<h2>คนหนุ่มไฟแรงเป็นที่รู้จักในสื่อสังคมออนไลน์ในฐานะคอนเทนท์ครีเอเตอร์ด้านท่องเที่ยว ที่มีไลฟสไตล์การเดินทางและอาชีพที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย แต่สามารถส่งเสริมกันได้อย่างลงตัว</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เวลา 16.00 น. ในวันทำงานกลางสัปดาห์ เป็นเวลาเปิดทำการปกติของคลินิกเวชศาสตร์ฟื้นฟูหมอเปียง หรือ PYONG Rehabilitation Clinic ซึ่งตั้งอยู่ชั้น L เกษรวิลเลจ เป็นที่ทำงานอีกแห่งของคุณหมอหนุ่มไฟแรง อ.นพ.กันตพงศ์ ทองรงค์ แพทย์เฉพาะทางสาขาเวชศาตร์ฟื้นฟู ที่หลายคนรู้จักในนาม “หมอเปียง” ผู้ชื่นชอบการเดินทางท่องเที่ยว และบอกเล่าประสบการณ์ผ่านคอนเทนท์ที่อ่านสบายๆ มีภาพสวยงามช่วยเพิ่มสีสันให้เรื่องเล่าของเขาดูน่าสนใจ นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนรู้จักเขาผ่านเพจ Pyong Traveller X Doctor ซึ่งมีผู้ติดตามหลักแสนแม้จะไม่มากนักแต่ก็เป็นที่รู้จักและยังคงเติบโตต่อเนื่อง ที่สำคัญสื่อสังคมออนไลน์ทั้งเพจและไอจี เป็นวิถีสร้างการรับรู้และทำรายได้ของคนรุ่นใหม่ ไลฟ์สไตล์ชัดเจน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การเดินทางเป็นความชอบส่วนตัวที่หมอเปียงทำควบคู่กับอาชีพหลักแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู ซึ่งโดยเนื้องานแล้วไม่เกี่ยวข้องกันเลย แต่การเป็นคอนเทนท์ครีเอเตอร์ด้านท่องเที่ยวผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ทำให้คุณหมอหนุ่มไฟแรงนำมาต่อยอดวิชาชีพ ทำรายได้ควบคู่กับงานหลัก กระทั่งสามารถเปิดคลินิกเฉพาะทางบนศูนย์การค้าหรู อย่างเกษรวิลเลจได้ในวัยเพียง 32 ปี เป็นคลินิกเฉพาะทางที่รักษาด้วยเครื่องมือแพทย์สมัยใหม่ ช่วยฟื้นฟูร่างกายด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการแพทย์ยุคดิจิทัล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เส้นทางในวิชาชีพแพทย์เฉพาะทางของนพ.กันตพงศ์ มาจากจุดเริ่มต้นเมื่อเขาสำเร็จการศึกษาแพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี 2560 และศึกษาเพิ่มเติมแพทย์เฉพาะทางสาขาเวชศาสตร์ฟื้นฟู ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้วุฒิบัตรความชํานาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขาเวชศาสตร์ฟื้นฟู จากราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูแห่งประเทศไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากเป็นแพทย์รักษาผู้ป่วยตามปกติ นพ.กันตพงศ์ ยังเป็นอาจารย์ในคณะแพทยศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบังในปี 2566 และเป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาเวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ตั้งแต่ปี 2566 ถึงปัจจุบัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หมอเปียงยังคงรักษาวิชาชีพหมอไว้อย่างต่อเนื่อง แม้เขามีโอกาสอื่นๆ มากมาย แต่คุณหมอหนุ่มผู้นี้ยังคงใช้วิชาชีพที่ร่ำเรียนมาเป็นงานหลัก รักษาผู้ป่วยและยังถ่ายทอดความรู้สู่นักศึกษาแพทย์ ในเวลาเดียวกันเขาได้ทำสิ่งที่รัก ทั้งการเดินทาง ถ่ายภาพ และเป็นนักเล่าเรื่องที่นำเสนอเนื้อหาได้อย่างน่าสนใจ คลินิกแพทย์เฉพาะทาง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยเฉพาะโรคที่มาจากการใช้ร่างกายไม่เหมาะสม ทำให้เกิดการอักเสบและปวดต่อเนื่อง เช่น ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง, ปวดศีรษะ, ปวดคอ/บ่า/ ไหล่/ สะบัก, ปวดหลัง, ปวดสะโพก, ปวดเข่า, ข้อเท้าพลิก, บาดเจ็บจากกีฬา, และอาการชา ซึ่งเป็นโรคยอดฮิตของคนทำงานออฟฟิศ ที่ใช้ร่างกายไม่สมดุล เช่น นั่งนานเกินไป หรือทำอากัปกริยาซ้ำ ๆ ให้เกิดการอักเสบและปวดเรื้อรัง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อมีผู้มารับการรักษาหลังจากวินิจฉัยอาการเจ็บปวดและสาเหตุแล้ว เข้าสู่ขั้นตอนและกระบวนการรักษา ด้วยเครื่องมือทางการแพทย์สำหรับรักษาอาการเจ็บปวดหลายอย่าง เช่น การกระตุ้นด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Peripheral Magnetic Stimulation หรือ PMS) เป็นวิธีรักษาด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ประสิทธิภาพสูงในการบรรเทาปวดจากระบบเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะเข้าไปกระตุ้นเส้นประสาทโดยตรง (Depolarization) เป็นการกระตุ้นกล้ามเนื้อ กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนำจะทำให้กล้ามเนื้อหดตัว เพิ่มความแข็งแรงและฟื้นฟูการทำงาน นอกจากนี้ยังมีการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด โดย PMS จะเพิ่มการไหลเวียนของเลือดบริเวณที่รักษา นำออกซิเจนและสารอาหารเพื่อซ่อมแซมเนื้อเยื่อ นอกจากนี้ PMS ยังช่วยลดการอักเสบโดยยับยั้งการผลิตสารก่อการอักเสบ และส่งเสริมการปล่อยสารต้านการอักเสบ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กลุ่มโรคที่สามารถรักษาได้ด้วยการกระตุ้นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ได้แก่ กลุ่มโรคออฟฟิศซินโดรม (Myofascial pain syndrome), อาการชาจากปลายประสาทอักเสบ (Peripheral neuropathy), อาการปวดจากความเสื่อมของกระดูกสันหลังส่วนคอและเอว (Cervical and lumbar spine spondylosis, spondylolisthesis, spinal stenosis), อาการปวดหลังส่วนล่างเรื้อรัง (Chronic low back pain) เป็นต้น ​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/people/dine-with-the-boss/noppamas-piyatamrongchai-first-female-leader-of-bticino" alt="นพมาศ ปิยะธำรงชัย แม่ทัพหญิงคนแรก BTicino ไทย">นพมาศ ปิยะธำรงชัย แม่ทัพหญิงคนแรก BTicino ไทย</a>​ <a href="https://www.mebmarket.com/ebook-324639-Forbes-Thailand-October-2024" alt="คลิกอ่านเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine">อ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine</a><div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"><figure><a href="https://www.mebmarket.com/ebook-324639-Forbes-Thailand-October-2024" alt="https://www.mebmarket.com/ebook-324639-Forbes-Thailand-October-2024" data-image-link="image"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/mjwECCEF6Lir3QT1ERKF.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="mjwECCEF6Lir3QT1ERKF.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="300px,auto" data-rotate="" origin-size="300,394" data-image-link="https://www.mebmarket.com/ebook-324639-Forbes-Thailand-October-2024" data-index="0" style="width: 300px; height: auto;"></a></figure></div>

นพ.กันตพงศ์ ทองรงค์ จากเพจท่องเที่ยวสู่คลินิกบนห้างหรู

<h2>กองทุน Disrupt Health Impact Fund ที่เปิดตัวเมื่อพฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา ปิดดีลเข้าลงทุนในบริษัท “DiaMonTech” สตาร์ทอัพ DeepTech สัญชาติเยอรมัน ผู้คิดค้นและเป็นเจ้าของหลายสิทธิบัตรนวัตกรรมการตรวจวัดระดับกลูโคสในร่างกาย โดยไม่ต้องเจาะเลือด เผยอยู่ระหว่างหาโอกาสเข้าลงทุนบริษัท DeepTech เพิ่มเติมให้ครบ 15 บริษัทภายใน 3 – 5 ปี ตามแผน </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายกระทิง พูนผล ประธานกองทุน Disrupt Health Impact Fund กองทุน 500 TukTuks และ ORZON Ventures เปิดเผยว่า Healthcare เป็นหนึ่งใน 3 ตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจโลก เนื่องจากปัจจัยสังคมสูงวัยที่แนวโน้มอายุขัยเฉลี่ยพลเมืองโลกที่มีอายุยืนขึ้น รวมถึงเกิดเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก ที่นำไปสู่การพลิกโฉมทางการแพทย์<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/JvvuKfrhr7i7tyKmfBEX.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="3" data-file-name="JvvuKfrhr7i7tyKmfBEX.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""><figcaption><div>​นายกระทิง พูนผล ประธานกองทุน Disrupt Health Impact Fund กองทุน 500 TukTuks และ ORZON Ventures​</div></figcaption></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะเดียวกันยังได้ผลดีจากตลาดการดูแลตัวเอง หรือ Self-care ซึ่งทั้งภาครัฐและผู้บริโภคต่างหันมาใส่ใจการดูแลสุขภาพมากขึ้น ส่งผลตลาด Self-care medical device ในปี 2575 จะขยายตัวสู่ 42,600 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.44 ล้านล้านบาท (จากปี 2566 ที่อยู่ราว 24,400 ล้านเหรียญสหรัฐ)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ การลงทุนใน DiaMonTech จึงเป็นโอกาสสร้างการเติบโตในอุตสาหกรรม Healthcare เพราะการตรวจวัดค่าน้ำตาลเป็นปัญหาสำคัญ เป็นที่ต้องการมากในตลาด และมีมูลค่าตลาดรวมขนาดใหญ่ ครอบคลุมทั้งผู้ป่วยและกลุ่มคนทั่วไป ที่สำคัญคือเป็นโซลูชันที่สามารถขยายไปได้ทั่วโลก<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/vd2R2qFSp3dzbzADpjiC.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="vd2R2qFSp3dzbzADpjiC.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,480"><figcaption><div>นางสาวจันทนารักษ์ ถือแก้ว กรรมการผู้จัดการ&nbsp;Disrupt</div></figcaption></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นางสาวจันทนารักษ์ ถือแก้ว กรรมการผู้จัดการ ดิสรัปท์ เทคโนโลยี เวนเจอร์ หรือ Disrupt และผู้บริหารกองทุน Disrupt Health Impact Fund กล่าวว่า “เรายินดีเป็นอย่างยิ่งกับโอกาสในการเข้าลงทุนกับ “DiaMonTech” สตาร์ทอัพ DeepTech สัญชาติเยอรมัน ผู้คิดค้นและเป็นเจ้าของสิทธิบัตรนวัตกรรมการตรวจวัดระดับกลูโคสในร่างกายโดยไม่ต้องเจาะเลือด เพียงวางนิ้วมือบนเครื่อง 30 วินาทีก็สามารถวัดค่าได้ ทำให้วัดค่าได้บ่อยและสะดวกกว่าการเจาะเลือด ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานกว่า 530 ล้านรายทั่วโลก”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม เบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ใช้เวลานานในการรักษา และอาจนำไปสู่โรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้ ในประเทศไทยมีผู้เป็นเบาหวานมากถึง 5.2 ล้านคน หรือ 1 ใน 11 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่าเทคโนโลยีของ DiaMonTech จะช่วยให้การ self-care เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายในชีวิตประจำวันมากขึ้น และยังได้ข้อมูลที่จะช่วยให้แพทย์สามารถติดตามอาการได้ดีขึ้น ซึ่งจะสร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างมากต่อชีวิตผู้คน ทั้งกลุ่มผู้ป่วย และกลุ่มคนทั่วไปในการป้องกันไม่ให้ป่วยเป็นเบาหวาน<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/EUv1r3fRgkNv5JJGVz3k.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="EUv1r3fRgkNv5JJGVz3k.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="720,452"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นางสาวณรัณภัสสร์ ฐิติพัทธกุล ผู้บริหารกองทุน Disrupt Health Impact Fund กล่าวว่า ทางกองทุน Disrupt Health Impact Fund เฟ้นหาสตาร์ทอัพทั่วโลกมากกว่า 1,000 ราย และคัดเลือกเพียง 97 รายที่ตรงกับเกณฑ์ ก่อนคัดกรองเหลือเพียง 49 รายและนำไปวิเคราะห์ศึกษาข้อมูลเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการลงทุน ซึ่งมี DiaMonTech เพียงรายเดียวที่ได้รับการสนับสนุนจากเสียงส่วนมากของทั้งผู้บริหารกองทุน ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์จากทางเครือโรงพยาบาลสมิติเวช และคณะที่ปรึกษาด้านการแพทย์และวิศวกรรมจากทางมหาวิทยาลัยมหิดล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เหตุผลหลักที่เลือกลงทุนกับ DiaMonTech คือเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนและเลียนแบบยาก เจ้าของสิทธิบัตรพัฒนามาจากงานวิจัยกว่า 10 ปีของศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยเกอเธ่ จากการศึกษาตลาดเครื่องวัดกลูโคสทั่วโลก พบว่าหลายบริษัทได้พยายามคิดค้นวิธีการวัดระดับกลูโคสในร่างกายแบบไม่ต้องเจาะเลือด ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี ความท้าทายหลักก็คือความในการตรวจวัดที่แม่นยำเทียบเท่ากับการเจาะเลือด วิธีการของ DiaMonTech มีความน่าเชื่อถือเพราะเป็นการวิจัยแบบการศึกษาไปข้างหน้า หรือ prospective study และผลวิจับยังได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการระดับโลกอีกด้วย ทำให้เรามั่นใจว่าการสนับสนุน DiaMonTech จะช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อการดูแลสุขภาพของประชาชน และเป็นการลงทุนที่มีโอกาสเติบโตสูง” นางสาวณรัณภัสสร์ กล่าว<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/3eWKRr7k6E4avW35Ftx4.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="2" data-file-name="3eWKRr7k6E4avW35Ftx4.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""><figcaption><div>​&nbsp;นายธอร์สเทน ลูบินสกี ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้บริหาร DiaMonTech​</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายธอร์สเทน ลูบินสกี ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้บริหาร DiaMonTech กล่าวว่า เครื่องวัดระดับกลูโคสในร่างกายโดยไม่ต้องเจาะเลือด หรือ D-pocket ขณะนี้กำลังอยู่ช่วงขอการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ก่อนนำออกสู่ตลาด การได้รับเงินลงทุนและความร่วมมือจากกองทุน Disrupt Health Impact Fund เชื่อว่าจะช่วยให้ DiaMonTech สามารถนำนวัตกรรมดังกล่าวเข้าไปถึงผู้คนได้มากขึ้นและเร็วขึ้น รวมถึงมีเครือข่ายที่มีความเชี่ยวชาญทางด้าน Healthcare ทั้งจากภาครัฐและเอกชนในไทยและในภูมิภาค&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กองทุน Disrupt Health Impact Fund มีเป้าหมายลงทุนระยะแรกราว 17 – 50 ล้านบาทต่อ 1 บริษัท โดยในช่วง 3 – 5 ปีจากนี้ มีแผนลงทุนใน 15 บริษัท DeepTech ด้าน Healthcare ทั้งในไทยและต่างประเทศ ด้วยนโยบายลงทุน 5 ด้าน คือ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- การดูแลสุขภาพด้วยตนเอง (Self Care) &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- เวชศาสตร์ป้องกันโรค (Preventive Care) &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ผู้สูงวัย (Silver Age) &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Wellness) &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- โรงพยาบาลอัจฉริยะ (Smart Hospital)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ กองทุนฯ จะเฟ้นหานวัตกรรมระดับโลกในระยะออกสู่ตลาดแล้ว (Commercialized) หรืออยู่ระหว่างการวิจัยในคน (Clinical Trial) เพื่อขอการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ในด้านของนักลงทุน ปัจจุบันกองทุนมีนักลงทุนรวม 7 ราย เพิ่มขึ้นจากเดิม 3 รายซึ่งเป็นนักลงทุนส่วนบุคคลที่สนใจธุรกิจ Health &amp; Wellness ที่ต้องการร่วมกันต่อยอดโอกาสทางธุรกิจและเพิ่มโอกาสในการลงทุนตรงในบริษัทที่มีศักยภาพ ภาพ:&nbsp;Disrupt เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/property/eia-approved-sasa-hua-hin-will-continue-construction-in-early-2025" alt="‘ซาซ่าส์ หัวหิน’ ผ่านอนุมัติ EIA พร้อมเดินหน้าก่อสร้างต่อต้นปี 68 รับดีมานด์อสังหาฯ ทั้งจากลูกค้าไทยและต่างชาติ"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/it/samsung-launches-galaxy-ring-in-thailand" alt="ซัมซุงเปิดตัว Galaxy Ring ในไทยแล้ว แหวนอัจฉริยะติดตามสุขภาพ ราคา 14,900 บาท">ซัมซุงเปิดตัว Galaxy Ring ในไทยแล้ว แหวนอัจฉริยะติดตามสุขภาพ ราคา 14,900 บาท</a><a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/other/b-grimm-power-first-half-2024-revenue" alt="‘บี.กริม เพาเวอร์’ ครึ่งปีแรก 67 กำไรสุทธิ 1,091 ล้าน โต 2.3% หลังขายไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้น 10.4%"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/global/new-york-cocoa-futures-surpasses-10000-dollars" alt="แพงจนฉุดไม่อยู่! ราคาซื้อขาย ‘โกโก้’ ล่วงหน้า พุ่งทะลุตันละ 10,000 เหรียญ เป็นครั้งแรก"></a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

กองทุน Disrupt Health Impact Fund ปิดดีลแรกลงทุนใน ‘DiaMonTech’ ชูนวัตกรรมวัดระดับกลูโคสไม่ต้องเจาะเลือด

<h2>BDMS พร้อมเปิดให้บริการแอปพลิเคชัน BeDee แอปสุขภาพครบวงจรเต็มรูปแบบหนึ่งเดียวในไทย หวังตอบสนองไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ที่ต้องการดูแลสุขภาพตั้งแต่ยังไม่ป่วยจนถึงการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ทันที ทุกที่ ทุกเวลา เปิดรับพันธมิตรร่วมธุรกิจในหลายภาคส่วน หลังจับมือกับ BDMS Wellness Clinic, CARIVA, SCG, สายการบิน Bangkok Airways และองค์กรในเครือ BDMS เพื่อให้บริการคนไทย-ต่างชาติเข้าถึงการดูแลแบบ Holistic Care ได้อย่างครอบคลุม และง่ายขึ้น เดินหน้าสร้างสุขภาพดีที่เป็นพื้นฐานหลักของสังคม ตั้งเป้าดันแอป BeDee ก้าวขึ้นเป็น No.1 Digital Healthcare Platform ในเร็วๆ นี้</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พันตรี สมิทธิ์ ปราสาททองโอสถ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เฮลท์ พลาซ่า จำกัด ในเครือบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้จัดงาน “BeDee No.1 Life-Changing Digital Healthcare” เพื่อเปิดตัวแอปพลิเคชัน “BeDee” ที่ดูแลสุขภาพแบบครบวงจร ทุกที่ ทุกเวลาด้วย 3 บริการหลัก ในแอปเดียว คือ 1.Teleconsultation บริการปรึกษาอาการป่วยจากทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญกว่า 30 สาขาจากเครือ BDMS สามารถปรึกษาเบื้องต้นกับผู้เชี่ยวชาญฟรี 2.Telepharmacy บริการปรึกษาเรื่องยากับเภสัชกรฟรี พร้อมจัดส่งยาถึงบ้าน และ 3. Health Mall ศูนย์รวมสินค้าทางการแพทย์และสินค้าเพื่อสุขภาพ พร้อมกับสินค้าเฉพาะกลุ่มโรค&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แอป BeDee ถูกพัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญหลากหลายแขนงจาก BDMS เครือข่ายโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญกว่า 51 ปี ในด้านการแพทย์และการดูแลสุขภาพแบบครบวงจร ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญให้ BeDee สามารถให้บริการออนไลน์ได้อย่างครอบคลุม มาตรฐานเดียวกับเครือ BDMS และใช้แพลตฟอร์มช่วยในการเข้าถึงผู้ใช้ในวงกว้าง ตอบรับพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้ที่เปลี่ยนแปลงไป ที่มีความต้องการดูแลสุขภาพและพบแพทย์แบบทันท่วงทีมากขึ้น โดยสามารถเริ่มดูแลตั้งแต่ยังไม่ป่วยและส่งต่อการรักษาสู่โรงพยาบาล​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/KeqRjTxcGFRBNQJiyVXc.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="KeqRjTxcGFRBNQJiyVXc.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;" data-index="0" origin-size="1680,1120"></figure></div>​ &nbsp; &nbsp;&nbsp;เป้าหมายของ BeDee คือการขยายการให้บริการครอบคลุมเรื่องสุขภาพครบทุกด้านมากที่สุด ในทุกกลุ่มเป้าหมาย ทั้งฐานลูกค้าของโรงพยาบาลในเครือ BDMS และกลุ่มลูกค้าใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบาย ประหยัดเวลา แต่ยังคงเข้าถึงบริการสุขภาพที่ได้มาตรฐาน อย่างกลุ่มคนรุ่นใหม่ คนทำงาน กลุ่มคนรักสุขภาพ ผู้ป่วยในกลุ่มอาการต่างๆ ทั้งอาการเจ็บป่วยพื้นฐาน เช่น มีไข้ เป็นหวัด หรือป่วยเป็นโรคเฉพาะทาง เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคทางจิตเวช รวมถึงกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ ทั้งนักท่องเที่ยวทั่วไปและกลุ่ม Wellness tourism หรือชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย (กลุ่ม Expat)&nbsp; &nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ในปี 2567 BeDee คาดว่าจะขยายการให้บริการเพิ่มอีก 3 บริการ ได้แก่ Health Content, Health Check up และ Health Package พร้อมขยายตลาดเจาะกลุ่มลูกค้า B2B ที่เป็นบริษัท ห้าง ร้านต่าง ๆ ที่ต้องการดูแลสุขภาพพนักงานเพิ่มมากขึ้น โดยปี 2566 นำร่องที่กลุ่มลูกค้าองค์กร บริษัท ปตท.สผ. เพื่อผลักดันให้ทุกองค์กรดูแลพนักงานแบบครบวงจรได้ง่าย ๆ ทุกวันด้วย Ultimate Corporate Check Up ที่เชื่อมโยง Health Records มาไว้ในแอปและการนำเสนอแพ๊กสุขภาพที่เหมาะกับพนักงาน&nbsp; &nbsp; รวมถึงการทำการตลาดแบบไม่แบ่งแยก (Inclusive Marketing) เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้า Transgender ด้วยการเติบโตและความต้องการด้านการรักษาที่ละเอียดอ่อนเฉพาะตัว รวมถึงองค์ความรู้ด้านสุขภาพที่อาจจะยังมีความเชื่อที่ไม่ถูกต้องอยู่มาก BeDee จึงอยากให้กลุ่มคนเหล่านี้ได้เข้าถึงการรักษาที่ถูกต้อง&nbsp; &nbsp; "แอป BeDee เจาะกลุ่มลูกค้าทั้งในรูปแบบทั้ง B2B , B2C และในอนาคตจะก้าวไปสู่ B2B2C ด้วย เพื่อให้ BeDee เป็นแพลตฟอร์มที่ยั่งยืน สามารถขับเคลื่อนได้เองจากผู้ใช้งาน ล่าสุดเราได้จับมือกับพันธมิตรรายใหญ่หลายรายในหลากหลายธุรกิจ เช่น BDMS Wellness Clinic (BWC) เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายด้าน Wellness ให้คนไทยมีสุขภาพดีในทุกวัน ดูแลแบบองค์รวม ทั้งร่างกายและจิตใจ ผ่าน Digital Healthcare Platform รวมถึงการออกแบบแพ็กเกจสุขภาพที่เหมาะกับแต่ละบุคคล เช่น Weight Management Package, Mental &amp; Sleep และ Childcare เป็นต้น"​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 50%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/SM2oXdGWbahoHPDPYkME.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="50%," data-align="center" data-file-name="SM2oXdGWbahoHPDPYkME.jpg" data-file-size="0" origin-size="1813,2331" data-origin="1036px,1332px" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," style="width: 100%;" data-index="1"></figure></div>​ &nbsp; &nbsp;"สำหรับ CARIVA ได้ร่วมกันผนึกกำลังสร้าง Healthcare Innovation เพื่อให้คนไทยได้ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยช่วยวิเคราะห์ร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อให้ผู้ใช้งานได้เช็กร่างกาย และสามารถพบอาการบ่งชี้เบื้องต้นหากเจอภาวะผิดปกติต่างๆ BeDee ยังให้ความสนใจกับ Tourism Market มุ่งเน้นให้เกิดการท่องเที่ยวแบบปลอดภัยโดยเริ่มโครงการกับสายการบิน Bangkok Airways เอื้อประโยชน์ให้นักท่องเที่ยวทั้งคนไทย-ต่างชาติ ได้ใช้บริการด้านสุขภาพที่สามารถติดตัวไว้ใช้ได้ทั่วประเทศ"&nbsp; &nbsp; "และพันธมิตรกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มมหาวิทยาลัย ทั่วประเทศ เนื่องจาก BeDee มีแนวคิดว่าจิตใจที่แข็งแรงจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงไปด้วย และอยากให้คนรุ่นใหม่ไม่กลัวที่จะปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพใจตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงได้ริเริ่มโครงการ Care Your Mind สำหรับกลุ่มนิสิตนักศึกษาทั่วประเทศ ให้สามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญผ่านแอป BeDee ได้ฟรี" ​&nbsp; &nbsp; ซึ่งในอนาคตคาดว่าจะมีพันธมิตรรายใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นสายประกัน สายสุขภาพ และสายเทคโนโลยี เพราะเป้าหมายของ BeDee คือการเปิดกว้างรับพันธมิตรเพิ่มแบบไม่จำกัด เพื่อให้ผู้บริโภค ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ เข้าถึง Wellness ได้กว้างขึ้น และง่ายขึ้น ในรูปแบบที่ตัวเองต้องการ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พันตรี สมิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า BeDee มองตลาด Wellness เป็นเทรนที่น่าสนใจมาก การจับมือกับพันธมิตรต่างๆ รวมถึง BDMS Wellness Clinic หรือ BWC ในฐานะผู้นำด้าน Wellness ที่ให้บริการอย่างครบวงจร ถือเป็นเรื่องที่ดีในการขยายตลาดจากออฟไลน์มาสู่บริการบน Platform Online ซึ่งผู้ใช้บริการมั่นใจได้เลยว่า การเลือกใช้บริการแอป BeDee จะได้รับการบริการจากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ และมีมาตรฐานสูงเหมือนกับการเข้าไปใช้บริการที่โรงพยาบาลในเครือ BDMS แน่นอน เพราะ BeDee มีเครือข่ายโรงพยาบาลมากถึง 58 แห่ง และ 28 ศูนย์แลปจากเครือ BDMS, ร้านขายยา Save Drug, ศูนย์แลป N Health, เว็บไซต์สุขภาพ, อาหารสุขภาพ, ฟิตเนส, Gadget สายสุขภาพ ไว้รองรับผู้ใช้บริการ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/AGbNGpuBKwcpXGF4sjBd.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="AGbNGpuBKwcpXGF4sjBd.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;" data-index="2" origin-size="1680,1120"></figure></div> &nbsp; &nbsp;&nbsp;ขณะเดียวกัน BeDee ยังสามารถออกแบบโปรแกรมการดูแลเฉพาะบุคคลและองค์กรได้ด้วย เพราะเราเข้าใจเป็นอย่างดีว่า ร่างกายแต่ละคนมีอาการและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน บางองค์กรเน้นการดูแลด้านจิตใจ เช่น องค์กรที่ทำงานด้าน Call Center ที่ต้องรับมือกับการแก้ปัญหาให้กับลูกค้า ต้องรับมือกับความเครียด บางองค์กรเน้นการมีร่างกายที่แข็งแรง เช่น องค์กรอยู่ในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม เพราะต้องใช้แรงงานตลอดเวลา นอกจากนี้ BeDee ยังเป็น Health Tech ที่มีความ Flexible สูงในการเชื่อมต่อแอปเข้ากับระบบต่างๆ ของพาร์ทเนอร์ มี Module ต่างๆ ที่สร้างขึ้นมาเพื่อเติมเต็มการบริการด้านสุขภาพกับพาร์ทเนอร์โดยง่าย เราจึงมีโครงการอีกมากมายที่รอเปิดตัวอยู่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราจับมือกับพันธมิตรหรือพาร์ทเนอร์ด้านสุขภาพ เพื่อต้องการนำเสนอแคมเปญและแพ็กเกจให้เหมาะกับแต่ละกลุ่มผู้ใช้งานมากที่สุด ครบวงจรที่สุด ทั้งเรื่องอาหาร ฟิตเนส วิตามิน และประกันสุขภาพ แต่เราก็ไม่ทิ้งกลุ่มธุรกิจอื่นๆ เพราะ BeDee มุ่งมั่นที่จะสร้างสังคมสุขภาพ ดังนั้นเราจึงมีแผนที่จะจับมือกับหลายภาคส่วน โดยมีโปรโมชันช่วงเปิดตัวในหลายๆ Service ซึ่งเชื่อมั่นว่าหากผู้ใช้งานได้ทดลองใช้แอป BeDee จะประทับใจใน Healthcare Ecosystem Experience ที่ BeDee เตรียมไว้แน่นอน” พันตรี สมิทธิ์ กล่าวทิ้งท้าย ​อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/preview/71478" alt="Ericsson ConsumerLab ชี้ 5G สร้างความแตกต่างและโอกาสทางธุรกิจ">Ericsson ConsumerLab ชี้ 5G สร้างความแตกต่างและโอกาสทางธุรกิจ</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events