The Chainsmokers Just Matched A Record Set By The Beatles &amp; The Bee Gees โดย Hugh McIntyre

The Chainsmokers เทียบชั้นสถิติเพลงดังจาก The Beatles และ The Bee Gees

Electronic Dance Music หรือ EDM การผสมผสานระหว่างเสียงจากเครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์โดยใช้เทคนิคต่างๆ ประกอบกับเสียงร้องอันทรงพลังและแสงสีตระการตา กลายเป็นแนวดนตรีที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก และทำให้เหล่าดีเจรับค่าตัวสูงลิ่วทำรายได้เข้ากระเป๋าด้วยอัตราแปดหลักในแต่ละปี ในการจัดอันดับรายได้ครั้งนี้ ศิลปินแนวเพลง EDM ผู้ติดอันดับของเรากวาดรายได้รวมกันกว่า 270.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับปีนี้ (ลดลง 1% จากปีที่ผ่านมา) นอกจากสร้างสรรค์เสียงดนตรีพร้อมความมันส์แล้วพวกเขายังทำเงินจากการรับโฆษณาผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น 7-Up และ Tag Heuer

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/2dc2137386f10a05e05b6ef55cbc4360.png" alt="" />
1. Calvin Harris (63 ล้านเหรียญ)
แม้ความสัมพันธ์อันหวานชื่นกับ Taylor Swift จะปิดฉากไปแล้ว แต่ Harris ยังคงเดินหน้าทำรายได้มหาศาลอย่างต่อเนื่อง ด้วยค่าตัว 400,000 เหรียญต่อรอบแสดง ทำให้เขาขึ้นแท่นติดอันดับดีเจค่าตัวแพงที่สุดใน Las Vegas

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/fbced2c9463d2c4db806f2b0395a93d1.png" alt="" />
2. TiËsto (38 ล้านเหรียญ)
ดีเจเชื้อสายดัตช์วัย 47 ปีทำรายได้ 6 หลักต่อรอบการแสดงในแต่ละคืน (เขาขึ้นเวทีปีละมากกว่า 100 ครั้ง) และยังได้รับเงินก้อนโตจากการเซ็นสัญญาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับ 7-Up อยู่ที่หลักล้านเหรียญ

&nbsp;

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/93a9e01b046ace446c1a1f0d95f22a63.png" alt="" />
3. David Guetta (28 ล้านเหรียญ)
Guetta ยังคงติดอันดับดีเจผู้ทำรายได้สูงสุดใน Las Vegas จากการขึ้นแสดงอย่างสม่ำเสมอที่ Wynn Properties นอกจากนี้เขายังสร้างสรรค์เพลงประจำการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2016 ที่จัดขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศสในปีนี้

&nbsp;

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/7bb2955f536aeac06723e0f8f411501b.png" alt="" />
4. Zedd (24.5 ล้านเหรียญ)
ดีเจหนุ่มผู้เกิดที่รัสเซียแต่เติบโตในเยอรมนีทำสถิติสร้างรายได้ต่อปีสูงสุดบนเส้นทางอาชีพของเขาจากการตระเวนขึ้นแสดงตามคลับและคอนเสิร์ตต่างๆ

&nbsp;

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/1f19095ffa2f9b17695512155cba7cfd.png" alt="" />
5. Steve Aoki (23.5 ล้านเหรียญ)
โด่งดังจากการปาเค้กใส่คนดูจนเป็นสัญลักษณ์ของการแสดง เขายังคงขึ้นเวที 198 ครั้งในปีที่ผ่านมาแม้ว่าเพิ่งเข้ารับการผ่าตัดกล่องเสียง อย่างไรก็ตาม เขากังวลว่าดนตรีแนว EDM อาจผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว “ภาวะฟองสบู่แตกไปแล้วที่อเมริกา” เขากล่าว “สังเกตจากจำนวนการแสดงของเหล่าดีเจใน Vegas สิ”

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/ed28d6d33a485524813176b7f881f23a.png" alt="" />
6. Diplo (23 ล้านเหรียญ)
ในวัย 37 ปีเขาทั้งฉายเดี่ยวและร่วมขึ้นเวทีกับ Jack Ü และ Major Lazer ในการออกทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลก เขาร่วมแต่งเพลงฮิตติดอันดับของปี 2015 ในชื่อ “Lean On” ซึ่งจนถึงปัจจุบันมีการเปิดฟังบน Spotify ไปแล้วมากกว่า 800 ล้านครั้ง

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/e5d29dedcf6f16cc0ff9976134f0e7ef.png" alt="" />
7. Skrillex (20 ล้านเหรียญ)
ดีเจผู้มีชื่อจริงว่า Sonny Moore เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญสำหรับการกลับมาครั้งใหม่ของ Justin Bieber โดยเขาดูแลการแต่งเพลงในอัลบั้มล่าสุดของ Bieber ในชุด Purpose ทั้งหมด 5 เพลง

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/4653f1cdc41d5753984799f1ed4b3d52.png" alt="" />
8. Kaskade (19 ล้านเหรียญ)

ศิลปินคุณพ่อลูก 3 งานแน่นตลอดปี การันตีความสำเร็จด้วยการขายบัตรคอนเสิร์ต 20,000 ใบหมดเกลี้ยงสำหรับการแสดงซึ่งจัดขึ้นที่ L.A. Convention Center เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/5ebd3093a2dee1b2aeae506f0b8ade1b.png" alt="" />
9. Martin Garrix (16 ล้านเหรียญ)
ด้วยวัยเพียง 20 ปีทำให้ Garrix เป็นผู้ติดอันดับที่มีอายุน้อยที่สุด นอกจากนี้เขายังควบตำแหน่งพรีเซนเตอร์คนใหม่ของบริษัทผู้ผลิตนาฬิกาหรูอย่าง Tag Heuer

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/4072e960e4f272637b8c89e1147db156.png" alt="" />
10. Dimitri Vegas &amp; Like Mike (15.5 ล้านเหรียญ)
สองคู่หูดีเจลูกครึ่งเบลเยียม-กรีซเป็นที่โด่งดังในยุโรปมากกว่าที่ Las Vegas พวกเขาสร้างชื่อให้รู้จักไปทั่วโลก ด้วยรายได้ 6 หลักต่อการขึ้นแสดงในแต่ละคืน

รายได้ประเมินย้อนหลังเป็นเวลา 12 เดือนโดยสิ้นสุด ณ เดือนมิถุนายน 2016 ทั้งนี้ การประเมินอ้างอิงข้อมูลด้านการขึ้นแสดงคอนเสิร์ตของ Pollstar, Bandsintown และ Songkick; ข้อมูลรายได้งานเพลงจาก Nielsen; และข้อมูลการสัมภาษณ์ของบุคคลวงใน

<hr />

<a href="https://goo.gl/sfeKXF">ติดตามเรื่องราวและบทความทางด้านธุรกิจ ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับเดือนธันวาคม 2559</a>
<a href="https://goo.gl/sfeKXF"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/0ce5c1a4150dcc466dc17fc7774e169e.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events