<h2>ผ่านมาเกือบ 30 ปีแล้ว นับตั้งแต่ฟูจิฟิล์ม (Fujifilm) เปิดตัวไลน์ผลิตภัณฑ์กล้องอินสแตนท์อย่าง instax ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1998 ซึ่งได้กลายมาเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการถ่ายภาพ ด้วยขนาดกะทัดรัด พกพาสะดวก และใช้งานได้ง่าย โดยบริษัทฯ ได้มีการพัฒนากล้อง instax รวมถึงเปิดตัวผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ เรื่อยมา</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หนึ่งในรุ่นที่มีเสียงตอบรับยอดเยี่ยมคือ&nbsp;instax mini 40 ที่ปล่อยออกมาในปี 2021 โดดเด่นด้วยดีไซน์สไตล์วินเทจ ใช้งานง่ายโดยมีแค่ 2 ปุ่มคือปุ่มเปิด-ปิดและปุ่มชัตเตอร์ และมาพร้อมฟังก์ชันปรับแสงอัตโนมัติ ทำให้เป็นที่ถูกใจของคนรักการถ่ายภาพสายแฟชั่น <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/tSUMi3PrQigLzUB4peL7.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="tSUMi3PrQigLzUB4peL7.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" data-rotatex="" data-rotatey="" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ล่าสุด ฟูจิฟิล์ม ได้ประกาศการมาของ instax mini 41 กล้องอินสแตนท์รุ่นเริ่มต้นตัวใหม่ที่จะมาเติมความสนุกสนานในการถ่ายแล้วได้รูปเลย สานต่อความสนุกจาก instax mini 40 ด้วยนวัตกรรมที่ทันสมัยไปอีกขั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กล้องรุ่น instax mini 41 มาในตัวกล้องสีดำสลับเงินเข้มสุดเท่ ตัดด้วยตัวอักษรสีส้มสดใสบนตัวกล้อง ผิวสัมผัสบริเวณส่วนล่างของตัวกล้องออกแบบมาให้จับถนัดมือ ทำให้ mini 41 เป็นทั้งกล้องถ่ายภาพและไอเทมแฟชั่นที่ใช้งานสะดวก&nbsp;เติมเต็มสไตล์ของผู้ใช้งานได้อย่างลงตัว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/DSoVPD7AuQh9rxQZkyh7.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="DSoVPD7AuQh9rxQZkyh7.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,360" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp; &nbsp; นอกจากนี้ยังมีการพัฒนา ‘โหมดถ่ายระยะใกล้’ ที่ช่วยให้ภาพวัตถุตรงกับช่องมองภาพ&nbsp;เพื่อการถ่ายระยะใกล้และเซลฟี่ที่ง่ายกว่าเดิม โดยเมื่อเปิดใช้งานโหมดนี้ กล้องจะปรับช่องมองภาพให้ตรงกับตำแหน่งภาพจริง (Parallax Adjustment) จึงไม่ต้องกะจุดกึ่งกลางใหม่อีกครั้ง <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/WbhR53ypWyW3kXFeTqYY.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="WbhR53ypWyW3kXFeTqYY.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="2"></figure></div>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และยังมีฟังก์ชัน ‘ปรับแสงอัตโนมัติ’&nbsp;ช่วยปรับค่าความสว่างอัตโนมัติ โดยวัดระดับแสงทันทีเมื่อกดชัตเตอร์ และเลือกความเร็วชัตเตอร์และระดับแฟลชที่เหมาะสมที่สุดให้ทันที ทำให้ภาพถ่ายออกมาสวยทั้งตัวแบบและฉากหลัง ไม่ว่าจะถ่ายกลางแจ้งที่แสงจ้า ในที่ร่มแสงน้อย ถ่ายระยะใกล้ หรือเซลฟี่ก็ตาม <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/kPbP8bMM7eaPhFSokPVB.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="kPbP8bMM7eaPhFSokPVB.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="3"></figure></div>​​&nbsp; &nbsp; สำหรับประเทศไทย&nbsp;กล้อง instax mini 41 จะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 9 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป ในราคา 3,590 บาท ผ่านช่องทางจำหน่ายของฟูจิฟิล์มและตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ภาพ: บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/travel/hyatt-regency-bangkok-sukhumvit-promotes-thai-soft-power-through-premium-durian-afternoon-tea-campaign" alt="รับเทรนด์ ‘ท่องเที่ยวเชิงอาหาร’ โตพุ่ง และดัน ‘ทุเรียน’ สู่ซอฟต์พาวเวอร์ ‘ไฮแอท รีเจนซี่ฯ’ จัดแคมเปญพิเศษ ชุดน้ำชายามบ่ายธีมทุเรียนหมอนทอง">รับเทรนด์ ‘ท่องเที่ยวเชิงอาหาร’ โตพุ่ง และดัน ‘ทุเรียน’ สู่ซอฟต์พาวเวอร์ ‘ไฮแอท รีเจนซี่ฯ’ จัดแคมเปญพิเศษ ชุดน้ำชายามบ่ายธีมทุเรียนหมอนทอง</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

สานต่อกล้องอินสแตนท์รุ่นฮิต! ฟูจิฟิล์มเปิดตัว instax mini 41 ใหม่ เตรียมจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทย 9 พ.ค.นี้

ฟูจิฟิล์ม ต่อยอดธุรกิจการพิมพ์รองรับเทรนด์รูปแบบใหม่ด้วยการเปิดตัวโมเดลธุรกิจ “Total Printing Center และ One-Stop Printing Shop” พร้อมช่วยพลิกโฉมร้านอัดรูปแบบดั้งเดิมสู่ผู้ให้บริการงานพิมพ์แบบครบวงจรเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าและธุรกิจรายย่อย SME &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปิยชนก ศิริมังคละ Business Development Manager บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ทางบริษัทพร้อมต่อยอดธุรกิจการพิมพ์ให้เติบโตรองรับเทรนด์การพิมพ์รูปแบบใหม่ๆ ในอนาคต ภายใต้แคมเปญระดับโลก “NEVER STOP Believing in Print”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยโมเดลธุรกิจใหม่ของฟูจิฟิล์มจะช่วยพลิกโฉมร้านอัดรูปดั้งเดิมให้กลายเป็น “Total Printing Center และ One-Stop Printing Shop” เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายแบบครบวงจร และเพื่อช่วยให้พาร์ทเนอร์ลดค่าใช้จ่ายพร้อมขยายโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ให้สามารถรับออเดอร์งานพิมพ์ต่างๆ ได้อย่างครอบคลุมที่สุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ปัจจุบันการล้างฟิล์มและการอัดรูปจากไฟล์ดิจิทัลนั้นลดน้อยลง แต่เราเห็นโอกาสของธุรกิจการพิมพ์บรรจุภัณฑ์ เช่น ฉลากสินค้าและสติกเกอร์ ของกลุ่มผู้ประกอบการ SME และผู้ผลิตสินค้ารายย่อยเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ผู้ประกอบการดังกล่าวยังต้องการงานพิมพ์แบบออนดีมานด์ ซึ่งหมายถึงการสั่งพิมพ์งานแบบไม่มีขั้นต่ำ ที่ลูกค้าสามารถ Customize ขนาด รูปแบบ และปริมาณได้ตามต้องการ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นี่จึงเป็นที่มาของโมเดลธุรกิจ “Total Printing Center และ One-Stop Printing Shop” ให้เหล่าพาร์ทเนอร์ที่ทำธุรกิจร้านอัดรูปสามารถทรานส์ฟอร์มเป็นผู้ให้บริการงานพิมพ์แบบครบวงจรแทน” ปิยชนก กล่าว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/03/JFt7gpXLNLim3N2MRxeV.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="JFt7gpXLNLim3N2MRxeV.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> ​&nbsp; &nbsp; ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบโมเดลธุรกิจร้านอัดรูปสมัยก่อนกับโมเดลธุรกิจครบวงจรที่ฟูจิฟิล์มนำเสนอขึ้นมาใหม่นั้น ผู้บริหารของฟูจิฟิล์ม ยังกล่าวเสริมด้วยว่า สมัยก่อนถ้าต้องการพิมพ์ฉลากสินค้าหรือสติกเกอร์ของแบรนด์หรือร้านค้า ลูกค้าจะต้องติดต่อโรงพิมพ์ ทำเพลท และสั่งพิมพ์ตามจำนวนขั้นต่ำที่กำหนดไว้ในปริมาณมากๆ เพื่อราคาต้นทุนที่ต่ำลง&nbsp;&nbsp; &nbsp; แนวทางดังกล่าวสร้างความยุ่งยากในการทำงานและยังเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้แก่กลุ่มธุรกิจ SME ที่ต้องการออเดอร์งานพิมพ์ปริมาณน้อยแต่รูปแบบหลากหลาย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งในปัจจุบันนวัตกรรมการพิมพ์ได้ก้าวล้ำไปอย่างมาก โดยเครื่องพิมพ์ ApeosPro C650 ของฟูจิฟิล์มสามารถพิมพ์ได้ทั้งรูปภาพ สติกเกอร์ และฉลากในหลากหลายขนาด รวมถึงเอกสารต่างๆ บนวัสดุต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน ทั้งยังพิมพ์ด้วยความเร็วสูงและคงคุณภาพสีที่คมชัดระดับมืออาชีพจึงสามารถช่วยตอบโจทย์ให้ผู้ประกอบการประหยัดค่าใช้จ่ายและสั่งผลิตงานได้ตามความต้องการได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ <a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/jcb-%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%8D%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%82%E0%B8%95-34" alt="อ่านเพิ่มเติม: JCB รับกระแสเที่ยวญี่ปุ่นบูมดันยอดใช้จ่ายบัตรโต 34%">อ่านเพิ่มเติม:</a> <a href="https://www.forbesthailand.com/news/it/%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%A5-%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A2-ipo-%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B5-2566" alt="“จีเอเบิล” เตรียมขาย IPO ภายในกลางปี 2566">“จีเอเบิล” เตรียมขาย IPO ภายในกลางปี 2566</a>​<hr class="__se__solid"><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ฟูจิฟิล์ม ชูโมเดลใหม่หนุนร้านอัดรูปแบบดั้งเดิมสู่ธุรกิจการพิมพ์ครบวงจร

ฟูจิฟิล์ม ซึ่งเคยเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้นำด้านการผลิตฟิล์มถ่ายภาพ และยังคงมีชื่อเสียงในด้านการนำเสนอนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง โดย บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเกมรุกธุรกิจ Healthcare สยายปีกสู่ธุรกิจทางการแพทย์ที่เน้นในด้านการวินิจฉัยโรค พร้อมเดินหน้าแคมเปญ NEVER STOP ไม่หยุดยั้งพัฒนานวัตกรรม ผลิตภัณฑ์และบริการ วางเป้าหมายยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับทุกคน เพื่อโลกที่ยั่งยืนในอนาคต

มร. โซ มารูโอะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ฟูจิฟิล์มได้ปฏิรูปและพัฒนาตัวเองขึ้นใหม่ เพื่อบรรลุและมุ่งสู่ “รากฐานที่สอง” ของบริษัท โดยมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางธุรกิจมากมาย บริษัทได้ก้าวสู่บริษัทที่เติบโตอย่างต่อเนื่องใน 4 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจทางการแพทย์ (Healthcare) ธุรกิจวัสดุ (Materials) ธุรกิจนวัตกรรมสิ่งพิมพ์เพื่อธุรกิจ (Business Innovations) และธุรกิจด้านการถ่ายภาพ (Imaging) ซึ่งล้วนเป็นธุรกิจที่ต่อยอดและประยุกต์จากเทคโนโลยีชั้นนำในธุรกิจด้านการถ่ายภาพที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของบริษัท

“การปรับตัวสู่ธุรกิจใหม่ๆ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน เป็นสิ่งที่องค์กรต่างต้องก้าวผ่านเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจหรือการเกิดภัยธรรมชาติที่เรามิอาจหลีกเลี่ยงได้ สำหรับฟูจิฟิล์มซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2477 ได้เผชิญกับหลากหลายวิกฤต เช่น ความต้องการในตลาดฟิล์มถ่ายภาพที่หดตัวลงอย่างรุนแรงในช่วงต้นปี 2543 วิกฤตการเงินโลกในปี 2551 รวมถึงภัยธรรมชาติต่างๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

การขยายสู่ธุรกิจใหม่ของฟูจิฟิล์มได้สร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจด้านการแพทย์ (Healthcare) ซึ่งประกอบด้วยอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ เภสัชภัณฑ์ เวชศาสตร์ฟื้นฟูและเครื่องสำอาง เป็นธุรกิจที่เติบโตมากที่สุดในรอบปีที่ผ่านมา และมีสัดส่วนของผลประกอบการและรายได้จากการดำเนินงานสูงที่สุดใน 4 กลุ่มธุรกิจ

“ในประเทศไทย เราทุ่มเทกับธุรกิจทางการแพทย์ (Healthcare) เป็นอย่างมาก นับตั้งแต่ฟูจิฟิล์มได้เข้ามาตั้งสำนักงานในไทยเมื่อปี 2532 เราได้เริ่มดำเนินธุรกิจเครื่องมือและระบบทางการแพทย์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยนำเสนอฟิล์มเอกซเรย์สู่ตลาด ปัจจุบันเรานำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการด้านการแพทย์ที่หลากหลาย โดยเน้นในเรื่องการวินิจฉัยโรคด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพและความแม่นยำ”

มร. มารูโอะ กล่าวว่า ฟูจิฟิล์มนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่หลากหลาย รวมถึงระบบวินิจฉัยด้วยภาพเอกซเรย์ กล้องส่องตรวจระบบทางเดินอาหาร (Endoscopy) เครื่องอัลตราซาวนด์ การวินิจฉัยภายนอกร่างกาย และระบบสารสนเทศทางการแพทย์ (Medical IT) จุดแข็งของฟูจิฟิล์มไม่เพียงแต่อยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงระบบสารสนเทศทางการแพทย์ ซึ่งนำเสนอโซลูชั่นที่สามารถเปิดรับการเชื่อมต่อกับผลิตภัณฑ์และระบบของบริษัทอื่นๆ ได้

ในประเทศไทยฟูจิฟิล์มได้รับความไว้วางใจจากบุคลากรทางการแพทย์ในด้านเครื่องเอกซเรย์ดิจิทัล ที่มีชื่อว่า FDR และระบบสารสนเทศทางการแพทย์สำหรับจัดเก็บภาพถ่ายทางการแพทย์ในรูปแบบดิจิทัลหรือ PACS (Picture Archiving and Communication System) ภายใต้ชื่อ SYNAPSE ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 2542 และได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง

“จุดแข็งของเรา คือ ความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเกี่ยวกับการถ่ายภาพการทางการแพทย์ ซึ่งให้ภาพที่เหมาะกับการวินิจฉัยโรคมากที่สุด นอกจากนี้ เรากำลังพัฒนาเทคโนโลยี AI ภายใต้ชื่อ REiLI ที่สามารถช่วยบุคลากรทางการแพทย์ในขั้นตอนการตรวจวินิจฉัยโรคด้วยภาพถ่าย ตลอดจนการบำรุงรักษาอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์”

สำหรับธุรกิจการถ่ายภาพและสิ่งพิมพ์ ซึ่งเป็นรากฐานธุรกิจของฟูจิฟิล์ม มร. มารูโอะ กล่าวว่า ภาพถ่ายยังเป็นสิ่งสำคัญของชีวิตผู้คน เพราะเป็นการบันทึกห้วงเวลาแห่งความทรงจำต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความเศร้า ความรัก หรืออารมณ์ต่างๆ ผลิตภัณฑ์ของบริษัทมีส่วนช่วยรักษาวัฒนธรรมการถ่ายภาพ และเป็นส่วนหนึ่งในการเก็บรักษาและแบ่งปันความทรงจำของชีวิตผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกล้อง Instax ที่ถ่ายและปริ้นต์ภาพได้ทันที ซึ่งในประเทศไทยเองก็ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มวัยรุ่นที่ชอบถ่ายภาพและ  สามารถปริ้นต์รูป เพื่อแบ่งปันกันในกลุ่มเพื่อนๆ ได้ทันที

<img class="alignnone size-full wp-image-58512" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/02/04.jpg" alt="" width="720" height="207" />

“เราไม่เคยหยุดที่จะพัฒนาและคิดค้นนวัตกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง จึงเปิดตัวแคมเปญ NEVER STOP ในปี 2561 ซึ่งเป็นแคมเปญระดับโลกสำหรับการสร้างแบรนด์ เพื่อสื่อถึงธุรกิจอันหลากหลายของเรา และสะท้อนถึงแนวคิดขององค์กรในการรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น คำว่า NEVER STOP ถือเป็นการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าของเราว่า เราจะไม่หยุดยั้งทำงานจนกว่าปัญหาและอุปสรรคทั้งหลายจะถูกขจัดออกไป”

NEVER STOP ไม่ใช่เพียงแค่การสื่อสารออกไปภายนอกองค์กรเท่านั้น แต่ยังเป็นความมุ่งมั่นของฟูจิฟิล์มที่จะยึดเป็นหลักในการดำเนินธุรกิจและพัฒนาสิ่งต่างๆ อย่างไม่หยุดยั้งและมุ่งไปข้างหน้า โดยบริษัทหวังที่จะเติบโตและท้าทายตัวเอง เพื่อมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 นับตั้งแต่ปี 2563 ที่ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวันของผู้คนไปอย่างสิ้นเชิง และสร้างความปั่นป่วนให้กับผู้คนทั่วโลก

ภายใต้แนวคิด NEVER STOP เป้าหมายของบริษัท คือ การนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณค่า และช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คน ตลอดจนสนับสนุนการพัฒนาและความก้าวหน้าของสังคม และมุ่งมั่นช่วยเหลือสังคมไทยอย่างไม่หยุดยั้ง

<figure><img class="wp-image-58510 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/02/01.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> มร. โซ มารูโอะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด</figcaption></figure>

“เรามุ่งมั่นทุ่มเทในการช่วยให้ทุกคนบนโลกเอาชนะโควิด-19 ให้ได้ ปัจจุบันเรากำลังดำเนินการพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยประเมินความก้าวหน้าของผู้ป่วยโรคปอดอักเสบที่เกิดจากเชื้อไวรัส COVID-19 เรายังได้พัฒนา FUJIFILM COVID-19 Ag Test ชุดตรวจหาแอนติเจนของเชื้อโควิด-19 (Professional use) ที่สามารถตรวจหาเชื้อไวรัสได้ดีแม้มีปริมาณเพียงเล็กน้อย ซึ่งเราได้มอบชุดตรวจนี้จำนวน 5,000 ชุดให้แก่กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อนำไปแจกจ่ายแก่โรงพยาบาลสำหรับใช้โดยบุคลากรทางการแพทย์ อีกทั้งบริษัท ฟูจิฟิล์ม บิสซิเนส อินโนเวชั่น (ประเทศไทย) ยังได้บริจาคเงิน 2 ล้านบาทให้กับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และโรงพยาบาลรามาธิบดี สิ่งต่างๆ เหล่านี้ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ที่สะท้อนให้เห็นว่าเราจะไม่หยุดยั้ง เพื่อสร้างโลกที่น่าอยู่มากขึ้นและช่วยเหลือสังคมไทย ตามความมุ่งมั่นของแคมเปญ NEVER STOP”

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events