จะเป็นอย่างไรหาก AI เข้ามามีส่วนช่วยขับเคลื่อนตลาดทุนไทย? ชวนทำความรู้จัก “ATLAS” นวัตกรรม AI จากความร่วมมือของ SET และ Google Cloud

<h2>Google, Temasek และ Bain &amp; Company คาดเศรษฐกิจดิจิทัลไทยปี 2567 มีมูลค่าสินค้ารวม (Gross Merchandise Value หรือ GMV) 4.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตเร็วเป็นอันดับ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากรายงานเศรษฐกิจดิจิทัลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ e-Conomy SEA 2024 Report เมื่อเร็วๆ นี้</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แจ็คกี้ หวาง Country Director, Google ประเทศไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยการสนับสนุนจากภาครัฐ ตั้งแต่โครงการดิจิทัลวอลเล็ต จนถึงกลยุทธ์ 4 ปีของรัฐบาล สู่การเป็นดิจิทัลฮับชั้นนำในภูมิภาคฯ ด้านศูนย์ข้อมูลและ AI พร้อมทั้งส่งเสริมให้บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกเข้ามาลงทุนในไทย ด้วยการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและลดขั้นตอนกระบวนการต่างๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธุรกิจดิจิทัลไทยขยายตัว โดยอีคอมเมิร์ซเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก คาดว่าจะโตขึ้น 19% และมีมูลค่าสินค้ารวม 2.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะมีการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ๆ ได้แก่ วิดีโอคอมเมิร์ซ สำหรับการช็อปปิ้งออนไลน์ แบบอินเทอร์แอคทีฟและคอนเทนต์วิดีโอ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้านการขนส่งและบริการส่งอาหารออนไลน์ คาดว่าจะมีมูลค่าสินค้ารวมกันกว่า 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ โตขึ้น 6% จากปีที่ผ่านมา การขนส่งกลับมาฟื้นตัว และสูงกว่าช่วงก่อนเกิดการระบาดใหญ่ ขณะที่บริการส่งอาหารออนไลน์ยังมีการแข่งขันสูง​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/ANijqE1FF2Y8PrkGTpe3.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="ANijqE1FF2Y8PrkGTpe3.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การท่องเที่ยวออนไลน์เป็นภาคธุรกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในไทย คาดว่ามูลค่าสินค้ารวมจะแตะ 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือโตขึ้น 32% จากปี 2566 และมีอัตราการเติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาคฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ มาตรการใหม่ในการตรวจวีซ่า ซึ่งรวมถึงมาตรการยกเว้นวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวจาก 93 ประเทศ (เพิ่มขึ้นจากเดิม 57 ประเทศ) โครงการวีซ่าสำหรับกลุ่มบุคคลที่สามารถทำงานจากทุกที่บนโลก (Digital Nomad) และโครงการขอวีซ่าที่ผู้ถือพาสปอร์ตสามารถขอได้ ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมืองในประเทศ (Visa on Arrival หรือ VOA) ยังช่วยส่งเสริมให้มีการเดินทางเข้าประเทศเพิ่มขึ้นด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดย 45% ของการใช้จ่ายสำหรับการท่องเที่ยวในไทยมาจากกลุ่มนักท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างประเทศของนักท่องเที่ยวชาวไทยพุ่งสูงขึ้นถึง 270% นับตั้งแต่ปี 2563 โดยนักท่องเที่ยวชาวไทยเกือบ 70% ใช้จ่ายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับสื่อออนไลน์ ซึ่งได้แก่ โฆษณา วิดีโอออนดีมานด์ เพลงออนดีมานด์ และเกม เติบโตอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ 7% โดยคาดว่ามูลค่าสินค้ารวมจะแตะ 6 พันล้านเหรียญสหรัฐ และยังคงเติบโตแข็งแกร่ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนบริการด้านการเงินดิจิทัล (Digital Financial Services หรือ DFS) ก็ขยายตัวเช่นกัน โดยการชำระเงินดิจิทัลโตขึ้น 5% และคาดว่าจะมีมูลค่าธุรกรรมรวม (Gross Transaction Value หรือ GTV) สูงถึง 1.41 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่บริการสินเชื่อผ่านช่องทางดิจิทัล คาดว่าจะมียอดคงค้างสินเชื่อ (Loan Book Balance) สูงถึง 1.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 28% เร็วเป็นอันดับ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริการสินเชื่อผ่านช่องทางดิจิทัลและความมั่งคั่งทางดิจิทัลจะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2573&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ที่น่าสนใจคือ ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) กำลังพลิกโฉมภูมิทัศน์ดิจิทัลของประเทศไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม การศึกษา เกม และการตลาด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ผู้บริโภคยังมีความต้องการแอป บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่มีฟีเจอร์ AI ขณะที่ธุรกิจต่างๆ ใช้ประโยชน์ด้านโฆษณา แบบกำหนดเป้าหมายเฉพาะบุคคล โดยยังมีการลงทุนเพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล (Data Center) ในประเทศไทยมีมูลค่าถึง 6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ความจุ (Capacity) ของศูนย์ข้อมูลที่วางแผนไว้เพิ่มขึ้น 550% โดยเติบโตมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Willy Chang, Partner, Bain &amp; Company กล่าวว่า “เศรษฐกิจดิจิทัลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมูลค่าสินค้ารวมและรายได้เติบโตในระดับเลขสองหลัก กำไรยังพุ่งสูงขึ้นในทุกภาคส่วน ซึ่งประเทศไทยกำลังเป็นแหล่งบ่มเพาะด้าน AI และโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/suyuCqYJfohxCT6eme7E.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="suyuCqYJfohxCT6eme7E.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การลงทุนจากภาคเอกชนในครึ่งปีแรกของปี 2567 คิดเป็นมูลค่ากว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น กว่า 92% เป็นการลงทุนในบริการด้านการเงินดิจิทัล ซึ่งมาจากปัจจัย 4 ประการ ดึงดูดการลงทุน ได้แก่ การประเมินมูลค่าในการเข้าลงทุนที่สมจริง โมเดลการสร้างรายได้ที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริง แนวทางในการทำกำไรที่ชัดเจน และทางออกสำหรับธุรกิจที่ทำได้จริง โดย 3 ปัจจัยแรกประสบความสำเร็จแล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความไว้วางใจในระบบดิจิทัล (Digital Trust) และการปลดล็อกศักยภาพของ AI รวมถึงการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล จะช่วยให้เศรษฐกิจดิจิทัลไทยเติบโตอย่างยั่งยืน ท่ามกลางสถานการณ์ที่อาชญากรรมทางไซเบอร์มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น เช่น การเข้ารหัส (Encryption) และการตรวจสอบสิทธิ์แบบ 2 ปัจจัย (Two-Factor Authentication หรือ 2FA) ด้านแพลตฟอร์มต่างๆ ได้นำการตรวจจับกลโกงที่ทำงานด้วยระบบ AI และมาตรการการปฏิบัติตามข้อกำหนดมาใช้กันมากขึ้น การสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและโปร่งใส&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การนำ AI มาใช้ สามารถช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์และกลโกงออนไลน์ได้อีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม ก็มีส่วนสำคัญในการสร้างสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่ปลอดภัย ครอบคลุม และมีความยืดหยุ่น ซึ่ง Google ได้ร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ป้องกันกลโกง” แจ็คกี้ กล่าวทิ้งท้าย เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/it/marketing/youtube-launhes-youtube-shopping-in-thailand" alt="เปิดตัว YouTube Shopping ในไทยแล้ว โปรแกรมแอฟฟิลิเอตร่วมกับ Shopee คนดูได้ช็อป-ครีเอเตอร์มีช่องทางหารายได้เพิ่ม">เปิดตัว YouTube Shopping ในไทยแล้ว โปรแกรมแอฟฟิลิเอตร่วมกับ Shopee คนดูได้ช็อป-ครีเอเตอร์มีช่องทางหารายได้เพิ่ม</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Google เผยเศรษฐกิจดิจิทัลไทย 2567 โตเร็วอันดับ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

<h2>AI คือกุญแจสำคัญที่จะพลิกโฉมและเร่งการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายจึงต้องร่วมมือกันเพื่อส่งเสริมการใช้ AI ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างมีความรับผิดชอบ และ Google ก็มุ่งมั่นสนับสนุนประเทศไทยก้าวสู่ยุค AI</h2> เดิมพันครั้งสำคัญของไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยมีศักยภาพในการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยคาดว่าจะแตะประมาณ 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2568 และมีผู้ใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลรายใหม่มากเป็นอันดับ 1 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เราเชื่อว่าการวางรากฐานที่แข็งแกร่ง เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านนวัตกรรม การเตรียมแรงงานให้พร้อมรับมือกับเทคโนโลยี AI และการส่งเสริมการยอมรับและการเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างทั่วถึงจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถใช้โอกาสที่เกิดขึ้นจาก AI ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สอดคล้องกับวาระขับเคลื่อนโอกาสด้าน AI สำหรับประเทศไทย โอกาสสำหรับประเทศไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปี 2565 การที่ธุรกิจต่างๆ ในไทยนำผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่ทํางานด้วยระบบ AI ของ Google ไปใช้ทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 1.5 แสนล้านบาท และสนับสนุนการจ้างงานในประเทศกว่า 250,000 ตำแหน่ง อีกทั้งช่วยสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้แก่ครัวเรือนไทยอีกกว่า 4.53 แสนล้านบาท นับเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งและช่วยปูทางให้ไทยคว้าโอกาสมากมายที่เกิดขึ้นจาก AI&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;AI มีศักยภาพในการยกระดับเศรษฐกิจในหลายภาคส่วน อดีตนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ตั้งเป้าให้ไทยเป็นศูนย์กลางของภาคธุรกิจที่มีมูลค่าสูง เช่น บริการทางการแพทย์ ซึ่งการนำ AI มาใช้จะช่วยสนับสนุนวิสัยทัศน์นี้ โดยจะช่วยเร่งการพัฒนาแรงงาน ธุรกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การเตรียมแรงงานให้พร้อมรับมือกับเทคโนโลยี AI&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แรงงานที่มีทักษะการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการบรรลุอนาคตด้วย AI โดยเฉพาะสำหรับสังคมสูงวัยที่ขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะดิจิทัลอย่างเช่นประเทศไทย การลดช่องว่างผ่านการฝึกอบรมทักษะดิจิทัลจะสามารถเพิ่มมูลค่าให้แก่เศรษฐกิจไทยได้มากถึง 1 ล้านล้านบาทในปี 2573&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เพื่อสานต่อความร่วมมือกับรัฐบาลไทย Google ได้มอบทุนการศึกษาสำหรับใบรับรองทักษะอาชีพในหลักสูตร Google Career Certificates เพิ่มเติม 12,000 ทุน ภายใต้โครงการ “Samart Skills” ให้กับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ทำให้มียอดรวม 34,000 ทุน เพื่อช่วยคนไทยพัฒนาทักษะพร้อมรับใบรับรองทักษะอาชีพโดยไม่มีค่าใช้จ่าย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จำนวนการประกาศรับสมัครงานเกี่ยวกับ AI ที่เพิ่มขึ้นถึง 21 เท่า สะท้อนถึงความต้องการบุคลากรที่มีทักษะด้านนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว Google เองก็เล็งเห็นถึงความสำคัญนี้จึงได้เปิดตัวหลักสูตร Google AI Essentials ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเข้าใจและสามารถใช้งานเครื่องมือ Generative AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการเขียนพรอมต์ที่มีประสิทธิภาพ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ Google Cloud ยังเปิดหลักสูตร Introduction to Generative AI ให้แก่บุคคลทั่วไปโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นหลักสูตรออนไลน์ที่ทำให้ผู้เรียนเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Gen AI กับ AI ประเภทอื่น และการใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปีที่ผ่านมา Google ฝึกอบรมครูกว่า 5,000 คน ผ่านโปรแกรม Gemini Academy ให้ครูสามารถทำงานร่วมกับ Gemini ช่วยพัฒนาทักษะ AI และยกระดับการสอน ประโยชน์ของ AI ต่อประเทศไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายงานของ Access Partnership ระบุว่า หากภาคส่วนและองค์กรต่างๆ นำนวัตกรรม AI มาใช้งานจะสามารถปลดล็อกผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้อย่างน้อย 2.6 ล้านล้านบาทภายในปี 2573&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;AI มีประโยชน์ในชีวิตประจำวัน เช่น ฟีเจอร์ AI ใน Google Workspace ช่วยให้ผู้ใช้แต่ละคนประหยัดเวลาได้มากถึง 28 วันต่อปี การให้ Gemini ช่วยวางแผนการเดินทาง การใช้ Circle to Search บนสมาร์ทโฟนเพื่อหาข้อมูลได้เร็วขึ้น หรือการใช้ NotebookLM ผู้ช่วย AI สำหรับงานเขียนและการวิจัยเพื่อทำความเข้าใจเอกสาร ทำสรุป และตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลได้ดียิ่งขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ Google ได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลราชวิถีและกรมการแพทย์นำร่องระบบประเมินโรคจอประสาทตาอัตโนมัติ (ARDA) ซึ่งใช้ AI คัดกรองภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาในผู้ป่วยไปแล้วกว่า 30,000 คน และยังนำ AI มาใช้ในเครื่องมือพยากรณ์น้ำท่วมที่สามารถพยากรณ์ได้ล่วงหน้าถึง 7 วัน ช่วยคนไทยเตรียมรับมือได้ทันเวลา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นี่เป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจของ Google ในการทำให้ AI มีประโยชน์สำหรับทุกคน การสร้างระบบนิเวศที่เน้น AI เป็นหลัก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันเพื่อนำ AI ไปใช้อย่างปลอดภัยและมีความรับผิดชอบ ซึ่งรัฐบาลมีบทบาทสำคัญในการผลักดันเรื่องนี้ ในการประชุมเอเปค ครั้งที่ 30 Google และรัฐบาลไทยได้ประกาศความร่วมมือ 4 เสาหลักเพื่อส่งเสริมให้ไทยเติบโตในเศรษฐกิจ AI ได้แก่ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล การส่งเสริมการใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ การวางนโยบายการใช้งานระบบคลาวด์เป็นหลัก (Cloud First Policy) และการทำให้คนไทยเข้าถึงทักษะดิจิทัลได้มากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Google Cloud มีแผนก่อตั้ง Cloud Region แห่งแรกในไทย และพิจารณาจัดตั้งศูนย์ข้อมูลใหม่ในไทยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพบริการด้านดิจิทัล หนุนคนไทยเข้าถึง AI ได้ง่ายขึ้นผ่านผลิตภัณฑ์ต่างๆ พร้อมพัฒนาเครื่องมือ และทรัพยากรที่องค์กรอื่นๆ สามารถนำไปต่อยอดและปลดล็อกโอกาสใหม่ๆ จาก AI&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Google ยังสนับสนุนการพัฒนานโยบาย Cloud First ของกระทรวงดีอี ที่มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่มีความยืดหยุ่น ประหยัดค่าใช้จ่าย ขับเคลื่อนโดยนวัตกรรม และมีการรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวที่ได้มาตรฐาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตัวอย่างความสำเร็จจากการใช้ AI ธุรกิจในไทย เช่น Isuzu และ Lazada เริ่มคว้าโอกาสจาก AI ของ Google เพื่อโฆษณาให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ส่วน Agoda ได้ร่วมมือกับ Google พัฒนา Travel Planner แอปพลิเคชันที่ทำงานด้วยระบบ AI ทำให้การวางแผนการเดินทางเป็นเรื่องที่ง่ายและสนุกขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Google Cloud ยังได้จับมือ ทีดี ตะวันแดง ช่วยร้านโชห่วยจัดการปัญหาการเลือกสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดของวงการค้าปลีก โดยใช้ AI และเครื่องมือสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลของ Google Cloud ในการคำนวณและจัดส่งสินค้าไปยังร้านค้าพาร์ตเนอร์ได้ทันท่วงที&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Google มุ่งมั่นพัฒนา AI เพื่อคนไทย และเป็นบริษัทแรกๆ ที่ให้คำมั่นสัญญาผ่านหลักการเกี่ยวกับ AI ซึ่งเป็นสิ่งที่ Google ยึดถือในการพัฒนาและนำ AI ไปใช้อย่างมีความรับผิดชอบในส่วนของภูมิภาคเอเชียตะวันออก-เฉียงใต้ ทีมวิจัยของ Google และ AI Singapore ได้เปิดตัว Project SEALD (Southeast Asian Languages in One Network Data) เพื่อยกระดับชุดข้อมูลที่สามารถใช้ฝึก พัฒนา และประเมินโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (large language model) ช่วยให้เข้าใจบริบททางวัฒนธรรมได้ดียิ่งขึ้น โดยภาษาไทยเป็นภาษาแรกๆ ที่จะได้รับการพัฒนาภายใต้โครงการนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Google สนับสนุนไทยเข้าสู่ยุค AI เพื่อก้าวสู่การเป็น Digital Samart Thailand ที่คนไทยสามารถใช้พลัง AI เพื่อปลดล็อกโอกาสใหม่ๆ ให้กับตนเองและช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคม ​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/commentaries/insights/improve-human-resources-in-ai-era" alt="ยกระดับทักษะบุคลากรรับอนาคตยุค AI">ยกระดับทักษะบุคลากรรับอนาคตยุค AI</a>​<a href="https://www.ookbee.com/shop/magazine/FORBES/833398be-f87c-4d1f-bc2b-1f516f075a7c/july-2024" alt="คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกรกฎาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine">คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกรกฎาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine</a><div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/KKiGhXNUpVSaCSDoiNL9.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="KKiGhXNUpVSaCSDoiNL9.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-percentage="auto,auto" data-rotatex="" data-rotatey="" style="" data-index="0" origin-size="320,420"></figure></div>

AI Google สร้างสรรค์ “Digital Samart”

Google ประกาศแผนขยายลงทุนในไทย พร้อมสนับสนุนเศรษฐกิจ AI

เปิดงานวิจัย "เศรษฐกิจดิจิทัล" ของประเทศไทยปี 2562 จาก Google

Google เสิร์ชเอนจินยอดนิยมระดับโลก ประกาศสุดยอดคำค้นหาประจำปี 2018 ซึ่งเเสดงให้เห็นถึงภาพรวมของสังคม ตลอดปีที่ผ่านมาผ่านมุมมองของผู้คนในประเทศไทย ทั้งความโดดเด่นจากเหตุการณ์สำคัญเเละเทรนด์การค้นหาสุดฮิตในเมืองไทย
โดย 4 ใน 5 อันดับแรกของคำค้นหายอดนิยมเป็น “ละคร” บ่งชี้ได้ชัดเจนว่าความบันเทิงยังครองเเชมป์ความสนใจของคนไทยในปีนี้ ซึ่งคำที่มีคนค้นหามากที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี 2018 ที่ผ่านมาได้แก่ "บุพเพสันนิวาส" 
สำหรับ “บุพเพสันนิวาส" ซึ่งออกอากาศทางช่อง 3 เป็นละครแนวย้อนยุคที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม สร้างปรากฎการณ์ “ออเจ้า” ให้กลายเป็นสรรพนามฮิตติดปากของคนไทยจำนวนมาก
ตามมาด้วย “เมีย 2018” และ “เลือดข้นคนจาง” ละคร 2 เรื่องทางช่อง ONE31 และ “สัมปทานหัวใจ” ของช่อง 7 ติดโผอันดับ 5 ขณะที่คำค้น "บอลโลก 2018" คั่นอยู่ที่อันดับ 2 ส่วนอันดับ 6-10 ได้แก่ คำว่า "เกมเสน่หา", "หวย 30 ล้าน", "โอ วรุฒ", "ลิขิตรัก", และ "เด็กใหม่"
สุดยอดคำค้นหายอดนิยมประจำปี 2018 
1) บุพเพสันนิวาส
2) บอลโลก 2018
3) เมีย 2018
4) เลือดข้นคนจาง
5) สัมปทานหัวใจ
6) เกมเสน่หา
7) หวย 30 ล้าน
8) โอ วรุฒ
9) ลิขิตรัก
10) เด็กใหม่
ด้าน หมวดข่าวในประเทศ คำค้นหายอดนิยมที่สุดประจำปีนี้ได้แก่ "ข่าวถ้ำหลวง 13 ชีวิต" ที่นอกจากจะเป็นข่าวดังในประเทศเเล้วยังเป็นเหตุการณ์ที่ดังไปทั่วโลก กับภารกิจช่วยเหลือชีวิตเด็ก 12 คนและผู้ฝึกสอน ทีมฟุตบอลหมูป่าอคาเดมี ออกมาจากถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอนในจังหวัดเชียงรายได้สำเร็จ หลังจากติดอยู่เป็นเวลานาน 16-18 วัน โดยได้รับความสนใจจากคนทั่วโลก มีอาสาสมัครเดินทางเข้ามาช่วยเหลือทั้งจากไทยและต่างประเทศ ผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ มากมาย

ตามมาด้วย "ข่าวหวย 30 ล้าน" ซึ่งเป็นความอลเวงของการตามหาความจริงว่าผู้ใดคือเจ้าของตัวจริงของล็อตเตอร์รีชุดที่ถูกรางวัลที่ 1 งวดประจำวันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 ก็อยู่ในความสนใจของคนไทยต่อเนื่องมาตั้งเเต่ปีที่เเล้ว

ส่วนข่าวดังอื่นๆ เช่น ข่าว “เรือล่มภูเก็ต” และการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของ “เจ้าสัววิชัย เเห่งคิงเพาเวอร์” ก็ติด 10 อันดับคำในการค้นหายอดนิยมประจำปีนี้ด้วยเช่นกัน

คำค้นหายอดนิยมหมวดข่าวในประเทศ

1) ข่าวถ้ำหลวง 13 ชีวิต
2) ข่าวหวย 30 ล้าน
3) ข่าวน้องอิน
4) ข่าวโอ วรุฒ
5) ข่าวนิว วงศกร
6) ข่าวเจ้าสัววิชัย
7) ข่าวราคาทอง
8) ข่าวเรือล่มภูเก็ต
9) ข่าวกัปตัน
10) ข่าวหมอปลาเสียชีวิต
<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/people/dine-with-the-boss/ben-king-%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87-google-%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B9%8A%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B9%8C-%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%A8.html">อ่านสัมภาษณ์พิเศษ : Ben King แห่ง Google ต่อจิ๊กซอว์ ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลไทย </a></li>
</ul>
ส่วนหมวด บุคคล คำที่มีการค้นหามากที่สุดในประเทศไทย ประจำปีนี้ ได้แก่ "แมท ภีรนีย์" นักเเสดงสาวที่มีข่าวการคบหาดูใจกับนักธุรกิจหนุ่ม "สงกรานต์ เตชะณรงค์" หลังจากหย่าขาดกับอดีตภรรยา "แอฟ ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ" นักเเสดงสาวชื่อดัง ซึ่งทำให้เกิดประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในโซเชียลมีเดีย โดยส่วนใหญ่ในหมวดบุคคลจะเป็นคำค้นหาชื่อของคนดังในเเวดวงบันเทิง

เเต่ก็มีชื่อของบุคคลที่ตกเป็นข่าวดังอยู่ 3 คน ได้แก่ "ครูบา บุญชุ่ม" พระชื่อดังจากรัฐฉานของเมียนมาที่เดินทางมาทำพิธีเปิดทางหน้าถ้ำหลวงกับภารกิจช่วยชิวิตทีมหมูป่าอคาเดมี 13 คนที่ติดถ้ำ เเละ "บอย สกล" ซึ่งตกเป็นข่าวว่าเเอบอ้างเป็นนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ"ภาคิน" กับข่าวเจ้าบ่าวที่หนีงานแต่งงาน

คำค้นหายอดนิยมหมวดบุคคล

1) แมท ภีรนีย์
2) กัปตัน ชลธร
3) BNK48
4) สายป่าน
5) ครูบา บุญชุ่ม
6) บอย สกล
7) ภาคิน
8) เบลล่า
9) ติ๊ก Big Brother
10) โป๊ป ธนวรรธน์

ขยับมาที่สายดนตรีด้วย ชื่อเพลง ที่มีการค้นหามากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในประเทศไทย โด่งดังกับกระเเสท่าเต้นสุดฮิตกับเพลงครึกครื้นสนุกสนานอย่าง "ปานามา" (Panama) ผลงานของศิลปิน Matteo จากโรมาเนีย ตามมาด้วยเพลง "ประเทศกูมี" ของกลุ่ม Rap Against Dictatorship ที่มีเนื้อหาเเละมิวสิควิดิโอเสียดสีสังคมไทย ซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก หลังปล่อยเพลงออกมาในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เเละมียอดเข้าชมผ่านเว็บไซต์ youtube เเล้วกว่า 46 ล้านวิวในวันนี้ (13 ธันวาคม) ขณะที่ปรากฎการณ์เพลงฮิตที่มีท่าเต้นน่าจดจำอย่าง "คุกกี้เสี่ยงทาย" ของศิลปิน “BNK48” ก็ติดอันดับ 3 คำค้นหาในหมวดเพลงปีนี้ นอกจากนี้ยังมี ค้นหาเพลงใหม่ต่างๆ เช่น “วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า” “ซ่อนกลิ่น” และ “ถอย” จากวงกลิสส์

คำค้นหายอดนิยมหมวดเพลง

1) ปานามา
2) ประเทศกูมี
3) คุกกี้เสี่ยงทาย
4) วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า
5) ซ่อนกลิ่น
6) นอกจากชื่อฉัน
7) ถอย
8) ภาวะแทรกซ้อน
9) รักควาย ๆ
10) ช้ำคือเรา

ด้านหมวด สถานที่ทั่วไปในประเทศไทย "เขาค้อ" ยังได้รับความนิยมต่อเนื่อง ตามมาติดๆด้วย "เขาใหญ่", "อยุธยา" ที่ได้อานิสงส์จากความโด่งดังของละครเรื่องบุพเพสันนิวาสเเละเมืองเงียบสงบอย่าง "น่าน"

คำค้นหายอดนิยมหมวดสถานที่ทั่วไป

1) เขาค้อ
2) เขาใหญ่
3) อยุธยา
4) น่าน
5) กรุงเทพ
6) พัทยา
7) เชียงใหม่
8) สุราษฎร์ธานี
9) หัวหิน
10) เชียงคาน

นอกจากนี้ยังมีคำค้นหายอดนิยมประจำปี 2018 ในหมวดที่น่าสนใจต่างๆ ดังนี้

คำค้นหายอดนิยมหมวดทีมฟุตบอล

1) ฝรั่งเศส
2)โครเอเชีย
3) บราซิล
4) เบลเยียม
5) เลสเตอร์ ซิตี้
6) อาร์เจนติน่า
7) ยูเวนตุส
8) อาร์เซนอล
9) ลิเวอร์พูล
10) แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

คำค้นหายอดนิยมหมวดสถานที่ (ร้านอาหาร)

1) ร้านกาแฟชายทุ่ง
2) ร้านป้าบุญล้อม
3) ร้านตู้กับข้าว
4) ร้านลมโชย
5) ร้านโรงพัก
6) ร้านแสงแดด
7) ร้านสายลม บางปู
8) ร้านปูเป็น
9) ร้านเปิ้ลนาคร
10) ร้านใส่นม

คำค้นหายอดนิยมหมวด How to

1) วิธีทำเกี๊ยวน้ำ
2) วิธีกดเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
3) วิธีนุ่งโจงกระเบน
4) วิธีทําหมูโสร่ง
5) วิธีทำขนมเข่ง
6) วิธีทําบัวลอย
7) วิธีทําน้ำปลาหวาน
8) วิธีกําจัดแมลงหวี่
9) วิธีพับแบงค์เป็นดอกกุหลาบ
10) วิธีไหว้ตรุษจีน

คำค้นหายอดนิยมหมวดราคาสินค้า

1) ดอกมุราคามิ
2) iPhone 8
3) Honda PCX 2018
4) Mitsubishi Xpander
5) ทองครึ่งสลึง
6) Netflix
7) MG ZS
8) แบตเตอรี่รถยนต์
9) เสื้อบอลโลก 2018
10) Nissan March

คำค้นหายอดนิยมหมวดรายการโทรทัศน์

1) บุพเพสันนิวาส
2) เมีย 2018
3) เลือดข้นคนจาง
4) สัมปทานหัวใจ
5) เกมเสน่หา
6) ลิขิตรัก
7) เด็กใหม่
8) ล่า
9) หนึ่งด้าวฟ้าเดียว
10) บาปรัก

ทั้งนี้ Google ได้เผยผลการค้นหาบนอินเตอร์เน็ตที่เรียกว่า “Year in Search” หรือ “1 ปีแห่งการค้นหา” ผ่านการสำรวจเพื่อตอบความสงสัยที่เกิดขึ้นจากคำค้นจำนวนกว่าล้านล้านคำในแต่ละปี โดยนอกจาก Year in Search ที่เป็นไฮไลต์เทรนด์การค้นหายอดนิยมประจำปี 2019 ยังมีเครื่องมือต่างๆ ที่แสดงแนวโน้มเชิงลึกของข้อมูลในระดับโลก ระดับภูมิภาค ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ ซึ่งสามารถเข้าไปดูได้ในเว็บไซต์  <a href="https://trends.google.com/trends/yis/2018/TH/">google.co.th/trends</a>

&nbsp;

credit photo : AFP

เปิดคำยอดนิยมประจำปี 2018 ที่คนไทย "ค้นหา" มากที่สุดใน Google

Ben King แห่ง Google ต่อจิ๊กซอว์ ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลไทย

<h2>คนไทย 53% ที่เปิดดูหน้าเว็บไซต์ผ่านโทรศัพท์มือถือจะกดปิดหน้าเว็บนั้นทันที หากต้องรอการแสดงผลมากกว่า 3 วินาที แต่ค่าเฉลี่ยการแสดงผลของหน้าเว็บไซต์ไทยบนมือถือ ต้องใช้เวลารอถึง 12 วินาที!</h2>
นี่คือสถิติสำคัญที่ Google ประเทศไทยนำเสนอในวันนี้ และเป็นต้นเหตุของการพัฒนาเครื่องมือ Test My Site ซึ่งช่วยวิเคราะห์การแสดงผลหน้าเว็บไซต์บนจอมือถือว่า มีความ Mobile-friendly หรือเป็นมิตรต่อผู้ใช้งานผ่านจอมือถือ มากน้อยเพียงใดจากคะแนนเต็ม 100 คะแนน โดยวัดจากหัวข้อต่างๆ เช่น รูปแบบการแสดงผลเมื่อเปิดบนมือถือ เวลาที่ใช้รอในการแสดงผล และสามารถส่งรายงานฉบับเต็มไปที่อีเมล สะดวกต่อการส่งต่อให้กับผู้พัฒนาเว็บไซต์ใช้แก้ไขจุดบกพร่อง

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/53009a240ded78e3970caa6c3cce455c.png" alt="" width="680" height="354" /><figcaption> หน้าแรกของ Google Test My Site</figcaption></figure>

Ghislain Le Chatelier ผู้อำนวยการประจำภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โซลูชันส์การตลาด Google และ ศารณีย์ บุญฤทธิ์ธงไชย หัวหน้าฝ่ายการตลาดภาคธุรกิจ Google ประเทศไทย ร่วมกันนำเสนอความสำคัญของการสร้างเว็บไซต์ที่สะดวกต่อการใช้งานบนมือถือว่า ปัจจุบันชาวไทยมีสมาร์ทโฟน 50 ล้านเครื่อง และ 90% ของพื้นที่ประเทศไทยมีสัญญาณ 3G/4G เข้าถึง แม้แต่ตามต่างจังหวัดหรือกลุ่มผู้สูงอายุส่วนใหญ่ก็มีการใช้งานสมาร์ทโฟนเรียบร้อยแล้ว ทำให้ในเชิงโครงสร้างพื้นฐานคนไทยพร้อมที่จะใช้งานเว็บไซต์ผ่านโทรศัพท์มือถือ

สะท้อนออกมาเป็นสถิติว่า ชาวไทยใช้อินเทอร์เน็ตผ่านมือถือวันละ 6.2 ชั่วโมง เป็นตัวเลขที่สูงมากเพราะคิดเป็น 1 ใน 4 ของเวลาที่คนๆ หนึ่งมีในแต่ละวัน

Ghislain กล่าวว่า กิจกรรมที่คนไทยทำบนโลกออนไลน์ผ่านมือถือ คือ 80% ใช้ในการค้นหาข้อมูล อีก 88% ใช้ในการรับชมวิดีโอในทุกแพลตฟอร์ม และ 59% ใช้ซื้อสินค้าออนไลน์ และ ศารณีย์ ยังเสริมด้วยว่า คนไทย 83% เลือกค้นหาข้อมูลสินค้านั้นก่อนจะตัดสินใจซื้อ รวมถึง 63% ของการค้นหาดังกล่าวเกิดขึ้นบนจอมือถือ

ตัวเลขเหล่านี้เองที่ทำให้ Google เล็งเห็นโอกาสของ ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMBs: small and midsize businesses) นอกจาก Google ต้องการจะส่งเสริมให้ธุรกิจเปิดหน้าเว็บไซต์ออนไลน์แล้ว ปัจจุบันยังต้องปรับให้เป็นมิตรต่อการแสดงผลบนจอมือถือด้วย เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภค

“ในประเทศไทยมีธุรกิจระดับ SMBs ถึง 2.7 ล้านราย คิดมูลค่าเป็น 40% ของ GDP ประเทศ 20-30 ปีที่ผ่านมานักการตลาดมีเป้าหมายคือให้แบรนด์สินค้าไปอยู่ในทุกจุดที่คนใช้ชีวิตอยู่ ซึ่งปัจจุบันจุดๆ นั้นได้เข้าไปอยู่ในกระเป๋าของทุกคนแล้ว มือถือและอินเทอร์เน็ตได้เปลี่ยนแปลงตลาดของ SMBs เพราะคำว่าตลาดท้องถิ่นได้แปลความหมายไปถึงทั่วโลกตราบใดที่ลูกค้าค้นหาคุณเจอบนออนไลน์และคุณขนส่งสินค้าไปถึงเขาได้ และราคาการโฆษณาบนออนไลน์ก็ถูกกว่าสื่อดั้งเดิมมาก แต่ SMBs ที่พัฒนาหน้าเว็บ mobile-friendly ยังค่อนข้างน้อย” Ghislain กล่าว

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/3f33870dd5f2b882263d494464b7be4a.png" alt="" width="680" height="535" /><figcaption> ตัวอย่างการรายงานผลของ Test My Site</figcaption></figure>

ที่ผ่านมา Google มีเครื่องมือช่วยทำการตลาดออนไลน์ 4 อย่าง คือ

1.Google Trends ใช้ตรวจสอบว่าคนบนโลกอินเทอร์เน็ตกำลังให้ความสนใจประเด็นอะไร และหัวข้อใดที่กำลังเป็นกระแสขณะนี้
2.Google AdWords โฆษณาบนเว็บไซต์ ใช้เพื่อเชื่อมไปสู่ลูกค้าที่น่าจะสนใจสินค้าหรือเว็บไซต์ของคุณ
3.Google Analytics ตรวจสอบเว็บไซต์ว่ามีคนกลุ่มใดเข้าใช้งานเว็บไซต์บ้าง
4.Google Global Market Finder สำหรับธุรกิจที่ต้องการส่งสินค้าไปทั่วโลก สามารถตรวจสอบได้ว่าสินค้าชนิดนั้นกำลังเป็นที่นิยมในพื้นที่ใด

และในปีนี้ ศารณีย์ กล่าวว่า Google ประเทศไทยจะมีเครื่องมือเพิ่มอีก 2 อย่างคือ Test My Site ที่เปิดตัวเป็นภาษาอังกฤษเมื่อปี 2016 แต่ขณะนี้ได้เปิดฟังก์ชันภาษาไทยแล้ว และให้บริการฟรีผ่าน <a href="https://testmysite.thinkwithgoogle.com/intl/th-th/">https://testmysite.thinkwithgoogle.com/intl/th-th/</a> และเครื่องมือ Mobile Site Creation with SMBs เป็นบริการให้กับลูกค้า Google AdWords (เฉพาะลูกค้าใหม่) สามารถติดต่อผ่าน Google เพื่อพัฒนาเว็บไซต์ให้เป็นมิตรต่อการแสดงผลบนหน้าจอมือถือโดยเอเยนซี่ที่เป็น Google Partner ซึ่ง Google จะสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้บางส่วน

Forbes in Details

ศารณีย์ ยังให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า SMBs ควรจะยึดหลัก 4 ข้อนี้เป็นสำคัญในการพัฒนาเว็บไซต์ คือ
1) Be there เพราะ 70% ของคนไทยจะเปรียบเทียบสินค้าหรือเว็บไซต์เพียง 2-3 แห่งเท่านั้น แปลว่าหากค้นหาผ่าน search engine คนส่วนใหญ่จะเปิดดูการแสดงผลแค่เพียงหน้าแรก ดังนั้นหน้าเว็บไซต์ของคุณควรจะต้องอยู่ภายในหน้าแรกเท่านั้น
2) Be useful เช่น หากต้องการส่งสินค้าไปทั่วโลก เมื่อชาวต่างชาติคลิกลิงก์เข้ามายังหน้าเว็บแล้วจะต้องพบภาษาที่เขารู้จักทันที
3) Be quick เป็นข้อที่สำคัญที่สุด จากสถิติที่คนไทยจะออกจากหน้าเว็บภายใน 3 วินาทีหากไม่เริ่มแสดงผล ทำให้ต้องพัฒนาเว็บไซต์ที่แสดงผลให้เร็วที่สุด
4) Connect the dots แม้ 63% ของคนไทยจะค้นหาสินค้าหรือข้อมูลบนจอมือถือ แต่ในจำนวนนี้ 40% เมื่อจะสั่งซื้อจริงจะย้ายไปใช้งานบนคอมพิวเตอร์หรือไปที่หน้าร้าน

&nbsp;

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events